amornkowa เขียน:ขอบคุณกับการแชร์ความรู้ดีๆคนับ เห็นมีพูดถึงcpfด้วย ปีนี้ยังไม่ไปไหนไกล ส่วน ทิ้งปตทสผ มองขาดจริงๆครับ
VI บ้าน ๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 903
เขินเลย น้องตู้นายมานะ เขียน:พี่นุชมีแชร์เรื่องประสบการณ์การลงทุนด้วย น่าสนใจมากๆ ครับ ไว้แชร์อีกนะครับ (แอบรออ่าน) ^^
เรื่องลงทุนพี่คงไม่ค่อยมีอะไรมาแชร์แล้วหละค่ะ
พี่ไม่มีอะไรหวือหวา ทำอะไรก็ทำแบบเดิมๆ อยู่อย่างนั้นแหละค่ะ
ความรู้ในการลงทุนเท่าๆ กับคนส่วนใหญ่ในห้องนี้แน่ๆ
(มั่นใจว่าไม่มากกว่า...เผลอๆ จะน้อยกว่าหลายๆ คนด้วยซ้ำ)
แต่รักษาเงินต้นเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ
.
ตอนออมเงิน เก็บเงินก็ท่องประโยคนึงจนขึ้นใจว่า "ออมได้ 1 บาท เท่ากับหาเพิ่มได้ 1 บาท"
พอมาลงทุนพี่เลยออกแนว conservative มากหน่อย และเตือนตัวเองเสมอว่า
"รักษาเงินต้นได้ 1 บาท เท่ากับทำผลตอบแทนเพิ่มได้ 1 บาท"
................
ที่จริงการลงทุนเป็นวิธีการ ที่พาเราไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ
คือการมี passive income พอเลี้ยงตัวได้
พี่ว่าทั้งมนุษย์เงินเดือนและคนทำธุรกิจส่วนตัว (ธุรกิจเล็กๆ)
ควรมีเป้าหมายแบบนี้ไว้บ้าง
................
เพราะพอถึงวันเกษียณ (สำหรับมนุษย์เงินเดือน)
หรือวันที่ทำไม่ไหว ลูกหลานไม่สืบทอด (สำหรับธุรกิจส่วนตัว)
หรือลูกหลานก็อยากสืบทอด แต่....สายป่านสั้น
เช่น ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง หรือร้านโชวห่วยประจำอำเภอ
ที่ไม่สามารถแข่งขันกับ Modern Trade สมัยใหม่ได้
แม้จะอยากสู้อย่างไร...บางทีก็สู้ไม่ไหว
.
อาจต้องปิดตัวเองลง ถ้าไม่มีอย่างอื่นรองรับอาจจะรวนได้ค่ะ
หรือชาวสวนยาง ถ้าตอนที่ยางราคาสูงแล้วเขาเก็บเงิน
มาลงทุนในอะไรก็ได้ที่สามารถสรา้ง passive income ให้ได้
พอวันที่ราคายางตกต่ำ...ก็อาจจะไม่รวนมากนัก
.
อาจจะเป็นหอพัก อพาร์ทเมนต์ ที่ดินทำเลดีๆ ให้เช่าทำธุรกิจ
อะไรอีกดี นึกไม่ออก หรือหุ้นของกิจการที่เติบโต เพื่อรับปันผล
.
พี่มองว่าการบริหารเงิน และการบริหารเป้าหมายชีวิตสำคัญที่สุด
เมื่อออกแบบชีวิตที่เราอยากจะเป็นแล้ว ก็ลงมือทำ
ซึ่งสามารถเลือกใช้วิธีการ และกระบวนการต่างๆ ตามถนัด
การลงทุนในหุ้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วย...
เป็นเครื่องมือที่ดีมากๆ เสียด้วย
เพราะเราสามารถหาความรู้เพิ่มได้ไม่ยากหากเราใส่ใจ
แต่ตอนทำความเข้าใจอาจยากหน่อย
แต่ก็ไม่เกินความพยายาม ของคนที่ตั้งใจจริงไปได้
ข้อดีมากๆ อีกข้อคือ สามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินน้อยๆ
.
ถ้าสร้างอพาร์ทเมนต์ หรือหอพัก หรือกู้ซื้อคอนโดให้เช่า
สร้างรีสอร์ท หรือแม้แต่ทำสวนปลูกพืชออแกนิคขาย
ล้วนแต่ต้องใช้เงินมากกว่าการลงทุนในหุ้น
สมมติว่าสร้างหอพัก มีเงิน 5 หมื่น สร้างไม่ได้
มีสัก 3 แสน ก็ยังสร้างไม่ได้
ถ้าเรามีเงินเริ่มต้นไม่มากนักก็ต้องกู้แบงค์
และการบริหารต้นทุนจะเปลี่ยนไปหมด
หากการลงทุนนั้นต้องมีดอกเบี้ยด้วย
.
แต่เงินเท่ากันนั้น เราสามารถนำมาลงทุนในหุ้นได้
เปลี่ยนจากการกู้เงินแบงค์มาทำธุรกิจ หรือ สร้างอพาร์ทเมนต์เอง ฯลฯ
ที่ต้องบริหารต้นทุนแบบที่มีดอกเบี้ยเอง
กำไร ขาดทุน ต้องคำนวณโดยหักต้นทุน ดอกเบี้ย ภาษี ฯลฯ
(เป็นหนี้เอง จ่ายดอกเบี้ยเอง พัลวันเลยหละ)
.
เปลี่ยนมาเป็นวิเคราะห์กิจการของบริษัทที่เราลงทุนแทน
มีหนี้ มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมากไหม กระแสเงินสดเป็นอย่างไรบ้าง
(ถ้าหนี้สินต่อทุนมากเกินเราก็ไม่เลือกลงทุนในกิจการนั้นๆ )
พี่มองว่าการลงทุนในหุ้นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทุกคน
..................
.
โดยส่วนตัวพี่นั้นจนถึงถึงวันนี้
ที่เล่าว่าปันผลพอเลี้ยงตัว พอจ่ายค่าเทอม
ในความเป็นจริง ก็ไม่ค่อยเอามันมาใช้หรอกค่ะ
วันนี้..ที่เรายังมีรายรับจากการทำงาน (แฟนพี่ยังทำงาน)
ทั้งค่าเทอม และค่าใช้จ่ายต่างๆ เราก็ยังเก็บเอง บริหารเอง
จากเงินรายรับนั้นแหละค่ะ...ยังประหยัดและออมเหมือนเดิม
(คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่ๆ...แต่ก็ยังประหยัดค่ะ)
.
ปันผลจากหุ้นที่บอกนั้น ก็ลงทุนเพิ่มไปเรื่อย
ความมีวินัยในการออม + มหัศจรรย์ของการทบต้น
จึงเป็นกำลังหลักที่เสริมการลงทุนของพี่ให้เติบโต
.
พี่ว่าพี่เดินไปช้าๆ แบบเต่า
แต่ไม่เคยถอยหลังเท่านั้นเองค่ะ
(ขอยืมคำของอาจารย์ ดร.นิเวศน์มาใช้ ^__^)
.
สิ่งที่สำคัญมากๆ อีกอย่างในการลงทุนคืออารมณ์ค่ะ
ไม่สามารถอธิบายละเอียดได้ แต่พี่ว่ามันมีผลมากที่สุด
.
ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ในความเห็นของพี่ อยากให้เครดิตกับ mind set
เจ้านี่แหละเป็นตัวกำหนดชีวิตของเราเลยค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 904
70 วิธีที่สร้างแรงบันดาลให้กับลูกไปจนตาย/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
คุณย่าของผู้เขียนเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียน ทั้งในด้านความทรงจำที่ดี ความอดทนและความมุ่งมั่นในการทำงาน ส่งทอดมายังคุณพ่อที่เลี้ยงดูผู้เขียน และคุณแม่ที่มักจะมีคำพูดดีๆที่เสริมสร้างกำลังใจเมื่อผู้เขียนรู้สึกท้อแท้ใจอยู่เสมอ คำพูดเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำและเป็นเหมือนยาวิเศษที่ใช้ได้ในวันที่จำเป็น เช่นเดียวกับเด็กๆ คำพูดเหล่านี้จะติดตัว และฝังอยู่ในใจของพวกเขาไปจนวันตาย คำพูดและการแสดงออกของพ่อแม่ที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับลูกมีดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจาก Creativewithkids.com)
1. ลูกเป็นที่รัก
2. พ่อแม่คิดถึงหนูทั้งวัน
3. โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะเมื่อมีลูกอยู่ด้วยนะ
4. พ่อแม่จะทำดีที่สุดที่จะทำให้ลูกปลอดภัย
5. ถึงพ่อแม่จะพูดว่าไม่แต่พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกไม่เปลี่ยนแปลง
6. พ่อแม่ว่าลูกทำได้
7. พ่อแม่ว่าลูกจะจัดการกับปัญหานี้ได้
8. ลูกเป็นเด็กสร้างสรรค์
9. ไว้ใจสัญชาตญาณที่ลูกมีนะ
10. ความคิดนี้ของลูกแจ๋วจริงๆ
11. สิ่งที่ลูกทำ มันดูยิ่งใหญ่มาก
12. จินตนาการของลูกน่าทึ่งจริงๆ
13. หนูควบคุมอารมณ์ได้ดี
14. หนูทำตัวเหนืออารมณ์ได้ดี
15. ลูกเป็นเพื่อนที่ดี
16. ลูกใจดีจริงๆ
17. ลูกไม่ต้องทำเหมือนเพื่อนคนอื่นเสมอไปนะ (หากเพื่อนเริ่มไม่เคารพกติกา)
18. การที่เพื่อนคนอื่นมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแต่ไม่ใช่ข้ออ้างที่ลูกจะทำตาม
19. ลูกไม่สมบูรณ์แบบ (แต่พ่อแม่ก็รักลูกเสมอ)
20. พ่อแม่ก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเช่นกัน
21. ลูกสามารถเปลี่ยนใจได้
22. เราสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเรา
23. เราสามารถขอความช่วยเหลือได้
24. คนเราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
25. ลูกกำลังเติบโต
26. พ่อแม่เชื่อลูก
27. พ่อแม่มีความเชื่อว่าลูกทำได้
28. ลูกหล่อ/สวย
29. ลูกเป็นคนน่าสนใจ
30. เมื่อลูกทำผิดแต่ลูกก็ยังเป็นที่รักของพ่อและแม่
31. เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อร่างกายของเรา
32. ลูกเป็นคนสำคัญ
33. ความคิดเป็นสิ่งสำคัญ
34. พ่อแม่เห็นลูกเรียนรู้ทุกๆวัน
35. ลูกทำให้ชีวิตของพ่อแม่แตกต่างไปจากเดิม
36. ลูกทำให้แม่มีความคิดใหม่ๆที่แตกต่างไปจากเดิม
37. มันน่าตื่นเต้นจริงๆในสิ่งที่ลูกกำลังจะทำ
38. ขอบใจนะที่ช่วยแม่
39. พ่อแม่ดีใจที่ลูกมาด้วย
40. สนุกจังเลยเมื่อมีลูกอยู่ด้วย
41. พ่อแม่ดีใจที่ได้คุยกับลูก
42. พ่อแม่พร้อมที่จะฟังลูกเสมอ
43. พ่อแม่กำลังฟังลูกอยู่นะ
44. พ่อแม่ดีใจที่มีลูกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
45. พ่อแม่ภูมิใจในลูกเสมอ
46. ลูกทำให้พ่อแม่ยิ้มได้
47. ลูกทำให้พ่อแม่หัวเราะเสมอ
48. พ่อแม่ขอโทษที่ทำผิดกับลูก
49. มีรหัสลับส่วนตัวที่รู้กันในครอบครัว เช่น ถ้ากระพริบตา 3 ครั้ง หมายความว่า “ ฉันรักเธอ”
50. เวลาพูดกับลูกให้มองตาลูกด้วย และจงพูดกับลูกในระดับสายตา
51. พูดว่าเรามีเรา
52. พ่อแม่รักลูกเสมอและตลอดไป
การจูบ หอมและกอดลูก
53. หอมลูกทุกวัน
54. หอมและกอดลูกแน่นๆ
55. กอดกันกลม
56. กอดแน่นๆ
57. พ่อกับแม่กอดกันมโดยให้ลูกอยู่ตรงกลาง
58. กอดลูกกับต้นไม้ พร้อมๆกัน
59. หอมแบบเอสกิโมโดยใช้จมูกชนกัน
60. หอมแบบผีเสื้อ โดยใช้ขนตากระพริบที่แก้มไปมา
61. หอมที่พุงแล้วเป่าลม
62. หอมที่มือลูก
63. หอมตรงหัวใจของลูก
64. หอมและกอดลูกทุกคืนและหลายๆครั้ง และถามว่าเต็มหรือยัง อย่าให้ลูกนอนหลับในเวลากลางคืนด้วยถังอารมณ์ที่ไม่เต็ม
65. เล่นเกมส่งจูบให้ลูกกลางอากาศ แล้วให้ลูกจับ
66. เอาตุ๊กตาตัวโปรดของลูกตั้งไว้ที่ประตู คอยต้อนรับการกลับบ้าน
67. เขียนรูปหัวใจที่ฝ่ามือลูก
68. เขียนข้อความสั้นๆเสริมกำลังใจ เช่น หนูเก่งมากที่ท่องศัพท์ได้ ติดที่ฝาผนัง ที่ห้องน้ำ ที่เตียงนอน ที่ตู้เย็น
69. ให้ลูกนอนใต้ผ้าห่มแล้วเล่นจั๊กจี้
70. ซ่อนของเล็กๆไว้บนต้นไม้ แล้วปีนต้นไม้ไปหากับลูก
คำพูดและการกระทำเหล่านี้อาจดูเหมือนว่า หากพูดมากๆแล้ว จะทำให้ความหมายของมันลดลงไป แต่ผู้เขียนเห็นว่าหากพูดและปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกสิ่งดูมีความหมายมากขึ้น และเมื่อลูกต้องเผชิญปัญหาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสอบ การสมัครเข้าทำงาน หรือการต้องไปสร้างครอบครัวของตัวเองในอนาคต เชื่อเถอะว่าลูกจะจดจำคำพูดและการกระทำเหล่านี้ได้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองมีกำลังในการสู้ต่อไป
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.a ... 0000146332
อยากถามพี่นุช ในสถานะที่มีประสบการณ์ อ่านบทความนี้แล้วคิดยังไงครับ
คุณย่าของผู้เขียนเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียน ทั้งในด้านความทรงจำที่ดี ความอดทนและความมุ่งมั่นในการทำงาน ส่งทอดมายังคุณพ่อที่เลี้ยงดูผู้เขียน และคุณแม่ที่มักจะมีคำพูดดีๆที่เสริมสร้างกำลังใจเมื่อผู้เขียนรู้สึกท้อแท้ใจอยู่เสมอ คำพูดเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำและเป็นเหมือนยาวิเศษที่ใช้ได้ในวันที่จำเป็น เช่นเดียวกับเด็กๆ คำพูดเหล่านี้จะติดตัว และฝังอยู่ในใจของพวกเขาไปจนวันตาย คำพูดและการแสดงออกของพ่อแม่ที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับลูกมีดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจาก Creativewithkids.com)
1. ลูกเป็นที่รัก
2. พ่อแม่คิดถึงหนูทั้งวัน
3. โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะเมื่อมีลูกอยู่ด้วยนะ
4. พ่อแม่จะทำดีที่สุดที่จะทำให้ลูกปลอดภัย
5. ถึงพ่อแม่จะพูดว่าไม่แต่พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกไม่เปลี่ยนแปลง
6. พ่อแม่ว่าลูกทำได้
7. พ่อแม่ว่าลูกจะจัดการกับปัญหานี้ได้
8. ลูกเป็นเด็กสร้างสรรค์
9. ไว้ใจสัญชาตญาณที่ลูกมีนะ
10. ความคิดนี้ของลูกแจ๋วจริงๆ
11. สิ่งที่ลูกทำ มันดูยิ่งใหญ่มาก
12. จินตนาการของลูกน่าทึ่งจริงๆ
13. หนูควบคุมอารมณ์ได้ดี
14. หนูทำตัวเหนืออารมณ์ได้ดี
15. ลูกเป็นเพื่อนที่ดี
16. ลูกใจดีจริงๆ
17. ลูกไม่ต้องทำเหมือนเพื่อนคนอื่นเสมอไปนะ (หากเพื่อนเริ่มไม่เคารพกติกา)
18. การที่เพื่อนคนอื่นมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแต่ไม่ใช่ข้ออ้างที่ลูกจะทำตาม
19. ลูกไม่สมบูรณ์แบบ (แต่พ่อแม่ก็รักลูกเสมอ)
20. พ่อแม่ก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเช่นกัน
21. ลูกสามารถเปลี่ยนใจได้
22. เราสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเรา
23. เราสามารถขอความช่วยเหลือได้
24. คนเราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
25. ลูกกำลังเติบโต
26. พ่อแม่เชื่อลูก
27. พ่อแม่มีความเชื่อว่าลูกทำได้
28. ลูกหล่อ/สวย
29. ลูกเป็นคนน่าสนใจ
30. เมื่อลูกทำผิดแต่ลูกก็ยังเป็นที่รักของพ่อและแม่
31. เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อร่างกายของเรา
32. ลูกเป็นคนสำคัญ
33. ความคิดเป็นสิ่งสำคัญ
34. พ่อแม่เห็นลูกเรียนรู้ทุกๆวัน
35. ลูกทำให้ชีวิตของพ่อแม่แตกต่างไปจากเดิม
36. ลูกทำให้แม่มีความคิดใหม่ๆที่แตกต่างไปจากเดิม
37. มันน่าตื่นเต้นจริงๆในสิ่งที่ลูกกำลังจะทำ
38. ขอบใจนะที่ช่วยแม่
39. พ่อแม่ดีใจที่ลูกมาด้วย
40. สนุกจังเลยเมื่อมีลูกอยู่ด้วย
41. พ่อแม่ดีใจที่ได้คุยกับลูก
42. พ่อแม่พร้อมที่จะฟังลูกเสมอ
43. พ่อแม่กำลังฟังลูกอยู่นะ
44. พ่อแม่ดีใจที่มีลูกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
45. พ่อแม่ภูมิใจในลูกเสมอ
46. ลูกทำให้พ่อแม่ยิ้มได้
47. ลูกทำให้พ่อแม่หัวเราะเสมอ
48. พ่อแม่ขอโทษที่ทำผิดกับลูก
49. มีรหัสลับส่วนตัวที่รู้กันในครอบครัว เช่น ถ้ากระพริบตา 3 ครั้ง หมายความว่า “ ฉันรักเธอ”
50. เวลาพูดกับลูกให้มองตาลูกด้วย และจงพูดกับลูกในระดับสายตา
51. พูดว่าเรามีเรา
52. พ่อแม่รักลูกเสมอและตลอดไป
การจูบ หอมและกอดลูก
53. หอมลูกทุกวัน
54. หอมและกอดลูกแน่นๆ
55. กอดกันกลม
56. กอดแน่นๆ
57. พ่อกับแม่กอดกันมโดยให้ลูกอยู่ตรงกลาง
58. กอดลูกกับต้นไม้ พร้อมๆกัน
59. หอมแบบเอสกิโมโดยใช้จมูกชนกัน
60. หอมแบบผีเสื้อ โดยใช้ขนตากระพริบที่แก้มไปมา
61. หอมที่พุงแล้วเป่าลม
62. หอมที่มือลูก
63. หอมตรงหัวใจของลูก
64. หอมและกอดลูกทุกคืนและหลายๆครั้ง และถามว่าเต็มหรือยัง อย่าให้ลูกนอนหลับในเวลากลางคืนด้วยถังอารมณ์ที่ไม่เต็ม
65. เล่นเกมส่งจูบให้ลูกกลางอากาศ แล้วให้ลูกจับ
66. เอาตุ๊กตาตัวโปรดของลูกตั้งไว้ที่ประตู คอยต้อนรับการกลับบ้าน
67. เขียนรูปหัวใจที่ฝ่ามือลูก
68. เขียนข้อความสั้นๆเสริมกำลังใจ เช่น หนูเก่งมากที่ท่องศัพท์ได้ ติดที่ฝาผนัง ที่ห้องน้ำ ที่เตียงนอน ที่ตู้เย็น
69. ให้ลูกนอนใต้ผ้าห่มแล้วเล่นจั๊กจี้
70. ซ่อนของเล็กๆไว้บนต้นไม้ แล้วปีนต้นไม้ไปหากับลูก
คำพูดและการกระทำเหล่านี้อาจดูเหมือนว่า หากพูดมากๆแล้ว จะทำให้ความหมายของมันลดลงไป แต่ผู้เขียนเห็นว่าหากพูดและปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกสิ่งดูมีความหมายมากขึ้น และเมื่อลูกต้องเผชิญปัญหาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสอบ การสมัครเข้าทำงาน หรือการต้องไปสร้างครอบครัวของตัวเองในอนาคต เชื่อเถอะว่าลูกจะจดจำคำพูดและการกระทำเหล่านี้ได้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองมีกำลังในการสู้ต่อไป
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.a ... 0000146332
อยากถามพี่นุช ในสถานะที่มีประสบการณ์ อ่านบทความนี้แล้วคิดยังไงครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 905
เห็นด้วยหมดเลยจ้า ตรงกับที่พี่ใช้อยู่jverakul เขียน:อยากถามพี่นุช ในสถานะที่มีประสบการณ์ อ่านบทความนี้แล้วคิดยังไงครับ
และได้เคยอธิบายลึกลงไปในวิธีการทั้งหมดเลย
เลี้ยงแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
แล้วสิ่งล่อใจภายนอกจะมาดึงเขาไปยาก
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง โลก online
.
