ผลกระทบ พรบ.ต่างด้าวใหม่ ไม่มากอย่างที่วิตกกัน
การแก้ไขพรบ. ต่างด้าว จำกัดสิทธิออกเสียงของกรรมการ
ต่างชาติ
หากธุรกิจไหนเข้าข่ายผิดพรบ. เปิดโอกาสปรับโครงสร้างอีก 2 ปี
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ไม่เข้าข่ายผิด พรบ. ตาม
มาตรา 12
ส่วนธุรกิจที่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะให้ยึดตามกฎหมายฉบับ
นั้น เช่น โทรคมนาคม ธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 13
ปัญหา Nominee กลุ่ม SHIN เป็นเรื่องผิดกฏหมายเดิมอยู่แล้ว
แต่การเอาผิดจากเรื่องนี้คงทำอะไรได้ไม่มาก
ยังคงแนะนำ UNDERWEIGHT ในกลุ่มสื่อสาร แนะนำซื้อ
ลงทุน ใน ADVANC , ทยอยซื้อ SATTEL และ หลีกเลี่ยง ITV
,TRUE
เปิดประเด็น : ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 ม.ค.50 เรื่อง การแก้ไข พรบ.
การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
การแก้ไขนิยามคำว่า คนต่างด้าว โดยกำหนดให้ครอบคลุมถึงนิติ
บุคคลที่มีคนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวน
คะแนนเสียงที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้นด้วย เพื่อป้องกัน
การหลีกเลี่ยงกฎหมายให้หลุดพ้นจากการเป็นคนต่างด้าว โดยการกำหนด
บุรมสิทธิให้คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงเหนือกว่าคนไทย หรือในทาง
กลับกันกำหนดให้คนไทยมีสิทธิออกเสียงน้อยกว่าคนต่างด้าว (ร่างมาตรา
4)
นอกจากนี้ได้มีการแก้ไขปรับปรุงบทลงโทษ มาตรา 35 มาตรา 36
และมาตรา 37 โดยเพิ่มโทษปรับให้สูงขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการ
กระทำความผิด สำหรับโทษจำคุกคงเดิม (ไม่เกิน 3 ปี)
ตลท. แถลง มีเพียง 15 บมจ. เข้าข่ายผิด พรบ. : ตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทยแถลงว่า มีเพียง 15 บริษัท เท่านั้นที่เข้าข่าย พรบ.ฉบับ
นี้ ซึ่งจะต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้น ตลอดจนสิทธิในการออก
เสียงเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย สำหรับกลุ่มธุรกิจที่อาจเข้าข่ายเช่น
ธุรกิจโทรคมนาคม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง ตลท. ไม่สามารถ
เปิดเผยรายชื่อบริษัทได้ โดยยังต้องรอความชัดเจนจากกระทรวง
พาณิชย์เกี่ยวกับการแบ่งประเภทธุรกิจที่เข้าข่ายบัญชีแต่ละประเภท
แก้ไขพรบ. ต่างด้าว เพิ่มกรอบจำกัดสิทธิออกเสียง : การแก้ไขมาตรา
4 เรื่องนิยามของคนต่างด้าวครั้งนี้ โดยครอบคลุมไปถึงสิทธิออก
เสียงลงคะแนน เช่น หากบริษัทใดมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นตาม พรบ.
การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวแล้ว (ไม่เกินกึ่งหนึ่ง) ให้
พิจารณาโครงสร้างของกรรมการที่มีสิทธิออกเสียงประกอบด้วย
โดยมีแนวคิดว่า บริษัทใดที่มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง
หรือร้อยละ 50 ก็ควรที่จะมีสิทธิในการออกเสียงตามสัดส่วนการ
ถือหุ้นด้วย
ธุรกิจที่เข้าข่ายผิด พรบ. ยังมีโอกาสปรับโครงสร้าง : หากพิจารณา
ธุรกิจที่เข้าข่ายของบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งไม่อนุญาตให้บุคคลต่าง
ด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศ (เข้ามาลงทุนได้ไม่เกินกึ่ง
หนึ่งของบริษัทหรือ 49%) โดยธุรกิจที่จัดอยู่ในบัญชี 1 เช่น ธุรกิจที่
ทำเกษตรกรรม สมุนไพร หรือค้าที่ดิน ส่วนบัญชี 2 ได้แก่ ธุรกิจที่
เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ธุรกิจที่มีผลกระทบต่อ
วัฒนธรรม และธุรกิจที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งหาก
พบว่าธุรกิจใดที่เข้าข่ายผิด พรบ.ต่างด้าว ตามบัญชี 1 และ 2 เช่นมี
โครงสร้างผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 49% หรือมีสัดส่วนกรรมการที่มี
สิทธิออกเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็จะผ่อนผันให้ปรับโครงสร้างของ
บริษัทได้ภายใน 2 ปี
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ไม่เข้าข่ายผิด พรบ. : สำหรับ
ธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการ
ส่งเสริมการลงทุน เช่นธุรกิจในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
ยังคงประกอบธุรกิจได้ตามปกติเนื่องจากได้รับความคุ้มครองตาม
พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตามมาตรา 12 สำหรับหุ้น
ที่เข้าข้ายธุรกิจประเภทนี้เช่น HANA DELTA CCET MPT โดย
บริษัทดังกล่าวมีโครงสร้างการถือหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติดังนี้
80% 90% 92% และ 90% ตามลำดับ และหากพิจารณาโครงสร้าง
ของกรรมการที่มีสิทธิออกเสียงแล้ว บริษัทดังกล่าวล้วนมีกรรมการ
ที่เป็นบุคคลต่างด้าวเกินกึ่งหนึ่งทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามบริษัทใน
กลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครองตาม พรบ.คนต่างด้าว มาตรา 12 และไม่
กระทบต่อผลการดำเนินของบริษัทแต่อย่างใด
ส่วนธุรกิจที่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะให้ยึดตามกฎหมายฉบับนั้น
: สำหรับธุรกิจที่มีกฎหมายอื่นกำหนดเรื่องการถือหุ้นของบุคคล
ต่างชาติไว้แล้ว ให้ยึดตามกฎหมายดังกล่าว โดยไม่สามารถนำ
ความใน พรบ. ต่างด้าวฉบับนี้ไปบังคับใช้ได้ เช่น ธุรกิจ
โทรคมนาคม ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การบังคับใช้ของ พรบ.
ประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งหากพิจารณา พรบ. ฉบับดังกล่าว
แล้ว มิได้มีการกล่าวถึงนิยามของคนต่างด้าวในประเด็นสิทธิในการ
ออกเสียงของกรรมการ ซึ่งเปิดโอกาสให้มีกรรมการต่างชาติที่เกินกึ่ง
หนึ่งได้ แต่คาดว่าประเด็นเรื่องการจำกัดสิทธิออกเยงของกรรมการที่
เป็นต่างชาติในธุรกิจโทรคมนาคม ยังคงต้องรอกฎหมายประกอบ
เรื่อง Foreign Domination ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการร่างจาก กทช. และ
คาดว่าหากมีการบังคับใช้แล้วธุรกิจในกลุ่มโทรคมนาคมจะจำกัด
สิทธิของต่างชาติทั้งสัดส่วนการถือหุ้นหรือแม้แต่สิทธิในการออก
เสียงด้วย แต่ทว่าหากมีการปรับบัญชีแนบท้ายบัญชี 2 และมีการ
ตีความว่า ธุรกิจโทรคมนาคมอยู่ในบัญชีนี้ บริษัทที่ประกอบธุรกิจใน
ลักษณะดังกล่าว ก็จะต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น และสิทธิในการ
ออกเสียงเพิ่มเติม ซึ่งต้องอยู่ในกรอบระยะเวลา 2 ปี ตามที่มีการ
กำหนดออกมา
กลุ่มโทรคมนาคม
หากพิจารณาบัญชีทั้ง 3 ประเภท ในบัญชีท้ายพรบ. การประกอบ
ธุรกิจของคนต่างด้าว พบว่าธุรกิจโทรคมนาคมไม่เข้าข่ายบัญชีทั้ง 3
ประเภท แต่ทว่าตามมาตรา 13 ของพรบ. ต่างด้าว ฉบับปี 2542 กล่าวว่า
หากธุรกิจใดที่มีกฎหมายดูแลเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นแล้ว ให้ยึดถือ
กฎหมายฉบับนั้นได้ ซึ่งก็คือ พรบ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่ง
กำหนดไว้ว่า ห้ามมิให้บุคคลต่างด้าวถือหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมไทย
เกินสัดส่วน 49% แต่ทว่ามิได้จำกัดขอบเขตเรื่องอำนาจในการออกเสียง
ของกกรมการ ซึ่งแตกต่างจากร่าง พรบ. ต่างด้าว ฉบับที่กำลังปรับปรุง
นอกจากนี้ตามมาตรา 13 ของพรบ. ต่างด้าวได้กล่าวอีกว่า ไม่สามารถนำ
ความใน พรบ. ต่างด้าว ไปใช้บังคับในธุรกิจที่มีกฎหมายอื่นกำหนดไว้
แล้ว ซึ่งเท่ากับว่าหากยึดตาม พรบ.ต่างด้าว และพรบ. โทรคมนาคม ธุรกิจ
ในกลุ่มสื่อสาร จะถูกจำกัดสิทธิเพียงเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้นเท่านั้น
กุหลาบแก้ว VS Nominee หุ้น SHIN จะกลับมาอีกครั้ง
เราประเมินว่าประเด็นการสืบสวนหุ้นกลุ่ม SHIN เกี่ยวกับโครงสร้าง
การถือหุ้นของบริษัทที่ถูกกว่าหาว่าเป็น Nominee จะถูกนำกลับมาเป็น
ประเด็นอีกครั้ง โดยจากสมมติฐานของเราเกี่ยวกับโครงสร้างผู้ถือหุ้นกลุ่ม
SHIN หากมีการตีความว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็น Nominee แล้ว ก็จะ
ส่งผลให้กลุ่ม SHIN เข้าข่ายเป็นบริษัทต่างชาติทันที ซึ่งผิด พรบ. ประกอบ
กิจการโทรคมนาคม จากที่มีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติเกิน 49%
สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาโครงสร้างหุ้นกลุ่ม SHIN
หากมีการตัดสินว่า บริษัทกุหลาบแก้วเป็นต่างชาติ เราได้ประเมิน
แนวทางที่เป็นไปได้ไว้ 2 แนวทาง โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการ
ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในหุ้น SHIN หรือแม้แต่การปรับสัดส่วนใน
บริษัทลูกก็ตาม
1. ขายหุ้นของบริษัทกุหลาบแก้วที่ถือโดยดาโต๊ะสุรินทร์
ให้กับนักลงทุนสัญชาติไทย
มีความเป็นไปได้ แต่จะขายให้ใคร?
ย้อนกลับมาพิจารณาปัญหาเริ่มแรกเกี่ยวกับประเด็นบริษัท
กุหลาบแก้ว จำกัด โดยมีข้อสงสัยว่าใครคือเจ้าของเงินที่จ่ายให้แก่ดา
โต๊ะสุรินทร์ในการเข้าซื้อหุ้นของกุหลาบแก้ว ซึ่งกุหลาบแก้วลงทุน
ในบริษัท CEDAR และ SHIN ตามลำดับ ซึ่งได้มีการตรวจสอบ
เบื้องต้นของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งได้ข้อสรุปว่า มีข้อมูลที่
น่าเชื่อถือว่าบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด เป็นนอมินี
การแก้ไขอย่างง่ายที่สุด คือการหานักลงทุนที่มีสัญชาติไทย
(แท้) เข้าซื้อหุ้นจากดาโต๊ะสุรินทร์ในสัดส่วน 51% เพื่อที่จะส่งผลต่อ
สถานะของบริษัทกุหลาบแก้ว ให้กลายเป็นบริษัทสัญชาติไทย ซึ่งเรา
มองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยจะไม่มีผลกระทบต่อหุ้น SHIN
ในแง่ของผลการดำเนินงาน หรือจำนวนหุ้น โดยเป็นการเปลี่ยน
สัญชาติบริษัทเท่านั้น
แต่ทว่าใครจะเป็นผู้ที่จะเข้ามารับซื้อหุ้นต่อจากดาโต๊ะ
สุรินทร์ และจำนวนเงินในการซื้อจะเป็นเท่าไร นอกจากนี้จะมีผลต่อ
การถือหุ้นของกุหลาบแก้วใน CEDAR หรือไม่ หากสถานะและ
อำนาจควบคุมของบริษัทเปลี่ยนไป
2. เทมาเส็กยอมลดสัดส่วนการลงทุนใน SHIN โดยวิธีใดวิธี
หนึ่ง เช่น เพิ่มทุน SHIN อีกเท่าตัว เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของ
ตนเองลง หรือ ขายสัดส่วนที่ลงทุนใน ASPEN และ CEDAR
บางส่วนออกให้กับนักลงทุนสัญชาติไทย
มีความเป็นไปได้น้อย
และจะขายให้ใคร?
การแก้ปัญหาในกรณีดังกล่าวกระทำได้ยากกว่าในกรณีแรก
และมีความซับซ้อนกว่าในหลักปฏิบัติ ซึ่งจะกระทบต่อผู้ถือหุ้นเดิม
อย่าง CEDAR และ ASPEN คือ หากเทมาเส็กเลือกการเพิ่มทุนจด
ทะเบียนและทำการออกขายหุ้นดังกล่าวให้แก่นักลงทุนไทย ไม่ว่าจะ
เป็นการขาย Public Offering หรือ Private Placement ก็ตาม จะส่งผล
ให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มเทมาเส็ก (ต่างชาติ) ลดลงได้เช่นกัน โดย
เราประเมินว่าหากมีการใช้แนวทางนี้จริง อาจจะต้องเพิ่มทุนจด
ทะเบียนอีกเท่าตัว คาดว่าจะเกิด Dilution Effect ราว 50% ซึ่งจะกระทบ
ต่อกลุ่มเทมาเส็กโดยตรง
อีกแนวทางที่คาดว่าจะเกิดขึ้น คือ TEMASEK ขายหุ้น
CEDAR และ ASPEN ที่ถืออยู่ใน SHIN ออกมาจำนวนหนึ่ง (ราว 50%
ของหุ้นที่ถือในปัจจุบัน) ซึ่งจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อสถานะ
สัญชาติหุ้น SHIN เช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า นักลงทุนใหม่จะต้อง
เป็นบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น แต่ทว่าทางเทมาเส็ก ก็อาจจะเกิดผล
ขาดทุนจากการขายหุ้นออกมา หากราคาที่ขายได้ต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา
ในราคา 49.25 บาท เราประเมินว่าประเด็นนี้มีความเป็นไปได้สูงกว่า
แนวทางแรก
แม้แนวทางทั้งสองจะมีความเป็นไปได้ยากกว่าในกรณีแรก
แต่ทางเลือกนี้จะส่งผลต่อเทมาเส็กโดยตรง จากที่เกิด Dilution Effect
อย่างมาก หากเลือกกรณีแรก หรือจะเกิดผลขาดทุนทันทีหากราคาขาย
หุ้นออกมาต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อเมื่อต้นปีก่อนที่ 49.25 บาท
หากพิจารณาโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ SHIN เข้าไปมี
สัดส่วนการถือหุ้น จะพบว่า หากมีการตัดสินว่า SHIN เป็นบริษัทต่าง
ด้าว ก็จะส่งผลให้ ADVANC และ ITV เข้าข่ายเป็นบริษัทต่างชาติทันที
แต่ทว่า SATTEL จะไม่เข้าข่ายผิดตาม พรบ.ต่างด้าว จากที่สัดส่วนของ
ต่างชาติน้อยกว่า 49% แม้ว่าหุ้น SHIN เป็นต่างชาติก็ตาม
ความชัดเจนเริ่มปรากฏ เกี่ยวกับการแก้ปัญหา Nominee
จากแนวทางแก้ไขที่ประกาศออกมา หากบริษัทใดก็ตามที่เข้า
ข่ายผิด พรบ.ต่างด้าวตามบัญชี 1 และบัญชี 2 ก็สามารถที่จะดำเนินงาน
ได้ปกติ แต่จะต้องมีการปรับโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้น และสิทธิใน
การออกเสียงของกรรมการภายใน 2 ปี
โดยเราประเมินว่า กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ
ได้แก่ 1. ธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งหากพิจารณาสัดส่วนการถือหุ้นแล้ว
พบว่าไม่ได้เข้าข่ายผิด พรบ. โทรคมนาคม แต่ทว่า หากมีการสอบเรื่อง
Nominee และเข้าข่ายว่ามีความผิดจริง จะทำให้หุ้นอย่าง SHIN และ
UCOM มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เกินเกณฑ์ที่กำหนด (มีสัดส่วนนัด
ลงทุนต่าชาติเกิน 49%) ซึ่งเข้าข่ายที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างบริษัท
ภายใน 2 ปี ซึ่งเราเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ
บริษัทลูกอย่าง ADVANC และ TAC แต่อย่างใด และหากพิจารณา
โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่ TRUE พบว่าไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับ
โครงสร้างผู้ถือหุ้น
ยังคงแนะนำ Underweight ในกลุ่มสื่อสาร
เรายังคงแนะนการลงทุนเท่ากับตลาด โดยเราประเมินว่าการ
แก้ไข พรบ.ต่างด้าว ครั้งนี้ จะเพิ่มความรัดกุม และความชัดเจน เกี่ยวกับ
การแก้ไขปัญหา Nominee โดยภาครัฐได้เปิดโอกาศให้บริษัทที่เข้าข่าย
ผิด พรบ. ปรับโครงสร้างของตนเองได้ภายใน 2 ปี
ในระยะสั้น เราคาดว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารจะยังถูกกดดันจากการ
กลับมาสืบสวนเกี่ยวกับประเด็น Nominee อีกครั้ง โดยเรายังคงแนะนำ
ซื้อลงทุนในหุ้น ADVANC ราคาเป้าหมาย 98 บาท และหลีกเลี่ยงการ
ลงทุนในหุ้น TRUE ซึ่งแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับลดลงแรง แต่ทว่าผลการ
ดำเนินงานที่คาดว่าจะยังคงออกมาขาดทุนอีกหลายไตรมาส จะเป้นตัว
บั่นทอนส่วนทุนของบริษัท และมีโอกาศที่จะเพิ่มทุนสูงในปี 50
ที่มา Globlex Securities
ผลกระทบจาก พรบ.ต่างด้าวใหม่ ไม่มากอย่างที่วิตก
-
- Verified User
- โพสต์: 341
- ผู้ติดตาม: 0