เดี๋ยวน้องมินท์จะน้อยใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
เดี๋ยวน้องมินท์จะน้อยใจ
โพสต์ที่ 1
ไม่มีใคพูดถึงเลย
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3)
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
ปี 2548 2547 2548 2547
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 136,731 85,374 437,179 245,441
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.05 0.03 0.17 0.10
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต
คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2548
การดำเนินงานและฐานะการเงินที่ผ่านมา
1.) ภาพรวม
สภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตที่ชะลอตัวลง อันเป็นผล
สืบเนื่องจากผลกระทบของราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความแห้ง
แล้ง ทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีความระมัดระวังมากขึ้นอย่างไรก็ตามกลุ่ม
ธุรกิจของบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร ได้รับ
ผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่น จึงเห็นได้ว่ากลุ่มบริษัท ยังคงมี
อัตราการเติบโตขึ้นค่อนข้างสูงในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 นอกจากนี้ผลการเติบโตยังสืบ
เนื่องมาจากงบการเงินรวมของบริษัทฯได้รวมผลการดำเนินงานทั้งหมด ของโรงแรม เจ
ดับบลิวแมริออท ภูเก็ต โรงแรม โฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และโรงแรม อนันตรา สมุย ซึ่งเป็นผล
มาจากการขยายธุรกิจด้านโรงแรมของบริษัทฯ
ในไตรมาส2 ปี 2548 ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตขึ้นร้อยละ 60.2 เมื่อ
เทียบกับปีที่ผ่านมาโดยบริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 85.4 ล้าน
บาทในปีที่ผ่านมา โดยจำนวน 79.9 ล้านบาทเป็นกำไรที่ได้รับจากธุรกิจกลุ่มอาหาร (MFG)
(ซึ่งเป็นกำไรสุทธิหลังจากปรับปรุงหักค่าความนิยม และดอกเบี้ยจ่ายเพื่อการลงทุนใน
MFG ออกแล้ว) ขณะเดียวกันกำไรสุทธิจากกลุ่มโรงแรม และบริการอื่นเป็นจำนวน 56.8
ล้านบาท
รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯใน
อนาคต เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีดังต่อไปนี้
1.1) ในไตรมาส2 ปี 2548 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของบริษัทฯ มีการเติบโต
อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนสาขา และการเพิ่มขึ้น
ของแฟรนชายส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี
2548 กลุ่มบริษัท ได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้น 68 สาขาโดยแบ่งเป็นในประเทศ
จำนวน 54 สาขา และต่างประเทศ จำนวน 14 สาขา นับตั้งแต่สิ้นไตรมาส
2 ปี 2547
1.2) ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทฯเพิ่มทุนจำนวน 254.3 ล้านหุ้นมูลค่า 260.8
ล้านบาท โดยการเพิ่มทุนจำนวน 242.5 ล้านบาท เป็นการออกหุ้นสามัญ
จำนวน 242.5 ล้านหุ้นเพื่อจ่ายหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และการเพิ่มทุน
จำนวน 18.3 ล้านบาทเป็นการออกหุ้นสามัญจำนวน 11.8 ล้านหุ้น จาก
การมีผู้มาใช้สิทธิในใบแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญจำนวน 0.97 ล้านใบแสดง
สิทธิ
1.3) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ย้ายจากหมวดโรงแรมและบริการ
การท่องเที่ยวภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มาเป็นหมวดอาหารและ
เครื่องดื่ม ภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1
กรกฎาคม 2548
2.) วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
ก) ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับไตรมาส2 ปี 2548 บริษัท
มีกำไร 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวน 51.3 ล้านบาท หรือ 60.2%
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2ก.1 รายได้
2ก.1.1) รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดี่มขยาย ตัว 14%
บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 1,215.7 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 152.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 14 โดยมีสาเหตุ
หลักมาจากการขยายจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าถึง 74
สาขา ซึ่งรวมแฟรนชายส์ในประเทศ จำนวน 26 สาขา และแฟรนชายส์
ต่างประเทศ จำนวน 13 สาขา โดยมีรายได้จำแนกตามสินค้าหลักดังนี้
1) บริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีรายได้ จาก
การขายพิซซ่าภายใต้เครื่องหมายการค้า The Pizza
Company เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เป็นผลมาจาก การเปิดสาขาที่
เพิ่มขึ้นและการเพิ่มความหลากหลายในรายการอาหาร ซึ่ง
รายได้จาก The Pizza Company ยังคงเป็นรายได้หลักใน
ธุรกิจ อาหาร และ เครื่องดื่ม ของกลุ่มบริษัท
2) บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการไอศกรีมพรีเมี่ยม
ภายใต้เครื่องหมายการค้า Swensens มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 19.2 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนสาขาอีก 7
สาขาจากไตรมาส 2 ปี 2547
3) บริษัท เอส เอล อาร์ ที จำกัด ผู้ให้บริการภัตตาคารสเต๊ก ซีฟู้ด
และสลัด ภายใต้เครื่องหมายการค้า Sizzler มีรายได้เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 16.4 ซึ่งการขยายตัวของยอดขาย เป็นผลเนื่องจากการ
เพิ่มจำนวนสาขาเป็น 26 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 4 สาขาจากไตร
มาส 2 ปี 2547
4) บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด ผู้ให้บริการคิออสไอศกรีม
ประเภทซอฟท์เซิร์ฟภายใต้เครื่องหมายการค้า Dairy
Queen มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 จากการขยายสาขา
เพิ่มขึ้น 12 แห่งเป็น 168 แห่ง และจากการเพิ่มความ
หลากหลายของอาหาร และเครื่องดื่มโดยเฉพาะสินค้าใหม่
Moolatte ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
5) บริษัท เบอร์เกอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการร้านอาหาร
ประเภทแฮมเบอร์เกอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Burger
King มีรายได้ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากสาขาที่เอ็มโพเรี่ยม ได้
ปิดเป็นการชั่วคราว
6) รายได้จากการขายแฟรนชายส์ในไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน
28 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว 20 ล้านบาท
เนื่องจากการขยายแฟรนชายส์ ทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นแฟรนชายส์ใน
ประเทศ 45 แห่งและแฟรนชายส์ต่างประเทศ 17 แห่ง
2ก.1.2) รายได้จากกิจการโรงแรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 68.6%
รายได้จากกิจการโรงแรม ในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ 828.3 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมาจำนวน 337 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 69 โดยสาเหตุหลักมาจากการรวมผลการ
ดำเนินงานของโรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) และรวมรายได้เต็ม
จำนวนของโรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต ในงบการเงินรวมในไตร
มาส2 ปี 2548 รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมของบริษัทดังต่อไปนี้
โรงแรมในกลุ่มแมริออทมีผลประกอบการดังนี้
1. โรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ตในไตรมาส2 ปี 2548 มีรายได้
142.3 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจาก 144.4 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่
ผ่านมาหรือลดลงในอัตราร้อยละ 1.5 เนื่องมาจากอัตราการเข้าพัก
ลดลงจากร้อยละ 76.6 ในไตรมาส2 ปี 2547 เป็นร้อยละ 65.0 ใน
ไตรมาส2 ปี 2548 จากเหตุการณ์สึนามิในปลายปี 2547 อย่างไรก็
ตามบริษัทยังสามารถคงการเพิ่มขึ้นของราคาห้องพักเฉลี่ยโดยใน