ลูกพี่อยู่ช่วงวัยรุ่น เขามีตัวตนชัดเจน
และไม่ติดสิ่งภายนอกที่บอกเลยหละ
เห็นด้วยกับที่น้อง jverakul นำมาฝาก
มีประโยชน์มาก และสร้างตัวตนให้ลูกได้จริงๆ
.
เพื่อนๆ น้องๆ ที่มีลูกหรือกำลังจะมี
น่าจะนำไปใช้ค่ะ...ขอบคุณน้อง jverakul มากๆ เลยนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 906
ขอบคุณครับพี่นุชtheenuch เขียน:เห็นด้วยหมดเลยจ้า ตรงกับที่พี่ใช้อยู่jverakul เขียน:อยากถามพี่นุช ในสถานะที่มีประสบการณ์ อ่านบทความนี้แล้วคิดยังไงครับ
และได้เคยอธิบายลึกลงไปในวิธีการทั้งหมดเลย
เลี้ยงแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
แล้วสิ่งล่อใจภายนอกจะมาดึงเขาไปยาก
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง โลก online
.
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 907
อย่ามองหา “Time Machine ”
(Theenuch_Team Money Talk 4)
....................
หลายๆ ครั้ง เมื่อเห็นคนสำเร็จเรื่องใดๆ
หลายคนชอบบอกว่า “เขาโชคดีจังนะ”
...................
(แม้ยังไม่สำเร็จมากนัก) แต่เคยถูกทักแบบนี้อยู่บ้าง
เพราะเขาไม่เห็นตอนเราอดนอนทำงานพิเศษ
ไม่เคยรู้เรื่องที่เราประหยัดและขยันออมสุดๆ
ไม่เห็นเราอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ตอนเริ่มลงทุน
.
เวลาเจอศัพท์เฉพาะ ที่ไม่เข้าใจ...ก็ถามกูเกิ้ล
ค้น A_อ่าน A เจอ B...ค้น B ต่อ อ่าน B เจอ C
ก็ค้น C ต่อ อ่าน C เจอ D...ก็ค้น D ต่อ
.
"อ่าน แล้ว ค้น" และ "อ่าน แล้ว ค้น"
ดีที่ค้นมาเจอเว็บไซต์ thaivi.org
(สังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ที่ดีมากๆ)
และพบรายการ Money Talk ในช่วงต้นๆ เลย
(อ่านอื่นๆ ด้วย...แต่เน้นแนว VI เป็นหลักค่ะ )
.
ยิ่งค้น ยิ่งพบ...ก็ยิ่ง ”กระหายใคร่รู้” ใช้คำนี้ได้ค่ะ
คืนศุกร์-เสาร์ ที่รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด...อ่านจนเช้าประจำ
ความรู้ที่ได้นำมาจัดหมวดหมู่ แล้วต่อเป็นภาพใหญ่
.........................
คนที่สำเร็จเรื่องใดๆ ไม่ได้นั่ง Time Machine มา
เชื่อเถอะ...เขาผ่าน “การลงมือทำอย่างทุ่มเท” มาแน่
เพียงแต่เราอาจไม่เห็น...มาเห็นตอนเขาสำเร็จแล้ว
คือ เขาต้องทำเหตุมาดีแล้ว..จึงได้รับผลที่ (มักจะ) ดี
สอดคล้องกับหลัก...อิทัปปัจจยตา ที่นำมาฝากค่ะ
........................
ในช่วงชีวิตของเรา เคยมีเรื่องที่
มองย้อนแล้วรู้สึกเสียดายบ้างหรือไม่?
คือ "มันไม่ยาก แต่เรากลับไม่ทำ"
ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย..."รู้งี้" ทำซะก็ดี
ถ้าทำไปเมื่อปี สองปีก่อนป่านนี้.....
.
ยิ่งเรื่องที่ "เวลา" ช่วยสร้าง "พลังทบต้น" ได้
ถ้าปล่อยเวลาล่วงเลย...ยิ่งน่าเสียดาย
เช่น เรื่องการออม และการลงทุน
.
เขียนเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่า
เมื่อไม่มี Time Machine พาเราไปข้างหน้า
ก็ย่อมไม่มี Time Machine พาเราย้อนเวลา
กลับไปแก้ไขเรื่องใดๆ ได้เช่นกันค่ะ
...................
ใกล้ปีใหม่ 2558 แล้ว
อยากชวนตั้งเป้าหมายในใจว่า
เราจะทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดี
อยากสำเร็จเรื่องใด...ลงมือทำอย่างทุ่มเท
แล้วรอรับผลสำเร็จ (ไม่มาก..ก็น้อย) ได้เลยค่ะ
แล้วปลายปี 58 อย่าลืมมาเล่านะคะ
จะรอชื่นชมอยู่ตรงนี้ค่ะ
...................
หรือใครที่เคยลงมือทำเรื่องใดๆ อย่างจริงจัง
และได้รับผลดีๆ แล้ว...อยากมาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ก็ยินดีค่ะ ^__^
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
....................
หลายๆ ครั้ง เมื่อเห็นคนสำเร็จเรื่องใดๆ
หลายคนชอบบอกว่า “เขาโชคดีจังนะ”
...................
(แม้ยังไม่สำเร็จมากนัก) แต่เคยถูกทักแบบนี้อยู่บ้าง
เพราะเขาไม่เห็นตอนเราอดนอนทำงานพิเศษ
ไม่เคยรู้เรื่องที่เราประหยัดและขยันออมสุดๆ
ไม่เห็นเราอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ตอนเริ่มลงทุน
.
เวลาเจอศัพท์เฉพาะ ที่ไม่เข้าใจ...ก็ถามกูเกิ้ล
ค้น A_อ่าน A เจอ B...ค้น B ต่อ อ่าน B เจอ C
ก็ค้น C ต่อ อ่าน C เจอ D...ก็ค้น D ต่อ
.
"อ่าน แล้ว ค้น" และ "อ่าน แล้ว ค้น"
ดีที่ค้นมาเจอเว็บไซต์ thaivi.org
(สังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ที่ดีมากๆ)
และพบรายการ Money Talk ในช่วงต้นๆ เลย
(อ่านอื่นๆ ด้วย...แต่เน้นแนว VI เป็นหลักค่ะ )
.
ยิ่งค้น ยิ่งพบ...ก็ยิ่ง ”กระหายใคร่รู้” ใช้คำนี้ได้ค่ะ
คืนศุกร์-เสาร์ ที่รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด...อ่านจนเช้าประจำ
ความรู้ที่ได้นำมาจัดหมวดหมู่ แล้วต่อเป็นภาพใหญ่
.........................
คนที่สำเร็จเรื่องใดๆ ไม่ได้นั่ง Time Machine มา
เชื่อเถอะ...เขาผ่าน “การลงมือทำอย่างทุ่มเท” มาแน่
เพียงแต่เราอาจไม่เห็น...มาเห็นตอนเขาสำเร็จแล้ว
คือ เขาต้องทำเหตุมาดีแล้ว..จึงได้รับผลที่ (มักจะ) ดี
สอดคล้องกับหลัก...อิทัปปัจจยตา ที่นำมาฝากค่ะ
........................
ในช่วงชีวิตของเรา เคยมีเรื่องที่
มองย้อนแล้วรู้สึกเสียดายบ้างหรือไม่?
คือ "มันไม่ยาก แต่เรากลับไม่ทำ"
ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย..."รู้งี้" ทำซะก็ดี
ถ้าทำไปเมื่อปี สองปีก่อนป่านนี้.....
.
ยิ่งเรื่องที่ "เวลา" ช่วยสร้าง "พลังทบต้น" ได้
ถ้าปล่อยเวลาล่วงเลย...ยิ่งน่าเสียดาย
เช่น เรื่องการออม และการลงทุน
.
เขียนเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่า
เมื่อไม่มี Time Machine พาเราไปข้างหน้า
ก็ย่อมไม่มี Time Machine พาเราย้อนเวลา
กลับไปแก้ไขเรื่องใดๆ ได้เช่นกันค่ะ
...................
ใกล้ปีใหม่ 2558 แล้ว
อยากชวนตั้งเป้าหมายในใจว่า
เราจะทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดี
อยากสำเร็จเรื่องใด...ลงมือทำอย่างทุ่มเท
แล้วรอรับผลสำเร็จ (ไม่มาก..ก็น้อย) ได้เลยค่ะ
แล้วปลายปี 58 อย่าลืมมาเล่านะคะ
จะรอชื่นชมอยู่ตรงนี้ค่ะ
...................
หรือใครที่เคยลงมือทำเรื่องใดๆ อย่างจริงจัง
และได้รับผลดีๆ แล้ว...อยากมาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ก็ยินดีค่ะ ^__^
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 908
สวัสดีปีใหม่ ชาว VI บ้านๆ ทุกท่านค่ะ
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันแนวคิด และเรื่องราวดีๆ ที่มีให้กันมาตลอด เป็นประโยชน์ทั้งในการลงทุนและการใช้ชีวิตด้านต่างๆ
ขอบคุณคุณนุช ผู้จุดเทียนเพื่อส่งต่อความรู้คู่ความสุข ให้คนอื่นๆ
ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจ สุข สดใส และสมปรารถนาในสิ่งที่มุ่งหวังค่ะ
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันแนวคิด และเรื่องราวดีๆ ที่มีให้กันมาตลอด เป็นประโยชน์ทั้งในการลงทุนและการใช้ชีวิตด้านต่างๆ
ขอบคุณคุณนุช ผู้จุดเทียนเพื่อส่งต่อความรู้คู่ความสุข ให้คนอื่นๆ
ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจ สุข สดใส และสมปรารถนาในสิ่งที่มุ่งหวังค่ะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 909
ขอบคุณครับ สำหรับเนื้อหาสาระดีๆ ที่พี่ให้ในปีที่ผ่านมา 2557
ผมขอให้ปีนี้ 2558 และปีต่อไป
ขอให้พี่สุขภาพแข็งแรงนะครับ
HAPPY NEW YEAR 2015
ผมขอให้ปีนี้ 2558 และปีต่อไป
ขอให้พี่สุขภาพแข็งแรงนะครับ
HAPPY NEW YEAR 2015
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 910
ขอบคุณพี่หมออ้อและน้องบอยนะคะ
.
สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ ทุกคนค่ะ
นำของขัวญปีใหม่จาก อาจารย์ ดร.ไพบูลย์ มาฝากค่ะ
อ่านแล้วดีมากๆ เลยค่ะ...อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านด้วยค่ะ
.................
ของขวัญปีใหม่ครับ
บทความของ คุณ พศิน อินทรวงค์ สาธุครับ
"12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา" !!!!!
.................
1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ
ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมี...จริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง
ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา
ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้
เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ
คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ
.
2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน
คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด
แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้
ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา
.
3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ
กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้
โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ
เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก
.
4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป
ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ
มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด
สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้
.
5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง
วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง
เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย
.
6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด
นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ
ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้
.
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง
.
7. ทำๆ เลิกๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ
หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน
ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต
เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น
ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย
.
8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี
แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ
จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก
ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร
หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้
.
9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต
คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ
จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลย์ชีวิตอีกครั้ง
เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี
เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้
.
10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว
นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม
ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์
แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย
.
11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า
เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง
ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์
เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม
เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง
เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย
เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน
.
12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด
ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา
คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้
คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า
มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว
คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม
.................
การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด
เพราะการเวี่ยนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล
เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์
ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย
และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล
.
สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ ทุกคนค่ะ
นำของขัวญปีใหม่จาก อาจารย์ ดร.ไพบูลย์ มาฝากค่ะ
อ่านแล้วดีมากๆ เลยค่ะ...อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านด้วยค่ะ
.................
ของขวัญปีใหม่ครับ
บทความของ คุณ พศิน อินทรวงค์ สาธุครับ
"12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา" !!!!!
.................
1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ
ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมี...จริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง
ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา
ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้
เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ
คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ
.
2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน
คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด
แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้
ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา
.
3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ
กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้
โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ
เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก
.
4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป
ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ
มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด
สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้
.
5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง
วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง
เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย
.
6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด
นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ
ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้
.
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง
.
7. ทำๆ เลิกๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ
หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน
ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต
เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น
ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย
.
8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี
แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ
จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก
ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร
หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้
.
9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต
คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ
จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลย์ชีวิตอีกครั้ง
เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี
เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้
.
10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว
นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม
ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์
แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย
.
11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า
เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง
ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์
เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม
เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง
เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย
เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน
.
12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด
ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา
คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้
คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า
มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว
คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม
.................
การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด
เพราะการเวี่ยนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล
เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์
ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย
และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 911
“ความแน่นอน” คือ “ความไม่แน่นอน”
(theenuch_Team Money Talk 4)
........................ หลายเรื่องในชีวิตดูเผินๆ เหมือนจะแน่นอน
แต่...ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
.......................
ก่อนปีใหม่ ไปเที่ยวเหนือมาค่ะ
ขากลับใช้เส้นทางแม่ฮ่องสอน แม่สะเรียง เชียงใหม่
ทางหลวง 108 ขับลงเขา ก่อนถึงออบหลวง
โค้งหักศอก (กว่าในภาพ) รถพ่วง 18 ล้อ ที่สวนมา
บีบแตรและกระพริบไฟสูงถี่ๆ เลยค่ะ
.
มองกระจกหลังไม่มีรถตาม ไม่มีสิ่งผิดปกติ
สิ่งที่เขาเตือนไม่อยู่หลังรถเราแน่...
หรือว่าจะอยู่ "ด้านหลังรถเขา"
.
สิ่งที่รถบรรทุกเห็น ทางกระจกข้างของเขา
แต่เราไม่สามารถเห็น คือ รถกระบะด้านหลัง
ที่เริ่มแซงขึ้นมา พออยู่ในจุดที่สามารถมองเห็น
รถกระบะแซงมาครึงคันของรถพ่วง..เต็มเลนเราเลย
.
ดีที่ผู้เขียนเชื่อการเตือนของรถบรรทุก
จึงลดความเร็วลง...มากเท่าที่จะไม่เสียหลัก
พร้อมเบี่ยงออกซ้าย...มากเท่าที่จะไม่ตกถนน
แม้ยังไม่เห็นรถกระบะคันดังกล่าวก็ตาม
.
รถบรรทุกเอง...ก็ช่วยชะลอความเร็วให้ด้วย
เลยมีช่องพอให้รถกระบะคันนั้น หักกลับไปได้
“รอดจากการประสานงา" อย่าง "หวุดหวิด”
.....................
ไม่ทราบจะขอบคุณคนขับรถบรรทุกได้อย่างไร
จึงอยากนำความปรารถนาดีของเขามาส่งต่อ
เพื่อเตือนผู้ที่ขับรถทุกๆ ท่านค่ะ
.
แม้เราจะ “ถูก / อยู่ในเลนตัวเอง” ก็อย่าได้วางใจ
ถ้าทุกคนทำสิ่งที่ “ควร” คงไม่มีอุบัติเหตุมากเช่นนี้
......................
ไม่เฉพาะกรณีนี้ค่ะ หลายกรณีในท้องถนน
แม้จะเป็นฝ่ายถูกก็ควรหัด "ยอมให้เป็น" บ้าง
บางครั้งก็เพื่อป้องกันเหตุสลดที่เห็นในข่าวบ่อยๆ
เช่น ขับปาดไปมา ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูก
จบลงด้วยการทะเลาะวิวาท หรือถึงแก่ชีวิตก็มี
ไปไม่ถึงจุดหมาย...ที่ตั้งใจจะขับรถไปเสียแล้ว
.
Share ให้ญาติ เพื่อน และคนที่เรารัก ด้วยยิ่งดีค่ะ
ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับจากเที่ยวปีใหม่...โดยปลอดภัยค่ะ
><><><><><
หมายเหตุ -
.
วัตถุประสงค์การขับรถ เพื่อไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ระหว่างทางอาจต้องยอมถอย หรือใช้ทางเบี่ยงบ้าง
ขอให้มีสติ...และท่องเป้าหมายของเราไว้ค่ะ
.
เช่นเดียวกับการลงทุน เราลงทุนเพื่อจุดหมายใด
ระหว่างทางตลาดหุ้นอาจจะผันผวนบ้าง
ก็ขอให้มีสติ..และท่องเป้าหมายของเราไว้เช่นกันค่ะ
.
(theenuch_Team Money Talk 4)
........................ หลายเรื่องในชีวิตดูเผินๆ เหมือนจะแน่นอน
แต่...ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
.......................
ก่อนปีใหม่ ไปเที่ยวเหนือมาค่ะ
ขากลับใช้เส้นทางแม่ฮ่องสอน แม่สะเรียง เชียงใหม่
ทางหลวง 108 ขับลงเขา ก่อนถึงออบหลวง
โค้งหักศอก (กว่าในภาพ) รถพ่วง 18 ล้อ ที่สวนมา
บีบแตรและกระพริบไฟสูงถี่ๆ เลยค่ะ
.
มองกระจกหลังไม่มีรถตาม ไม่มีสิ่งผิดปกติ
สิ่งที่เขาเตือนไม่อยู่หลังรถเราแน่...
หรือว่าจะอยู่ "ด้านหลังรถเขา"
.
สิ่งที่รถบรรทุกเห็น ทางกระจกข้างของเขา
แต่เราไม่สามารถเห็น คือ รถกระบะด้านหลัง
ที่เริ่มแซงขึ้นมา พออยู่ในจุดที่สามารถมองเห็น
รถกระบะแซงมาครึงคันของรถพ่วง..เต็มเลนเราเลย
.
ดีที่ผู้เขียนเชื่อการเตือนของรถบรรทุก
จึงลดความเร็วลง...มากเท่าที่จะไม่เสียหลัก
พร้อมเบี่ยงออกซ้าย...มากเท่าที่จะไม่ตกถนน
แม้ยังไม่เห็นรถกระบะคันดังกล่าวก็ตาม
.
รถบรรทุกเอง...ก็ช่วยชะลอความเร็วให้ด้วย
เลยมีช่องพอให้รถกระบะคันนั้น หักกลับไปได้
“รอดจากการประสานงา" อย่าง "หวุดหวิด”
.....................
ไม่ทราบจะขอบคุณคนขับรถบรรทุกได้อย่างไร
จึงอยากนำความปรารถนาดีของเขามาส่งต่อ
เพื่อเตือนผู้ที่ขับรถทุกๆ ท่านค่ะ
.
แม้เราจะ “ถูก / อยู่ในเลนตัวเอง” ก็อย่าได้วางใจ
ถ้าทุกคนทำสิ่งที่ “ควร” คงไม่มีอุบัติเหตุมากเช่นนี้
......................
ไม่เฉพาะกรณีนี้ค่ะ หลายกรณีในท้องถนน
แม้จะเป็นฝ่ายถูกก็ควรหัด "ยอมให้เป็น" บ้าง
บางครั้งก็เพื่อป้องกันเหตุสลดที่เห็นในข่าวบ่อยๆ
เช่น ขับปาดไปมา ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูก
จบลงด้วยการทะเลาะวิวาท หรือถึงแก่ชีวิตก็มี
ไปไม่ถึงจุดหมาย...ที่ตั้งใจจะขับรถไปเสียแล้ว
.
