ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 1
เป็นที่ถกเถียงกันในเวบนี้บ่อยครั้ง เรื่องจำนวนหุ้นที่จะลงทุน
หลายคนในนี้ มีความเห็นว่า การลงทุนในจำนวนน้อยบริษัท แต่เราเข้าใจบริษัทนั้นอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นการลดความเสี่ยง
ส่วนการลงทุนกระจายในหลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง
ดังนั้น พอร์ตผม ซึ่งถือ WG เพียงบริษัทเดียว ที่ผมดูมานาน ถือได้ว่าเป็นการลดความเสี่ยง
แล้ว WG ขายเคมีภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าหลายกุล่มอุตสาหกรรม ทั้ง สีบ้าน สีรถยนต์ อาหาร ปิโตรเคมี น้ำมัน รวมทั้งมีอาคารสำนักงานให้เช่า มีคลังสินค้าให้เช่า รวมทั้งมีบริษัทร่วมดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ไหมครับ
หลายคนในนี้ มีความเห็นว่า การลงทุนในจำนวนน้อยบริษัท แต่เราเข้าใจบริษัทนั้นอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นการลดความเสี่ยง
ส่วนการลงทุนกระจายในหลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง
ดังนั้น พอร์ตผม ซึ่งถือ WG เพียงบริษัทเดียว ที่ผมดูมานาน ถือได้ว่าเป็นการลดความเสี่ยง
แล้ว WG ขายเคมีภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าหลายกุล่มอุตสาหกรรม ทั้ง สีบ้าน สีรถยนต์ อาหาร ปิโตรเคมี น้ำมัน รวมทั้งมีอาคารสำนักงานให้เช่า มีคลังสินค้าให้เช่า รวมทั้งมีบริษัทร่วมดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 2
อืมมม เดี๋ยวคนที่ถือ ticon ก็มาบอกว่ามีโรงงานให้เช่าไว้ในหลายอุตสาหกรรม ถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงบ้างได้ไหมครับพี่ ฉัตรชัย ผมว่าคำถามแบบนี้มันไม่มีคำตอบตายตัวนะครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะผมว่า
แก้ไขล่าสุดโดย woody เมื่อ พุธ ก.ค. 06, 2005 10:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 4
ความเห็นของผมนะครับ
การที่ WG มีลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัท
การที่ผู้ถือหุ้นถือหุ้นในหลายอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ที่แตกต่างกัน ในแง่ของนักลงทุน น่าจะดูตรง single point of failure นะครับ
ในส่วนของการถือหุ้นเดียว ความเสี่ยงของการหมดตัวเลย (ต้องกลับมานับหนึ่งใหม่)
น่าจะเป็นความเสี่ยงจากผู้บริหารเสีย 90%
ถ้าเกิดผู้บริหารทั้งชุดไปประชุม แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งหมด อาจจะทำให้
กิจการทั้งหมดกลายเป็นอากาศธาตุไปเลยก็ได้
หรือเช่นผู้บริหาร/ผู้ถือหุ้นใหญ่โกง แอบเอาเงินสดของบริษัทไปเล่นพนันแล้วเสีย
ติดหนี้ท่วมท้น
ยิ่งบริษัทเล็ก ความเสี่ยงตรงนี้ก็ยิ่งเด่นชัด (เช่นเมื่อเทียบ PTTEP กับ WG โอกาส
ที่ PTTEP จะเกิดอะไรแบบนี้นับว่าน้อยกว่า WG หรือ UMS เยอะ)
ส่วนความเสี่ยงรวมคือเกิดตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาดพังพินาศ เช่นเกิด neuclear
blast ขึ้น ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งกรุงเทพเดี้ยงหมด และเกิดสงครามกลางเมืองตาม
มา หุ้นทุกตัวก็กลายเป็นเศษกระดาษได้เหมือนกัน
อาจจะมีโอกาสแค่ 0.000001% แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
การที่ WG มีลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัท
การที่ผู้ถือหุ้นถือหุ้นในหลายอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ที่แตกต่างกัน ในแง่ของนักลงทุน น่าจะดูตรง single point of failure นะครับ
ในส่วนของการถือหุ้นเดียว ความเสี่ยงของการหมดตัวเลย (ต้องกลับมานับหนึ่งใหม่)
น่าจะเป็นความเสี่ยงจากผู้บริหารเสีย 90%
ถ้าเกิดผู้บริหารทั้งชุดไปประชุม แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งหมด อาจจะทำให้
กิจการทั้งหมดกลายเป็นอากาศธาตุไปเลยก็ได้
หรือเช่นผู้บริหาร/ผู้ถือหุ้นใหญ่โกง แอบเอาเงินสดของบริษัทไปเล่นพนันแล้วเสีย
ติดหนี้ท่วมท้น
ยิ่งบริษัทเล็ก ความเสี่ยงตรงนี้ก็ยิ่งเด่นชัด (เช่นเมื่อเทียบ PTTEP กับ WG โอกาส
ที่ PTTEP จะเกิดอะไรแบบนี้นับว่าน้อยกว่า WG หรือ UMS เยอะ)
ส่วนความเสี่ยงรวมคือเกิดตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาดพังพินาศ เช่นเกิด neuclear
blast ขึ้น ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งกรุงเทพเดี้ยงหมด และเกิดสงครามกลางเมืองตาม
มา หุ้นทุกตัวก็กลายเป็นเศษกระดาษได้เหมือนกัน
อาจจะมีโอกาสแค่ 0.000001% แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 5
ก็น่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ที่มีแน่นอนครับ
แต่ก็ไม่เป็นการกระจายความเสี่ยงอีกในหลายๆเรื่อง เช่น
ความเสี่ยงในเรื่องผู้บริหาร
ความเสี่ยงในเรื่องมีคู่แข่งขันที่คล้ายกันเข้ามาแบ่งเค้ก
หรือความเสี่ยงในเรื่องภัยน้ำท่วม,ไฟไหม้โกดัง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่ฉัตรชัยก็ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยง และความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสี่ยงดังกล่าว มันน่าจะเป็นไปได้น้อยมาก
สรุปว่า PARADOX ครับพี่ฉัตรชัย
แต่ก็ไม่เป็นการกระจายความเสี่ยงอีกในหลายๆเรื่อง เช่น
ความเสี่ยงในเรื่องผู้บริหาร
ความเสี่ยงในเรื่องมีคู่แข่งขันที่คล้ายกันเข้ามาแบ่งเค้ก
หรือความเสี่ยงในเรื่องภัยน้ำท่วม,ไฟไหม้โกดัง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่ฉัตรชัยก็ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยง และความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสี่ยงดังกล่าว มันน่าจะเป็นไปได้น้อยมาก
สรุปว่า PARADOX ครับพี่ฉัตรชัย
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 6
ผมว่าน่าจะเอาสัดส่วนมาให้ดูด้วยนะครับ
ว่ารายได้ทำสีเยอะเท่าไร สำนักงานให้เช่าเท่าไร ฯลฯ
ผมว่าบริษัทเดียวยังไงก็เสี่ยง
ถ้าเกิดบริษัทแย่ขึ้นมาจริงๆ การขายหุ้นที่เดียวเยอะๆก็ลำบาก
ผมว่าเป็นความเสี่ยงแน่
บริษัทขายสีหลายอุตสาหกรรมก็จริง แต่สิ่งที่ขายยังไงก็คือสิ่งเดียวอยู่ดี
คือ สี
ถ้าเกิดสีที่ขายมีปัญหา เช่นยกเลิกการส่งออกต่างประเทศ เคมีขาดแคลน
ยกเลิกดีลเลอร์ จะทำตลาดเอง อะไรอย่างนี้ ผมว่าลำบากแน่
ยิ่งธุรกิจเป็นเทรดดิ้งด้วย ผมว่าไม่ค่อยมีความแน่นอนเท่าไรนัก
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ
สีจะทนได้ไหมครับ
ว่ารายได้ทำสีเยอะเท่าไร สำนักงานให้เช่าเท่าไร ฯลฯ
ผมว่าบริษัทเดียวยังไงก็เสี่ยง
ถ้าเกิดบริษัทแย่ขึ้นมาจริงๆ การขายหุ้นที่เดียวเยอะๆก็ลำบาก
ผมว่าเป็นความเสี่ยงแน่
บริษัทขายสีหลายอุตสาหกรรมก็จริง แต่สิ่งที่ขายยังไงก็คือสิ่งเดียวอยู่ดี
คือ สี
ถ้าเกิดสีที่ขายมีปัญหา เช่นยกเลิกการส่งออกต่างประเทศ เคมีขาดแคลน
ยกเลิกดีลเลอร์ จะทำตลาดเอง อะไรอย่างนี้ ผมว่าลำบากแน่
ยิ่งธุรกิจเป็นเทรดดิ้งด้วย ผมว่าไม่ค่อยมีความแน่นอนเท่าไรนัก
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ
สีจะทนได้ไหมครับ
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 7
ถ้าคุณฉัตรชัยเอาเงินทังหมดลงทุนใน WG แล้วเป็นผู้บริหารเอง ผมว่าก็ดีเหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนแล้วลงทุนทั้งหมดกับ WG
ก็ต้องถามว่าถ้าเงินก้อนหนี้เหลือศูนย์ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม
คุณฉัตรชัยจะรับได้หรือไม่
ผมคิดว่า มันเสี่ยงมากครับ
ผมคิดว่า ต้องเผื่อทางเลือกไว้นิดนึง อาจจะ WG 50 % แล้วตัวอื่น 50 % เป็นต้น
การลงทุนของคุณฉัตรชัยลักษณะนี้ ผมวิจารณ์ได้อย่างเดียวกว่า คุณฉัตรไม่ conservative ครับ
อาจจะเป็น ธรรมชาติของคุณฉัตรชัยเอง ที่กล้าได้กล้าเสีย
คือ บุคคลิกของคุณฉัตรชัย ที่ดู ยิ้มแย้ม เรียบร้อย น่านับถือ ตรงนี้ จะดูเหมือน conservative และ ผมก็คิดว่าคุณฉัตรชัย คิดว่าตัวเอง conservative แล้ว
แต่ก็เป็นอีกมุมมองนึงนะครับ ผมคิดว่าเสี่ยงครับ ในการลงทุนบริษัทเดียว
อยากจะยกตัวอย่าง ก็คล้ายๆมีลูกคนเดียวหละครับ มันเครียดนะ ห่วงไปหมด เพราะหากเป็นอะไรขึ้นมา ก็หมดเลย
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนแล้วลงทุนทั้งหมดกับ WG
ก็ต้องถามว่าถ้าเงินก้อนหนี้เหลือศูนย์ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม
คุณฉัตรชัยจะรับได้หรือไม่
ผมคิดว่า มันเสี่ยงมากครับ
ผมคิดว่า ต้องเผื่อทางเลือกไว้นิดนึง อาจจะ WG 50 % แล้วตัวอื่น 50 % เป็นต้น
การลงทุนของคุณฉัตรชัยลักษณะนี้ ผมวิจารณ์ได้อย่างเดียวกว่า คุณฉัตรไม่ conservative ครับ
อาจจะเป็น ธรรมชาติของคุณฉัตรชัยเอง ที่กล้าได้กล้าเสีย
คือ บุคคลิกของคุณฉัตรชัย ที่ดู ยิ้มแย้ม เรียบร้อย น่านับถือ ตรงนี้ จะดูเหมือน conservative และ ผมก็คิดว่าคุณฉัตรชัย คิดว่าตัวเอง conservative แล้ว
แต่ก็เป็นอีกมุมมองนึงนะครับ ผมคิดว่าเสี่ยงครับ ในการลงทุนบริษัทเดียว
อยากจะยกตัวอย่าง ก็คล้ายๆมีลูกคนเดียวหละครับ มันเครียดนะ ห่วงไปหมด เพราะหากเป็นอะไรขึ้นมา ก็หมดเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 9
จะให้หนอนน้อยมาวิจารณ์พี่ที่เป็นเซียนใน VI ก็กระไรอยู่จริงไหมครับแล้วยิ่งเป็นหุ้นที่พี่ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จข้าน้อยไม่บังอาจจริงๆแต่ถ้าถามผมว่า WG ณ ปัจจุบันถ้าผมมีเงินแล้วให้ซื้อตัวนี้ตัวเดียว..ผมคงไม่ครับ
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
วอร์เรนก็มีตัวเดียวครับ
โพสต์ที่ 10
ถ้าถามว่ามี WG ตัวเดียวเสี่ยงมั๊ย ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่าการถือหุ้นแค่ตัวเดียวเสี่ยงมั๊ยผมไม่คิดว่าเสี่ยง ถ้าหุ้นตัวนั้นถูกศึกษามาอย่างดี และราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ และเรามีเป้าหมายที่จะถือไว้นานมากๆหรือถือไว้ตลอดไป ผมเคยอ่านหนังสือวาทะของวอร์เรน มีตอนนึงที่วอลเตอร์ สลอสแซวว่าวอร์เรนมีหุ้นแค่ตัวเดียวเองคือ Berkshire Hathawayงัย แต่ตัวผมเองก็มีหลักๆ 3 ตัวครับ เหมือนกับบางทีเราเห็นผู้หญิงคนนี้ก็ชอบ คนนั้นก็โดน คนโน้นก็ใช่เลย ก็เลยซื้อไว้หลายตัวครับ ว่าแต่ตอนนี้นอกจาก wg แล้วพี่คิดว่าตัวไหนน่าสนใจบ้างครับ ผมจะได้ไปลองศึกษาต่อดูครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 11
chatchai,
กะเอาทีเดียวรวยก็ แทงเต็ง
ประนีประนอมก็ แทงโต๊ด มามุมไหนก็ได้ตัง
ดูนิสัยเราเอาเองครับ
ทำแบบไหนแล้วไม่ร้อนรน ทำแล้วมีความสุข
ก็น่าจะเลือกกันได้
เอ แต่เล่าให้พวกเราฟังบ่อยๆว่า ไม่เน้นรวย เน้นชัวร์ไม่ใช่หรือ
หรือพลังด้านมืด มาครอบงำ ฟื๊ด ๆๆๆๆ
8) คุณฉัตรชัยเคยเห็นเขาเล่นหวยมั๊ยครับช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะครับ
กะเอาทีเดียวรวยก็ แทงเต็ง
ประนีประนอมก็ แทงโต๊ด มามุมไหนก็ได้ตัง
ดูนิสัยเราเอาเองครับ
ทำแบบไหนแล้วไม่ร้อนรน ทำแล้วมีความสุข
ก็น่าจะเลือกกันได้
เอ แต่เล่าให้พวกเราฟังบ่อยๆว่า ไม่เน้นรวย เน้นชัวร์ไม่ใช่หรือ
หรือพลังด้านมืด มาครอบงำ ฟื๊ด ๆๆๆๆ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 12
ผมว่าไปตามของผมก่อนครับคุณฉัตรชัย
ยังไม่ได้อ่านความเห็นท่านอื่นๆ
ผมว่าเป็นการลดความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม
แต่แค่ลดลงมากๆ แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยนอกความคาดหมาย
ถามผมว่าอะไรบ้าง หากผมตอบได้ก็แสดงว่าอยู่ในความคาดหมาย :lol:
ผมตอบยังงี้ก็ไม่เข้าท่า เพราะทุกสิ่ง ทุกหุ้นก็หนีไม่พ้นเรื่องไม่คาดคิด
แต่เราต้องเผื่อทางหนี ทางรับ ไว้เสมอ ซึ่งคุณฉัตรชัยคงเตรียมไว้แล้วละ :lol:
ส่วนตัวผมเอง เหลาะแหละ
หลังจากเปิดพอร์ต ขอคำปรึกษาที่ดีจากคุณฉัตรชัย ตั้งแต่ปีก่อนนู้น
มีหุ้น30ตัว จะขอลดลงเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้กลับเพิ่มเป็นเกือบ40ตัว
ผมก็ไม่รู้เป็นไปได้ไง สรุปว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของแต่ละคนด้วยครับ
แค่นี้ก่อนครับ เดี่ยวกลับมาใหม่
ยังไม่ได้อ่านความเห็นท่านอื่นๆ
ผมว่าเป็นการลดความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม
แต่แค่ลดลงมากๆ แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยนอกความคาดหมาย
ถามผมว่าอะไรบ้าง หากผมตอบได้ก็แสดงว่าอยู่ในความคาดหมาย :lol:
ผมตอบยังงี้ก็ไม่เข้าท่า เพราะทุกสิ่ง ทุกหุ้นก็หนีไม่พ้นเรื่องไม่คาดคิด
แต่เราต้องเผื่อทางหนี ทางรับ ไว้เสมอ ซึ่งคุณฉัตรชัยคงเตรียมไว้แล้วละ :lol:
ส่วนตัวผมเอง เหลาะแหละ
หลังจากเปิดพอร์ต ขอคำปรึกษาที่ดีจากคุณฉัตรชัย ตั้งแต่ปีก่อนนู้น
มีหุ้น30ตัว จะขอลดลงเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้กลับเพิ่มเป็นเกือบ40ตัว
ผมก็ไม่รู้เป็นไปได้ไง สรุปว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของแต่ละคนด้วยครับ
แค่นี้ก่อนครับ เดี่ยวกลับมาใหม่
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
- Oh+
- Verified User
- โพสต์: 142
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 13
ผมขอใช้คำพูดที่ว่า "มันจะไม่เสี่ยงเลยถ้าเรารู้"
ตามความคิดผมถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารและรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดของบริษัทบวกกับพยากรณ์อนาคตบริษัทได้ระดับหนึ่ง ผมว่าความเสี่ยงน่าจะน้อยมากแล้วน่ะครับ
ตามความคิดผมถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารและรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดของบริษัทบวกกับพยากรณ์อนาคตบริษัทได้ระดับหนึ่ง ผมว่าความเสี่ยงน่าจะน้อยมากแล้วน่ะครับ
- Oh+
- Verified User
- โพสต์: 142
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 16
ผมขอใช้คำพูดที่ว่า "มันจะไม่เสี่ยงเลยถ้าเรารู้"
ตามความคิดผมถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารและรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดของบริษัทบวกกับพยากรณ์อนาคตบริษัทได้ระดับหนึ่ง ผมว่าความเสี่ยงน่าจะน้อยมากแล้วน่ะครับ
ตามความคิดผมถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารและรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดของบริษัทบวกกับพยากรณ์อนาคตบริษัทได้ระดับหนึ่ง ผมว่าความเสี่ยงน่าจะน้อยมากแล้วน่ะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 17
โอ... ตาสว่างเลยครับ ผมไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลยCK เขียน:
ถ้าเกิดผู้บริหารทั้งชุดไปประชุม แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งหมด อาจจะทำให้
กิจการทั้งหมดกลายเป็นอากาศธาตุไปเลยก็ได้
เมื่อก่อนผมก็คิดว่าการถือหุ้นตัวเดียวที่เรารู้จักมากๆ ศึกษามาเป็นอย่างดี ถือว่าลดความเสี่ยงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องกระจายหลายตัว แต่ความเสี่ยงตัวนี้ผมมองข้ามไปจริงๆครับ
แต่ถ้าถือหุ้นตัวเดียวในกิจการที่ไม่ขึ้นกับผู้บริหารมากนัก ความเสี่ยงตรงนี้ก็น่าจะลดลงได้นะครับ
It's earnings that count
- Amorna
- Verified User
- โพสต์: 454
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 18
ในความเห็นนี้ ดิฉันมองตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะดิฉันกลับมองว่า พี่ฉัตรชัยนั่นเอง ที่มีการลงทุนแบบ Conservative อย่างที่สุด
การลงทุนของคุณฉัตรชัยลักษณะนี้ ผมวิจารณ์ได้อย่างเดียวกว่า คุณฉัตรไม่ conservative ครับ
เพราะดิฉันเชื่อมั่นว่า งบการเงินสามารถสะท้อนลักษณะบางอย่างได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องความสมเหตุสมผลในการดำเนินธุรกิจ(เช่น การศึกษาหมายเหตุประกอบงบการเงินในส่วนของลูกหนี้ ข้อมูลทางการเงินจำแนกตามส่วนงาน เป็นต้น)
แต่ข้อจำกัดของพื้นความรู้ทางบัญชี นิสัยที่แตกต่างกันของนักลงุทน ประกอบกับความคาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงราคาในระยะเวลาหนึ่งๆ มากเกินไป ทำให้มองข้ามความสำคัญไป
นอกจากนี้ พี่ฉัตรชัยเอง สามารถเข้าถึงกิจการนี้มากกว่านักลงทุนรายย่อยทั่วๆ ไป เนื่องจากได้ติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
พี่ฉัตรชัยจึงเลือกลงทุนในกิจการที่เข้าใจมากๆ เท่านั้น ลดความเสี่ยงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
Price is what you pay, value is what you get.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 19
อุบัติเหตุคงป้องกันยาก แต่สงสัยคงต้องลากทีมผู้บริหารของ WG ไปตรวจสุขภาพซะแล้วCK เขียน: ถ้าเกิดผู้บริหารทั้งชุดไปประชุม แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งหมด อาจจะทำให้กิจการทั้งหมดกลายเป็นอากาศธาตุไปเลยก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 20
ถามนิดครับchatchai เขียน: อุบัติเหตุคงป้องกันยาก แต่สงสัยคงต้องลากทีมผู้บริหารของ WG ไปตรวจสุขภาพซะแล้ว
หากเกิดขึ้นจริง
ผู้ถือหุ้นที่เหลือมาประชุมกัน
แล้วแบ่งเงินแบ่งทรัพย์สินกัน
ไม่ดีกว่าหรือครับ :lol:
แหะๆ ลืมไป ทายาทผู้เสียชีวิต คงยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่
แก้ไขล่าสุดโดย ต.หยวนเปียว เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ค. 07, 2005 11:07 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 21
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกันนะ เปรียบเทียบกันไม่ได้
คือมันมีส่วนที่คล้ายกันมากๆอยู่ แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนกันเลย
ส่วนที่เหมือนกันผมละไว้ไม่พูดถึงนะแม้จะเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าทุกคนรู้แล้ว
ส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือ
ความเสี่ยงจากการที่ wg ขายให้หลายๆอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยง ถูกต้องแล้ว ไม่งั้นก็เหมือน cei
แต่ถ้าขายเพิ่มให้อุตสาหกรรมอื่นที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ถ้าเขาจ่ายเงินสดให้ ก็ขายไปเถอะ เพราะความเสี่ยงเรื่องเขาจะไม่จ่ายหนี้ หรือหนี้สูญถูกจำกัดไว้แล้วด้วยการจ่ายเงินสดทันทีที่ได้สินค้า (แต่ถ้าไม่ใช่กรณีนี้ก็ต้องคิดกันใหม่)
มันต่างกันตรงที่เราผลิตสินค้าเพิ่มได้ถ้ามีลูกค้าเพิ่มและเป็นลูกค้าทำกำไรให้เราแน่ๆ อาจโดยการเพิ่มโอที(ไม่ได้จ้างคนเพิ่ม แล้วไปจ่ายโอทีตอนสิ้นเดือน)หรือสั่งวัตถุดิบแบบเงินเชื่อเข้ามา
แต่พอร์ทเรา เราตั้งโจทย์ว่าจะแบ่งสัดส่วน(บริหาร)อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดลดความเสี่ยงที่สุดโดยไม่ได้พูดถึงเม็ดเงินใหม่ๆที่จะเพิ่มเข้ามา
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกันนะ เปรียบเทียบกันไม่ได้
คือมันมีส่วนที่คล้ายกันมากๆอยู่ แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนกันเลย
ส่วนที่เหมือนกันผมละไว้ไม่พูดถึงนะแม้จะเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าทุกคนรู้แล้ว
ส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือ
ความเสี่ยงจากการที่ wg ขายให้หลายๆอุตสาหกรรม เป็นการกระจายความเสี่ยง ถูกต้องแล้ว ไม่งั้นก็เหมือน cei
แต่ถ้าขายเพิ่มให้อุตสาหกรรมอื่นที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ถ้าเขาจ่ายเงินสดให้ ก็ขายไปเถอะ เพราะความเสี่ยงเรื่องเขาจะไม่จ่ายหนี้ หรือหนี้สูญถูกจำกัดไว้แล้วด้วยการจ่ายเงินสดทันทีที่ได้สินค้า (แต่ถ้าไม่ใช่กรณีนี้ก็ต้องคิดกันใหม่)
มันต่างกันตรงที่เราผลิตสินค้าเพิ่มได้ถ้ามีลูกค้าเพิ่มและเป็นลูกค้าทำกำไรให้เราแน่ๆ อาจโดยการเพิ่มโอที(ไม่ได้จ้างคนเพิ่ม แล้วไปจ่ายโอทีตอนสิ้นเดือน)หรือสั่งวัตถุดิบแบบเงินเชื่อเข้ามา
แต่พอร์ทเรา เราตั้งโจทย์ว่าจะแบ่งสัดส่วน(บริหาร)อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดลดความเสี่ยงที่สุดโดยไม่ได้พูดถึงเม็ดเงินใหม่ๆที่จะเพิ่มเข้ามา
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 857
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 22
ถ้ามองในแง่เป็นกิจการค้าของตัวเอง ส่วนใหญ่คนเริ่มก่อร่างสร้างตัวจะทำกิจการเดียวเพื่อสร้างฐานะ แต่พอเริ่มอยู่ตัวมีตังมากขึ้น ผมยังไม่เห็นใครที่ไม่กระจายความเสี่ยง โดยกระจายไปธุรกิจอื่น หรือเอาเงินไปลงทุน,ฝาก,ฟอก ฯลฯ เลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 23
ความคิดเห็น ของผมนะครับ
ผมคิดว่าเป็นการกระจาย ความเสี่ยงด้านการดําเนินธุรกิจ ส่วนที่ยังไม่ได้ กระจาย คือ ด้าน ผู้บริหาร, ผู้ถือหุ้นรายใหญ เเละ อื่นๆ ถ้ามีหุ้นตัวอื่นเพิ่มขึ้นอาจจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
แต่ถ้าหุ้นที่่จะเพิ่มเข้ามากลับทําให้มีความเสี่ยง ด้านผลตอบแทนที่จะลดลงอย่าง มีนัยสําคัญ
ผมก็คิดว่า มันโอเค ที่จะถือหุ้นตัวเดียวครับ
ผมคิดว่าเป็นการกระจาย ความเสี่ยงด้านการดําเนินธุรกิจ ส่วนที่ยังไม่ได้ กระจาย คือ ด้าน ผู้บริหาร, ผู้ถือหุ้นรายใหญ เเละ อื่นๆ ถ้ามีหุ้นตัวอื่นเพิ่มขึ้นอาจจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
แต่ถ้าหุ้นที่่จะเพิ่มเข้ามากลับทําให้มีความเสี่ยง ด้านผลตอบแทนที่จะลดลงอย่าง มีนัยสําคัญ
ผมก็คิดว่า มันโอเค ที่จะถือหุ้นตัวเดียวครับ
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 24
ผมสังเกตเห็นว่าคนที่รวยจริง จะถือหุ้นมากๆไม่กี่บริษัท ไม่นับเล็กน้อย แต่ถือเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
เค้ามักจะถือหุ้นในกิจการที่สำคัญ และเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้กลุ่มบริษัทในเครือ ดีเยี่ยมทั้งหมด
ดังนั้น ถ้าหากจะถือหุ้นให้ดี ก็ถือหุ้นบริษัทต่างๆที่สอดคล้องกัน
แต่อาจใช่ไม่ได้ผลกับรายย่อย เพราะบริหารควบคุมอะไรไม่ได้
เค้ามักจะถือหุ้นในกิจการที่สำคัญ และเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้กลุ่มบริษัทในเครือ ดีเยี่ยมทั้งหมด
ดังนั้น ถ้าหากจะถือหุ้นให้ดี ก็ถือหุ้นบริษัทต่างๆที่สอดคล้องกัน
แต่อาจใช่ไม่ได้ผลกับรายย่อย เพราะบริหารควบคุมอะไรไม่ได้
Expecto Patronum!!!!!!
- Willpower
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 26
คุณ ฉัตรชัย ผมเห็นด้วยกับคุณ CK
กล่าวไว้ คุณวิบูลย์เคยแนะนำหนังสือเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน
นอฟซิงเกอร์ได้บอกว่า ถ้าจำไม่ผิดคือ
การวัดความเสี่ยงจริง ๆ ต้องดูความผันผวนของมัน เราควรจะเลือกหุ้นที่ผันผวนน้อยถ้าให้ผลตอบแทนเท่ากัน
ความเสี่ยงความตามทฤษฎีแล้วจะหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นตามความคาดหมาย ปกติจะดูเพียง ผลด้านลบ ด้านบวกไม่ค่อยมีใครดู เช่น
หุ้น ราคา 30 เราคาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ 10 % แล้วสินปี ถ้าได้ 10% แสดงว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีความเสี่ยง หรือแม้แต่หุ้นที่คาดหวังที่ ได้ 200% แล้วก็ได้ตามคาดเสมอก็ถือว่าไม่มีความเสี่ยง ถ้าต่ำกว่าเราก็ว่าเสียง แต่ถ้าสูงกว่าเราก็ว่าไม่เสี่ยง เพราะฉะนั้นความเสี่ยงจะดูมักจะดูดาวน์ไซด์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อวัดแบบนี้ ผลตอบแทนของพันธบัตรโอกาสที่เป็นไปตามคาดมีสูงจึงเสี่ยงต่ำ แต่หุ้นอาจจะไม่เป็นตามคาดจึงเสี่ยงสูง แต่หุ้นบางตัวมีค่าผันผวนน้อยเช่น ICC จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารหนี้บางชนิดซะอีก
กรณีการซื้อหุ้นตัวเดียวแสดงว่า พอร์ตของคุณฉัตรชัยผลตอบแทนจะขึ้นกับหุ้นตัวเดียวแต่สำหรับความเสี่ยงแล้วต้องดูที่ ราคา WG เป็นหลักครับว่ามีความผันผวนสูงไหม ซื้อวันนี้แล้วต่างจากพรุ่งนี้ไหม ถ้าราคาเหวี่ยงมาก ก็แสดงว่าเสี่ยงมาก
เช่นกันถ้าเราซื้อหลายตัวจะถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงหรือไม่ นอฟซิงเกอร์บอกว่าต้องดู เบต้าเป็นหลักว่าไม่มีแนวโน้มไปทางเดียวกันหรือไม่
เช่นหุ้น ก กับหุ้น ข ธุรกิจก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย แต่สหสัมพันธ์ไปในทางเดียวกัน อย่างนี้ก็ไม่ถือว่ากระจายความเสี่ยงในทางทฤษฏีครับ
การเลือกหุ้นต้องให้ ค่ามันออฟเซ็ทกัน ถึงจะลดความผันผวนหรือความเสี่ยงนั่นเอง
ดังนั้นการที่ WG มีหลายกิจการแสดงว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงของกิจการแต่พอร์ตรวมของบริษัทจะกลายมาเป็นค่าความเสี่ยงรวม 1 ตัวในพอร์ตของคุณฉัตรชัยดังนั้นความผันผวนจะไปทางเดียวกับ WG ทั้งหมด
แต่นี่พูดถึงเพียงความเสี่ยงจากราคานะครับไม่ได้พูดถึง ด้านกฏหมาย ผู้บริหารซึ่งการซื้อหลายตัวจะช่วยได้ อาจจะ
ขออภัยที่ตอบทางทฤษฎีนะครับเพราะความเป็นจริงจะมีอารมณ์มาเกี่ยวด้วย
กล่าวไว้ คุณวิบูลย์เคยแนะนำหนังสือเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน
นอฟซิงเกอร์ได้บอกว่า ถ้าจำไม่ผิดคือ
การวัดความเสี่ยงจริง ๆ ต้องดูความผันผวนของมัน เราควรจะเลือกหุ้นที่ผันผวนน้อยถ้าให้ผลตอบแทนเท่ากัน
ความเสี่ยงความตามทฤษฎีแล้วจะหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นตามความคาดหมาย ปกติจะดูเพียง ผลด้านลบ ด้านบวกไม่ค่อยมีใครดู เช่น
หุ้น ราคา 30 เราคาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ 10 % แล้วสินปี ถ้าได้ 10% แสดงว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีความเสี่ยง หรือแม้แต่หุ้นที่คาดหวังที่ ได้ 200% แล้วก็ได้ตามคาดเสมอก็ถือว่าไม่มีความเสี่ยง ถ้าต่ำกว่าเราก็ว่าเสียง แต่ถ้าสูงกว่าเราก็ว่าไม่เสี่ยง เพราะฉะนั้นความเสี่ยงจะดูมักจะดูดาวน์ไซด์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อวัดแบบนี้ ผลตอบแทนของพันธบัตรโอกาสที่เป็นไปตามคาดมีสูงจึงเสี่ยงต่ำ แต่หุ้นอาจจะไม่เป็นตามคาดจึงเสี่ยงสูง แต่หุ้นบางตัวมีค่าผันผวนน้อยเช่น ICC จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารหนี้บางชนิดซะอีก
กรณีการซื้อหุ้นตัวเดียวแสดงว่า พอร์ตของคุณฉัตรชัยผลตอบแทนจะขึ้นกับหุ้นตัวเดียวแต่สำหรับความเสี่ยงแล้วต้องดูที่ ราคา WG เป็นหลักครับว่ามีความผันผวนสูงไหม ซื้อวันนี้แล้วต่างจากพรุ่งนี้ไหม ถ้าราคาเหวี่ยงมาก ก็แสดงว่าเสี่ยงมาก
เช่นกันถ้าเราซื้อหลายตัวจะถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงหรือไม่ นอฟซิงเกอร์บอกว่าต้องดู เบต้าเป็นหลักว่าไม่มีแนวโน้มไปทางเดียวกันหรือไม่
เช่นหุ้น ก กับหุ้น ข ธุรกิจก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย แต่สหสัมพันธ์ไปในทางเดียวกัน อย่างนี้ก็ไม่ถือว่ากระจายความเสี่ยงในทางทฤษฏีครับ
การเลือกหุ้นต้องให้ ค่ามันออฟเซ็ทกัน ถึงจะลดความผันผวนหรือความเสี่ยงนั่นเอง
ดังนั้นการที่ WG มีหลายกิจการแสดงว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงของกิจการแต่พอร์ตรวมของบริษัทจะกลายมาเป็นค่าความเสี่ยงรวม 1 ตัวในพอร์ตของคุณฉัตรชัยดังนั้นความผันผวนจะไปทางเดียวกับ WG ทั้งหมด
แต่นี่พูดถึงเพียงความเสี่ยงจากราคานะครับไม่ได้พูดถึง ด้านกฏหมาย ผู้บริหารซึ่งการซื้อหลายตัวจะช่วยได้ อาจจะ
ขออภัยที่ตอบทางทฤษฎีนะครับเพราะความเป็นจริงจะมีอารมณ์มาเกี่ยวด้วย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 27
ต้องขอโทษคุณ Willpower ด้วยนะครับ
ความเสี่ยงในการลงทุนของผม ไม่ได้หมายถึงความเสี่ยงที่เกิดจากราคาหุ้นในกระดานนะครับ เพราะราคาหุ้นนั้นมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ และผมก็หวังผลตอบแทนจากการลงทุนจากผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลักครับ
ดังนั้นเรื่องเบต้าอะไรที่เรียนในวิชาการลงทุนนั้น ผมเก็บใส่ลิ้นชักไปนานแล้วครับ
ความเสี่ยงในการลงทุนของผม ไม่ได้หมายถึงความเสี่ยงที่เกิดจากราคาหุ้นในกระดานนะครับ เพราะราคาหุ้นนั้นมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ และผมก็หวังผลตอบแทนจากการลงทุนจากผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลักครับ
ดังนั้นเรื่องเบต้าอะไรที่เรียนในวิชาการลงทุนนั้น ผมเก็บใส่ลิ้นชักไปนานแล้วครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- stp
- Verified User
- โพสต์: 252
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 28
ถ้าเป็นบริษัทของผม ผมบริหารเอง ผมกล้าที่จะถืออยู่ตัวเดียว
แต่ถ้าในตลาด ถึงเราจะดูถี่ถ้วนยังไง ก็ไม่มีคำว่าร้อยเปอร์เซนต์
ทุกอย่างไม่มีคำว่าร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าเกิดว่า 1 เปอร์เซนต์ที่พลาดไปมีผลเยอะก็น่ากลัวครับ
อย่าง CEI มี 1 คือมีลูกค้ารายใหญ่รายเดียวผลลัพธ์สามารถลบข้อดีที่เหลือได้เกือบหมดเลยไม่ใช่หรือครับ
สำหรับผมตอนนี้มีอยู่ 2 ตัวปลายปีว่าจะสัก 3 ตัว
แต่ถ้าพี่ฉัตรชัยมั่นใจและพร้อมรับความเสี่ยงข้อนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา
โอกาสที่ WG ตกหน้าผาฮวบฮาบโดยที่เราไม่รู้น่าจะน้อย
หุ้นคงไม่ตกเหลือมูลค่าศูนย์ในสองสามวันหรอกครับ
หุ้นบางตัวจะเน่าอยู่แล้วยังโลดแล่นได้อยู่เลย
ต้องถามว่าถ้ามีเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดแล้ว WG จะอยู่ที่ไหน
ถ้าผู้บริหารตกเครื่องบินตายหมดผมว่าไม่เท่าไหร่นะ
ถ้าไฟไหม้โรงงาน คนงานหัวหน้างานตายไปครึ่งนี่น่ากลัวกว่าอีก
ถึงมีประกันก็อาจเสียลูกค้าเสียเวลากว่าจะตั้วตัวได้ก็หลายเดือนหละ
แต่ถ้าในตลาด ถึงเราจะดูถี่ถ้วนยังไง ก็ไม่มีคำว่าร้อยเปอร์เซนต์
ทุกอย่างไม่มีคำว่าร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าเกิดว่า 1 เปอร์เซนต์ที่พลาดไปมีผลเยอะก็น่ากลัวครับ
อย่าง CEI มี 1 คือมีลูกค้ารายใหญ่รายเดียวผลลัพธ์สามารถลบข้อดีที่เหลือได้เกือบหมดเลยไม่ใช่หรือครับ
สำหรับผมตอนนี้มีอยู่ 2 ตัวปลายปีว่าจะสัก 3 ตัว
แต่ถ้าพี่ฉัตรชัยมั่นใจและพร้อมรับความเสี่ยงข้อนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา
โอกาสที่ WG ตกหน้าผาฮวบฮาบโดยที่เราไม่รู้น่าจะน้อย
หุ้นคงไม่ตกเหลือมูลค่าศูนย์ในสองสามวันหรอกครับ
หุ้นบางตัวจะเน่าอยู่แล้วยังโลดแล่นได้อยู่เลย
ต้องถามว่าถ้ามีเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดแล้ว WG จะอยู่ที่ไหน
ถ้าผู้บริหารตกเครื่องบินตายหมดผมว่าไม่เท่าไหร่นะ
ถ้าไฟไหม้โรงงาน คนงานหัวหน้างานตายไปครึ่งนี่น่ากลัวกว่าอีก
ถึงมีประกันก็อาจเสียลูกค้าเสียเวลากว่าจะตั้วตัวได้ก็หลายเดือนหละ
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 29
ผมขอยืมประโยคของน้องนินจา จากสินทรห้องอิสรภาพฯTheDoc. เขียน:"high risk high return"
สงสัยเป็นเพราะพี่ฉัตรชัยยอมเสี่ยงมากกว่าคนอื่นเลยได้มากกว่าคนอื่น
คุณฉัตรชัยน่าจะเป็น
"High understanding High return"
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
ทั้งลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง
โพสต์ที่ 30
ผมมองแบบนี้ได้มั๊ยครับ
1. ถ้าเราเข้าใจในตัวธุรกิจโดยถ่องแท้แล้ว ผมว่าถือ 1 กิจการ ย่อมไม่ต่างกับถือ 10 กิจการ และถือ 1 กิจการจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้ถือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าถือ 10 กิจการ เราจะได้สิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาตั้งแต่อันดับ 2 จนถึง 10
2. แต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงคือ การถือแค่ 1 กิจการ จะทำให้เราอุ้ยอ้ายและปรับเปลี่ยนได้ช้ากว่า ถ้ามีปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันตรายมากครับ
3. อีกทั้งข้อ 1 มัน ideal มากครับ เราไม่ได้บริหารเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจดีมาก ๆ ผมคิดว่าถือ 10 กิจการโอกาสพลาดน่าจะน้อยกว่า สำหรับบุคคลภายนอกทั่ว ๆ ไป(อย่างผม)
1. ถ้าเราเข้าใจในตัวธุรกิจโดยถ่องแท้แล้ว ผมว่าถือ 1 กิจการ ย่อมไม่ต่างกับถือ 10 กิจการ และถือ 1 กิจการจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้ถือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าถือ 10 กิจการ เราจะได้สิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาตั้งแต่อันดับ 2 จนถึง 10
2. แต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงคือ การถือแค่ 1 กิจการ จะทำให้เราอุ้ยอ้ายและปรับเปลี่ยนได้ช้ากว่า ถ้ามีปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันตรายมากครับ
3. อีกทั้งข้อ 1 มัน ideal มากครับ เราไม่ได้บริหารเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจดีมาก ๆ ผมคิดว่าถือ 10 กิจการโอกาสพลาดน่าจะน้อยกว่า สำหรับบุคคลภายนอกทั่ว ๆ ไป(อย่างผม)