ไตรมาส2 ปี 2548ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 4,886 บาทต่อคืน
จาก 3,578 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2547 และนอกจากนี้ในไตร
มาส2 ปี 2548 บริษัทฯ ได้รวมรายได้ดังกล่าวทั้งหมดเต็มจำนวน
ในงบการเงินรวม เนื่องจากบริษัทฯได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น
ร้อยละ 100 ในขณะที่ไตรมาส2 ปี 2547 บริษัทแสดงรายได้ในงบ
การเงินรวมเพียง ร้อยละ 50
2. โรงแรมกรุงเทพ แมริออท รีซอร์ทแอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
202.0 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 162.9 ล้านบาทในไตร
มาส2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้น อัตราร้อยละ 24.0 เนื่องมาจากอัตรา
การเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 82.7 จาก ร้อยละ 75.2 และราคา
ห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3,014 บาทต่อคืนจาก 2,636 บาทต่อคืน
3. โรงแรมหัวหินแมริออท รีซอร์ท แอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
56.4 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 49.3 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 14.4 เนื่องมาจากอัตราการเข้า
พักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 63.2 จาก ร้อยละ 57.4 และราคาห้องพัก
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2,686 บาท ต่อคืน จาก 2,629 บาทต่อคืน
4. โรงแรมพัทยาแมริออท รีซอร์ท แอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
96.5 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 89.4 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 8.0 เนื่องมาจากราคาห้องพัก
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2,921 บาท ต่อคืน จาก 2,701 บาทต่อคืน และ
อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 76.6 ในไตรมาส2 ปี 2548 จาก
ร้อยละ 72.3ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
โรงแรมในกลุ่มอนันตรามีผลประกอบการที่โดดเด่นดังนี้
5. โรงแรมอนันตรา รีสอร์ท แอนด์สปา หัวหิน มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
55.3 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 42.4 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 30 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของ
อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 63.5 ในไตรมาส2 ปี 2548จาก
ร้อยละ 46.4 ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
6. โรงแรมอนันตรา โกลเด้นแทรแองเกิ้ล มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 17.9
ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 15 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่
ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 19 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตรา
การเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25.3 ในไตรมาส2 ปี 2548จากร้อยละ
21.7 ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
เป็น 3,834 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 3,499 บาทต่อคืน
ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
7. โรงแรมอนันตราสมุย เป็นโรงแรมเปิดใหม่เริ่มเปิดดำเนินการใน
เดือนพฤศจิกายนปี 2547 สามารถสร้างรายได้จำนวน 23 ล้านบาท
ในไตรมาส2 ปี 2548
โรงแรมในกลุ่มโฟร์ซีซั่นก็มีผลประกอบการดังรายละเอียดต่อไปนี้
8. โรงแรมโฟร์ซีซั่น รีสอร์ท เชียงใหม่ในไตรมาส2 ปี 2548 มีรายได้
63.7 ล้านบาทลดลงจาก 72 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา หรือ
ลดลงในอัตราร้อยละ 11 เนื่องมาจากอัตราการเข้าพักลดลงเหลือ
ร้อยละ 43.7 ในไตรมาส2 ปี 2548 ลดลงจากร้อยละ 55.3 ในไตร
มาส2ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามราคาห้องพักเฉลี่ยได้มีการปรับ
เพิ่มขึ้นเป็น 9,847 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 8,929 บาท
ต่อคืนในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
9. บริษัทได้รวมรายได้ของโรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯในไตรมาส2
ปี 2548 เข้าในงบการเงินรวมของบริษัทจำนวน 185.9 ล้านบาท ซึ่ง
โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ มีราคาห้องพักเฉลี่ย 5,541 บาทใน
ไตรมาส2 ปี 2548 เพิ่มขึ้นจาก 4,777 บาทในไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาโรงแรมได้มีการปิดห้องพักบางส่วนเพื่อ
ปรับปรุงโดยเชื่อว่าการปรับปรุงดังกล่าวจะสามารถเพิ่มรายได้
ให้กับโรงแรมมากขึ้นในระยะยาว
2ก.1.3) รายได้จากกิจการสปายังคงที่หลังจากเหตุการสึนามิ
บริษัทฯ มีรายได้จากกิจการสปาในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ
68.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 3.4 จาก
ไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา รายได้ที่เพิ่มขึ้นมีการปรับตัวต่ำกว่าที่คาดการไว้
เนื่องมาจากผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ อย่างไรก็ตามบริษัทฯคาดว่า
รายได้ของสถานบริการที่ภูเก็ตจะมีการปรับตัวในอัตราที่สูงขึ้นในช่วง
ครึ่งหลังของปี ส่วนกิจการสปาในประเทศจีนนั้นมีรายได้ที่ปรับตัว
สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา
2ก.1.4) รายได้จากการให้เช่าศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 16.4 %
รายได้จากการให้เช่าศูนย์การค้าสุทธิในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ
90.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 16.4
จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาทั้งนี้เนื่องมาจากบริษัทได้เปิดดำเนินการใน
ส่วนที่ปรับปรุงใหม่โดยมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2548
2ก.1.5) รายได้จากกิจการบันเทิงเพิ่มขึ้น 64.2 %
รายได้จากกิจการบันเทิงในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ 21.2 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2 ปีที่แล้ว จำนวน 8.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 64.2 จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปิดให้บริการ
ในส่วนที่ปิดปรับปรุงโดยเฉพาะ โกดังสยองขวัญ (Haunted
Adventure) และ มหัศจรรย์เขาวงกต (Infinity Mazy) ซึ่งได้รับความ
สนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
2ก.1.6) รายได้จากสิทธิแฟรนไชล์และรายได้อื่น
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทฯ มีรายได้อื่นๆที่นอกเหนือจาก
รายได้จากธุรกิจหลักจำนวน 112.5 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่
แล้วเพิ่มขึ้น 38.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 51.6 โดยส่วน
ใหญ่มาจากรายได้จากการขายแฟรนไชส์จำนวน 20 ล้านบาท และ
รายได้จากเงินปันผลจำนวน 12 ล้านบาท
2ก.2) ค่าใช้จ่าย
2ก.2.1) บริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มีต้นทุนขายและการ
ให้บริการรวมจำนวน 779.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.5 ล้านบาท หรือคิด
เป็นอัตราร้อยละ 22 จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาโดยมีรายละเอียดที่สำคัญ
แยกตามธุรกิจดังนี้
1. ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 25 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 หากวิเคราะห์เป็นร้อย
ละจากยอดขายจะพบว่าต้นทุนขายของบริษัทลดลงจากร้อยละ 37
ของยอดขายในไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นร้อยละ 34.4 หรือลดลงร้อย
ละ 2.6 ของยอดขาย เนื่องจากบริษัทเปลี่ยนแปลงการส่งเสริมการ
ขายจึงทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น และ กลุ่มบริษัทมีแนวทางในการ
บริหารต้นทุน ทั้งการจัดซื้อและการใช้วัตถุดิบ รวมถึงวัสดุ
สิ้นเปลืองอย่างมีประสิทธิภาพ ตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ใน
ขณะนี้