Share ให้ญาติ เพื่อน และคนที่เรารัก ด้วยยิ่งดีค่ะ
ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับจากเที่ยวปีใหม่...โดยปลอดภัยค่ะ
><><><><><
หมายเหตุ -
.
วัตถุประสงค์การขับรถ เพื่อไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ระหว่างทางอาจต้องยอมถอย หรือใช้ทางเบี่ยงบ้าง
ขอให้มีสติ...และท่องเป้าหมายของเราไว้ค่ะ
.
เช่นเดียวกับการลงทุน เราลงทุนเพื่อจุดหมายใด
ระหว่างทางตลาดหุ้นอาจจะผันผวนบ้าง
ก็ขอให้มีสติ..และท่องเป้าหมายของเราไว้เช่นกันค่ะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 912
ขออนุญาตนำมาจากกระทู้ในคลังกระทู้คุณค่าค่ะ
อยากนำมาฝากเผื่อใครที่อาจหลงตาไป อยากให้ทุกๆ คนได้อ่าน
เพื่อย้ำให้พวกเราอยู่กับร่องกับรอย และสามารถยึดมั่นอยู่ใน
"กรอบความคิดที่ถูกต้อง จะช่วยให้เรายืนหยัดได้ในระยะยาว"
ตามที่นายกโจของพวกเราได้บอกไว้ค่ะ
.
โดยส่วนตัวอ่านซ่้ำหลายรอบและบางย่อหน้าโดนใจระดับลึกค่ะ
ไม่ได้หมายถึงแค่การลงทุน แต่คือวิถีชีวิตและแนวคิด
ที่นำไปสอนลูกหลานได้ด้วยค่ะ (ควรจะสอนเลยหละ)
.
ขอขอบคุณนายกโจด้วยค่ะ
...................
ที่มาจากกระทู้นี่ค่ะ
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... start=2640
อยากนำมาฝากเผื่อใครที่อาจหลงตาไป อยากให้ทุกๆ คนได้อ่าน
เพื่อย้ำให้พวกเราอยู่กับร่องกับรอย และสามารถยึดมั่นอยู่ใน
"กรอบความคิดที่ถูกต้อง จะช่วยให้เรายืนหยัดได้ในระยะยาว"
ตามที่นายกโจของพวกเราได้บอกไว้ค่ะ
.
โดยส่วนตัวอ่านซ่้ำหลายรอบและบางย่อหน้าโดนใจระดับลึกค่ะ
ไม่ได้หมายถึงแค่การลงทุน แต่คือวิถีชีวิตและแนวคิด
ที่นำไปสอนลูกหลานได้ด้วยค่ะ (ควรจะสอนเลยหละ)
.
ขอขอบคุณนายกโจด้วยค่ะ
...................
ที่มาจากกระทู้นี่ค่ะ
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... start=2640
ลูกอิสาน เขียน:ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2558 พี่ๆ น้องๆ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่มุข พี่ชาย พีเจ๋ง พี่นริศ พี่พอใจ ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย สุขกาย สบายใจ ตลอดปีตลอดไปครับ
ปี 2557 ที่ผ่านไป เป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นไทย มีหลายเหตุการณ์ที่ควรพูดถึง ตั้งแต่ต้นปีประเทศเรายังเผชิญปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การประท้วงอย่างต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน นักเที่ยวเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนนักธุรกิจ เป็นครั้งแรกๆที่การเมืองส่งผลต่อเศรษกิจอย่างมีนัยสำคัญ จวบจนกลางปีเมื่อสถานการณ์สุกงอม ทหารได้เข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง ทุกอย่างเริ่มนับหนึ่งใหม่ ระหว่างปีดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1224-1603 จุด ผันผวนถึง 400 จุด เปิดตลาดวันแรกของปีดัชนีลดลงทันที 5% หรือ 70 จุด เนื่องจากกลุ่มม็อบ กกปส.ประกาศปิดกรุงเทพ แต่หลังจากนั้นตลาดค่อยๆกระเตื้องในขาขึ้นติดต่อกันนานหลายเดือน ทั้งที่สภาวะเศรษฐกิจจริง GDP เติบโตต่ำสุดในรอบหลายปี และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ช่วงปลายปีดัชนีลดลงอย่างรวดเร็ว 200 กว่าจุดจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็ว [ขอย้ำว่าหุ้นตก เพราะราคาน้ำมันลดลง] ประกอบกับข่าวลือต่างๆ จบสิ้นปีดัชนีปิดที่ 1497.67 เพิ่มขึ้น 200 จุดหรือ 15.32% รวมปันผล 3.05% ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 18.37% ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีอันดับต้นๆของโลกรองจากตลาดหุ้นอินเดีย
ในปีนี้หุ้นกลุ่มที่อยู่ในกระแสคือหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนอาทิ แสงอาทิตย์ พลังลม ชีวมวล หุ้นบางตัวกลุ่มนี้พีอีสูงเหลือเชื่ออย่างน่าสงสัย หลายๆบริษัทแค่ออกข่าวว่าจะไปทำโซล่าเซลล์ ราคาหุ้นก็พุ่งทันที ว่ากันว่าหากรวมจำนวน MW ไฟฟ้าที่ทุกๆบริษัทออกข่าวว่าจะได้สัญญาจากรัฐ มากกว่าตัวเลขที่รัฐประกาศจะเปิดให้สัมปทานหลายเท่าตัว ชัดเจนว่าหลายบริษัทคุยโม้โอ้อวดเกินจริงและจะต้องผิดหวัง หุ้นกลุ่มที่ทำได้ดีปานกลางคือกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มส่งออก ส่วนหุ้นกลุ่มที่ทำผลงานได้แย่เป็นส่วนใหญ่คือกลุ่มที่เน้นการบริโภคในประเทศ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มพลังงาน กลุ่มบริโภคได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง และราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำเช่น ข้าว ยาง ปาล์ม การยกเลิกนโยบายการจำนำข้าวของรัฐ ปัญหาสินค้าล้นตลาดของทั้งยางและปาล์มทำให้ราคาตลาดที่ชาวสวนขายได้ลดลง ซ้ำเติมด้วยราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลต่อพืชพลังงานราคาลดลงด้วย ในกลุ่มท่องเที่ยว ปัญหาการเมืองและปัญหาในกลุ่มประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวหลัก ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากปีก่อนติดต่อกันถึง 9 เดือน ก่อนเริ่มกระเตื้องขึ้นในเดือนตุลาคม คาดว่าปี 2557 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงเกือบ 10% ด้านกลุ่มพลังงานมีผลดำเนินงานปกติจวบจนครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงในไตรมาสสุดท้าย จากปัญหาการแข่งขันราคาระหว่างน้ำมันจากผู้ผลิตในสหรัฐที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน และผู้ผลิตจากตะวันออกกลาง บวกประเทศนอกกลุ่มโอเปค ที่ผลิตด้วยวิธี conventional drill สถานการณ์ดูจะยืดเยื้อไปในปี 2558
ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีหลายเหตุการณ์ที่ต้องพูดถึง ประการแรกคือ “ฟองสบู่หุ้น IPO” เริ่มขึ้นจากจากสภาวะตลาดหุ้นที่ดีต่อเนื่องติดต่อมาหลายปี ราคาหุ้นทรงตัวในราคาสูง เป็นสภาวะที่สมบูรณ์แบบสำหรับเจ้าของกิจการ เป็น “โอกาสทอง”ที่จะเข็นบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หลายบริษัทสามารถขายหุ้นได้แพงอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ก่อตั้งบริษัทหลายคน ลงทุนธุรกิจด้วยเงินหลักร้อยล้านแต่กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านทันที ทันใดที่หุ้นเข้าตลาด หลายคนเพิ่งรับรู้ว่าความมั่งคั่งของตัวเองมีมากแค่ไหน สถาณการณ์อย่างนี้ยิ่งเร่งเร้าให้เจ้าของกิจการคู่แข่งอยากเข้าตลาดบ้าง เพราะทนเห็นคนอื่นรวยไม่ไหว หรือไม่ก็กังวลที่คู่แข่งแข็งแกร่งขึ้นจากเงินระดมทุนที่ไม่มีต้นทุน ในขณะที่นักลงทุนมอง หุ้น IPO กลายเป็นหุ้นทองคำ เพราะราคาของหุ้นเล็กๆหลายตัวเพียงเข้าตลาดราคาขยับขึ้นไปอีก 2-3 เท่าตัว นักลงทุนบางคนถึงกับลงทุนเทรดหุ้นเพื่อสร้างวอลุ่มอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อให้ได้โควต้าหุ้น IPO เยอะๆ แต่นี่คือกลยุทธ์ที่ถูกต้องหรือไม่ นักลงทุนหวังว่าจะนำแบงค์ 100 ไปแลกเป็นแบงค์ 1,000 แต่กลับพบว่าตัวเองแลกได้มาแค่แบงค์ 20 ก็ในเมื่อทุกคนคิดและทำแบบเดียวกัน การซื้อๆขายๆมากขึ้นหมายถึงคอมมิสชั่นที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น และการซื้อขายบ่อยๆนั้นก็มีโอกาสขาดทุนสูง ในขณะที่หุ้นไอพีโอที่ขายราคาแพงอยู่แล้ว กลายเป็นหุ้นที่แพงอย่างไม่สมเหตุสมผลเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเข้าตลาด แน่นอนว่าเมื่อไม่มีกำไร-ผลประกอบการรองรับ [มีแต่สายลม แสงแดด และความฝัน ] ไม่ช้าก็เร็ว คนที่เข้าไปซื้อเพื่อเก็งกำไร จะได้บทเรียนที่เจ็บปวด ซึ่งเริ่มจะเห็นแล้วในหุ้นบางตัว ตัวผมเองได้รับหุ้นไอพีโอหลายตัวและส่วนใหญ่ได้กำไรค่อนข้างดี แต่ไม่มีนัยยะสำคัญต่อพอร์ตรวม ในมุมมองนักลงทุนวีไอ หุ้นไอพีโอราคาแพง เป็นแค่ ”นายตลาดอารมณ์ดี” ที่เราสามารถหาประโยชน์ได้ ก็เท่านั้น
แต่ในมุมมองของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายนัก ตราบใดที่เกิดการระดมทุน [ซึ่งเป็นจุดประสงค์ในการก่อตั้งตลาดหุ้น] ก็ถือว่างานบรรลุเป้าหมาย ตลอดทั้งปีมีหุ้นใหม่เข้าตลาดประมาณ 40 บริษัท ทำให้ตัวเลขบริษัทในตลาดหุ้นสิ้นปีจะมีประมาณ 615 บริษัท สูงสุดในรอบ 39 ปี [ไม่เลวร้ายนัก หากเราจะคิดว่ามีสาวสวย- หนุ่มหล่อ ให้เลือกตั้ง 615 คน ดีกว่าชีวิตจริงเยอะ ]
อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือเรื่อง “หุ้นปั่น” http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=57586 พูดได้ว่าทั้งปี 2557 เป็นยุคหุ้นต้มตุ๋นครองเมือง หุ้นบางตัวราคาขึ้น 10-20 เท่าในระยะเวลาไม่นาน บางตัวมีส่วนทุนหลักร้อยล้าน แต่มูลค่าตลาดหมื่นล้าน [เจอได้เฉพาะตลาดหุ้นไทย] แน่นอนว่าทุกบริษัทอธิบายความไม่สมเหตุสมผล ด้วยเหตุผลที่ดูดีมีเหตุผล ปัจจัยเดียวที่ทำไมการปั่นหุ้นยังทำสำเร็จนั่นเพราะคนนักลงทุนยังมีความโลภ และแน่นอนว่าเป็นความโลภที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่ทำให้มนุษย์ลืมเหตุ ลืมผล ลืมตัว กลัวตาย ได้เท่ากับความโลภอีกแล้ว หลายคนที่เข้าไปเล่นหุ้นเหล่านี้ ส่วนใหญ่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นหุ้นปั่น แต่คิดว่าจะหนีจ้าวมือได้ทัน [เหมือนหนูที่มันคิดว่าจะรอดจากฟ้าทับเหวได้ ] แต่โลกอาจไม่ได้สวยอย่างที่คิด ผมไม่เคยเห็นคนรวยเพราะเล่นหุ้นปั่น [แต่เคยเห็นคนที่รวยเพราะปั่นหุ้น] นักลงทุน ควรตั้งคำถามว่าตัวเอง “มีปัจจัยอะไร” ที่ทำให้ได้เปรียบจ้าวมือปั่นหุ้นบ้าง ทั้งปริมาณเงิน ข่าวสาร การเข้าถึงข้อมูล เครือข่ายผลประโยชน์ เช่น สื่อ ถ้านักลงทุนรายย่อยได้เปรียบ เก่งกว่าจ้าวมือ แล้วจ้าวมือจะรวยได้อย่างไร ที่เห็น ใครมักขาดทุน นักลงทุนวีไอบางคนก็เข้าไปเล่นหุ้นปั่นด้วย เพราะคิดว่าการเกาะกระแสหุ้นปั่นจะสร้างผลตอบแทนได้สูงๆ และยังเชื่อมันว่าเค้ามีวิธีที่จะเอาชนะจ้าวมือได้ ทุกอย่างอาจจะสำเร็จในครั้งแรกๆแต่นั่นเป็น ”ความสำเร็จเพื่อที่จะล้มเหลว” คนที่ลองยาเสพติดครั้งแรก มัก”ติด”เพราะมันให้ความสุขสุดๆ เราคิดว่าเราแน่ เราจะเลิกมันเมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ แต่ในความเป็นจริงมันเข้าง่ายออกยาก บางคนจะไม่ได้ออกไป ในระยะยาวการเล่นหุ้นปั่นจะรับประกันการสูญเงิน แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือเราได้สูญเสีย “สิ่งที่หวงแหนที่สุด” ไปแล้ว และมันยากที่จะได้กลับคืนฟ้าทับเหว
ม้าเฉียว 09/02/2005
ฟ้าทับเหว เป็นเครื่องมือจับตาย ที่ใช้จับ(ฆ่า) หนูตามบ้าน ใครที่อายุมากหน่อยน่าจะยังรู้จัก ฟ้าทับเหว มีไม้แผ่นบนรูปทรงสี่เหลี่ยมที่หนาและหนัก เหมือนเป็นฟ้า ส่วนไม้แผ่นล่างที่เป็นฐานรอง และมีฝาประกบ 2 ด้าน เหมือนเป็นเหว เมื่อหนูเข้าไปกินอาหารที่วางเสียบไว้ในเหว ฟ้าจะหล่นลงมาทับหนูจนแหลกเหลวทันที พร้อมๆ กับมีเสียงกระแทกดัง เสียงจะเป็นตัวบอกให้คนดักรู้ เพื่อเอาซากหนูไปฝังทำลาย
เสียงกระทบกระแทกที่ดังลั่น ยังมีผลให้หนูตัวอื่นๆ แตกตื่นจนวิ่งไปติดเครื่องมือดักหนูอันอื่นๆ ก็มี ซึ่งเป็นเทคนิคเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการจับดักอีกทางหนึ่ง ฟ้าทับเหว เป็นฟ้าที่ลิขิตที่อยู่ (กิน) ที่ตายของหนู เป็นฟ้าที่คนจับต้องและควบคุมได้เต็มที่
ในตลาดหุ้นบ้านเรา มีฟ้าทับเหวอยู่หลายอัน บางอันก็วางอาหารที่หอมหวนเสียนี่กระไร บางอันก็เย้ายวนใจให้ทดสอบฝีไม้ลายมือและความเร็วของหนู และบางอันพินิจพิจารณาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นฟ้า ไม่เห็นเหว ผมก็เป็นหนูตัวหนึ่ง แต่ผมยินดีไปหากินตามท้องไร่ท้องนาห่างไกลผู้คนที่มีแต่ความสงบ ผมไม่กล้าที่จะไปหากินในบ้านคนที่ไม่รู้จะมีฟ้าทับเหวอยู่กี่อัน แม้บ้านบางหลังดูจะปลอดภัยดี เพราะมีหนูมากมายอาศัยอยู่
ผมอาจจะเป็นหนูที่ขี้ขลาด แต่ผมคิดว่า ไม่ว่าหนูจะฝึกพลังขาของตนให้สามารถวิ่งได้เร็วเท่าไหร่ก็ตาม ผมก็ไม่เคยเห็นหนูตัวไหนที่เมื่อเผลอไปกินอาหารในฟ้าทับเหว แล้วไม่ถูกฟ้าทับ และเป็นการทับที่ไม่ให้โอกาสแก้ตัวใหม่เลยแม้แต่น้อยซะด้วย หนูตัวไหนอาจหาญจะไปทำมาหากินในบ้านที่วางฟ้าทับเหวไว้หลายอันก็ไม่ว่า แต่ในร้อยครั้ง พันครั้งที่เราไปหากินในบ้านนั้น แล้วก็รอดมาซะทุกครั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่า ครั้งไหนจะเป็นครั้งที่เรา...จบเห่
หมายเหตุ: พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
จบเห่ แปลว่า ยุติ, ตาย
ปีนี้พอร์ตส่วนตัวทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี ส่วนนึงเพราะตลาดโดยรวมดี และสไตร์การลงทุนที่เน้นถือหุ้นขนาดกลางและเล็ก ได้รับประโยชน์จากสภาวะตลาดที่มีการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าวสูง โชคดีส่วนนึงถูกชดเชยด้วยอุบัติเหตที่เกิดกับหุ้นบางตัว ชีวิตการลงทุนเราจะเจอโชคดีและร้ายเสมอ แต่กรอบความคิดที่ถูกต้อง จะช่วยให้เรายืนหยัดได้ในระยะยาว แนวคิดการคัดเลือกหุ้นส่วนใหญ่ยังคงเดิมคือซื้อหุ้นคุณภาพดี ราคาไม่แพง แต่เริ่มปรับมาถือหุ้นที่คุณภาพดีมาก ในราคาสมเหตุสมผลบ้าง เหตุผลเพราะหุ้นแบบแรกเริ่มหาได้ยาก ระหว่างปีไม่มีการใช้เงินกู้ยืมมาซื้อหุ้น หากมีก็จะถือเงินสดมากกว่าเพื่อปกป้องเสมอ มีการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงบ้างในช่วงที่ตลาดอยู่ในสถาวะดีผิดปกติ แนวคิดการจัดพอร์ตหุ้นเป็นแบบ Cocktail Portfolio คือพยายามเลือกหุ้นที่ดี ต่ำกว่ามูลค่า แต่เนื่องจากเราไม่รู้ว่าตลาดจะรับรู้เมื่อไหร่ ดังนั้นการกระจายถือหุ้นแบบนี้หลายๆตัวเป็นกลุ่มหุ้น (เกือบๆ 30 ตัว) จะเพิ่มโอกาสที่เราจะเจอหุ้นแจ็กพ็อต ในแต่ละปี แค่ 3-4 ตัวก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง และพอร์ตรวมจะเติบโตอย่างสม่ำเสมอไม่หวือหวา มุมมองเรื่องกำไร แน่นอนยังเน้นการเติบโตของพอร์ต แต่ไม่ใช่เพื่อเติบโตให้มากที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยงสูงๆ สิ่งที่นักลงทุนควรทำคือเน้นการเติบโตสูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่น้อยสุดหรือความเสี่ยงที่จัดการได้ หากเราได้ยินว่าใครทำผลตอบแทนได้สูงๆอย่างไม่น่าเชื่อ ควรตั้งคำถามต่อไปว่า ผลตอบแทนนั้นแลกมาด้วยความเสี่ยงระดับใด ถูกกฎหมายหรือไม่ หากเสี่ยงมาก คนที่ทำได้อาจจะแค่ “โชคดี” ที่รอดมาได้ ใครจะรู้ว่าหากยังรับความเสี่ยงมากๆ ปีไหนที่อาจจะ “จบเห่” สิ่งที่เราต้องการคือสิ่งที่ปรมาจารย์แกรแฮมสั่งสอนไว้ “ผลตอบแทนที่เหมาะสมและสามารถรักษาเงินต้นได้” เป็นระยะเวลา 15 ปีที่เดินในเส้นทางหุ้นเน้นคุณค่า มีทั้งสุขและทุกข์เคล้ากันไป [แน่นอนสุขเยอะกว่ามาก] ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาได้ไกลขนาดนี้ เหตุผลเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้นั่นคือเลือกอาจารย์ถูกคน บวกขยัน อดทน ควบคุมอารมณ์ให้สามารถคิดแบบเหตุและผล เงินทองจะไหลมาเทมาเอง
ในปีนี้ ผมได้ตัดสินใจในบางเรื่องที่ยากลำบากสำหรับชีวิตนักลงทุน เราทราบกันดีทั่วไปว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่าสิ่งที่มีค่ามากคือ “ข้อมูลของกิจการ” เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์อีกทอดนึง หากเราเข้าถึงข้อมูล มากเท่าไหร่ นี่หมายถึงผลตอบแทนที่มากขึ้นเท่านั้น ในเมื่อ ข้อมูล = ผลตอบแทน สิ่งที่ตามมาคือการแสวงหาข้อมูล ในอดีตคนที่รู้ข้อมูลกิจการดีที่สุดคือผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้เกี่ยวข้องเช่น ฝ่ายบริหาร กรรมการ พนักงาน ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้ตรวจสอบบัญชี ในฟากนักลงทุนเริ่มจาก “ผู้จัดการกองทุน นักลงทุนสถาบัน” เช่น สปส.,กบข.,ประกันชีวิต,Hedge fund ที่มีเงินมาก สามารถเข้าถึงผู้บริหารได้ง่ายดาย ต่อมาคือ “นักวิเคราะห์” ที่ควรจะต้องทำงานด้วยจรรยาบรรณเข้าพบผู้บริหารและเขียนงานวิจัยเผยแพร่ให้กับนักลงทุน [แต่น่าแปลกที่หุ้นวิ่งไปก่อนงานวิจัยออกแทบทุกที] ในปัจจุบันสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงคือ”นักลงทุนรายใหญ่” เริ่มเรียนรู้วิธีที่จะขอเข้าพบ พูดคุยกับผู้บริหาร โดยไม่ต้องอาศัยนักวิเคราะห์เป็นตัวกลางอีกต่อไป ฟากผู้บริหารก็มักเต็มใจ หากรายใหญ่เข้าซื้อ ราคาหุ้นอาจขึ้นไปได้มาก และท้ายสุดนักลงทุนรายย่อยที่ในอดีตไม่มีแต้มต่อ ได้สร้างอำนาจต่อรอง โดยรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นสมาคม นัดแนะกันขอเข้าพบพูดคุยกับผู้บริหาร ( CV –company visit) ฟังดูเหมือนทุกอย่างสมเหตุสมผล ทุกคนวินๆ ผมก็เคยทำอย่างนั้น ตลอดชีวิตการลงทุน 15 ปี ผมได้เยี่ยมกิจการ 5 แห่ง ได้พูดคุยกับผู้บริหาร ได้เรียนรู้ธุรกิจ ได้ข้อมูลบ้าง ปัญหามีอย่างเดียวคือสิ่งเหล่านี้ได้สร้างคำถามขึ้นในใจใครหลายคนว่า การทำเช่นนี้ เป็นการเข้าถึง “ข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน”หรือไม่ เป็นการใช้ข้อมูลภายในเพื่อหาผลประโยชน์หรือเปล่า มันจะดีและไม่มีปัญหา หากท่านผู้บริหารได้ให้ข้อมูลที่อยู่ในขอบเขต อยู่ในกรอบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น การพูดคุย สอบถามในวงกว้างเช่นงาน opportunity day การประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี กับการพูดคุยในวงแคบ 2 คน ไม่กี่คน หรือสิบกว่าคน เนื้อหาย่อมไม่เหมือนกัน มีการตั้งข้อสงสัยว่านักลงทุนวีไอสร้างผลตอบแทนมากว่าเพราะเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าหรือไม่ ในทางที่เอาเปรียบคนอื่น ผมคิดว่ามีทั้งส่วนจริงและไม่จริง ครั้งนึง Warren Bufett เคยพูดว่า “เราสามารถเสียเงินทอง แม้กระทั่งเงินทองมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะไม่ยอมเสียนั่นคือชื่อเสียง”
เกียรต ติยศ หนักดั่ง ขุนเขา
เงินทอง เบาดุจ ปุยนุ่น
การกระทำย่อมตัดสินว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ใช่คำพูด ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกกล่าวว่า “ผมจะไม่เยี่ยมกิจการอีกต่อไป” เหตุผล เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเอง จะทนต่อการยั่วยุได้หรือไหมหากได้รับข้อมูลอินไซเดอร์ และที่ต้องประกาศให้รู้ทั่วกัน เพราะทุกท่านจะได้ช่วยเป็นพยานและช่วยควบคุมให้ผมทำสำเร็จครับ เรื่องนี้เป็นการสมัครใจส่วนตัว และไม่ได้หมายความว่าการเยี่ยมกิจการเป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ตราบใดที่ผู้บริหารให้ข้อมูลอย่างเหมาะสม สมาคมก็ยังคงจัดกิจกรรม CV อย่างปกติให้กับสมาชิกต่อไป ผมจะใช้ข้อมูลที่เผยแพร่ในช่องทางปกติเช่น สื่อต่างๆ งาน opp day การประชุมผู้ถือหุ้น เหมือนเช่นที่เคยทำมา หลักการการเผยแพร่ข้อมูลที่เท่าเทียมกัน เป็นหนึ่งในหลักธรรมภิบาลที่ตลาดหลักทรัพย์โปรโมทตลอดมา ซึ่งทำได้ไม่ยาก แค่ให้บลจ.เผยแพร่ข่าวผ่านสื่อ ผ่านช่องทางปกติ งาน opp day มี translate ให้นักลงทุนต่างชาติรู้ข้อมูลทันท่วงที และห้ามพบนักลงทุนเป็นการส่วนตัว เท่านี้เอง อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าเท่านั้น ประเทศชาติของเราต้องเน้นหลักธรรมภิบาล เพื่อขจัดปัญหาคอรัปชั่นซึ่งเป็นกับดักฉุดรั้ง ทำให้ประเทศพัฒนาไม่ได้ ถ้าเราอยากให้ประเทศเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพียงแค่ชี้นิ้วบอกให้นักการเมือง คนอื่นทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ให้เริ่มสร้างประเทศจากตัวเราเอง อะไรที่ถูก เราจะทำมัน แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม คนละเล็กละน้อย คนละมือ รวมกันจะเป็นพลังสร้างสังคมใหม่ได้
ระหว่างปีมีการพูดกันมากว่ายุคทองการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ผ่านไปแล้ว บางคนถึงกับพูดว่าแนวทางการลงทุนนี้ “ตกยุคไปแล้ว”ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น หากนักลงทุนคนใดยังทำผลตอบแทนได้ดี น่าพอใจ นี่ย่อมเป็นยุคทอง ถ้าผลตอบแทนไม่ดี ไม่พอใจ อาจเป็นยุคเสื่อมถอย ชัดเจนว่าจะเป็นยุคไหนเป็นปัจเจกขึ้นอยู่กับการกระทำของนักลงทุนนั้นๆ ความขยันหมันเพียร ศึกษา พัฒนาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่งอมืองอเท้า จะทำให้นักลงทุนอยู่ในยุคทองตลอดไป (หรืออย่างน้อย”ยุคเงิน”ก็ไม่ได้แย่ ) สิ่งที่บางท่านต้องการจะสื่อ น่าจะเป็นประมาณว่านักลงทุนไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ ที่ดีผิดปกติในช่วงที่ผ่านมามากกว่า สิบกว่าปีที่แนวทางการลงทุนแบบวีไอเริ่มได้รับการเผยแพร่จากปรมาจารย์ ดร.นิเวศน์ ดัชนีอยู่ในช่วงตกต่ำประการนึง เมื่อดัชนีเพิ่มขึ้น นักลงทุนย่อมได้ประโยชน์จากส่วนนี้ อีกประการนึงหุ้นที่มีราคาและคุณสมบัติที่นักลงทุนวีไอชื่นชอบ ได้ถูกปรับระดับ P/E ที่ซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งดัชนีที่เพิ่มและระดับ P/E ซื้อขายที่เพิ่ม สองประการนี้สร้างผลตอบแทนที่ “ดีผิดปกติ”ให้กับนักลงทุน ต่อแต่นี้ผลตอบแทนจะกลับสู่สภาวะปกติ จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของแต่ละหุ้น และราคาซื้อที่เหมาะสม แน่ใจได้เลยว่าในแต่ละปี จะมีความผันผวน ความผันผวนเหล่านี้สร้างโอกาสให้นักลงทุนเน้นคุณค่าเสมอ เมื่อพฤติกรรมการซื้อขายยังผลักดันจากความโลภ และความกลัว แน่ใจได้เลยว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบ ร้อยปี แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า จะยังใช้ได้ดี ไม่น่าแปลกใจที่หลักการวีไอได้รับการเผยแพร่ เกือบร้อยปีที่แล้ว ผ่านการพิสูจน์ คำค่อนแคะ เสียดสี ผ่านยุคแห่งความนิยม ยุคที่ดูถูกดูแคลนเหมือนไดโนเสาร์ที่จะสูญพันธ์
แต่ใครล่ะ ที่ยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่พวกเราหรอกหรือ ประวัติศาสตร์มันไม่ได้บอกหรือ ว่าใครคือผู้ชนะ!!
โชคดี ปลอดภัย ในปี 2558 ทุกท่าน
(ขออภัยกระทู้นี้อ่านได้ แต่ตอบไม่ได้ครับ)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 913
อ่านพบมาจาก Pantip ค่ะ เห็นว่าดี
จึงนำมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ
ที่มา http://pantip.com/topic/33030613
1. Share your knowledge. It's a way to achieve immortality.
จงแบ่งปันความรู้ของคุณ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มันคงอยู่ตลอดไป
2. When someone asks you a question you don't want to answer, smile and ask, Why do you want to know?
เมื่อเจอคำถามที่ไม่อยากตอบ แค่ยิ้มให้ผู้ถาม และถามกลับไปว่า "คุณอยากรู้ไปทำไมเหรอ?"
3. Never laugh at anyone's dreams.
อย่าดูถูกเยาะเย้ยความฝันของคนอื่น
4. Read more books and watch less TV.
ดูทีวีให้น้อยลง อ่านหนังสือให้มากขึ้น
5. Remember the three R's: Respect for self, Respect for others, Responsibility for all your actions.
จดจำสามอย่างที่สำคัญ: จงนับถือตัวเอง นับถือผู้อื่น และรับผิดชอบการกระทำทุกอย่างของตน
6. Spend some time alone.
ใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้าง
7. In disagreements with loved ones, deal with the current situation. Don't bring up the past.
เมื่อมีข้อโต้แย้งหรือถกเถียงกับคนรัก พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ปัจจุบันเท่านั้น อย่าไปขุดคุ้ยอดีต
8. Never interrupt when you're being flattered.
อย่าขัดจังหวะเวลามีใครชื่นชมคุณ
9. Mind your own business.
สนใจแค่เรื่องของตัวเองก็พอ
10. Once a year, go someplace you've never been before.
ไปในสถานที่ที่คุณไม่เคยไปมาก่อน อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี
11. Call your family.
โทรคุยกับคนในครอบครัวบ้าง
12. Sing in the shower.
เปิดคอนเสิร์ตร้องเพลงตอนอาบน้ำบ้างจะเป็นอะไรไป
13. Treat everyone you meet like you want to be treated.
จงปฏิบัติกับผู้อื่นให้เหมือนกับที่คุณอยากให้เขาปฏิบัติกับคุณ
14. Watch a sunrise at least once a year.
ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นบ้างอย่างน้อยปีละหน
15. Compliment 3 people every day.
ชื่นชมคนอื่นอย่างน้อยวันละสามคน
16. Be forgiving of yourself and others.
ให้อภัยตนเองและผู้อื่นเสมอ
17. Say, "Thank you" a lot.
หัดพูดขอบคุณให้บ่อย
18. Say, "Please" a lot.
หัดพูดคำว่า กรุณา/ได้โปรด ให้บ่อย
19. Avoid negative people.
อยู่ให้ห่างจากคนชอบคิดแง่ลบ
20. Remember other people's birthdays.
จดจำวันเกิดผู้อื่น
21. Be the first to say hello.
จงเป็นคนแรกที่ทักทายก่อน
22. Return all things you borrow.
คืนทุกอย่างที่ยืมมา
23. Make new friends, but cherish the old ones.
จงหาเพื่อนใหม่ แต่ให้รักษาเพื่อนเก่า
24. Wave at kids on school buses.
โบกมือทักทายเด็กๆบนรถโรงเรียนบ้าง
25. Be there when people need you.
จงพร้อมจะร่วมทุกข์ไปกับผู้อื่นเวลาที่เขาต้องการคุณ
26. Don't be afraid to say, "I made a mistake."
อย่ากลัวที่จะยอมรับและพูดว่าตนเองทำผิด
27. Don't be afraid to say, "I don't know."
อย่ากลัวที่จะบอกว่าคุณไม่รู้
28. Hear both sides before judging.
ฟังความทั้งสองข้างก่อนจะตัดสินอะไรใคร
29. Live beneath your means
ใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะของตน
30. Refrain from envy. It's the source of much happiness.
อย่าอิจฉาใคร เพราะเมื่อคุณเริ่มอิจฉาคุณก็จะเริ่มไม่มีความสุขกับชีวิตตัวเอง
31. Evaluate yourself by your own standards, not someone else's.
อย่าตัดสินตัวเองด้วยมาตรฐานของคนอื่น
32. Stop blaming others. Take responsibility for every area of your life
เลิกโทษคนอื่นแล้วหันกลับมารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว
33. Ask someone to pick up your mail and daily paper when you’re out of town.
Those are the first two things potential burglars look for.
หากต้องทิ้งบ้านไว้หลายวัน จงไหว้วานผู้อื่นมาเก็บจดหมายหรือบิลที่หน้าประตูบ้าน
เพราะนั่นคือสิ่งที่บอกโจรขโมยว่าบ้านคุณไม่มีคนอยู่
34. Don’t make the same mistake twice.
อย่าทำผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง
35. Be brave. Even if you’re not, pretend to be. No one can tell the difference.
จงกล้าหาญ แต่หากรู้สึกไม่กล้าจริงๆเฟคเอาก็ได้ ไม่มีใครดูออกหรอก
36. Hug children after you discipline them.
หลังจากดุด่าว่ากล่าวเด็กๆแล้วให้กอดพวกเขาซะ
37. Give to charity all the clothes you haven’t worn during the past three years.
บริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ได้นำออกมาใส่เลยในสามปีที่ผ่านมา
38. Choose your life’s mate carefully.
From this one decision will come ninety percent of all your happiness or misery.
เลือกคู่ครองให้ดี เพราะนั่นจะเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตคุณที่เหลือว่าจะสุขหรือจะทุกข์
39. Make it a habit to do nice things for people who’ll never find out.
ทำดีปิดทองหลังพระให้บ่อย
40. Learn to listen. Opportunity sometimes knocks very softly.
หัดเป็นผู้ฟังที่ดี โอกาสมักมาแบบไม่ให้เรารู้ตัว
41. Remember people’s names
จดจำชื่อผู้อื่นให้ได้
42. Keep your watch five minutes fast
ตั้งนาฬิกาให้เร็วกว่าปกติห้านาที
43. Pray not for things, but for wisdom and courage
อย่าสวดภาวนาขอสิ่งของ แต่ให้ภาวนาขอสติปัญญาและความกล้าหาญ
44. Resist telling people how something should be done. Instead, tell them what needs to be done.
They will often surprise you with creative solutions.
เมื่อคุณต้องการให้ใครทำอะไรบางอย่างให้ จงบอกแค่สิ่งที่คุณต้องการก็พอ ไม่ต้องบอกวิธีทำ เขาจะเซอร์ไพรส์คุณเอง
45. Read carefully anything that requires your signature.
Remember the big print giveth and the small print taketh away.
ศึกษาให้ดีก่อนจะเซ็นสัญญาอะไร สิ่งที่คุณได้มักจะเป็นตัวหนังสือใหญ่ และสิ่งที่คุณต้องเสียมักจะเล็กจนแทบไม่ได้สังเกตเห็น
46. Give people a second chance, but not a third
ให้โอกาสคนแค่สองครั้งก็พอ
47. Never criticize the person who signs your paycheck. If you’re unhappy with your job, resign.
อย่าตำหนิติติงเจ้านาย หากไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ก็ลาออกซะ
48. Be insatiably curious. Ask “why” a lot.
จงฝึกเป็นคนช่างสงสัย ให้ถามคำถามว่า ทำไม..? บ่อยๆ
49. Don’t forget, a person’s greatest emotional need is to feel appreciated
อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็แค่อยากมีคนเห็นคุณค่า
50. Never go grocery shopping when you’re hungry. You’ll buy too much.
อย่าได้ไปเดินซื้อของเข้าบ้านเวลาหิว เพราะคุณจะหยิบเกินความจำเป็นเสมอ
51. Don’t discuss business in elevators. You never know who may overhear you.
อย่าพูดคุยอะไรสำคัญในลิฟต์ คุณไม่รู้หรอกมีใครแอบฟังอยู่บ้าง
52. Think twice before burdening a friend with a secret
คิดให้ดีก่อนจะลำบากเพื่อนให้ช่วยเก็บความลับอะไร
53. Never buy something you don’t need just because it’s on sale
อย่าซื้อของที่ไม่จำเป็นเพียงเพราะเห็นว่ามันลดราคาอยู่
54. Remember that overnight success usually takes about fifteen years
ความสำเร็จชั่วข้ามคืนที่ทุกคนมักเข้าใจ แท้จริงๆแล้วมันใช้เวลาเกือบ 15 ปี
55. Don’t believe people when they ask you to be honest with them
อย่าได้เชื่อเวลาคนอื่นบอกให้พูดตามตรงได้เลย
56. Learn to play a musical instrument.
หัดเรียนเล่นดนตรีซักชนิด
57. Drive inexpensive cars, but own the best house you can afford.
ไม่ต้องซื้อรถที่แพงที่สุด แต่จงซื้อบ้านที่ดีที่สุดที่คุณมีปัญญาจ่ายไหว
58. Learn to identify the music of Chopin, Mozart, and Beethoven.
หากมีเวลาก็ลองหัดแยกแยะดนตรีของ โชแปง โมสาร์ทและบีโธเฟ่นดู
59. Keep secrets.
จงเก็บความลับให้เป็น
60. Know when to keep silent and when to speak up.
จงรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเงียบและเมื่อไหร่ควรพูด
61. Never give up on anybody. Miracles happen every day.
อย่าหมดศรัทธาในผู้อื่น ปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน
62. Put the cap back on the toothpaste.
ปิดฝายาสีฟันด้วยสิ
63. Surprise loved ones with little unexpected gifts.
ให้ของขวัญเล็กๆน้อยๆเซอร์ไพรส์คนรักบ้าง
64. Never mention being on a diet.
อย่าไปบอกใครว่ากำลังลดน้ำหนักอยู่
65. Never forget your anniversary.
อย่าลืมวันครบรอบที่สำคัญ
66. Choose a charity in your community and support it generously with your time and money.
จงสนับสนุนมูลนิธิในชุมชนของคุณด้วยการบริจาคเงินและเวลา
67. Don’t take good health for granted.
อย่าละเลยการมีสุขภาพดี
68. Don’t mess with drugs, and don’t associate with those who do.
อย่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและใครก็ตามที่ยุ่งเกี่ยวกับมัน
69. Recycle old newspapers, bottles, and cans.
หัดรีไซเคิลหนังสือพิมพ์ ขวดหรือกระป๋องเก่าๆ
70. Always have something beautiful in sight, even if it’s just a daisy in a jelly glass.
หาอะไรสวยงามมาวางไว้ใกล้ตาเสมอ ดอกไม้ซักดอกก็ยังดี
71. Tell your kids often how terrific they are and that you trust them.
บอกลูกๆของคุณเสมอว่าเขาเจ๋งแค่ไหนและคุณไว้ใจในตัวพวกเขา
72. Take a brisk thirty-minute walk every day.
พยายามเดินให้ได้อย่างน้อยสามสิบนาทีต่อวัน
73. Never cheat.
อย่าคดโกงใคร
74. Smile a lot. It costs nothing and is beyond price.
คุณไม่ต้องเสียเงินซักแดงในการยิ้ม ทำไมไม่ลองยิ้มบ่อยๆล่ะ รอยยิ้มคุณมีค่าเกินตีค่าได้นะ
75. Stop and read historical roadside markers.
ลองหยุดและอ่านป้ายบอกประวัติศาสตร์ข้างทางดูบ้าง
76. Respect your children’s privacy. Knock before entering their room.
เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกๆ เคาะประตูทุกครั้งก่อนจะเข้าห้องพวกเขา
77. When someone is relating an important event that’s happened to them,
don’t try to top them with a story of your own. Let them have the stage.
เมื่อใครซักคนกำลังเล่าถึงประสบการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับเขา อย่าไปเกทับด้วยเรื่องของคุณ ปล่อยให้เขาได้เฉิดฉายเถอะ
78. Pay your bills on time.
จ่ายบิลให้ตรงเวลาเสมอ
79. When playing games with children, let them win.
เมื่อเล่นเกมกับเด็กๆ จงปล่อยให้เขาชนะ
80. Skip one meal a week and give what you would have spent to a street person.
ลองอดดูซักหนึ่งมื้อในหนึ่งอาทิตย์และเอาเงินไปให้คนจรจัดสิ
81. Make someone’s day by paying the toll for the person in the car behind you.
สร้างวันดีๆให้กับคนแปลกหน้าโดยการจ่ายค่าผ่านทางให้รถคันข้างหลัง
82. When someone hugs you, let them be the first to let go.
เมื่อใครซักคนกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดนั้นก่อน
จึงนำมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ
ที่มา http://pantip.com/topic/33030613
1. Share your knowledge. It's a way to achieve immortality.
จงแบ่งปันความรู้ของคุณ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มันคงอยู่ตลอดไป
2. When someone asks you a question you don't want to answer, smile and ask, Why do you want to know?
เมื่อเจอคำถามที่ไม่อยากตอบ แค่ยิ้มให้ผู้ถาม และถามกลับไปว่า "คุณอยากรู้ไปทำไมเหรอ?"
3. Never laugh at anyone's dreams.
อย่าดูถูกเยาะเย้ยความฝันของคนอื่น
4. Read more books and watch less TV.
ดูทีวีให้น้อยลง อ่านหนังสือให้มากขึ้น
5. Remember the three R's: Respect for self, Respect for others, Responsibility for all your actions.
จดจำสามอย่างที่สำคัญ: จงนับถือตัวเอง นับถือผู้อื่น และรับผิดชอบการกระทำทุกอย่างของตน
6. Spend some time alone.
ใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้าง
7. In disagreements with loved ones, deal with the current situation. Don't bring up the past.
เมื่อมีข้อโต้แย้งหรือถกเถียงกับคนรัก พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ปัจจุบันเท่านั้น อย่าไปขุดคุ้ยอดีต
8. Never interrupt when you're being flattered.
อย่าขัดจังหวะเวลามีใครชื่นชมคุณ
9. Mind your own business.
สนใจแค่เรื่องของตัวเองก็พอ
10. Once a year, go someplace you've never been before.
ไปในสถานที่ที่คุณไม่เคยไปมาก่อน อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี
11. Call your family.
โทรคุยกับคนในครอบครัวบ้าง
12. Sing in the shower.
เปิดคอนเสิร์ตร้องเพลงตอนอาบน้ำบ้างจะเป็นอะไรไป
13. Treat everyone you meet like you want to be treated.
จงปฏิบัติกับผู้อื่นให้เหมือนกับที่คุณอยากให้เขาปฏิบัติกับคุณ
14. Watch a sunrise at least once a year.
ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นบ้างอย่างน้อยปีละหน
15. Compliment 3 people every day.
ชื่นชมคนอื่นอย่างน้อยวันละสามคน
16. Be forgiving of yourself and others.
ให้อภัยตนเองและผู้อื่นเสมอ
17. Say, "Thank you" a lot.
หัดพูดขอบคุณให้บ่อย
18. Say, "Please" a lot.
หัดพูดคำว่า กรุณา/ได้โปรด ให้บ่อย
19. Avoid negative people.
อยู่ให้ห่างจากคนชอบคิดแง่ลบ
20. Remember other people's birthdays.
จดจำวันเกิดผู้อื่น
21. Be the first to say hello.
จงเป็นคนแรกที่ทักทายก่อน
22. Return all things you borrow.
คืนทุกอย่างที่ยืมมา
23. Make new friends, but cherish the old ones.
จงหาเพื่อนใหม่ แต่ให้รักษาเพื่อนเก่า
24. Wave at kids on school buses.
โบกมือทักทายเด็กๆบนรถโรงเรียนบ้าง
25. Be there when people need you.
จงพร้อมจะร่วมทุกข์ไปกับผู้อื่นเวลาที่เขาต้องการคุณ
26. Don't be afraid to say, "I made a mistake."
อย่ากลัวที่จะยอมรับและพูดว่าตนเองทำผิด
27. Don't be afraid to say, "I don't know."
อย่ากลัวที่จะบอกว่าคุณไม่รู้
28. Hear both sides before judging.
ฟังความทั้งสองข้างก่อนจะตัดสินอะไรใคร
29. Live beneath your means
ใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะของตน
30. Refrain from envy. It's the source of much happiness.
อย่าอิจฉาใคร เพราะเมื่อคุณเริ่มอิจฉาคุณก็จะเริ่มไม่มีความสุขกับชีวิตตัวเอง
31. Evaluate yourself by your own standards, not someone else's.
อย่าตัดสินตัวเองด้วยมาตรฐานของคนอื่น
32. Stop blaming others. Take responsibility for every area of your life
เลิกโทษคนอื่นแล้วหันกลับมารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว
33. Ask someone to pick up your mail and daily paper when you’re out of town.
Those are the first two things potential burglars look for.
หากต้องทิ้งบ้านไว้หลายวัน จงไหว้วานผู้อื่นมาเก็บจดหมายหรือบิลที่หน้าประตูบ้าน
เพราะนั่นคือสิ่งที่บอกโจรขโมยว่าบ้านคุณไม่มีคนอยู่
34. Don’t make the same mistake twice.
อย่าทำผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง
35. Be brave. Even if you’re not, pretend to be. No one can tell the difference.
จงกล้าหาญ แต่หากรู้สึกไม่กล้าจริงๆเฟคเอาก็ได้ ไม่มีใครดูออกหรอก
36. Hug children after you discipline them.
หลังจากดุด่าว่ากล่าวเด็กๆแล้วให้กอดพวกเขาซะ
37. Give to charity all the clothes you haven’t worn during the past three years.
บริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ได้นำออกมาใส่เลยในสามปีที่ผ่านมา
38. Choose your life’s mate carefully.
From this one decision will come ninety percent of all your happiness or misery.
เลือกคู่ครองให้ดี เพราะนั่นจะเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตคุณที่เหลือว่าจะสุขหรือจะทุกข์
39. Make it a habit to do nice things for people who’ll never find out.
ทำดีปิดทองหลังพระให้บ่อย
40. Learn to listen. Opportunity sometimes knocks very softly.
หัดเป็นผู้ฟังที่ดี โอกาสมักมาแบบไม่ให้เรารู้ตัว
41. Remember people’s names
จดจำชื่อผู้อื่นให้ได้
42. Keep your watch five minutes fast
ตั้งนาฬิกาให้เร็วกว่าปกติห้านาที
43. Pray not for things, but for wisdom and courage
อย่าสวดภาวนาขอสิ่งของ แต่ให้ภาวนาขอสติปัญญาและความกล้าหาญ
44. Resist telling people how something should be done. Instead, tell them what needs to be done.
They will often surprise you with creative solutions.
เมื่อคุณต้องการให้ใครทำอะไรบางอย่างให้ จงบอกแค่สิ่งที่คุณต้องการก็พอ ไม่ต้องบอกวิธีทำ เขาจะเซอร์ไพรส์คุณเอง
45. Read carefully anything that requires your signature.
Remember the big print giveth and the small print taketh away.
ศึกษาให้ดีก่อนจะเซ็นสัญญาอะไร สิ่งที่คุณได้มักจะเป็นตัวหนังสือใหญ่ และสิ่งที่คุณต้องเสียมักจะเล็กจนแทบไม่ได้สังเกตเห็น
46. Give people a second chance, but not a third
ให้โอกาสคนแค่สองครั้งก็พอ
47. Never criticize the person who signs your paycheck. If you’re unhappy with your job, resign.
อย่าตำหนิติติงเจ้านาย หากไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ก็ลาออกซะ
48. Be insatiably curious. Ask “why” a lot.
จงฝึกเป็นคนช่างสงสัย ให้ถามคำถามว่า ทำไม..? บ่อยๆ
49. Don’t forget, a person’s greatest emotional need is to feel appreciated
อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็แค่อยากมีคนเห็นคุณค่า
50. Never go grocery shopping when you’re hungry. You’ll buy too much.
อย่าได้ไปเดินซื้อของเข้าบ้านเวลาหิว เพราะคุณจะหยิบเกินความจำเป็นเสมอ
51. Don’t discuss business in elevators. You never know who may overhear you.
อย่าพูดคุยอะไรสำคัญในลิฟต์ คุณไม่รู้หรอกมีใครแอบฟังอยู่บ้าง
52. Think twice before burdening a friend with a secret
คิดให้ดีก่อนจะลำบากเพื่อนให้ช่วยเก็บความลับอะไร
53. Never buy something you don’t need just because it’s on sale
อย่าซื้อของที่ไม่จำเป็นเพียงเพราะเห็นว่ามันลดราคาอยู่
54. Remember that overnight success usually takes about fifteen years
ความสำเร็จชั่วข้ามคืนที่ทุกคนมักเข้าใจ แท้จริงๆแล้วมันใช้เวลาเกือบ 15 ปี
55. Don’t believe people when they ask you to be honest with them
อย่าได้เชื่อเวลาคนอื่นบอกให้พูดตามตรงได้เลย
56. Learn to play a musical instrument.
หัดเรียนเล่นดนตรีซักชนิด
57. Drive inexpensive cars, but own the best house you can afford.
ไม่ต้องซื้อรถที่แพงที่สุด แต่จงซื้อบ้านที่ดีที่สุดที่คุณมีปัญญาจ่ายไหว
58. Learn to identify the music of Chopin, Mozart, and Beethoven.
หากมีเวลาก็ลองหัดแยกแยะดนตรีของ โชแปง โมสาร์ทและบีโธเฟ่นดู
59. Keep secrets.
จงเก็บความลับให้เป็น
60. Know when to keep silent and when to speak up.
จงรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเงียบและเมื่อไหร่ควรพูด
61. Never give up on anybody. Miracles happen every day.
อย่าหมดศรัทธาในผู้อื่น ปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน
62. Put the cap back on the toothpaste.
ปิดฝายาสีฟันด้วยสิ
63. Surprise loved ones with little unexpected gifts.
ให้ของขวัญเล็กๆน้อยๆเซอร์ไพรส์คนรักบ้าง
64. Never mention being on a diet.
อย่าไปบอกใครว่ากำลังลดน้ำหนักอยู่
65. Never forget your anniversary.
อย่าลืมวันครบรอบที่สำคัญ
66. Choose a charity in your community and support it generously with your time and money.
จงสนับสนุนมูลนิธิในชุมชนของคุณด้วยการบริจาคเงินและเวลา
67. Don’t take good health for granted.
อย่าละเลยการมีสุขภาพดี
68. Don’t mess with drugs, and don’t associate with those who do.
อย่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและใครก็ตามที่ยุ่งเกี่ยวกับมัน
69. Recycle old newspapers, bottles, and cans.
หัดรีไซเคิลหนังสือพิมพ์ ขวดหรือกระป๋องเก่าๆ
70. Always have something beautiful in sight, even if it’s just a daisy in a jelly glass.
หาอะไรสวยงามมาวางไว้ใกล้ตาเสมอ ดอกไม้ซักดอกก็ยังดี
71. Tell your kids often how terrific they are and that you trust them.
บอกลูกๆของคุณเสมอว่าเขาเจ๋งแค่ไหนและคุณไว้ใจในตัวพวกเขา
72. Take a brisk thirty-minute walk every day.
พยายามเดินให้ได้อย่างน้อยสามสิบนาทีต่อวัน
73. Never cheat.
อย่าคดโกงใคร
74. Smile a lot. It costs nothing and is beyond price.
คุณไม่ต้องเสียเงินซักแดงในการยิ้ม ทำไมไม่ลองยิ้มบ่อยๆล่ะ รอยยิ้มคุณมีค่าเกินตีค่าได้นะ
75. Stop and read historical roadside markers.
ลองหยุดและอ่านป้ายบอกประวัติศาสตร์ข้างทางดูบ้าง
76. Respect your children’s privacy. Knock before entering their room.
เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกๆ เคาะประตูทุกครั้งก่อนจะเข้าห้องพวกเขา
77. When someone is relating an important event that’s happened to them,
don’t try to top them with a story of your own. Let them have the stage.
เมื่อใครซักคนกำลังเล่าถึงประสบการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับเขา อย่าไปเกทับด้วยเรื่องของคุณ ปล่อยให้เขาได้เฉิดฉายเถอะ
78. Pay your bills on time.
จ่ายบิลให้ตรงเวลาเสมอ
79. When playing games with children, let them win.
เมื่อเล่นเกมกับเด็กๆ จงปล่อยให้เขาชนะ
80. Skip one meal a week and give what you would have spent to a street person.
ลองอดดูซักหนึ่งมื้อในหนึ่งอาทิตย์และเอาเงินไปให้คนจรจัดสิ
81. Make someone’s day by paying the toll for the person in the car behind you.
สร้างวันดีๆให้กับคนแปลกหน้าโดยการจ่ายค่าผ่านทางให้รถคันข้างหลัง
82. When someone hugs you, let them be the first to let go.
เมื่อใครซักคนกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดนั้นก่อน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 916
(แจก file ) ผ่อนบ้านให้หมดเร็วๆ...กันเถอะ
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.................
แจก file excel ตารางผ่อนบ้านที่ทำขึ้นเอง
ในตารางเทียบ refinance กับไม่ re ที่ 2.5 ล้าน
ผู้อ่านนำไปเปลี่ยนยอดกู้ ยอดผ่อน ดอกเบี้ย ได้
ผลลัพท์จะเปลี่ยนตาม download ได้ที่ link นี้ค่ะ
https://theenuch.opendrive.com/files?NF ... MV94N3cwaQ
................. มาเล่าด้วยความโล่งใจมาก..."หนี้" อย่างเดียวที่มี
คือ "สินเชื่อบ้าน" จะหมดแล้วค่ะ...ทำไมหมดเร็ว?
ตอบ_refinance เพื่อลดดอกเบี้ย และ ผ่อนเพิ่ม
ทันทีที่มีโอกาส (เงินเดือนเพิ่ม / ได้โบนัส / ปันผล)
...................
เริ่มจากกู้สินเชื่อบ้าน ธอส. 25 ปี 3.3 ล้าน ผ่อนไป 1 ปี
มีโปรดอกเบี้ยคงที่ 4.5 % 3 ปี โครงการ สปส.-ธอส.
ไปขอใช้สิทธิเป็นรายแรกๆ (ต้องเร็วค่ะ..วงเงินจำกัด)
.
พอใกล้สิ้นสุด ดอกเบี้ย สปส.-ธอส. ก็มองหา
โปรดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีไฟแนนซ์ คำนวณด้วยตารางที่แจก
ลงตัวที่ TMB 0 % 9 เดือน (ยอด re 1.82+ ล้าน / 20 ปี)
ต่อจากนั้น MLR – 2.25 % จนครบ 3 ปี แล้วลอยตัว
ปิดก่อน 3 ปี (14 มีค.58) ปรับ 3% ของยอด re
. ณ ตอนนี้ (ตามภาพ) เหลือหนี้พียง 33,056.36
นำเงินใส่ไว้ล่วงหน้า รอให้ธนาคารหักอัตโนมัติ
สำหรับ มค. และ กพ. 58 เดือนละ 15,200 บาท
เมื่อถึง 14 มีค.58 (ครบ 3 ปี) จ่ายอีกแค่ 3,000+
ก็ปิดบัญชี /ไถ่ถอนจำนองได้...โดยไม่ถูกปรับค่ะ
.
สรุป...ผ่อนบ้านหลังนี้ (ธอส.+TMB) แค่ 7 ปี ค่ะ
...................
ผู้อ่านไม่ต้องผ่อนเร็วเท่าผู้เขียนก็ได้ค่ะ
แค่เร็วขึ้น..ก็เสียดอกน้อยลง + "โล่งใจ" เร็วขึ้น
ถ้าดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้น...ก็จะไม่เดือดร้อนมาก
...................
เมื่อปี 2540_วิกฤติต้มยำกุ้ง จำขึ้นใจค่ะ
ผ่อนทาวน์เฮาส์อยู่ ดีที่ตามอัตราดอกเบี้ยตลอด
จึงทราบว่า...ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านต้องขึ้นแน่นอน
ธอส. ช่วยประชาชนโดยออกโปรดอกเบี้ยคงที่ 9%
(วงเงินจำกัด...ขอก่อนได้ก่อน...หมดแล้วหมดเลย)
เราอยู่ใน 10 ลำดับแรก...ได้นาฬิกา ธอส.เป็นที่ระลึก
.
กู้คงที่ 9% ผ่าน...ดอกเบี้ยบ้านก็ขึ้น เกือบถึง 20%
แม้ไม่ขึ้นชั่วข้ามคืนแบบของ “รัสเซีย”..แต่ก็ขึ้นเร็ว
ผู้ผ่อนบ้านถูกแบงก์เรียกให้ “ผ่อนต่อเดือน” เพิ่มขึ้น
รายรับเท่าเดิม...ดอกขึ้นเท่าตัว เหนื่อยไปตามๆ กัน
(จ่ายเพิ่มก็เป็นดอกเบี้ยหมด...เงินต้นแทบไม่ลดเลย)
ผลคือ...มีคนผ่อนไม่ไหวจำนวนมาก...หลอนเลยค่ะ
..................
แม้เหตุการณ์แบบนั้น คงไม่เกิดกับไทยอีกง่ายๆ
แต่ทราบหรือไม่ว่า ค่างวดบ้านที่ผ่อนกันอยู่
ถ้าหลุดจากดอกเบี้ยคงที่ปีแรกๆ ไปเป็น MLR
จะต้องผ่อน (ดอกเบี้ย) ต่อเดือนเพิ่มขึ้น ...แต่...
เงินต้นจะลดลงเท่าๆ เดิม!...เฮ้อ!..น่าช้ำใจ
...................
ดังนั้น..อีกครั้ง และ อีกครั้ง..ที่อยากชวนให้ใส่ใจ
ไป "Refinance" หรือ "ผ่อนบ้านเพิ่ม" กันเถอะค่ะ ^__^
..................
หมายเหตุ - สัปดาห์หน้าพบกับ...ตารางคำนวณ
"หนี้บัตรเครดิต" แบบละเอียดยิบ...รออ่านนะคะ
.
(Theenuch_Team Money Talk 4)
.................
แจก file excel ตารางผ่อนบ้านที่ทำขึ้นเอง
ในตารางเทียบ refinance กับไม่ re ที่ 2.5 ล้าน
ผู้อ่านนำไปเปลี่ยนยอดกู้ ยอดผ่อน ดอกเบี้ย ได้
ผลลัพท์จะเปลี่ยนตาม download ได้ที่ link นี้ค่ะ
https://theenuch.opendrive.com/files?NF ... MV94N3cwaQ
................. มาเล่าด้วยความโล่งใจมาก..."หนี้" อย่างเดียวที่มี
คือ "สินเชื่อบ้าน" จะหมดแล้วค่ะ...ทำไมหมดเร็ว?
ตอบ_refinance เพื่อลดดอกเบี้ย และ ผ่อนเพิ่ม
ทันทีที่มีโอกาส (เงินเดือนเพิ่ม / ได้โบนัส / ปันผล)
...................
เริ่มจากกู้สินเชื่อบ้าน ธอส. 25 ปี 3.3 ล้าน ผ่อนไป 1 ปี
มีโปรดอกเบี้ยคงที่ 4.5 % 3 ปี โครงการ สปส.-ธอส.
ไปขอใช้สิทธิเป็นรายแรกๆ (ต้องเร็วค่ะ..วงเงินจำกัด)
.
พอใกล้สิ้นสุด ดอกเบี้ย สปส.-ธอส. ก็มองหา
โปรดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีไฟแนนซ์ คำนวณด้วยตารางที่แจก
ลงตัวที่ TMB 0 % 9 เดือน (ยอด re 1.82+ ล้าน / 20 ปี)
ต่อจากนั้น MLR – 2.25 % จนครบ 3 ปี แล้วลอยตัว
ปิดก่อน 3 ปี (14 มีค.58) ปรับ 3% ของยอด re
. ณ ตอนนี้ (ตามภาพ) เหลือหนี้พียง 33,056.36
นำเงินใส่ไว้ล่วงหน้า รอให้ธนาคารหักอัตโนมัติ
สำหรับ มค. และ กพ. 58 เดือนละ 15,200 บาท
เมื่อถึง 14 มีค.58 (ครบ 3 ปี) จ่ายอีกแค่ 3,000+
ก็ปิดบัญชี /ไถ่ถอนจำนองได้...โดยไม่ถูกปรับค่ะ
.
สรุป...ผ่อนบ้านหลังนี้ (ธอส.+TMB) แค่ 7 ปี ค่ะ
...................
ผู้อ่านไม่ต้องผ่อนเร็วเท่าผู้เขียนก็ได้ค่ะ
แค่เร็วขึ้น..ก็เสียดอกน้อยลง + "โล่งใจ" เร็วขึ้น
ถ้าดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้น...ก็จะไม่เดือดร้อนมาก
...................
เมื่อปี 2540_วิกฤติต้มยำกุ้ง จำขึ้นใจค่ะ
ผ่อนทาวน์เฮาส์อยู่ ดีที่ตามอัตราดอกเบี้ยตลอด
จึงทราบว่า...ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านต้องขึ้นแน่นอน
ธอส. ช่วยประชาชนโดยออกโปรดอกเบี้ยคงที่ 9%
(วงเงินจำกัด...ขอก่อนได้ก่อน...หมดแล้วหมดเลย)
เราอยู่ใน 10 ลำดับแรก...ได้นาฬิกา ธอส.เป็นที่ระลึก
.
กู้คงที่ 9% ผ่าน...ดอกเบี้ยบ้านก็ขึ้น เกือบถึง 20%
แม้ไม่ขึ้นชั่วข้ามคืนแบบของ “รัสเซีย”..แต่ก็ขึ้นเร็ว
ผู้ผ่อนบ้านถูกแบงก์เรียกให้ “ผ่อนต่อเดือน” เพิ่มขึ้น
รายรับเท่าเดิม...ดอกขึ้นเท่าตัว เหนื่อยไปตามๆ กัน
(จ่ายเพิ่มก็เป็นดอกเบี้ยหมด...เงินต้นแทบไม่ลดเลย)
ผลคือ...มีคนผ่อนไม่ไหวจำนวนมาก...หลอนเลยค่ะ
..................
แม้เหตุการณ์แบบนั้น คงไม่เกิดกับไทยอีกง่ายๆ
แต่ทราบหรือไม่ว่า ค่างวดบ้านที่ผ่อนกันอยู่
ถ้าหลุดจากดอกเบี้ยคงที่ปีแรกๆ ไปเป็น MLR
จะต้องผ่อน (ดอกเบี้ย) ต่อเดือนเพิ่มขึ้น ...แต่...
เงินต้นจะลดลงเท่าๆ เดิม!...เฮ้อ!..น่าช้ำใจ
...................
ดังนั้น..อีกครั้ง และ อีกครั้ง..ที่อยากชวนให้ใส่ใจ
ไป "Refinance" หรือ "ผ่อนบ้านเพิ่ม" กันเถอะค่ะ ^__^
..................
หมายเหตุ - สัปดาห์หน้าพบกับ...ตารางคำนวณ
"หนี้บัตรเครดิต" แบบละเอียดยิบ...รออ่านนะคะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 917
นายกโจของพวกเรา กับรายการ Stop Loss
เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 58 (เสาร์ที่ผ่านมา)
.................
ครบถ้วนทั้งแก่นการลงทุนแนว VI
จิตวิทยาการลงทุน
รวมทั้ง style การลงทุนของคุณโจ
.
ในความเห็นของคุณโจ
.
คนที่ลงทุนแนว VI ผสมกับแนว technical
จะสำเร็จได้หรือไม่ เพราะอะไร?
.
ยุคทองของ VI สิ้นสุดหรือยัง?
.................
สิ่งที่คุณโจฝากทิ้งท้ายให้ชนชั้นกลาง
ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนตั้งคำถามกับตัวเองนั้น...ดีมากๆ ค่ะ
.
ดังนั้น clip นี้ จึงเหมาะกับทั้งนักลงทุนที่อยากสำเร็จ
และมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการ "เปลี่ยนชีวิต" ไปในทางที่ดีขึ้น
..................
สุดท้ายแล้ว Mind Set สำคัญมากๆ...ไม่ควรพลาดชมค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 918
ได้ดูคลิป พี่โจ้ แล้ว ขอบคุณมากเลยครับพี่นุช
ผมมาขอเสริม กิจกรรม กทม อีกครั้ง ^.^
เทศกาลเที่ยวเมืองไทยกลางสวนลุมฯ 14-18 ม.ค.
http://www.thairath.co.th/gallery/10019
เท่าที่ดู จัดงานน่าจะจัดเต้มใช้ได้ครับ (เหมือนทำโซนแยก ภาค ต่างๆของไทย)
ผมมาขอเสริม กิจกรรม กทม อีกครั้ง ^.^
เทศกาลเที่ยวเมืองไทยกลางสวนลุมฯ 14-18 ม.ค.
http://www.thairath.co.th/gallery/10019
เท่าที่ดู จัดงานน่าจะจัดเต้มใช้ได้ครับ (เหมือนทำโซนแยก ภาค ต่างๆของไทย)
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 920
ยินดีจ้าน้องนัทNutth147 เขียน:ได้ดูคลิป พี่โจ แล้ว ขอบคุณมากเลยครับพี่นุช
ผมมาขอเสริม กิจกรรม กทม อีกครั้ง ^.^
เทศกาลเที่ยวเมืองไทยกลางสวนลุมฯ 14-18 ม.ค.
http://www.thairath.co.th/gallery/10019
เท่าที่ดู จัดงานน่าจะจัดเต้มใช้ได้ครับ (เหมือนทำโซนแยก ภาค ต่างๆของไทย)
และขอบคุณมากสำหรับกิจกรรมที่นำมาฝากเสมอๆ
ยินดีค่ะคุณลูกหินลูกหิน เขียน:ขอบคุณคุณนุชมากๆครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 921
"เงินเย็น” (Theenuch_Team Money Talk 4)
(แจก file "ภาพใหญ่การเงิน" แถม "ตารางผ่อนบ้าน" ใน file เดียวกันค่ะ)
.........................
ลองประเมินตัวเอง ในยามที่หุ้นผันผวนมาก
พบว่าที่เรา “นิ่งสงบ” อยู่ได้ นอกจากเพราะรู้จัก
และมีความรู้ในสิ่งที่ลงทุนแล้ว สิ่งสำคัญมาก
อีกอย่างคือ เงินที่นำมาลงทุนคือ "เงินเย็น"
........................
"เงินเย็น" คือเงินที่เราเปลี่ยนรายได้จากทำงาน
(และขยันออม) แล้วนำเงินนั้นไปซื้อ “ทรัพย์สิน”
เพื่อให้ “ทรัพย์สินนั้น สร้าง passive income” ให้เรา
คือ การลงทุนเพื่อสร้าง “อิสรภาพทางการเงิน” นั่นเอง
แต่ควรกันเงินสำรองไว้ อย่างน้อย 6 เดือน (ไม่รวมเงินเย็น)
........................
เงินสำรองจะเพียงพอสำหรับ 6 เดือนหรือไม่
ต้องทราบ “รายรับ-รายจ่าย ของครอบครัว”
ผ่านการทำบัญชี และการวางแผนการเงินที่ดี
.
แม้จะบันทึกใน computer แล้ว
ผู้เขียนยังชอบจดลงในปฏิทินตั้งโต๊ะ
เพื่อให้หยิบดูได้บ่อย ทุกคนในครอบครัว
เข้าใจตรงกันว่ามี "รายจ่ายประจำ" รายการใหญ่ๆ
อยู่เดือนไหนบ้าง ดูตัวอย่างตารางจะง่ายขึ้น
(แฟนรายการนำตารางไปประยุกต์ใช้ได้นะคะ
สรุปกรมธรรม์ประกันคร่าวๆ ไว้ติดตามง่ายๆ ด้วย
อยากเรียกว่า "ภาพใหญ่" ทางการเงินค่ะ) ......................
ที่จริงตารางนี้ง่ายมากไม่มีสูตรคำนวณใดๆ
แต่อยากอำนวยความสะดวกให้...มีตารางผ่อนบ้านแถมให้ด้วยค่ะ
"ภาพใหญ่การเงิน" download เลยค่ะ
https://theenuch.opendrive.com/files?NF ... M19COVBhNw
.......................
ซื้อประกัน ก็เลือกจ่ายเบี้ยกระจายไปทั้งปี
เดือน กค. รายการใหญ่คือค่าเทอมลูก เลือกจ่าย
แบบปีละครั้ง (ได้ลด 3%) แล้วโล่งสบายไปทั้งปี
.
"รายจ่ายขาจร" ครั้งใหญ่ๆ เช่น ท่องเที่ยว
หรือซื้อของชิ้นใหญ่ๆ จะซื้อ หรือสะสมเงิน
เดือนที่ไม่มี "รายจ่ายประจำ" ตามปฏิทินค่ะ เช่น
เปลี่ยนยางรถ 4 เส้น ( ตามระยะ + - นิดหน่อย)
ดูตารางแล้ว เดือน เมย.ว่าง...ก็จองไว้เลยค่ะ
ยังมีเดือนว่างๆ ไว้ซื้อ LTF ถ้ามีจังหวะที่เหมาะสม
......................
"ทรัพย์สินที่สร้างรายได้เป็น passive income"
สำหรับผู้เขียน (หุ้น) คือ "เงินเย็น" ที่ถูกแช่แข็ง
ซึ่งตัดออกจากระบบการใช้จ่ายไปแล้วนั่นเอง
.....................
ผู้เขียนเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กิจการเติบโต
รายรับเพิ่ม กำไรเพิ่ม แน่นอน แต่ละปีที่ผ่านไป
“เงินปันผลที่ได้รับ” ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในวันที่ยังมีรายรับจากงานประจำ ก็นำปันผลที่ได้
มาลงทุนต่อ เพื่อให้เกิด “ผลตอบแทนทบต้น”
....................
อยากซื้ออะไรต้องมีแผนล่วงหน้า
จะทำให้ไม่เราซื้อของด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
การ “รู้จักรอคอย” จะช่วยให้ชีวิตเราไม่พบเจอ
สถานการณ์ "ร้อนเงิน" จนต้องวิ่งหา "เงินร้อน"
หรือต้องขาย "ทรัพย์สินที่สร้าง passive income"
เพื่อมาใช้จ่าย/ซื้อของจน "เงินเย็น" ต้องหมดไป
(ในกรณีของหุ้น..ก็ไม่ต้องตกใจขาย..ถ้าราคาตก
แบบไม่สมเหตุสมผล..ทั้งที่พื้นฐานกิจการไม่ได้เปลี่ยน)
....................
ถ้าทำได้อย่างนี้...อิสรภาพการเงินก็อยู่ไม่ไกลค่ะ
(แจก file "ภาพใหญ่การเงิน" แถม "ตารางผ่อนบ้าน" ใน file เดียวกันค่ะ)
.........................
ลองประเมินตัวเอง ในยามที่หุ้นผันผวนมาก
พบว่าที่เรา “นิ่งสงบ” อยู่ได้ นอกจากเพราะรู้จัก
และมีความรู้ในสิ่งที่ลงทุนแล้ว สิ่งสำคัญมาก
อีกอย่างคือ เงินที่นำมาลงทุนคือ "เงินเย็น"
........................
"เงินเย็น" คือเงินที่เราเปลี่ยนรายได้จากทำงาน
(และขยันออม) แล้วนำเงินนั้นไปซื้อ “ทรัพย์สิน”
เพื่อให้ “ทรัพย์สินนั้น สร้าง passive income” ให้เรา
คือ การลงทุนเพื่อสร้าง “อิสรภาพทางการเงิน” นั่นเอง
แต่ควรกันเงินสำรองไว้ อย่างน้อย 6 เดือน (ไม่รวมเงินเย็น)
........................
เงินสำรองจะเพียงพอสำหรับ 6 เดือนหรือไม่
ต้องทราบ “รายรับ-รายจ่าย ของครอบครัว”
ผ่านการทำบัญชี และการวางแผนการเงินที่ดี
.
แม้จะบันทึกใน computer แล้ว
ผู้เขียนยังชอบจดลงในปฏิทินตั้งโต๊ะ
เพื่อให้หยิบดูได้บ่อย ทุกคนในครอบครัว
เข้าใจตรงกันว่ามี "รายจ่ายประจำ" รายการใหญ่ๆ
อยู่เดือนไหนบ้าง ดูตัวอย่างตารางจะง่ายขึ้น
(แฟนรายการนำตารางไปประยุกต์ใช้ได้นะคะ
สรุปกรมธรรม์ประกันคร่าวๆ ไว้ติดตามง่ายๆ ด้วย
อยากเรียกว่า "ภาพใหญ่" ทางการเงินค่ะ) ......................
ที่จริงตารางนี้ง่ายมากไม่มีสูตรคำนวณใดๆ
แต่อยากอำนวยความสะดวกให้...มีตารางผ่อนบ้านแถมให้ด้วยค่ะ
"ภาพใหญ่การเงิน" download เลยค่ะ
https://theenuch.opendrive.com/files?NF ... M19COVBhNw
.......................
ซื้อประกัน ก็เลือกจ่ายเบี้ยกระจายไปทั้งปี
เดือน กค. รายการใหญ่คือค่าเทอมลูก เลือกจ่าย
แบบปีละครั้ง (ได้ลด 3%) แล้วโล่งสบายไปทั้งปี
.
"รายจ่ายขาจร" ครั้งใหญ่ๆ เช่น ท่องเที่ยว
หรือซื้อของชิ้นใหญ่ๆ จะซื้อ หรือสะสมเงิน
เดือนที่ไม่มี "รายจ่ายประจำ" ตามปฏิทินค่ะ เช่น
เปลี่ยนยางรถ 4 เส้น ( ตามระยะ + - นิดหน่อย)
ดูตารางแล้ว เดือน เมย.ว่าง...ก็จองไว้เลยค่ะ
ยังมีเดือนว่างๆ ไว้ซื้อ LTF ถ้ามีจังหวะที่เหมาะสม
......................
"ทรัพย์สินที่สร้างรายได้เป็น passive income"
สำหรับผู้เขียน (หุ้น) คือ "เงินเย็น" ที่ถูกแช่แข็ง
ซึ่งตัดออกจากระบบการใช้จ่ายไปแล้วนั่นเอง
.....................
ผู้เขียนเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กิจการเติบโต
รายรับเพิ่ม กำไรเพิ่ม แน่นอน แต่ละปีที่ผ่านไป
“เงินปันผลที่ได้รับ” ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในวันที่ยังมีรายรับจากงานประจำ ก็นำปันผลที่ได้
มาลงทุนต่อ เพื่อให้เกิด “ผลตอบแทนทบต้น”
....................
อยากซื้ออะไรต้องมีแผนล่วงหน้า
จะทำให้ไม่เราซื้อของด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
การ “รู้จักรอคอย” จะช่วยให้ชีวิตเราไม่พบเจอ
สถานการณ์ "ร้อนเงิน" จนต้องวิ่งหา "เงินร้อน"
หรือต้องขาย "ทรัพย์สินที่สร้าง passive income"
เพื่อมาใช้จ่าย/ซื้อของจน "เงินเย็น" ต้องหมดไป
(ในกรณีของหุ้น..ก็ไม่ต้องตกใจขาย..ถ้าราคาตก
แบบไม่สมเหตุสมผล..ทั้งที่พื้นฐานกิจการไม่ได้เปลี่ยน)
....................
ถ้าทำได้อย่างนี้...อิสรภาพการเงินก็อยู่ไม่ไกลค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 922
การทำตารางแบบมีลงวันด้วยนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีเลยครับ นิสัยฝึกจดบันทึกในรูปแบบตารางนี้ผมได้มาจากพี่เลยครับ เริ้มทำตั้งแต่ตอนที่สอนเรื่อง บันทึกของประกันชีวิต
ปรกติพี่นุชมีการสรุปร่ายจายรายปีและคุยหรือปรับค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วยไหมครับ ?
ปรกติพี่นุชมีการสรุปร่ายจายรายปีและคุยหรือปรับค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วยไหมครับ ?
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 923
กรรมธรรม์ประกันลงวันแบบนี้แบบคร่าวๆ ไว้ดูเร็วๆค่ะNutth147 เขียน:การทำตารางแบบมีลงวันด้วยนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีเลยครับ นิสัยฝึกจดบันทึกในรูปแบบตารางนี้ผมได้มาจากพี่เลยครับ เริ้มทำตั้งแต่ตอนที่สอนเรื่อง บันทึกของประกันชีวิต
ปรกติพี่นุชมีการสรุปร่ายจายรายปีและคุยหรือปรับค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วยไหมครับ ?
ที่จริงยังมีตารางละเอียดยิบของกรมธรรม์ แต่ละฉบับคุมอยู่อีกด้วย
ที่แปลงจากภาษาเชิงพรรณาให้เป็นตารางสิทธิประโยชน์ที่จำเพาะเจาะจงกับเบี้ยประกันที่เราเลือก
.
แล้วทั้งหมดจะถูกคุมด้วยแผนระยะยาวที่ฉายภาพไปข้างหน้าถึงอายุ 80-90
เหมือนพี่จะเคยนำมาลงในกระทู้นี้หรือเปล่านะ...ไม่แน่ใจ
แต่เดี๋ยวพี่คงทยอยนำลง fb money talk ค่ะ
.
ดีใจที่น้องนัทชอบ
และที่มีคนได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราทำ...อยากให้ภาพรวม
ของการวางแผนการเงินของคนไทยดีขึ้นทั้งประเทศเลยค่ะ
..............
ส่วนสีน้ำเงินที่น้องนัทถามมานั้น...มีค่ะ
แต่ที่จริง ตารางนี้เอาอยู่เลยนะ เพราะถ้าจะมีค่าใช้จ่ายใหญ่ๆ
ก็ต้องคุยกันแล้วมาดูว่าจะลงเดือนไหน ไม่ใช่ว่าใครนึกจะซื้ออะไรก็ซื้อ
ยกตัวอย่างเช่น กล้อง+เลนส์ แฟนพี่เขาชอบ บางทีก็ราคาสูง
(เขาก็ไม่ได้เล่นรุ่นสูงมาก กลางๆ แต่แพงสำหรับพี่ 55+)
เราดูแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้อยากซื้ออะไรมากมาย...ที่จริงก็ประหยัด
ก็จะซื้อกล้องก่อน แล้วเลนส์แบบถ่ายเฉพาะ ก็เว้นวรรคเดือนที่มีพวกประกันไป
แล้วรอซื้อเดือนที่ว่างๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายประจำรออยู่...ทำนองนี้ค่ะ
ที่จริงจะซื้อพร้อมๆ กันทั้งหมดก็จ่ายได้ แต่อยากฝึกนิสัย "รอ"
เพราะเราต้องสอนลูกด้วย ถ้าเราสอนอย่างทำอย่าง ลูกจะ ?
เพราะลูกก็จะได้อยุ่ในวงสนทนาด้วยเวลาเอาปฏิทิน
ภาพใหญ่ทางการเงินมาดูเพื่อระบุเดือนแบบที่พี่เล่าไป
..................
ล่าสุด แฟนพี่ซื้อของอย่างนึง โดนพี่บ่นเลย
คล้ายเรื่องนาฬิกาข้อมือแพงๆ 3 พันกว่าสมัยก่อน..ที่เคยเล่าในกระทู้
ครั้งนี้สั่ง i-phone 6 ให้มาส่งทางไปรษณีย์ เพื่อ surprise พี่
พอดีพี่ใช้ i-phone 4 มา 3 ปีกว่า แล้วเริ่มจะแบตหมดเร็ว
บางทีเราก็จะบ่นนิดๆ ว่า...ลืมเอาสายชาร์จไปด้วย แบตหมดระหว่างวัน
แต่พี่ไม่ได้บ่นอยากได้โทรศัพท์ใหม่ ตั้งใจจะใช้จนพังกันไปข้างนึงเลย
แต่พอดีปีใหม่ด้วย เขาเลยหาข้ออ้างซื้อให้...เลยโดนบ่นไปเล็กน้อย
(เพราะเราก็ไม่ชอบทั้งของขวัญปีใหม่หรือวันเกิด...ชอบซื้อของเมื่อจำเป็นต้องซื้อมากกว่า)
1. น่าจะรอให้พังก่อน
2. ไม่ดูเวลาตามเดือนที่ว่างๆ จากค่าใช้จ่ายเลย
แต่เขาผ่อน 0% กับบ้ตรเครดิตค่ะ (ที่บ้านเราไม่เคยเป็นหนี้บตัรเครดิตหรอกจ่ายตรงตลอด)
ที่จริงจะซื้อเงินสดก็ได้แต่เขาก็ต้องบอกพี่ และพี่จะต้องดูเดือนว่างๆ อีกแล้ว อิ อิ
และก็ต้องรู้ว่าเขาจะซื้อให้ ซึ่งพี่คงไม่ให้ซื้อแน่ๆ....เขาเลยตัดสินใจสั่งมาให้
.................
ไม่ค่อยได้อยากได้ แต่มาแล้วก็ใช้ค่ะ เพราะของเก่าก็ใช้มาคุ้ม
เอาราคาหารด้วยจำนวนเดือนแล้ว ก็ถือว่าพอรับได้ ใช้ของคุ้มก็โอเคค่ะ
บางทีเป็นครอบครัวก็ต้องตามใจเขาบ้าง (ที่จริงเขาเป็นรายได้หลักด้วย)
เพียงแต่เราเอามาทำให้งอกเงยเราเลยเริ่มเหมาว่าเป็นเงินของเรา 55+
แต่ที่บ้านก็ไม่แยกกระเป๋าค่ะ เอามารวมแล้วใช้ร่วมกัน (พี่ได้เปรียบมาก) เลยค่ะ
.................
(อิ อิ พวกผู้ชายจะมาหาว่าเราโหดอีกหรือเปล่าเนี่ย 55+)
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 924
ผมแอบสงสาร สามีพี่นิดหน่อย 5555...... ผมว่าเขารู้ว่าพี่ไม่ชอบ Surprise แต่ก็ยังอยากทำให้ ผมว่าแกน่ารักมากๆครับ
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 925
อ่านแล้วขำเลย...พี่ประเมินเองนะดูเผินๆ เหมือนพี่โหดๆNutth147 เขียน:ผมแอบสงสาร สามีพี่นิดหน่อย 5555...... ผมว่าเขารู้ว่าพี่ไม่ชอบ Surprise แต่ก็ยังอยากทำให้ ผมว่าแกน่ารักมากๆครับ
................
แต่จริงๆ แล้ว in everyday life และ in the long run
พี่มั่นใจว่าแบบพี่ดีกว่าแน่นอน....(อะไรจะขนาดนั้น...คนอ่านคิดในใจกันล่ะสิ)
เล่ายาวๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในการเรียนรู้ชีวิตคู่ด้วย
พี่อยู่กันมา 20 กว่าปีแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะอะไรเลย จึงมั่นใจว่าน่าจะพอใช้ได้อยู่นะ
..................
พี่เคยเจอพวกสาวๆ ที่ชอบเรื่อง surprise ชอบพิธิการ
ชอบของขวัญในโอกาสพิเศษต่างๆ ที่สร้างความทรมานทั้งสองฝ่ายเลย
(และหลายต่อหลายคู่เก็บเงินไม่ได้ หรือเก็บได้ช้าลงก็มีนะ
หมดไปกับของขวัญ ช่อดอกไม้ กินมื้อพิเศษบ่อยๆ เที่ยวดีๆ เห็นบ่อยค่ะ)
บางทีผู้ชายไม่ค่อยอยากทำอะไรอย่างงั้น อยากจะสร้างฐานะ
แต่ภรรยาชอบ เลยต้องยอม แต่มันก็เปลือง เพื่อนผู้ชายหลายคนบ่นให้ฟัง
งอนทีพอจะให้หายงอน บางทีต้องง้อด้วยของ พาไปช็อบปิ้ง)
..................
เคยเห็นในที่ทำงาน กลุ่มผู้หญิงคุยกัน
สามีลืมวันเกิด สามีลืมโอกาสสำคัญ งอนจนเป็นเรื่อง
เพื่อนผู้หญิงด้วยกันก็ชอบยุ เพราะให้ความสำคัญแบบเดียวกัน
แทนที่จะช่วยกันปลอบว่าไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องมีเลยนะ
พาลช่วยยุกันใหญ่ "เออใช่ อย่างงี้ได้ไง โอกาส...ทั้งที ลืมได้ไง"
นั่งร้องห่มร้องไห้ ไม่เป็นอันทำงาน ทั้งเจ้าตัว และทั้งเพื่อนที่ต้องคอยปลอบ
แล้วพฤติกรรมต่อมาเขาทำอะไรกันรู้มั้ย
เช่น วันที่ลืมวันเกิด คือวันที่มีปัญหากันอยู่
ผู้ชายก็ไปทำงาน ผู้หญิงก็กำลังอินกับวันพิเศษ
ก็โทรไปจิก...ทำไม่เธอลืม (แอบฟังเค้า 555....ป่าวหรอก
ลูกน้องเค้าไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไร แถมกำลังเป็นวาระแห่งชาติ
เขาคุยเสียงดัง...ใช้คนเปลืองมาก..เสียงานอ้ะ..ไอ้เราจะบ่น ก็นะ...จะหาว่าโหดอีก)
คุยไปคุยมางอนเอง คาดคั้นจะเอาคำตอบที่ถูกใจ ไม่ถูกใจตัดสายทิ้ง
แล้วนั่งรอให้ฝ่ายชายโทรมาง้อ ผู้ชายคงงานยุ่ง (เดาเอา..ไม่เห็นโทรกลับ)
ก็โทรไปหาเอง แล้วก็ทะเลาะกันอีก แล้วก็วาง อยู่อย่างนี้หลายรอบ
เลยช่วย....ช่วยเบรคด้วยการ "ทวงงานแป๊บ" จะได้ลืมๆ
ดึงจิตใจกลับมาซะบ้าง ไม่งั้นเขาจะโทรจิก และคาดคั้น และวาง อยู่อีกหลายรอบ
.................
พี่ไม่รู้ว่าผู้ชายคิดยังไง พี่ก็ไม่เคยเป็นเลยไม่รู้ว่าถ้าพี่เป็นแบบนี้ แฟนพี่จะมีปฏิกิริยายังไง
หรือในความเป็นจริงผู้ชายชอบให้ผู้หญิงงอน_แล้วก็ง้อ_น่ารักดี ทำนองนี้หรือไม่
แบบในละคร (ที่จริงก็ไม่ได้ดู แต่เดาพล็อตได้ งอน-ง้อ งอน-ง้อ งอน-ง้อ )
จึงได้เกิดเป็นเนื้อหาของละครหลายๆ เรื่อง พอเข้าใจกันก็แต่งงาน...จบแบบ happy ending
แต่ในชีวิตจริงพี่ว่า แต่งงานเมื่อไหร่นั่นมันเพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่แบบจริงจังเลยนะ
...............
พี่เองเคยมีคนมาชอบสมัยสาวๆ ยังไม่มีแฟน อะไร อะไร ก็ดี
แต่...เขาชอบน้อยใจ งอน ชอบคุยไม่รู้เรื่องแล้ววางโทรศัพท์ แล้วก็โทรมาใหม่
สมัยก่อนมือถือก็ไม่มี ตอนพี่ไปเรียนพยาบาลก็อาศัยบ้านน้าอยู่
วางโทรศัพท์เราก็ไม่ยืนรอละ โทรมาใหม่น้ารับแล้วขึ้นไปเรียก
พี่ลงมารับสาย คุยไปคุยมา เหมือนดีขึ้น แล้วก็งอนอีกแล้วก็วาง
แล้วโทรมาใหม่ 5 รอบ (ที่ผ่านมาก็ 3 วันดี 4 วันไข้) พี่เลิกคบวันนั้นเลย
.
เพราะเรามองไกลๆ คนที่นิสัยเป็นอย่างไรอยู่
โดยเฉพาะด้านอารมณ์จะเป็นอย่างนั้นไปทั้งชีวิต
อาจพัฒนาได้หากตั้งใจ แต่ก็ยาก และมีโอกาสกลับคืนฐานอารมณ์เดิมได้มาก
.
ง้อมาหลายปี ก็ไม่กลับไปคุยค่ะ
ไม่ใช่งอนยาวนานเพื่อให้คนมาง้อเพื่อดูสำคัญอะไร
แต่พี่ว่าเราจะต้องเลือก ถ้าเรากลัวแบบนี้เราจะต้องไม่เลือกมา
ดูจากนิสัยตัวเราเองที่ชอบสงบๆ แล้วไม่สอดคล้องกัน
................
และตัวเราเองก็จะไม่ทำแบบนี้ด้วยค่ะ...ทุกวันนี้พี่มั่นใจว่าแฟนพี่สบายใจนะ
ถ้าพี่จำเป็นต้องบ่น พี่บ่น ณ ตรงเหตุการณ์เกิดครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจบเลยไม่มีบ่นซ้ำๆ
ไม่มี แบบวันดีคืนดีขุดขึ้นมาบ่น....พี่ว่ามันน่าทรมาน ทัังคนบ่นและโดนบ่น
และเรื่องที่จะบ่นนั้นน้อยมาก มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ 55
แต่แค่เขารู้และไม่ทำเสียแต่ต้น ก็ไม่มีโอกาสโดนบ่นแน่นอนค่ะ
...............
อีกส่วนอาจเป็นเพราะเตี่ยกับแม่พี่นั้นเป้นคู่ที่...เกินจะบรรยาย
ในที่สุดเขาก็แยกทางกัน แต่กว่าจะแยกกันได้ ทรมานทั้งครอบครัว
พี่ออกจะเข้าข้างเตี่ยอยู่ เพราะเรามองดูเหตุการณ์อยู่เสมอ
เตี่ยพี่เป็นคนสงบๆ แต่บางทีวันหยุด เขาอยู่บ้านไม่ได้เลย
ต้องจับรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกนอกบ้านไป ไปไหน
ไปเล่นหมากรุกบ้าง ข้ามไปบ้านลุง (ฝั่งตรงข้ามบ้าง)
แม่พี่จุกจิกมากๆ pattern แบบผู้หญิงจ๋า มาครบ จัดเต็ม
................
เตี่ยพี่เคยบอกว่า (พี่เคยเล่าในกระทู้นี้ หรือกระทู้เก่าก็ไม่รู้)
ชีวิตคู่ เหมือนตอกไข่ดิบใส่มือ แล้วต้องประคองไม่ให้ไหลออก
จะเอียงอุ้งมือไปทางไหนมากก็ไม่ได้ไข่จะไหลออกนอกฝ่ามือ
ยิ่งจะบีบ หรือกำไว้ให้อยู่ในมือ จะยิ่งเหลวเละออกตามง่ามนิ้วมือ
(กลายเป็นนักคิดไปเลยเตี่ยเรา) พี่จำแม่นเลย..ตอนฟังพี่อยู่ ม.ต้น เอง
แต่เข้าใจได้ เพราะเราดูสถานการณ์ในบ้านอยู่ และพี่ไม่อยากเป็นแบบนั้น
................
ทุกวันนี้แฟนพี่เขาทำงานสบายใจมาก พี่ไม่ชอบโทรตาม
เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ใน line ผลิต หรือไม่...ถ้าอยู่ก็รับสายไม่สะดวก
หรืออาจประชุมอยู่ก็ไม่ควร แต่ถ้าเขาว่างเขาจะโทรมาเองเสมอ
ช่วงนี้อยู่บ้านทั้งวัน พี่ก็ยังเหมือนเดิม มีกิจกรรมอะไรที่เราอยากทำมากมาย
เช่น อ่านหนังสือ ทำความสะอาดบ้าน เตรียมเนื้อหาและรูปสำหรับโพส Money Talk
เพลินๆ ก็ถึงเวลารับลูกอีกแล้ว บางทีไปหาอะไรกินกลางวันบ่ายสามแล้วเลยไปรับลูกเลย
ก็หมดเวลาแล้ว บางวันไม่ได้โทรศัพท์เลยค่ะ...ออกจะเรียบๆ สงบดี
.
และยังคงไม่ชอบพิธิการหรือโอกาสพิเศษ อยู่เหมือนเดิม (ยังโหดเหมือนเดิม)
.................
พี่ก็รู้สึกกับแฟนพี่แบบสีแดง เหมือนกัน ส่วนที่น่ารักก็แยกไว้ก็ชมเขาอยู่ค่ะ
แต่...ส่วนระบบก็ยังอยากให้เป็นระบบอยู่ เดี๋ยวจะเลี้ยงลูกลำบากค่ะ
เพราะเรื่องการเงินในครอบครัวก็เป็นเรื่องใหญ่
.
วันที่มัน smooth ดี คนอาจไม่ค่อยรู้สึก อยู่ในชีวิตประจำวันเรา "เหมือนหายใจเข้า-ออก"
แต่ถ้าบริหารการเงินไม่ดีแล้วมีปัญหาขึ้นมา เมื่อนั้นก็จะหายใจติดขัด
แต่ไม่ใช่ติดขัดแบบเป็นหวัดนะคะ ติดขัดเพราะหัวใจขาดเลือด
ไขมันอุดตันในเส้นเลือดจนตีบหมดแล้ว จึงค่อยแสดงอาการ
และหลายครั้งก็สายเกินแก้ ยิ่งถ้าอยู่ในวังวนของหนี้บัตร หรือหนี้นอกระบบ
หรือเมื่อถึงวันที่ควรมั่นคง แลัวยังไม่มั่นคง...ผู้นำครอบครัวโดยเฉพาะผู้ชาย
ก็จะถูกตำหนิจากภรรยา ครอบครัวภรรยา รวมทั้งคนรอบข้างไปอีกแบบ
ทั้งที่บางทีช่วงสร้างฐานนะก็ไม่ค่อยเคยช่วยกันเก็บออม
(บางคนเป็นแบบนั้นจริงๆ อารมณ์เสียง่าย งอนเก่ง ต้องง้อด้วยของ
บางครั้งขอของใหญ่เลย เช่น ทำบ่อปลาคราฟด้วยแกรนิตอย่างดี_มีค่าดูแลอีกหลังจากนั้น
ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปตามหาแสงเหนือ ต้องเปลี่ยนรถไปใช้รถยุโรปแพงๆ มีจริงๆ ค่ะ)
................
ปัญหาแต่ละเรื่องของชีวิตคู่และ ครอบครัวละเอียดอ่อนและสัมพันธ์กันมาก
จากเรื่องหนึ่ง ถ่ายทอดไปสู่อีกเรื่องได้แบบไม่รู้ตัว แต่เรื่องที่คนมักจะลืมคือเรื่องเงิน
"เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอนนี่แหละค่ะ" เป็นเหมือนหลุมดำในครอบครัว
ว่าที่จริง ปัญหาเรื่องการเงินในครอบครัวก็ "ทบต้น" ได้เหมือนกันนะคะ
เรื่องอะไรเกี่ยวกับเงินนี่ "ทบต้น" ได้หมดเลยเนอะ
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 926
มีประโยชน์มากๆเลยครับพี่นุช ชอบมากๆเลยครับ บางทีอ่านที่พี่นุชเขียน แล้วต้องกลับมามองตัวเองเลยครับ ว่ามีอะไรที่เราขาดตกไปรึเปล่า ยิ่งผมเพิ่งเริ่มชีวิตคู่ไม่นานด้วยครับ สงสัยต้องคิดถึงเรื่องการวางแผนหนักๆซะแล้ว รู้สึกยังใช้ชีวิตตามความสบายใจจนเกินไป กลัวจะติดเป็นนิสัย และจะกระทบไปถึงลูกโดยไม่รู้ตัวอย่างที่พี่ว่าครับ
ปล. ยังแอบอ่านอยู่เรื่อยๆน่ะครับ ไม่ได้หายไปไหน
ปล. กราบสวัสดีปีใหม่พี่นุชด้วยน่ะครับ
ปล. ยังแอบอ่านอยู่เรื่อยๆน่ะครับ ไม่ได้หายไปไหน
ปล. กราบสวัสดีปีใหม่พี่นุชด้วยน่ะครับ
How not to be your own worst enemy
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 927
เรื่องนี้สนุกกว่าบทความทั่วๆไปอีกครับบบบบบ ดีครับได้เห็นมุมมองของผู้หญิง(ส่วนน้อย)อีกมุม ^.^
theenuch เขียน:อ่านแล้วขำเลย...พี่ประเมินเองนะดูเผินๆ เหมือนพี่โหดๆNutth147 เขียน:ผมแอบสงสาร สามีพี่นิดหน่อย 5555...... ผมว่าเขารู้ว่าพี่ไม่ชอบ Surprise แต่ก็ยังอยากทำให้ ผมว่าแกน่ารักมากๆครับ
................
แต่จริงๆ แล้ว in everyday life และ in the long run
พี่มั่นใจว่าแบบพี่ดีกว่าแน่นอน....(อะไรจะขนาดนั้น...คนอ่านคิดในใจกันล่ะสิ)
เล่ายาวๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในการเรียนรู้ชีวิตคู่ด้วย
พี่อยู่กันมา 20 กว่าปีแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะอะไรเลย จึงมั่นใจว่าน่าจะพอใช้ได้อยู่นะ
..................
พี่เคยเจอพวกสาวๆ ที่ชอบเรื่อง surprise ชอบพิธิการ
ชอบของขวัญในโอกาสพิเศษต่างๆ ที่สร้างความทรมานทั้งสองฝ่ายเลย
(และหลายต่อหลายคู่เก็บเงินไม่ได้ หรือเก็บได้ช้าลงก็มีนะ
หมดไปกับของขวัญ ช่อดอกไม้ กินมื้อพิเศษบ่อยๆ เที่ยวดีๆ เห็นบ่อยค่ะ)
บางทีผู้ชายไม่ค่อยอยากทำอะไรอย่างงั้น อยากจะสร้างฐานะ
แต่ภรรยาชอบ เลยต้องยอม แต่มันก็เปลือง เพื่อนผู้ชายหลายคนบ่นให้ฟัง
งอนทีพอจะให้หายงอน บางทีต้องง้อด้วยของ พาไปช็อบปิ้ง)
..................
เคยเห็นในที่ทำงาน กลุ่มผู้หญิงคุยกัน
สามีลืมวันเกิด สามีลืมโอกาสสำคัญ งอนจนเป็นเรื่อง
เพื่อนผู้หญิงด้วยกันก็ชอบยุ เพราะให้ความสำคัญแบบเดียวกัน
แทนที่จะช่วยกันปลอบว่าไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องมีเลยนะ
พาลช่วยยุกันใหญ่ "เออใช่ อย่างงี้ได้ไง โอกาส...ทั้งที ลืมได้ไง"
นั่งร้องห่มร้องไห้ ไม่เป็นอันทำงาน ทั้งเจ้าตัว และทั้งเพื่อนที่ต้องคอยปลอบ
แล้วพฤติกรรมต่อมาเขาทำอะไรกันรู้มั้ย
เช่น วันที่ลืมวันเกิด คือวันที่มีปัญหากันอยู่
ผู้ชายก็ไปทำงาน ผู้หญิงก็กำลังอินกับวันพิเศษ
ก็โทรไปจิก...ทำไม่เธอลืม (แอบฟังเค้า 555....ป่าวหรอก
ลูกน้องเค้าไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไร แถมกำลังเป็นวาระแห่งชาติ
เขาคุยเสียงดัง...ใช้คนเปลืองมาก..เสียงานอ้ะ..ไอ้เราจะบ่น ก็นะ...จะหาว่าโหดอีก)
คุยไปคุยมางอนเอง คาดคั้นจะเอาคำตอบที่ถูกใจ ไม่ถูกใจตัดสายทิ้ง
แล้วนั่งรอให้ฝ่ายชายโทรมาง้อ ผู้ชายคงงานยุ่ง (เดาเอา..ไม่เห็นโทรกลับ)
ก็โทรไปหาเอง แล้วก็ทะเลาะกันอีก แล้วก็วาง อยู่อย่างนี้หลายรอบ
เลยช่วย....ช่วยเบรคด้วยการ "ทวงงานแป๊บ" จะได้ลืมๆ
ดึงจิตใจกลับมาซะบ้าง ไม่งั้นเขาจะโทรจิก และคาดคั้น และวาง อยู่อีกหลายรอบ
.................
พี่ไม่รู้ว่าผู้ชายคิดยังไง พี่ก็ไม่เคยเป็นเลยไม่รู้ว่าถ้าพี่เป็นแบบนี้ แฟนพี่จะมีปฏิกิริยายังไง
หรือในความเป็นจริงผู้ชายชอบให้ผู้หญิงงอน_แล้วก็ง้อ_น่ารักดี ทำนองนี้หรือไม่
แบบในละคร (ที่จริงก็ไม่ได้ดู แต่เดาพล็อตได้ งอน-ง้อ งอน-ง้อ งอน-ง้อ )
จึงได้เกิดเป็นเนื้อหาของละครหลายๆ เรื่อง พอเข้าใจกันก็แต่งงาน...จบแบบ happy ending
แต่ในชีวิตจริงพี่ว่า แต่งงานเมื่อไหร่นั่นมันเพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่แบบจริงจังเลยนะ
...............
พี่เองเคยมีคนมาชอบสมัยสาวๆ ยังไม่มีแฟน อะไร อะไร ก็ดี
แต่...เขาชอบน้อยใจ งอน ชอบคุยไม่รู้เรื่องแล้ววางโทรศัพท์ แล้วก็โทรมาใหม่
สมัยก่อนมือถือก็ไม่มี ตอนพี่ไปเรียนพยาบาลก็อาศัยบ้านน้าอยู่
วางโทรศัพท์เราก็ไม่ยืนรอละ โทรมาใหม่น้ารับแล้วขึ้นไปเรียก
พี่ลงมารับสาย คุยไปคุยมา เหมือนดีขึ้น แล้วก็งอนอีกแล้วก็วาง
แล้วโทรมาใหม่ 5 รอบ (ที่ผ่านมาก็ 3 วันดี 4 วันไข้) พี่เลิกคบวันนั้นเลย
.
เพราะเรามองไกลๆ คนที่นิสัยเป็นอย่างไรอยู่
โดยเฉพาะด้านอารมณ์จะเป็นอย่างนั้นไปทั้งชีวิต
อาจพัฒนาได้หากตั้งใจ แต่ก็ยาก และมีโอกาสกลับคืนฐานอารมณ์เดิมได้มาก
.
ง้อมาหลายปี ก็ไม่กลับไปคุยค่ะ
ไม่ใช่งอนยาวนานเพื่อให้คนมาง้อเพื่อดูสำคัญอะไร
แต่พี่ว่าเราจะต้องเลือก ถ้าเรากลัวแบบนี้เราจะต้องไม่เลือกมา
ดูจากนิสัยตัวเราเองที่ชอบสงบๆ แล้วไม่สอดคล้องกัน
................
และตัวเราเองก็จะไม่ทำแบบนี้ด้วยค่ะ...ทุกวันนี้พี่มั่นใจว่าแฟนพี่สบายใจนะ
ถ้าพี่จำเป็นต้องบ่น พี่บ่น ณ ตรงเหตุการณ์เกิดครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจบเลยไม่มีบ่นซ้ำๆ
ไม่มี แบบวันดีคืนดีขุดขึ้นมาบ่น....พี่ว่ามันน่าทรมาน ทัังคนบ่นและโดนบ่น
และเรื่องที่จะบ่นนั้นน้อยมาก มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ 55
แต่แค่เขารู้และไม่ทำเสียแต่ต้น ก็ไม่มีโอกาสโดนบ่นแน่นอนค่ะ
...............
อีกส่วนอาจเป็นเพราะเตี่ยกับแม่พี่นั้นเป้นคู่ที่...เกินจะบรรยาย
ในที่สุดเขาก็แยกทางกัน แต่กว่าจะแยกกันได้ ทรมานทั้งครอบครัว
พี่ออกจะเข้าข้างเตี่ยอยู่ เพราะเรามองดูเหตุการณ์อยู่เสมอ
เตี่ยพี่เป็นคนสงบๆ แต่บางทีวันหยุด เขาอยู่บ้านไม่ได้เลย
ต้องจับรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกนอกบ้านไป ไปไหน
ไปเล่นหมากรุกบ้าง ข้ามไปบ้านลุง (ฝั่งตรงข้ามบ้าง)
แม่พี่จุกจิกมากๆ pattern แบบผู้หญิงจ๋า มาครบ จัดเต็ม
................
เตี่ยพี่เคยบอกว่า (พี่เคยเล่าในกระทู้นี้ หรือกระทู้เก่าก็ไม่รู้)
ชีวิตคู่ เหมือนตอกไข่ดิบใส่มือ แล้วต้องประคองไม่ให้ไหลออก
จะเอียงอุ้งมือไปทางไหนมากก็ไม่ได้ไข่จะไหลออกนอกฝ่ามือ
ยิ่งจะบีบ หรือกำไว้ให้อยู่ในมือ จะยิ่งเหลวเละออกตามง่ามนิ้วมือ
(กลายเป็นนักคิดไปเลยเตี่ยเรา) พี่จำแม่นเลย..ตอนฟังพี่อยู่ ม.ต้น เอง
แต่เข้าใจได้ เพราะเราดูสถานการณ์ในบ้านอยู่ และพี่ไม่อยากเป็นแบบนั้น
................
ทุกวันนี้แฟนพี่เขาทำงานสบายใจมาก พี่ไม่ชอบโทรตาม
เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ใน line ผลิต หรือไม่...ถ้าอยู่ก็รับสายไม่สะดวก
หรืออาจประชุมอยู่ก็ไม่ควร แต่ถ้าเขาว่างเขาจะโทรมาเองเสมอ
ช่วงนี้อยู่บ้านทั้งวัน พี่ก็ยังเหมือนเดิม มีกิจกรรมอะไรที่เราอยากทำมากมาย
เช่น อ่านหนังสือ ทำความสะอาดบ้าน เตรียมเนื้อหาและรูปสำหรับโพส Money Talk
เพลินๆ ก็ถึงเวลารับลูกอีกแล้ว บางทีไปหาอะไรกินกลางวันบ่ายสามแล้วเลยไปรับลูกเลย
ก็หมดเวลาแล้ว บางวันไม่ได้โทรศัพท์เลยค่ะ...ออกจะเรียบๆ สงบดี
.
และยังคงไม่ชอบพิธิการหรือโอกาสพิเศษ อยู่เหมือนเดิม (ยังโหดเหมือนเดิม)
.................
พี่ก็รู้สึกกับแฟนพี่แบบสีแดง เหมือนกัน ส่วนที่น่ารักก็แยกไว้ก็ชมเขาอยู่ค่ะ
แต่...ส่วนระบบก็ยังอยากให้เป็นระบบอยู่ เดี๋ยวจะเลี้ยงลูกลำบากค่ะ
เพราะเรื่องการเงินในครอบครัวก็เป็นเรื่องใหญ่
.
วันที่มัน smooth ดี คนอาจไม่ค่อยรู้สึก อยู่ในชีวิตประจำวันเรา "เหมือนหายใจเข้า-ออก"
แต่ถ้าบริหารการเงินไม่ดีแล้วมีปัญหาขึ้นมา เมื่อนั้นก็จะหายใจติดขัด
แต่ไม่ใช่ติดขัดแบบเป็นหวัดนะคะ ติดขัดเพราะหัวใจขาดเลือด
ไขมันอุดตันในเส้นเลือดจนตีบหมดแล้ว จึงค่อยแสดงอาการ
และหลายครั้งก็สายเกินแก้ ยิ่งถ้าอยู่ในวังวนของหนี้บัตร หรือหนี้นอกระบบ
หรือเมื่อถึงวันที่ควรมั่นคง แลัวยังไม่มั่นคง...ผู้นำครอบครัวโดยเฉพาะผู้ชาย
ก็จะถูกตำหนิจากภรรยา ครอบครัวภรรยา รวมทั้งคนรอบข้างไปอีกแบบ
ทั้งที่บางทีช่วงสร้างฐานนะก็ไม่ค่อยเคยช่วยกันเก็บออม
(บางคนเป็นแบบนั้นจริงๆ อารมณ์เสียง่าย งอนเก่ง ต้องง้อด้วยของ
บางครั้งขอของใหญ่เลย เช่น ทำบ่อปลาคราฟด้วยแกรนิตอย่างดี_มีค่าดูแลอีกหลังจากนั้น
ต้องไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปตามหาแสงเหนือ ต้องเปลี่ยนรถไปใช้รถยุโรปแพงๆ มีจริงๆ ค่ะ)
................
ปัญหาแต่ละเรื่องของชีวิตคู่และ ครอบครัวละเอียดอ่อนและสัมพันธ์กันมาก
จากเรื่องหนึ่ง ถ่ายทอดไปสู่อีกเรื่องได้แบบไม่รู้ตัว แต่เรื่องที่คนมักจะลืมคือเรื่องเงิน
"เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอนนี่แหละค่ะ" เป็นเหมือนหลุมดำในครอบครัว
ว่าที่จริง ปัญหาเรื่องการเงินในครอบครัวก็ "ทบต้น" ได้เหมือนกันนะคะ
เรื่องอะไรเกี่ยวกับเงินนี่ "ทบต้น" ได้หมดเลยเนอะ
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 928
ยินดีจ้า...สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ น้อง GGGG เขียน:มีประโยชน์มากๆเลยครับพี่นุช ชอบมากๆเลยครับ บางทีอ่านที่พี่นุชเขียน แล้วต้องกลับมามองตัวเองเลยครับ ว่ามีอะไรที่เราขาดตกไปรึเปล่า ยิ่งผมเพิ่งเริ่มชีวิตคู่ไม่นานด้วยครับ สงสัยต้องคิดถึงเรื่องการวางแผนหนักๆซะแล้ว รู้สึกยังใช้ชีวิตตามความสบายใจจนเกินไป กลัวจะติดเป็นนิสัย และจะกระทบไปถึงลูกโดยไม่รู้ตัวอย่างที่พี่ว่าครับ
ปล. ยังแอบอ่านอยู่เรื่อยๆน่ะครับ ไม่ได้หายไปไหน
ปล. กราบสวัสดีปีใหม่พี่นุชด้วยน่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI บ้าน ๆ
โพสต์ที่ 930
http://www.manager.co.th/FeelGood/ViewN ... 0000147874เมื่อคนที่คุณรักท้อแท้ หมดไฟ ให้กำลังใจพวกเขาด้วย 20 ข้อความเหล่านี้!!
ถ้าคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้าย เราสามารถช่วยฉุดพวกเขาขึ้นมาจากความทุกข์ได้ด้วยการให้กำลังใจ
สิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสารคือต้องแน่ใจว่าน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงออกไปนั้นเหมาะสม
ระวังอย่าทำให้เขารู้สึกแย่ด้วยการพูดเชิงต่อว่าหรือสั่งสอนเหมือนเป็นเด็กๆ หากจงให้กำลังใจพวกเขา
ด้วยความอบอุ่นและจริงใจ และนี่คือ 20 ข้อความที่จะเปลี่ยนโลกมืดหม่นของคนที่คุณรักให้สดใสขึ้นได้
1. มันไม่เป็นไรหรอกที่บางครั้งจะรู้สึกไม่ดีบ้าง
เมื่อผู้คนกำลังสับสนพวกเขามักจะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่เข้าไปอีกด้วยการกดดันตัวเอง จมอยู่กับปัญหา
และรู้สึกว่าคงจัดการกับมันไม่ได้ มันโอเคที่บางครั้งจะรู้สึกไม่ดีบ้าง จงบอกรักเขาและบอกว่าคุณพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขา
ไม่ว่าจะในช่วงเวลาที่ดีหรือร้ายก็ตาม
2. เราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
ลองให้พวกเขาหันมองรอบๆ ในสังคมยังมีคนอื่นๆ ที่มีความทุกข์มากมาย การที่เขาได้เห็นถึงความจริงนี้
จะช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น เพราะพวกเขาจะรับรู้ว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหา คนอื่นๆ ในโลก
ใบนี้ก็มีปัญหาที่ต้องเผชิญเช่นกัน พวกเขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงและมีความหวังมากขึ้น
3. หยุดพร่ำบ่น
บางครั้งเมื่อรู้สึกแย่ เรามักจะบ่นและกล่าวโทษตัวเองหรือคนอื่นที่มีส่วนทำให้เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น
ซึ่งมันโอเคที่จะแสดงออกถึงความโกรธหรืออารมณ์ความรู้สึกออกมาบ้าง แต่การขลุกอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้น
มีแต่จะทำให้พวกเขารู้สึกแย่และหมดพลัง ช่วยคนที่คุณรักให้เห็นว่าวิธีที่จะหลุดจากความรู้สึกแบบนี้
ก็คือการหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแทนที่จะจมอยู่กับการพร่ำบ่นเหล่านั้น
4. ความยากลำบากจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
ช่วยให้คนที่คุณรักเห็นว่าการก้าวข้ามสถานการณ์ที่ยากลำบากจะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น
แม้ว่าเขาอาจรู้สึกว่ามันเหมือนตกนรกอยู่ก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องพูดให้เขาเห็นถึงข้อดี
ที่คุณเห็นในการก้าวผ่านอุปสรรคนี้ ไม่ใช่พูดสอนเหมือนเขาเป็นเด็กๆ
5. ถอยหนึ่งก้าว
คนที่กำลังรู้สึกแย่มักจะสูญเสียมุมมองบางอย่างไปเพราะเหมือนกำลังจมจ่ออยู่กับปัญหาที่มี
จงบอกพวกเขาให้ถอยออกมาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่สักก้าว การถอยออกมาจะช่วยให้เขาเห็นสิ่งเดิมในมุมมองใหม่
ซึ่งจะทำให้เขาสามารถหาทางออกได้ดีขึ้น
6. ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปหรอก
สิ่งที่แย่ในการต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากคือพวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปหรอก เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป
บอกคนที่คุณรักให้เห็นความจริงนี้ มันจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
7. ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น
ช่วงเวลาที่ยากลำบากมักจะนำมาซึ่งความรู้สึกสับสนว้าวุ่น พวกเขาจะหยุดชะงักและรู้สึกตัดสินใจไม่ได้
บอกพวกเขาว่ามันไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาทั้งหมดในคราวเดียว ถ้าพวกเขาแค่ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดี
นั่นก็ถือว่ามีความก้าวหน้าแล้ว
8. มองหาประตูที่เปิดอยู่
เมื่อประตูหนึ่งถูกปิดไป อีกประตูก็มักจะเปิดขึ้นเสมอ การสูญเสียบางสิ่งบางอย่างจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ
แต่มันจะปรากฏเมื่อคุณเปิดรับมันเท่านั้น บอกคนที่คุณรักว่าให้ตื่นตัวในการแสวงหาโอกาสและการหาทางออกอยู่เสมอ
9. แค่ทำให้ดีที่สุด
ผู้คนที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนสามารถสร้างความกดดันให้กับตัวเองได้มากมายเพื่อทำให้ผลออกมาดี
ซึ่งมันจะสร้างความเสียใจมากขึ้นถ้ามันไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ บอกพวกเขาว่าตราบใดที่ทำดีที่สุดแล้ว
มันก็คือดีที่สุด พวกเขาเป็นมนุษย์ย่อมมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา แค่ทำดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว
10. ช่วงเวลายากลำบากก่อนหน้านี้ เราก็เคยผ่านมันมาได้
มันอาจจะยากสำหรับเขาที่จะมองเห็นจุดแข็งของตัวเองท่ามกลางความรู้สึกแย่ๆ นี้
บอกเขาว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากก่อนหน้านี้เขาก็เคยผ่านมันมาได้ แสดงให้เขาเห็นว่า
มันมีทางออกและพวกเขามีจุดแข็งที่จะสามารถก้าวผ่านมันได้
11. คุณกล้าหาญ
คนจำนวนมากที่อยู่ในภาวะนี้ปฏิเสธที่จะรับรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเขาเองนั้นเข้มแข็งและกล้าหาญมากแค่ไหน
พวกเขามักจะมองเห็นแต่ความอ่อนแอและความกลัวของตัวเอง
บอกพวกเขาว่าความกล้าหาญไม่ได้แปลว่าความกลัวนั้นหายไป
แต่มันหมายถึงความมุ่งมั่นที่ยังเดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะยังกลัวอยู่ต่างหาก
12. ในแต่ละวันมีเรื่องราวดีๆ อยู่เสมอ
การอยู่ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ทำให้เรามีความคิดลบๆ ได้ง่ายมาก ถ้าใครที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
และต้องเผชิญกับความรู้สึกหดหู่ ให้ถามเขาถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต อะไรคือสิ่งดีๆ ที่เขามี
อะไรที่เขาทำสำเร็จมาแล้วบ้าง มันจะช่วยทำให้พวกเขามีความหวังแม้จะอยู่ในความมืดก็ตาม
13. เลือกมองสิ่งที่เราได้เรียนรู้
แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคแต่มันก็มีสิ่งที่ได้เรียนรู้เสมอ เราอาจได้รู้ว่าใครที่เป็นเพื่อนแท้ในยามคับขัน
หรือถือว่าเป็นโอกาสได้ฝึกความอดทน ฝึกความเข้มแข็งและการแก้ปัญหา มันมีสิ่งสวยงามอยู่
ช่วยคนที่คุณรักค้นหามัน
14. มันไม่ใช่ความผิดของคุณ
บางครั้งเมื่อคนเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาอาจคิดว่าความโหดร้ายนี้
ถูกส่งมาเพื่อลงโทษพวกเขา ถ้าคนที่คุณรักคิดแบบนี้ บอกพวกเขาว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา
มันจะช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้น
15. ทำได้ดีแล้ว
ทำให้คนที่คุณรักรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมีค่า เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
พวกเขาอาจจะไม่ชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำ จงชื่นชมเขา สิ่งนั้นจะทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งและภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
16. โฟกัสกับปัจจุบัน
หลายครั้งผู้คนมักทำให้ช่วงเวลาร้ายๆ แย่หนักกว่าเดิมโดยการกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
หรือเอาอดีตที่ผ่านมาแล้วมากัดกร่อนจิตใจ พวกเขามักจะปล่อยให้ตัวเองคิดถึงสิ่งร้ายๆ
ที่เคยเกิดขึ้นหรือความล้มเหลวที่เคยผ่านมา หรือพวกเขาอาจจะกลัวว่าความยากลำบาก
ในตอนนี้จะนำมาซึ่งปัญหาที่เพิ่มขึ้นอีก บอกพวกเขาให้โฟกัสกับปัจจุบัน เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียว
ที่พวกเขาจะสร้างหรือเปลี่ยนแปลงได้
17. มันไม่ใช่จุดจบของโลก
ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ ความจริงก็คือมีปัญหาอยู่น้อยมากที่สามารถทำให้เราหยุดหายใจได้
คุณสามารถให้กำลังใจคนที่คุณรักโดยบอกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอยู่รอดและพ่ายแพ้ได้
พวกเขาจะหาทางที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้แม้ว่าจะยากลำบากเพียงใด ขอแค่ไม่ละความพยายาม
18. อ่อนโยนกับตัวเอง
เมื่อต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลายคนอาจรู้สึกท้อแท้ผิดหวังกับปัญหาที่ต้องเผชิญ
พวกเขามักไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองได้หยุดพักกับปัญหาที่เกิดขึ้น บอกคนที่คุณรักว่าช่วงเวลาที่ยากลำบาก
จะง่ายขึ้นเมื่อเราอ่อนโยนกับชีวิต ให้เวลาหยุดพักกับปัญหาไปหัวเราะ ดูแลตัวเอง รายล้อมด้วยคนดีๆ บ้าง
การผ่อนคลายความเครียดลงจะช่วยให้พวกเขากลับมาแก้ปัญหาได้อย่างมีพลังยิ่งขึ้น
19. คนอื่นยินดีที่จะช่วย
ถ้าคนที่คุณรักกำลังเจอบททดสอบ พวกเขาอาจจะคิดว่าต้องผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ด้วยตัวเองทั้งหมด
พวกเขาไม่อยากที่จะเอาปัญหาของพวกเขาไปสร้างภาระให้คนอื่น และไม่อยากที่จะขอความช่วยเหลือ
บอกพวกเขาว่าคนส่วนใหญ่ยินดีและเต็มใจที่จะช่วย ในความเป็นจริงแล้ว การได้ช่วยเหลือใครมันรู้สึกดีด้วยซ้ำ
เหตุผลที่มนุษย์เรามีข้อดีที่ต่างกันก็เพื่อว่าเราจะได้สามารถช่วยเหลือกันและกันได้
ให้กำลังใจคนที่คุณรักในการมองหาความช่วยเหลือเมื่อเขาจำเป็นต้องใช้มัน
20. เราอยู่ข้างๆ เสมอ
ประโยคสั้นๆ นี้มีความหมายมากมายเหลือเกิน บอกให้คนที่คุณรักรู้ว่าคุณจะอยู่เคียงข้างเขา
จะรับฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร คอยเช็ดน้ำตาและอยู่ใกล้ๆ สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก
สำหรับคนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจ เพียงแค่คุณสนใจความรู้สึกของคนที่คุณรัก กำลังใจของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว
คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่เป็นทุกข์หรือหมดกำลังใจ หลายครั้งเราอาจรู้สึกอ่อนแอและมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า
การที่มีใครสักคนที่รักให้กำลังใจและฉุดรั้งเราขึ้นไปในทางที่ดี จะทำให้ความเข้มแข็งและพลังใจนั้น
กลับมาอย่างเต็มเปี่ยม หากคนข้างๆ ของคุณกำลังหมดหวังลองเติมพลังให้เขาด้วยข้อความเหล่านี้ดู
รับรองว่าจะรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน
เอาบทความดีๆ มาฝากครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "