ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

นิธิ เอียวศรีวงศ์  
มติชนรายสัปดาห์  วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1379

ใครที่อ่านชื่อเรื่องแล้วคิดจะได้รับความสะใจจากการถากถางเย้ยหยัน คุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะนอกจากผมไม่ถากถางเย้ยหยันแล้ว ผมยังออกจะเห็นใจคุณสุรยุทธ์เสียด้วย เนื่องจากคิดว่าผมเข้าใจและเข้าถึงความอ่อนแอด้านนี้ของคุณสุรยุทธ์ได้ดี

และเพราะเห็นใจนี่แหละครับ ที่ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แก่สังคมโดยรวม มากกว่านายกรัฐมนตรีบังเอิญไปครอบครองที่ดิน ที่หมิ่นเหม่ว่าอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นับตั้งแต่เริ่มต้น นโยบายพัฒนาของเราเจตนาจะเปิดพื้นที่ป่าสำหรับการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อเอาเงินมาสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ให้แก่ภาคเศรษฐกิจสมัยใหม่ในเมือง และเพราะเราไม่พัฒนาคนในภาคเกษตร อีกทั้งยังมีนโยบายลำเอียงเป็นอริกับภาคเกษตรตลอดมา การทำเกษตรจึงขาดทุน จนต้องถอยร่นไปเปิดพื้นที่ป่าใหม่ตลอดมาด้วย

จำนวนคนที่เข้าไปบุกรุกจับจองพื้นที่ป่าทุกประเภทมีสูงเป็นล้านครัวเรือน เกินกว่าที่รัฐจะสามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้เกษตรกรล้มละลายเหล่านั้นใช้ประโยชน์จากที่ดินที่โดยทฤษฎีแล้วเป็นที่ดินของรัฐต่อไป โดยไม่ออกเอกสารสิทธิ์ถาวรให้ แต่ก็ยังดำเนินนโยบายลำเอียงเป็นอริกับภาคเกษตรต่อไปดังเดิม

จึงไม่แปลกอะไรที่เกษตรล้มละลายเหล่านั้นประสบการล้มละลายใหม่อีก จำเป็นต้องขายที่ดินซึ่งตัวไม่มีกรรมสิทธิ์นั้นแก่คนอื่น ในขณะเดียวกันถนนหนทางก็ตัดออกไปเพิ่มขึ้น ที่ดินเหล่านั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางอื่นได้ง่ายขึ้น

ที่ดินประเภทนี้มีจำนวนมโหฬารทั้งประเทศ ที่ป่าสงวน, ที่ในเขตลุ่มน้ำชั้นหนึ่งเอ, ที่ดินในความดูแลของกรมเจ้าท่า, ที่ราชพัสดุ, ฯลฯ ซึ่งผู้ครอบครองคือคนในเมือง ซึ่งซื้อต่อมาเพื่อใช้ทำบ้านพักตากอากาศ, รีสอร์ต, ทำสวนปาล์ม, หรือแม้แต่วัด ฯลฯ และอีกจำนวนไม่น้อยก็ได้เอกสารสิทธิ์ถาวรไปแล้ว เมื่อตกอยู่ในมือของคนรวยหรือเจ้าใหญ่นายโต

(และน่าสังเกตด้วยว่า ที่ดินบนเขายายเที่ยงของท่านนายกฯ ยังไม่ได้ถูกทำให้มีเอกสารสิทธิ์ถาวร แม้ว่าผู้ครอบครองเคยเป็นแม่ทัพภาค 2, ผบ.ทบ., ผบ.สูงสุด, และองคมนตรี ดูจะแสดงแง่ดีของผู้ครอบครองมากกว่าแง่เสีย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงบรรยากาศการช่วงชิงสมบัติกลางของสังคมไทยที่ผ่านมา)

และคนที่ไปซื้อที่ดินประเภทนี้ เพื่อใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ถึงเป็นคนรวยหรือเจ้าใหญ่นายโต แต่ก็ไม่ได้ไกลจากตัวเราเองเลยนะครับ

ถ้าไม่หลอกลวงตัวเอง คนชั้นกลางระดับกลางอย่างเราทุกคนล้วนมีญาติ หรือมิตรที่ครอบครองที่ดินประเภทดังกล่าวทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง บางคนที่เราออกจะนับถือว่าเป็นคนดีน่ายกย่องก็ยังมีอยู่กับเขาเหมือนกัน

บางคนก็ซื้อจากเกษตรกรล้มละลายโดยตรง บางคนก็ซื้อจากคนที่ไปเสียเบี้ยบ้ายรายทางจนได้เอกสารสิทธิ์ถาวรมาแล้ว แต่ก็รู้ประวัติของที่ดินนั้นดีว่าชิงมาจากป่าสงวน แต่ถือว่าเมื่อเขาซื้อนั้นถูกกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว มโนธรรมแจ่มใสได้เลย

ที่ผมบอกว่าไม่ไกลจากตัวเรานั้น ไม่แต่เพียงญาติมิตรนะครับ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองก็ควรถามตัวเองให้ดีด้วยว่า หากเรามีโอกาส (คือรวยและวางใจในอำนาจต่อรองของตนกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง) เราจะเอาด้วยหรือไม่ คนอื่นจะตอบว่าอย่างไรผมไม่ทราบ แต่โดยส่วนตัว ผมไม่กล้าตอบอย่างมั่นใจว่าไม่

ที่ไม่มีกับเขาเลยนั้น ไม่แน่ใจว่าเพราะไม่มีโอกาสหรือไม่มีความโลภ

ที่ดินอันเป็นสมบัติกลางของแผ่นดินจึงถูกครอบครองกันจากทุกคนทุกสถานะ คนจนครอบครองเพราะไม่มีที่ไป คนรวยครอบครองเพราะสวยดี คนชั้นกลางครอบครองเพราะอยากเอาอย่างคนรวยบ้าง หรืออีกหลายกรณีก็ซื้อจากนายทุนบ้านจัดสรรซึ่งสามารถหาเอกสารสิทธิ์ถาวรมาทำกำไรได้

กลายเป็นการกระทำสามัญธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ผมไม่ต้องการจะพูดว่าความผิดใดที่คนทำกันทั่วไป ย่อมกลายเป็นไม่ผิดนะครับ แต่ผมต้องการจะพูดว่า คนเราทำสิ่งใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เนื่องจากสิ่งนั้นถูกทำให้เป็นสามัญธรรมดา คิดว่าสิ่งนั้นถูก, จริง, ดี, มีประโยชน์, เข้มแข็ง, อ่อนแอ, ก้าวหน้า, ล้าหลัง ฯลฯ ก็เพราะสิ่งนั้นถูกทำให้เห็นว่าสามัญธรรมดาย่อมเป็นเช่นนั้นเอง

ไม่แต่เพียงที่ดินนะครับ เศียรพระพุทธรูป, ศิวลึงค์, ศาลาวัด, หน้าบันโบสถ์วิหาร, พระพิมพ์, ฯลฯ ก็ครอบครองกันโดยไม่มีใครคิดว่าเป็นการขโมย ก็ล้วนควักกระเป๋าซื้อมาทั้งนั้น ซ้ำกรมศิลป์ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ครอบครองไว้ก็ไม่น่าจะผิดกฎหมาย

ใช่แต่ในบ้านเรือน ออกไปนอกบ้านเมื่อไรก็พบการครอบครองสมบัติกลางเกลื่อนกลาดไปหมด นับตั้งแต่ทางเท้า, ถนน, ระบายของเสียลงทางน้ำสาธารณะ, ห้างสรรพสินค้าไม่เปิดพื้นที่ของตัวให้แท็กซี่จอด แต่ผลักให้ไปเรียงคิวกันบนถนนหลวง, ฯลฯ การแย่งชิงเอาสมบัติกลางมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวกลายเป็นสามัญธรรมดาสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมไทย

หลายคนมองสภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ว่ามาจากการบังคับใช้กฎหมายในบ้านเราไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นธรรม ซึ่งก็จริงแน่ครับ แต่ผมคิดว่ามีอะไรที่สำคัญกว่าและเป็นพื้นฐานมากกว่ากฎหมายและการบังคับใช้ นั่นคือศีลธรรมซึ่งสามารถกำกับพฤติกรรมของคนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ากฎหมายหลายเท่าตัว

น่าสังเกตด้วยนะครับว่า ข้อโจมตีท่านนายกฯ กรณีที่ดินบนเขายายเที่ยงมักจะเน้นเรื่องศีลธรรม และที่เน้นศีลธรรม ก็เพราะทุกคนรู้ดีว่าบรรยากาศของการครอบครองสมบัติกลางของสังคม กลายเป็นสามัญธรรมดาไปแล้ว บางคนพูดทำนองว่าคนอื่นทำได้ แต่นายกฯ ทำไม่ได้

ผมไม่ทราบว่านายกฯ ลงมาจากสวรรค์หรือไม่ แต่เนื่องจากสวรรค์ไม่ได้อยู่ไกลจากโลกมนุษย์นัก หรือสวรรค์อาจเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง สวรรค์จึงตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความสามัญธรรมดาเดียวกับโลกมนุษย์นี่แหละครับ

ความล้มเหลวทางศีลธรรมจึงเกิดแก่สังคมไทยทั้งหมด ไม่ใช่กับบุคคลคนใดคนหนึ่ง และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องคุณสุรยุทธ์ครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงมากมายนัก

ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ความล้มเหลวนี้เกิดจากอะไร คำอธิบายง่ายๆ (แต่อาจง่ายเกินไปจนไม่เพียงพอกับการอธิบายอะไรที่ซับซ้อนขนาดนี้) ก็คือศีลธรรมแบบไทยที่เคยมีมาก่อนการปฏิรูปศาสนาใน ร.5 แบ่งหน้าที่กันระหว่างพุทธกับผี พุทธทำหน้าที่ทางศีลธรรมส่วนบุคคล ผีทำหน้าที่ศีลธรรมทางสังคม

ทั้งสองด้านนี้สัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ เช่น ลักขโมยของเขาก็เป็นบาป ซึ่งทำให้ปัญญามัวหมอง จนไม่อาจมองเห็นพระอริยสัจได้ จะรับผลแห่งปัญญาที่มัวหมองลงอย่างไร ในชาตินี้ชาติหน้าไม่รู้ได้ แต่ที่แน่นอนก็คือผีไม่คุ้มครองและอาจทำร้ายได้ในชาตินี้

การปฏิรูปศาสนาซึ่งได้รับอิทธิพลฝรั่งอย่างมากปฏิเสธผีเพราะกลัวฝรั่งจะหาว่าป่าเถื่อน แต่ก็ไม่ได้สร้างศีลธรรมทางสังคมอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม, ยืดพระพุทธศาสนามาคลุมให้ถึง, หรือสำนึกใหม่ของคนในรัฐทันสมัย

ศีลธรรมในสังคมไทยในปัจจุบันจึงดูทั้งแคบทั้งตื้นทั้งเฉิ่ม

แคบก็เพราะมันมีศูนย์กลางอยู่ที่เดียวคือตัวบุคคล จึงมองไม่เห็นนัยะของศีลมากไปกว่าการงดเว้นการกระทำทางกาย เช่น ถึงไม่ฆ่าไก่ แต่ก็ทนได้กับอุตสาหกรรมผลิตไก่และไข่ซึ่งทารุณโหดร้ายต่อสัตว์อย่างสุดพรรณนา ส่งเสริมการฆ่า หรือทำทารุณกรรมต่อกลุ่มคนที่ถือว่าเป็นศัตรูของรัฐนับตั้งแต่ผู้ที่ทางการอ้างว่าค้ายาเสพติด ไปจนถึงคนที่ทางการระแวงว่าเป็นผู้ "แยกดินแดน"

ตื้นก็เพราะแม้มีศูนย์กลางที่ตัวบุคคล ก็ไม่นำไปสู่การพัฒนาจิตใจไปสู่เป้าหมายสูงสุดทางศาสนา เช่น กินเหล้าไม่ดีเพราะทำลายสุขภาพตัวเอง, เสียเงินไม่เข้าเรื่อง, อาจได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์หากเมาแล้วขับ ฯลฯ แต่ของมึนเมาทุกชนิดนอกจากจะมีโทษดังกล่าวแล้ว ยังทำให้ขาดสติหรือระลึกรู้ ถามว่าระลึกรู้อะไรบ้าง นอกจากภัยที่จะเกิดแก่ตนแล้ว จิตใจที่ได้รับการพัฒนายังระลึกรู้ถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคนอื่น ตั้งแต่ระดับแคบๆ ในครอบครัวไปถึงสังคมและโลกทั้งหมด และในขั้นสูงสุดคือระลึกรู้ถึงพระไตรลักษณ์อยู่ทุกขณะจิต จนกระทั่งความทุกข์ไม่อาจกล้ำกรายได้เลย

อันที่จริง นับตั้งแต่ปฏิรูปศาสนา ผู้นำไทยรังเกียจการระลึกรู้ถึงพระไตรลักษณ์ด้วยซ้ำ กลัวชาติไม่เจริญไปโน่น

เฉิ่มก็เพราะหาหลักยึดไม่ได้ว่าอะไรที่ว่าดีนั้น ดีเพราะอะไร หรือชั่วนั้นชั่วเพราะอะไร ใครที่มีอำนาจบอกว่าอะไรดี ก็ได้แต่ท่องตามๆ กันไป เช่น สามัคคี, สามัคคี และสามัคคี้ ซึ่งได้ยินอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีใครสนใจหาความหมาย ว่าแปลว่าอะไร และในทางปฏิบัติที่เป็นจริงคืออะไร กับคนที่อยู่พวกทักษิณนั้นทำไมถึงสามัคคีด้วยไม่ได้ ก็คนไทยเหมือนกันไม่ใช่หรือ ฉะนั้น สามัคคีที่แท้จริงจะเป็นคุณแก่สังคมคืออะไรกันแน่ ไม่มีความขัดแย้งเลยหรือ เป็นไปได้หรือ ถ้าอย่างนั้นขัดแย้งอย่างไรจึงจะไม่เสียสามัคคี ฯลฯ

ความเฉิ่มทางศีลธรรมครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินจากโฆษกทีวีคือ ขอให้เรามาร่วมกันทำความดีด้วยการสวมเสื้อเหลือง

การปลูกฝังด้านศีลธรรมในเมืองไทย (ในบ้าน, โรงเรียน, วัด และสื่อ) ทอดทิ้งมิติทางสังคมของศีลธรรมไปแทบจะสิ้นเชิง ทำให้การเน้นมิติส่วนบุคคลของศีลธรรมนั้นเป็นสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน ตัดด้านใดด้านหนึ่งออกไป ศีลธรรมก็เป็นเพียงกฎเกณฑ์ซึ่งต้องอาศัยการบังคับควบคุมจากภายนอกตลอดไป นับตั้งแต่ผู้ใหญ่, ผู้บังคับบัญชา, ตำรวจ, และปากปลาร้า

ครึ่งหนึ่งซึ่งแยกไม่ออกจากอีกครึ่งหนึ่งของศีลธรรมคือคนอื่น, สัตว์อื่น, และสิ่งอื่นครับ การยึดเอาที่ดินอันเป็นสมบัติกลางไปใช้ประโยชน์แต่ผู้เดียว ไม่ว่าอย่างถูกหรือผิดกฎหมาย คือการหล่อเลี้ยงความโลภในตัวเอง ให้งอกงามจนยับยั้งไม่อยู่ แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ มีคนอีกจำนวนหลายล้านที่ไม่มีที่ทำกิน ผลักให้เขาบุกรุกป่าหนักขึ้นจนแหล่งที่อยู่อาศัยและสืบพันธุ์ของสัตว์ป่าก็หมดไป มีคนอื่น, สัตว์อื่นและสิ่งอื่นที่เราต้องสำนึกถึงในการซื้อที่ดินงามๆ สักผืน

และนี่ก็เป็นศีลธรรมเหมือนกัน

และเพราะศีลธรรมของสังคมไทยปัจจุบันแคบ, ตื้น และเฉิ่มอย่างนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราสมยอมต่อการเอารัดเอาเปรียบกันและกัน อย่างเหี้ยมโหด ดังที่เป็นอยู่ ไม่ว่าการปฏิเสธการจำกัดการถือครองที่ดินซึ่งกระทำกันมาอย่างสืบเนื่องยาวนาน, การใช้แรงงานต่างด้าวอย่างทารุณ, การค้าคน, การสนับสนุนรัฐบาลทหารในพม่า, การไม่เปิดโอกาสทางการศึกษา แก่ผู้คนอย่างทั่วถึง, การปิดโอกาสการพัฒนาแก่ผู้ใช้แรงงาน, ฯลฯ

ด้วยเหตุดังนั้น สังคมไทยจึงมีระเบิดตลอดเวลา เพียงแต่ศีลธรรมที่แคบ, ตื้น และเฉิ่ม ทำให้หูของเราไม่ได้ยิน

นอกจากระเบิดที่อาจทำให้บุคคลแต่ละคนระคายผิวหนังเช่น 8-9 ลูกในวันส่งท้ายปีเก่าเท่านั้น


หน้า 28
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

8) มติชนรายสัปดาห์นี่เป็นแหล่งรวมข้อเขียนชั้นดีทีเดียว
    เนชั่นสุดสัปดาห์ก็ใช่
    ผมชอบอ่านทั้ง2ฉบับเลยครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

ศีลธรรมบนเขายายเที่ยง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สำหรับผม อ.นิธิ นี่ จีเนียส มาก.... :idea:

ตั้งแต่ มติชน สุด อ่านฟรีไม่ได้นี่ อดเลย... เฮ้อ.... :lol:
โพสต์โพสต์