2. ต้นทุนส่วนของโรงแรมเพิ่มขึ้น 115 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547อย่างไรก็ตามเป็นการ
เพิ่มขึ้นในอัตราน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ซึ่งเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 69
3. ต้นทุนการให้เช่าศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 เนื่องจากการเปิด
ดำเนินการพื้นที่ส่วนที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งมีพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ
ส่วน Food Wave ซึ่งมีต้นทุนจากการขายเครื่องดื่ม รวมถึง
ค่าใช้จ่ายในส่วนพนักงานสูงขึ้น
4. ต้นทุนกิจการสปาเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 5
เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 จากการที่บริษัทได้เปิดสถาน
บริการ สปา ใหม่ 3 แห่งในปลายปี 2547 และต้นปี 2548 ได้แก่
ศาลาสมุย สมุยอนันตรา และ โฟร์ซีซั่นกรุงเทพ
2ก.2.2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหาร
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารของบริษัทฯ และบริษัทย่อย
สำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มีจำนวน 1,003.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.8 ล้าน
บาทจากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาหรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 32.1 การเพิ่มขึ้น
ดังกล่าวเป็นผลมาจาก
1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และบริหารของบริษัท เดอะ ไมเนอร์
ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของไตรมาส2 ปี 2548 เพิ่มขึ้นจำนวน 125
ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนสาขา
ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวข้างต้น
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารส่วนของโรงแรม เพิ่มขึ้น
123.8 ล้านบาทจากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากสาเหตุหลัก
ดังนี้
* การรวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการบริหารของ
โรงแรมโฟร์ซีซั่นกรุงเทพ และรวมค่าใช้จ่ายอีก50%ของ
โรงแรม เจดับบลิวแมริออท ภูเก็ต
* ค่าใช้จ่ายทางด้านบริหารงานและการตลาดที่เพิ่มขึ้น
จำนวน 51.8 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
รวมค่าใช้จ่ายของโรงแรม สมุย อนันตรา รีซอร์ท แอนด์
สปาที่เปิดดำเนินการในไตรมาส4ของปี2547
* ค่าใช้จ่ายทางการขายและบริหารรวมถึงค่าใช้จ่าย
เนื่องมาจากการเปิดกิจการสปาเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาท
* ค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับ
ยอดขายที่เพิ่มขึ้น
2ก.2.3) ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตร
มาส2 ปี 2548 มีจำนวน 287.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.1 ล้านบาทจากไตร
มาส2ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจาก
1. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นจำนวน 3.1 ล้านบาท
2. ค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากส่วนปรับปรุงอาคารเครื่องตกแต่งและ
ติดตั้งจากส่วนกิจการโรงแรมและศูนย์การค้า จำนวน 10.1 ล้าน
บาท
3. การรวมค่าเสื่อมราคาของ โรงแรม อนันตรา สมุยซึ่งเปิดดำเนินการ
ในไตรมาส 4 ปี2547 จำนวน 5.7 ล้านบาท
4. การรวมค่าเสื่อมราคาของ โรงแรม โฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ จำนวน
27.1 ล้านบาท
5. ค่าตัดจำหน่ายค่าความนิยมจากการซื้อเงินลงทุนในบริษัทโรงแรม
ราชดำริ จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นจำนวน 8.6ล้านบาท
6. ค่าเสื่อมราคาของโรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ตเพิ่มขึ้น 17.5 ล้าน
บาทเนื่องจากการรวมค่าเสื่อมราคาเต็มจำนวน (จากการเพิ่มสัดส่วน
การถือหุ้นเป็นร้อยละ 100 ตั้งแต่ตุลาคม 2547) ในขณะที่ปี 2547
บริษัทแสดงค่าเสื่อมราคาในงบการเงินรวมเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น
2ก.2.4) ดอกเบี้ยจ่าย
ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มี
จำนวน 64.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8 ล้านบาท จากปีก่อนเนื่องจากการ
เพิ่มขึ้นของเงินกู้ระยะยาวเพื่อการลงทุนในบริษัทย่อย เช่นลงทุนเพิ่มใน
โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และซื้อหุ้นเพิ่มอีก 50% ของบริษัท รอยัล
การ์เด้น ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม เจดับบลิว แมริ
ออท ภูเก็ต เป็นต้น
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทมีรายได้รวม 2,336.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ
31 และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิ 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้น
ในอัตราร้อยละ 60 และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.05 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อย
ละ 67 จากไตรมาส2 ปี 2547
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้รวม 4,972.5 ล้านบาทเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 32 และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 437.2
ล้านบาทเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 78 และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.17 บาทต่อหุ้น หรือ
เพิ่มขึ้นจาก 0.10 บาทต่อหุ้นหรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 70 จากช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี
ที่ผ่านมา ซึ่งมาจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ร้อยละ 32
3) การวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน ณ. วันที่ 30 มิถุนายน 2548
3.1) สินทรัพย์
บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 13,960 ล้านบาท ลดลงจาก ณ
วันที่ 31 ธันวาคม 2547 จำนวน 139.7 ล้านบาท หรือ ลดลงในอัตราร้อย
ละ 1 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
* เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นลดลง 246.7 ล้านบาทจากการ
จ่ายเงินปันผล
* ลูกหนี้การค้าลดลง 126.2 ล้านบาทเนื่องจากไม่ใช่ฤดูการ
ท่องเที่ยว (Low Season)
* ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์สุทธิ ลดลง 75 ล้านบาทเนื่องจาก
การปรับปรุงโรงแรมและศูนย์การค้า จำนวน 228.9 ล้านบาท
และจากการปรับปรุงร้านและขยายร้านของกลุ่ม MFG
จำนวน 306.6 ล้านบาท โดยมีการลดลงจากการตัดค่าเสื่อม
ราคา และตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 610.3 ล้านบาท
* สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible asset) เพิ่มขึ้น 63.5 ล้านบาท
ซึ่งเกิดจากค่าความนิยมจากการซื้อเงินลงทุนในบริษัท
โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 62.6 ล้านบาท โดยมี
การลดลงจากการตัดจำหน่าย สินทรัพย์ไม่มีตัวตน จำนวน
13.4 ล้านบาท
* เงินมัดจำเพื่อซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นจำนวน 50 ล้านบาท
* ที่ดินและโครงการระหว่างการพัฒนาเพิ่มขึ้น 123.7 ล้านบาท
จากลงทุนเพิ่มในโครงการเต้นท์แค้มป์ และสมุยโฟร์ซีซั่น
และในบริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน
13.9 ล้านบาท
3.2) หนี้สิน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวม 8,738.4
ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 จำนวน 313.9 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 4 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
* เพิ่มขึ้นสุทธิ 993.7 ล้านบาทจากการออกหุ้นกู้จำนวน 1,100
ล้านบาท และการจ่ายชำระคืนหนี้สินระยะสั้น และระยะยาว
629.7 ล้านบาท
* เจ้าหนี้การค้า ลดลงจำนวน 96.6 ล้านบาท
3.3) ส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 ลดลงจากณ วันที่ 31
ธันวาคม 2547 จำนวน 453.6 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 8 เนื่องมาจาก
* กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน ก่อนแบ่งให้ผู้ถือหุ้นส่วน
น้อยจำนวน 464.3 ล้านบาท
* การเพิ่มขึ้นของทุนที่ชำระแล้วจำนวน 260.8 ล้านบาท จาก
การออกหุ้นสามัญจำนวน242.5 ล้านหุ้น (จำนวนเงิน 242.5
ล้านบาท) เพื่อเป็นการจ่ายหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
และจากการออกหุ้นสามัญจำนวน 11.8 ล้านหุ้น (จำนวนเงิน
18.3 ล้านบาท) แก่ผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญจากใบสำคัญแสดง
สิทธิจำนวน 0.97 ล้านใบสำคัญแสดงสิทธิ
* การลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 651.2 ล้าน
บาทเนื่องจากการลงทุนเพิ่มในบริษัทโรงแรมราชดำริ จำกัด
(มหาชน) และบริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
* การเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 8.3 ล้าน
บาทเนื่องจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มของบริษัท เดอะไมเนอร์
ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
* การลดลงสุทธิของกำไรสะสมจำนวน 107.7 ล้านบาทมาจาก
การจ่ายเงินปันผล และหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
และบริษัทย่อยจำนวน 532.6 ล้านบาท จากการสำรองตาม
กฎหมายจำนวน 35.6 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิของ
ผลประกอบการในครึ่งปีแรกจำนวน 464.2 ล้านบาท
งบกระแสเงินสด
ในครึ่งปีแรกของ ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้มาและใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
* มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิจำนวน 781 ล้านบาท จากรายการสำคัญๆดังนี้
- เพิ่มขึ้นจำนวน 437 ล้านบาทจากกำไรสุทธิของผลการดำเนินงาน
ในไตรมาส 2 ปี 2548
- ค่าเสื่อมราคา และ ค่าตัดจำหน่าย จำนวน 568 ล้านบาท และจาก
การปรับปรุงรายการที่มิใช่เงินสดอื่นๆ จำนวน 53 ล้านบาท
- จากการลดลงของลูกหนี้การค้า 127 ล้านบาท
- จาการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินหมุนเวียนอื่นๆ 234 ล้านบาทโดยส่วน
ใหญ่มาจากเงินจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้างสำหรับโครงการที่อยู่
ระหว่างการก่อสร้าง
- จากการลดลงของเจ้าหนี้การค้า เนื่องจากไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว (Low
Season) และการจ่ายชำระหนี้ค่าก่อสร้าง ทำให้ ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
และหนี้สินหมุนเวียนอื่นรวมลดลง 170 ล้านบาท
* กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 1,237 ล้านบาท โดยมีรายการที่สำคัญๆ
ดังนี้
- เงินสดใช้ไปในการขยายงานเพื่อปรับปรุงโรงแรม ซื้อที่ดิน อาคาร และ
โครงการระหว่างการพัฒนา 603 ล้านบาท (จากโครงการสมุยอนันตรา โครงการสมุยโฟร์
ซีซั่น โครงการเต้นท์แค้มป์ ที่จังหวัดเชียงราย และค่าบำรุงและซ่อมแซมตามปกติของ
โรงแรมอื่นๆ จำนวน 397 ล้านบาท และจากการปรับปรุงและขยายร้านของธุรกิจกลุ่ม
อาหารจำนวน 206 ล้านบาท)
- เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุนเพิ่มใน บริษัท โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน)
จำนวน 721 ล้านบาท
- เงินสดจากการรับชำระหนี้เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน 89 ล้าน
บาท
* กระแสเงินสดได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 183 ล้านบาท มีรายการที่สำคัญๆ
ดังนี้
- เงินสดรับจากการออกหุ้นสามัญของบริษัทและบริษัทย่อยรวมจำนวน 19.8 ล้าน
บาท
- เงินสดรับสุทธิจากเงินกู้ระยะสั้นและเงินกู้ระยะยาว และการออกหุ้นกู้ จำนวน 476
ล้านบาท
- จ่ายเงินปันผลจำนวน 291 ล้านบาท
- การจ่ายชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงิน 8.8 ล้านบาท และเจ้าหนี้บริษัทที่
เกี่ยวข้องกัน 4.8 ล้านบาท
* ในหกเดือนแรกของ ปี 2548 กระแสเงินสดลดลงสุทธิ 273 ล้านบาท
ตารางสรุปอัตราส่วนทางการเงิน
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ความสามารถในการทำกำไร ใน 6 เดือนแรก
อัตรากำไรขั้นต้น (%) 66.2% 64.6%
อัตรากำไรสุทธิ (%) 8.8% 6.5%
อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (%) 8.02% 5.6%
30 มิ.ย. 2548 31 ธ.ค. 2547
ความสามารถในการดำรงสภาพคล่อง
สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน (เท่า) 0.64 0.70
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (วัน) (ไตรมาส 2) 15 12
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ความมีประสิทธิผลของการใช้สินทรัพย์ ใน 6 เดือนแรก
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (%) 3.1% 2.3%
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
นโยบายทางการเงิน
อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (เท่า)
(ใน 6 เดือนแรก) 7.80 8.27
30 มิ.ย. 2548 31 ธ.ค. 2547
อัตราส่วนหนี้สินรวม /ส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 1.67 1.48
อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 1.32 1.13
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
จากการรวมงบการเงินของ โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) รวมยอดขายเต็ม
จำนวนของ บริษัท รอยัลการ์เด้นท์ ดีเวลลอปเม้นท์ และยอดขายของ โรงแรม สมุยอนันตรา
ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่เริ่มเปิดดำเนินการในปลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่
ดีขึ้นจากครึ่งปี2547โดยเฉพาะอัตรากำไรสุทธิและผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นซึ่งเพิ่มจากเดิม
เป็นอย่างมาก เป็นผลจากการที่บริษัทฯเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโรงแรมราชดำริ และ
โรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต ซึ่งธุรกิจโรงแรมสามารถให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูง
การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากเป็นการลงทุน
ภายใต้โครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมจึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทมีสภาพคล่องลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี
2547 สังเกตุได้จากการลดลงของอัตราส่วนหมุนเวียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯได้มี
การจ่ายเงินปันผลของงวดการดำเนินงานในปี 2547 เป็นผลให้เงินสดลดลง ในไตรมาส 2
ปี 2548 ระยะเวลาเรียกเก็บหนี้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจาก
ยอดขายส่วนธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทั้งนี้คาดว่าระยะเวลาเรียกเก็บหนี้จะลดลง
จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานภายหลังการควบรวมกิจการ ในส่วนของ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เพิ่มขึ้นแม้ว่าประสิทธิผลของการใช้สินทรัพย์ยังไม่ได้
แสดงผลที่แท้จริงเนื่องจากบริษัทฯมีการลงทุนในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็
ตามผลตอบแทนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการรับรู้ผลการดำเนินงานอย่างเต็มที่ของ
โรงแรมที่เปิดใหม่ ในส่วนของนโยบายทางการเงินนี้บริษัทมีอัตราความสามารถในการ
ชำระดอกเบี้ยลดลงเล็กน้อย และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องมาจาก
การเพิ่มขึ้นของหุ้นกู้และเงินกู้ระยะยาวเพื่อลงทุนเพิ่ม ในธุรกิจโรงแรม และธุรกิจสปาซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ
ลงชื่อ
_________________________
ปรารถนา มโนมัยพิบูลย์
กรรมการ
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3)
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
ปี 2548 2547 2548 2547
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 136,731 85,374 437,179 245,441
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.05 0.03 0.17 0.10
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต
คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2548
การดำเนินงานและฐานะการเงินที่ผ่านมา
1.) ภาพรวม
สภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตที่ชะลอตัวลง อันเป็นผล
สืบเนื่องจากผลกระทบของราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความแห้ง
แล้ง ทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีความระมัดระวังมากขึ้นอย่างไรก็ตามกลุ่ม
ธุรกิจของบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร ได้รับ
ผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่น จึงเห็นได้ว่ากลุ่มบริษัท ยังคงมี
อัตราการเติบโตขึ้นค่อนข้างสูงในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 นอกจากนี้ผลการเติบโตยังสืบ
เนื่องมาจากงบการเงินรวมของบริษัทฯได้รวมผลการดำเนินงานทั้งหมด ของโรงแรม เจ
ดับบลิวแมริออท ภูเก็ต โรงแรม โฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และโรงแรม อนันตรา สมุย ซึ่งเป็นผล
มาจากการขยายธุรกิจด้านโรงแรมของบริษัทฯ
ในไตรมาส2 ปี 2548 ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตขึ้นร้อยละ 60.2 เมื่อ
เทียบกับปีที่ผ่านมาโดยบริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 85.4 ล้าน
บาทในปีที่ผ่านมา โดยจำนวน 79.9 ล้านบาทเป็นกำไรที่ได้รับจากธุรกิจกลุ่มอาหาร (MFG)
(ซึ่งเป็นกำไรสุทธิหลังจากปรับปรุงหักค่าความนิยม และดอกเบี้ยจ่ายเพื่อการลงทุนใน
MFG ออกแล้ว) ขณะเดียวกันกำไรสุทธิจากกลุ่มโรงแรม และบริการอื่นเป็นจำนวน 56.8
ล้านบาท
รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯใน
อนาคต เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีดังต่อไปนี้
1.1) ในไตรมาส2 ปี 2548 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของบริษัทฯ มีการเติบโต
อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนสาขา และการเพิ่มขึ้น
ของแฟรนชายส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี
2548 กลุ่มบริษัท ได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้น 68 สาขาโดยแบ่งเป็นในประเทศ
จำนวน 54 สาขา และต่างประเทศ จำนวน 14 สาขา นับตั้งแต่สิ้นไตรมาส
2 ปี 2547
1.2) ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทฯเพิ่มทุนจำนวน 254.3 ล้านหุ้นมูลค่า 260.8
ล้านบาท โดยการเพิ่มทุนจำนวน 242.5 ล้านบาท เป็นการออกหุ้นสามัญ
จำนวน 242.5 ล้านหุ้นเพื่อจ่ายหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และการเพิ่มทุน
จำนวน 18.3 ล้านบาทเป็นการออกหุ้นสามัญจำนวน 11.8 ล้านหุ้น จาก
การมีผู้มาใช้สิทธิในใบแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญจำนวน 0.97 ล้านใบแสดง
สิทธิ
1.3) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ย้ายจากหมวดโรงแรมและบริการ
การท่องเที่ยวภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มาเป็นหมวดอาหารและ
เครื่องดื่ม ภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1
กรกฎาคม 2548
2.) วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
ก) ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับไตรมาส2 ปี 2548 บริษัท
มีกำไร 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวน 51.3 ล้านบาท หรือ 60.2%
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2ก.1 รายได้
2ก.1.1) รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดี่มขยาย ตัว 14%
บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 1,215.7 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 152.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 14 โดยมีสาเหตุ
หลักมาจากการขยายจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าถึง 74
สาขา ซึ่งรวมแฟรนชายส์ในประเทศ จำนวน 26 สาขา และแฟรนชายส์
ต่างประเทศ จำนวน 13 สาขา โดยมีรายได้จำแนกตามสินค้าหลักดังนี้
1) บริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีรายได้ จาก
การขายพิซซ่าภายใต้เครื่องหมายการค้า The Pizza
Company เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เป็นผลมาจาก การเปิดสาขาที่
เพิ่มขึ้นและการเพิ่มความหลากหลายในรายการอาหาร ซึ่ง
รายได้จาก The Pizza Company ยังคงเป็นรายได้หลักใน
ธุรกิจ อาหาร และ เครื่องดื่ม ของกลุ่มบริษัท
2) บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการไอศกรีมพรีเมี่ยม
ภายใต้เครื่องหมายการค้า Swensens มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 19.2 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนสาขาอีก 7
สาขาจากไตรมาส 2 ปี 2547
3) บริษัท เอส เอล อาร์ ที จำกัด ผู้ให้บริการภัตตาคารสเต๊ก ซีฟู้ด
และสลัด ภายใต้เครื่องหมายการค้า Sizzler มีรายได้เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 16.4 ซึ่งการขยายตัวของยอดขาย เป็นผลเนื่องจากการ
เพิ่มจำนวนสาขาเป็น 26 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 4 สาขาจากไตร
มาส 2 ปี 2547
4) บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด ผู้ให้บริการคิออสไอศกรีม
ประเภทซอฟท์เซิร์ฟภายใต้เครื่องหมายการค้า Dairy
Queen มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 จากการขยายสาขา
เพิ่มขึ้น 12 แห่งเป็น 168 แห่ง และจากการเพิ่มความ
หลากหลายของอาหาร และเครื่องดื่มโดยเฉพาะสินค้าใหม่
Moolatte ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
5) บริษัท เบอร์เกอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการร้านอาหาร
ประเภทแฮมเบอร์เกอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Burger
King มีรายได้ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากสาขาที่เอ็มโพเรี่ยม ได้
ปิดเป็นการชั่วคราว
6) รายได้จากการขายแฟรนชายส์ในไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน
28 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว 20 ล้านบาท
เนื่องจากการขยายแฟรนชายส์ ทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นแฟรนชายส์ใน
ประเทศ 45 แห่งและแฟรนชายส์ต่างประเทศ 17 แห่ง
2ก.1.2) รายได้จากกิจการโรงแรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 68.6%
รายได้จากกิจการโรงแรม ในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ 828.3 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมาจำนวน 337 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 69 โดยสาเหตุหลักมาจากการรวมผลการ
ดำเนินงานของโรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) และรวมรายได้เต็ม
จำนวนของโรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต ในงบการเงินรวมในไตร
มาส2 ปี 2548 รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมของบริษัทดังต่อไปนี้
โรงแรมในกลุ่มแมริออทมีผลประกอบการดังนี้
1. โรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ตในไตรมาส2 ปี 2548 มีรายได้
142.3 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจาก 144.4 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่
ผ่านมาหรือลดลงในอัตราร้อยละ 1.5 เนื่องมาจากอัตราการเข้าพัก
ลดลงจากร้อยละ 76.6 ในไตรมาส2 ปี 2547 เป็นร้อยละ 65.0 ใน
ไตรมาส2 ปี 2548 จากเหตุการณ์สึนามิในปลายปี 2547 อย่างไรก็
ตามบริษัทยังสามารถคงการเพิ่มขึ้นของราคาห้องพักเฉลี่ยโดยใน
ไตรมาส2 ปี 2548ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 4,886 บาทต่อคืน
จาก 3,578 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2547 และนอกจากนี้ในไตร
มาส2 ปี 2548 บริษัทฯ ได้รวมรายได้ดังกล่าวทั้งหมดเต็มจำนวน
ในงบการเงินรวม เนื่องจากบริษัทฯได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น
ร้อยละ 100 ในขณะที่ไตรมาส2 ปี 2547 บริษัทแสดงรายได้ในงบ
การเงินรวมเพียง ร้อยละ 50
2. โรงแรมกรุงเทพ แมริออท รีซอร์ทแอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
202.0 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 162.9 ล้านบาทในไตร
มาส2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้น อัตราร้อยละ 24.0 เนื่องมาจากอัตรา
การเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 82.7 จาก ร้อยละ 75.2 และราคา
ห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3,014 บาทต่อคืนจาก 2,636 บาทต่อคืน
3. โรงแรมหัวหินแมริออท รีซอร์ท แอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
56.4 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 49.3 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 14.4 เนื่องมาจากอัตราการเข้า
พักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 63.2 จาก ร้อยละ 57.4 และราคาห้องพัก
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2,686 บาท ต่อคืน จาก 2,629 บาทต่อคืน
4. โรงแรมพัทยาแมริออท รีซอร์ท แอนด์สปา มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
96.5 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 89.4 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 8.0 เนื่องมาจากราคาห้องพัก
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2,921 บาท ต่อคืน จาก 2,701 บาทต่อคืน และ
อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 76.6 ในไตรมาส2 ปี 2548 จาก
ร้อยละ 72.3ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
โรงแรมในกลุ่มอนันตรามีผลประกอบการที่โดดเด่นดังนี้
5. โรงแรมอนันตรา รีสอร์ท แอนด์สปา หัวหิน มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
55.3 ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 42.4 ล้านบาทในไตรมาส
2ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 30 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของ
อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 63.5 ในไตรมาส2 ปี 2548จาก
ร้อยละ 46.4 ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
6. โรงแรมอนันตรา โกลเด้นแทรแองเกิ้ล มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 17.9
ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 15 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่
ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 19 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตรา
การเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25.3 ในไตรมาส2 ปี 2548จากร้อยละ
21.7 ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
เป็น 3,834 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 3,499 บาทต่อคืน
ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
7. โรงแรมอนันตราสมุย เป็นโรงแรมเปิดใหม่เริ่มเปิดดำเนินการใน
เดือนพฤศจิกายนปี 2547 สามารถสร้างรายได้จำนวน 23 ล้านบาท
ในไตรมาส2 ปี 2548
โรงแรมในกลุ่มโฟร์ซีซั่นก็มีผลประกอบการดังรายละเอียดต่อไปนี้
8. โรงแรมโฟร์ซีซั่น รีสอร์ท เชียงใหม่ในไตรมาส2 ปี 2548 มีรายได้
63.7 ล้านบาทลดลงจาก 72 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา หรือ
ลดลงในอัตราร้อยละ 11 เนื่องมาจากอัตราการเข้าพักลดลงเหลือ
ร้อยละ 43.7 ในไตรมาส2 ปี 2548 ลดลงจากร้อยละ 55.3 ในไตร
มาส2ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามราคาห้องพักเฉลี่ยได้มีการปรับ
เพิ่มขึ้นเป็น 9,847 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 8,929 บาท
ต่อคืนในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
9. บริษัทได้รวมรายได้ของโรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯในไตรมาส2
ปี 2548 เข้าในงบการเงินรวมของบริษัทจำนวน 185.9 ล้านบาท ซึ่ง
โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ มีราคาห้องพักเฉลี่ย 5,541 บาทใน
ไตรมาส2 ปี 2548 เพิ่มขึ้นจาก 4,777 บาทในไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาโรงแรมได้มีการปิดห้องพักบางส่วนเพื่อ
ปรับปรุงโดยเชื่อว่าการปรับปรุงดังกล่าวจะสามารถเพิ่มรายได้
ให้กับโรงแรมมากขึ้นในระยะยาว
2ก.1.3) รายได้จากกิจการสปายังคงที่หลังจากเหตุการสึนามิ
บริษัทฯ มีรายได้จากกิจการสปาในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ
68.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 3.4 จาก
ไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา รายได้ที่เพิ่มขึ้นมีการปรับตัวต่ำกว่าที่คาดการไว้
เนื่องมาจากผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ อย่างไรก็ตามบริษัทฯคาดว่า
รายได้ของสถานบริการที่ภูเก็ตจะมีการปรับตัวในอัตราที่สูงขึ้นในช่วง
ครึ่งหลังของปี ส่วนกิจการสปาในประเทศจีนนั้นมีรายได้ที่ปรับตัว
สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา
2ก.1.4) รายได้จากการให้เช่าศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 16.4 %
รายได้จากการให้เช่าศูนย์การค้าสุทธิในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ
90.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 16.4
จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาทั้งนี้เนื่องมาจากบริษัทได้เปิดดำเนินการใน
ส่วนที่ปรับปรุงใหม่โดยมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2548
2ก.1.5) รายได้จากกิจการบันเทิงเพิ่มขึ้น 64.2 %
รายได้จากกิจการบันเทิงในไตรมาส2 ปี 2548 เท่ากับ 21.2 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2 ปีที่แล้ว จำนวน 8.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 64.2 จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปิดให้บริการ
ในส่วนที่ปิดปรับปรุงโดยเฉพาะ โกดังสยองขวัญ (Haunted
Adventure) และ มหัศจรรย์เขาวงกต (Infinity Mazy) ซึ่งได้รับความ
สนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
2ก.1.6) รายได้จากสิทธิแฟรนไชล์และรายได้อื่น
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทฯ มีรายได้อื่นๆที่นอกเหนือจาก
รายได้จากธุรกิจหลักจำนวน 112.5 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่
แล้วเพิ่มขึ้น 38.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 51.6 โดยส่วน
ใหญ่มาจากรายได้จากการขายแฟรนไชส์จำนวน 20 ล้านบาท และ
รายได้จากเงินปันผลจำนวน 12 ล้านบาท
2ก.2) ค่าใช้จ่าย
2ก.2.1) บริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มีต้นทุนขายและการ
ให้บริการรวมจำนวน 779.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.5 ล้านบาท หรือคิด
เป็นอัตราร้อยละ 22 จากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาโดยมีรายละเอียดที่สำคัญ
แยกตามธุรกิจดังนี้
1. ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 25 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 หากวิเคราะห์เป็นร้อย
ละจากยอดขายจะพบว่าต้นทุนขายของบริษัทลดลงจากร้อยละ 37
ของยอดขายในไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นร้อยละ 34.4 หรือลดลงร้อย
ละ 2.6 ของยอดขาย เนื่องจากบริษัทเปลี่ยนแปลงการส่งเสริมการ
ขายจึงทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น และ กลุ่มบริษัทมีแนวทางในการ
บริหารต้นทุน ทั้งการจัดซื้อและการใช้วัตถุดิบ รวมถึงวัสดุ
สิ้นเปลืองอย่างมีประสิทธิภาพ ตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ใน
ขณะนี้
2. ต้นทุนส่วนของโรงแรมเพิ่มขึ้น 115 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547อย่างไรก็ตามเป็นการ
เพิ่มขึ้นในอัตราน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ซึ่งเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 69
3. ต้นทุนการให้เช่าศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตรา
ร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 เนื่องจากการเปิด
ดำเนินการพื้นที่ส่วนที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งมีพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ
ส่วน Food Wave ซึ่งมีต้นทุนจากการขายเครื่องดื่ม รวมถึง
ค่าใช้จ่ายในส่วนพนักงานสูงขึ้น
4. ต้นทุนกิจการสปาเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 5
เมื่อเทียบกับไตรมาส2 ปี 2547 จากการที่บริษัทได้เปิดสถาน
บริการ สปา ใหม่ 3 แห่งในปลายปี 2547 และต้นปี 2548 ได้แก่
ศาลาสมุย สมุยอนันตรา และ โฟร์ซีซั่นกรุงเทพ
2ก.2.2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหาร
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารของบริษัทฯ และบริษัทย่อย
สำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มีจำนวน 1,003.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.8 ล้าน
บาทจากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาหรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 32.1 การเพิ่มขึ้น
ดังกล่าวเป็นผลมาจาก
1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และบริหารของบริษัท เดอะ ไมเนอร์
ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของไตรมาส2 ปี 2548 เพิ่มขึ้นจำนวน 125
ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนสาขา
ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวข้างต้น
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารส่วนของโรงแรม เพิ่มขึ้น
123.8 ล้านบาทจากไตรมาส2 ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากสาเหตุหลัก
ดังนี้
* การรวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการบริหารของ
โรงแรมโฟร์ซีซั่นกรุงเทพ และรวมค่าใช้จ่ายอีก50%ของ
โรงแรม เจดับบลิวแมริออท ภูเก็ต
* ค่าใช้จ่ายทางด้านบริหารงานและการตลาดที่เพิ่มขึ้น
จำนวน 51.8 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
รวมค่าใช้จ่ายของโรงแรม สมุย อนันตรา รีซอร์ท แอนด์
สปาที่เปิดดำเนินการในไตรมาส4ของปี2547
* ค่าใช้จ่ายทางการขายและบริหารรวมถึงค่าใช้จ่าย
เนื่องมาจากการเปิดกิจการสปาเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาท
* ค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับ
ยอดขายที่เพิ่มขึ้น
2ก.2.3) ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตร
มาส2 ปี 2548 มีจำนวน 287.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.1 ล้านบาทจากไตร
มาส2ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจาก
1. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นจำนวน 3.1 ล้านบาท
2. ค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากส่วนปรับปรุงอาคารเครื่องตกแต่งและ
ติดตั้งจากส่วนกิจการโรงแรมและศูนย์การค้า จำนวน 10.1 ล้าน
บาท
3. การรวมค่าเสื่อมราคาของ โรงแรม อนันตรา สมุยซึ่งเปิดดำเนินการ
ในไตรมาส 4 ปี2547 จำนวน 5.7 ล้านบาท
4. การรวมค่าเสื่อมราคาของ โรงแรม โฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ จำนวน
27.1 ล้านบาท
5. ค่าตัดจำหน่ายค่าความนิยมจากการซื้อเงินลงทุนในบริษัทโรงแรม
ราชดำริ จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นจำนวน 8.6ล้านบาท
6. ค่าเสื่อมราคาของโรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ตเพิ่มขึ้น 17.5 ล้าน
บาทเนื่องจากการรวมค่าเสื่อมราคาเต็มจำนวน (จากการเพิ่มสัดส่วน
การถือหุ้นเป็นร้อยละ 100 ตั้งแต่ตุลาคม 2547) ในขณะที่ปี 2547
บริษัทแสดงค่าเสื่อมราคาในงบการเงินรวมเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น
2ก.2.4) ดอกเบี้ยจ่าย
ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส2 ปี 2548 มี
จำนวน 64.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8 ล้านบาท จากปีก่อนเนื่องจากการ
เพิ่มขึ้นของเงินกู้ระยะยาวเพื่อการลงทุนในบริษัทย่อย เช่นลงทุนเพิ่มใน
โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และซื้อหุ้นเพิ่มอีก 50% ของบริษัท รอยัล
การ์เด้น ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม เจดับบลิว แมริ
ออท ภูเก็ต เป็นต้น
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทมีรายได้รวม 2,336.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ
31 และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิ 136.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้น
ในอัตราร้อยละ 60 และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.05 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อย
ละ 67 จากไตรมาส2 ปี 2547
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้รวม 4,972.5 ล้านบาทเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ 32 และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 437.2
ล้านบาทเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 78 และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.17 บาทต่อหุ้น หรือ
เพิ่มขึ้นจาก 0.10 บาทต่อหุ้นหรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 70 จากช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี
ที่ผ่านมา ซึ่งมาจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ร้อยละ 32
3) การวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน ณ. วันที่ 30 มิถุนายน 2548
3.1) สินทรัพย์
บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 13,960 ล้านบาท ลดลงจาก ณ
วันที่ 31 ธันวาคม 2547 จำนวน 139.7 ล้านบาท หรือ ลดลงในอัตราร้อย
ละ 1 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
* เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นลดลง 246.7 ล้านบาทจากการ
จ่ายเงินปันผล
* ลูกหนี้การค้าลดลง 126.2 ล้านบาทเนื่องจากไม่ใช่ฤดูการ
ท่องเที่ยว (Low Season)
* ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์สุทธิ ลดลง 75 ล้านบาทเนื่องจาก
การปรับปรุงโรงแรมและศูนย์การค้า จำนวน 228.9 ล้านบาท
และจากการปรับปรุงร้านและขยายร้านของกลุ่ม MFG
จำนวน 306.6 ล้านบาท โดยมีการลดลงจากการตัดค่าเสื่อม
ราคา และตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 610.3 ล้านบาท
* สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible asset) เพิ่มขึ้น 63.5 ล้านบาท
ซึ่งเกิดจากค่าความนิยมจากการซื้อเงินลงทุนในบริษัท
โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 62.6 ล้านบาท โดยมี
การลดลงจากการตัดจำหน่าย สินทรัพย์ไม่มีตัวตน จำนวน
13.4 ล้านบาท
* เงินมัดจำเพื่อซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นจำนวน 50 ล้านบาท
* ที่ดินและโครงการระหว่างการพัฒนาเพิ่มขึ้น 123.7 ล้านบาท
จากลงทุนเพิ่มในโครงการเต้นท์แค้มป์ และสมุยโฟร์ซีซั่น
และในบริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน
13.9 ล้านบาท
3.2) หนี้สิน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวม 8,738.4
ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 จำนวน 313.9 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 4 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
* เพิ่มขึ้นสุทธิ 993.7 ล้านบาทจากการออกหุ้นกู้จำนวน 1,100
ล้านบาท และการจ่ายชำระคืนหนี้สินระยะสั้น และระยะยาว
629.7 ล้านบาท
* เจ้าหนี้การค้า ลดลงจำนวน 96.6 ล้านบาท
3.3) ส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 ลดลงจากณ วันที่ 31
ธันวาคม 2547 จำนวน 453.6 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 8 เนื่องมาจาก
* กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน ก่อนแบ่งให้ผู้ถือหุ้นส่วน
น้อยจำนวน 464.3 ล้านบาท
* การเพิ่มขึ้นของทุนที่ชำระแล้วจำนวน 260.8 ล้านบาท จาก
การออกหุ้นสามัญจำนวน242.5 ล้านหุ้น (จำนวนเงิน 242.5
ล้านบาท) เพื่อเป็นการจ่ายหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
และจากการออกหุ้นสามัญจำนวน 11.8 ล้านหุ้น (จำนวนเงิน
18.3 ล้านบาท) แก่ผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญจากใบสำคัญแสดง
สิทธิจำนวน 0.97 ล้านใบสำคัญแสดงสิทธิ
* การลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 651.2 ล้าน
บาทเนื่องจากการลงทุนเพิ่มในบริษัทโรงแรมราชดำริ จำกัด
(มหาชน) และบริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
* การเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 8.3 ล้าน
บาทเนื่องจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มของบริษัท เดอะไมเนอร์
ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
* การลดลงสุทธิของกำไรสะสมจำนวน 107.7 ล้านบาทมาจาก
การจ่ายเงินปันผล และหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
และบริษัทย่อยจำนวน 532.6 ล้านบาท จากการสำรองตาม
กฎหมายจำนวน 35.6 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิของ
ผลประกอบการในครึ่งปีแรกจำนวน 464.2 ล้านบาท
งบกระแสเงินสด
ในครึ่งปีแรกของ ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้มาและใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
* มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิจำนวน 781 ล้านบาท จากรายการสำคัญๆดังนี้
- เพิ่มขึ้นจำนวน 437 ล้านบาทจากกำไรสุทธิของผลการดำเนินงาน
ในไตรมาส 2 ปี 2548
- ค่าเสื่อมราคา และ ค่าตัดจำหน่าย จำนวน 568 ล้านบาท และจาก
การปรับปรุงรายการที่มิใช่เงินสดอื่นๆ จำนวน 53 ล้านบาท
- จากการลดลงของลูกหนี้การค้า 127 ล้านบาท
- จาการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินหมุนเวียนอื่นๆ 234 ล้านบาทโดยส่วน
ใหญ่มาจากเงินจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้างสำหรับโครงการที่อยู่
ระหว่างการก่อสร้าง
- จากการลดลงของเจ้าหนี้การค้า เนื่องจากไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว (Low
Season) และการจ่ายชำระหนี้ค่าก่อสร้าง ทำให้ ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
และหนี้สินหมุนเวียนอื่นรวมลดลง 170 ล้านบาท
* กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 1,237 ล้านบาท โดยมีรายการที่สำคัญๆ
ดังนี้
- เงินสดใช้ไปในการขยายงานเพื่อปรับปรุงโรงแรม ซื้อที่ดิน อาคาร และ
โครงการระหว่างการพัฒนา 603 ล้านบาท (จากโครงการสมุยอนันตรา โครงการสมุยโฟร์
ซีซั่น โครงการเต้นท์แค้มป์ ที่จังหวัดเชียงราย และค่าบำรุงและซ่อมแซมตามปกติของ
โรงแรมอื่นๆ จำนวน 397 ล้านบาท และจากการปรับปรุงและขยายร้านของธุรกิจกลุ่ม
อาหารจำนวน 206 ล้านบาท)
- เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุนเพิ่มใน บริษัท โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน)
จำนวน 721 ล้านบาท
- เงินสดจากการรับชำระหนี้เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน 89 ล้าน
บาท
* กระแสเงินสดได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 183 ล้านบาท มีรายการที่สำคัญๆ
ดังนี้
- เงินสดรับจากการออกหุ้นสามัญของบริษัทและบริษัทย่อยรวมจำนวน 19.8 ล้าน
บาท
- เงินสดรับสุทธิจากเงินกู้ระยะสั้นและเงินกู้ระยะยาว และการออกหุ้นกู้ จำนวน 476
ล้านบาท
- จ่ายเงินปันผลจำนวน 291 ล้านบาท
- การจ่ายชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงิน 8.8 ล้านบาท และเจ้าหนี้บริษัทที่
เกี่ยวข้องกัน 4.8 ล้านบาท
* ในหกเดือนแรกของ ปี 2548 กระแสเงินสดลดลงสุทธิ 273 ล้านบาท
ตารางสรุปอัตราส่วนทางการเงิน
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ความสามารถในการทำกำไร ใน 6 เดือนแรก
อัตรากำไรขั้นต้น (%) 66.2% 64.6%
อัตรากำไรสุทธิ (%) 8.8% 6.5%
อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (%) 8.02% 5.6%
30 มิ.ย. 2548 31 ธ.ค. 2547
ความสามารถในการดำรงสภาพคล่อง
สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน (เท่า) 0.64 0.70
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (วัน) (ไตรมาส 2) 15 12
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
ความมีประสิทธิผลของการใช้สินทรัพย์ ใน 6 เดือนแรก
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (%) 3.1% 2.3%
30 มิ.ย. 2548 30 มิ.ย. 2547
นโยบายทางการเงิน
อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (เท่า)
(ใน 6 เดือนแรก) 7.80 8.27
30 มิ.ย. 2548 31 ธ.ค. 2547
อัตราส่วนหนี้สินรวม /ส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 1.67 1.48
อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) 1.32 1.13
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
จากการรวมงบการเงินของ โรงแรมราชดำริ จำกัด (มหาชน) รวมยอดขายเต็ม
จำนวนของ บริษัท รอยัลการ์เด้นท์ ดีเวลลอปเม้นท์ และยอดขายของ โรงแรม สมุยอนันตรา
ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่เริ่มเปิดดำเนินการในปลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่
ดีขึ้นจากครึ่งปี2547โดยเฉพาะอัตรากำไรสุทธิและผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นซึ่งเพิ่มจากเดิม
เป็นอย่างมาก เป็นผลจากการที่บริษัทฯเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโรงแรมราชดำริ และ
โรงแรมเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต ซึ่งธุรกิจโรงแรมสามารถให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูง
การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากเป็นการลงทุน
ภายใต้โครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมจึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในไตรมาส2 ปี 2548 บริษัทมีสภาพคล่องลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี
2547 สังเกตุได้จากการลดลงของอัตราส่วนหมุนเวียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯได้มี
การจ่ายเงินปันผลของงวดการดำเนินงานในปี 2547 เป็นผลให้เงินสดลดลง ในไตรมาส 2
ปี 2548 ระยะเวลาเรียกเก็บหนี้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจาก
ยอดขายส่วนธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทั้งนี้คาดว่าระยะเวลาเรียกเก็บหนี้จะลดลง
จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานภายหลังการควบรวมกิจการ ในส่วนของ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เพิ่มขึ้นแม้ว่าประสิทธิผลของการใช้สินทรัพย์ยังไม่ได้
แสดงผลที่แท้จริงเนื่องจากบริษัทฯมีการลงทุนในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็
ตามผลตอบแทนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการรับรู้ผลการดำเนินงานอย่างเต็มที่ของ
โรงแรมที่เปิดใหม่ ในส่วนของนโยบายทางการเงินนี้บริษัทมีอัตราความสามารถในการ
ชำระดอกเบี้ยลดลงเล็กน้อย และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องมาจาก
การเพิ่มขึ้นของหุ้นกู้และเงินกู้ระยะยาวเพื่อลงทุนเพิ่ม ในธุรกิจโรงแรม และธุรกิจสปาซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ
ลงชื่อ
_________________________
ปรารถนา มโนมัยพิบูลย์
กรรมการ
- pong
- Verified User
- โพสต์: 356
- ผู้ติดตาม: 0
เดี๋ยวน้องมินท์จะน้อยใจ
โพสต์ที่ 2
6. โรงแรมอนันตรา โกลเด้นแทรแองเกิ้ล มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 17.9
ล้านบาทในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 15 ล้านบาทในไตรมาส2ปีที่
ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 19 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตรา
การเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25.3 ในไตรมาส2 ปี 2548จากร้อยละ
21.7 ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
เป็น 3,834 บาทต่อคืนในไตรมาส2 ปี 2548 จาก 3,499 บาทต่อคืน
ในไตรมาส2ปีที่ผ่านมา
ทำไมคนพักน้อยจังเลย สงสัยต้องไปอุดหนุนแล้ว

-
- Verified User
- โพสต์: 249
- ผู้ติดตาม: 0
เดี๋ยวน้องมินท์จะน้อยใจ
โพสต์ที่ 3
ผมงงจังครับ ผมดูข้อมูลที่ผมเก็บไว้ปีที่แล้ว กะข้อมูลของพี่ครรชิต Q2/47, EPS=0.04 ไม่ใช่เหรอ? ทำไมรายงานบริษัท EPS Q2/47 กลายเป็น 0.03 ล่ะ ปรับตัวเลขอะไรรึป่าวครับ ถ้า EPS=0.04 Growth EPS05/04 ก็แค่ 25% แต่ถ้าเป็น 0.03 ก็โตตั้ง 67% (EPSQ2/05=0.05):shock: