Thai VI

ขอบคุณ คุณลูกอีสาน มากครับ กระจ่างเลย

6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า  

ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน


7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา.. :lol:

8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ  

...เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้นโกรท...




กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก :lol:  ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือกลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา

ผมและเพื่อนท่านอื่นๆอาจจะเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่นักลงทุนต้องเดินทางด้วยตัวเองครับ ระหว่างทางอาจจะมีความยากลำบาก มีอุปสรรค มีเพียงทัศนคติที่ถูกต้อง ความตั้งใจ และกำลังใจ จะทำให้เราไปถึงจุดหมายครับ มีบทกวีบทหนึ่ง นำมาฝากเป็นกำลังใจด้วยครับ


เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด...
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย...
พอมองเห็นรางราง อยู่ทางปลาย...
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ...

เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด...
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย...
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย...
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ...

เป็นกระทู้ที่ดีมากๆเลยครับ  

สรุปแนวคิดได้ดีมาก

ขอบคุณมากครับ

กระทู้นี้ให้ข้อคิดดีมากๆครับ ได้แง่คิดมากครับ ขอบคุณมากๆครับกับการแบ่งปันสิ่งดีๆ

ยอดเยี่ยม และ เยี่ยมยอดครับพี่          

คารวะท่านลูกอีสานครับ

ยอดเยี่ยมเสมอ

และเป็น moderator กระทู้ที่เยี่ยมมากๆ

ลูกอิสาน เขียน: (เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)

ผมชอบแนวคิดนี้จังเลย...น่าจะจริงนะครับ
มีอีกวิธีในการดู...อาจเอามาประกอบเพิ่มคือ ให้สังเกตุ ROE ด้วยครับ ว่าสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ได้เพิ่มหนี้สินจนเกินสัดส่วนการเพิ่มของกำไร หรือยิ่งไม่เพิ่มหนี้สินด้วยก็ยิ่งดีใหญ่....จุดนี้จะแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารตั้งใจจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการด้วยความสามารถสูงสุดเท่าที่มีอยู่โดยพยามยามไม่รบกวนเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นมากเกินไป....และยิ่งมองประกอบกับ ROA และอัตราการปันผล ก็จะช่วยย้ำว่าเค้าสนใจผู้ลงทุนมากเท่าไหร่ด้วยครับ

เพิ่งเริ่มลงทุนในหุ้นปีนี้ค่ะ เป็นคนที่มีพอร์ตขนาดเล็กเหมือนกัน มีหุ้นแค่สี่-ห้าตัว เลือกเน้นเฉพาะแมวป่า (ตามการแบ่งของพี่นริศ) ตอนนี้เพิ่งมีหุ้นเด้งแรกในชีวิต เลยอยากเป็นกำลังใจให้นักลงทุนที่มีทุนน้อยทุกคนค่ะ
และก็เหมือนที่พี่ลูกอีสานบอกว่าระยะเวลาในการถือหุ้นแต่ละตัวเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ (เพราะเรากำลังซื้ออนาคตของธุรกิจนั้นๆ อยู่ )
ขอแสดงความนับถือแนวคิดพี่ๆทั้งสองค่ะ
Kiri[/quote]

ฟังที่พี่ลูกอิสาน กับพี่นริศว่าก็สงสัย รู้สึกวิธีที่ว่ามาพอร์ตใหญ่พอร์ตเล็กก็ใช้ได้นี่ครับ

ยอดเยี่ยมครับพี่ นับถือๆ

Ryuga เขียน:ฟังที่พี่ลูกอิสาน กับพี่นริศว่าก็สงสัย รู้สึกวิธีที่ว่ามาพอร์ตใหญ่พอร์ตเล็กก็ใช้ได้นี่ครับ

ก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน อิอิ

คุณลูกอีสาน สรุปแนวทางการลงทุนได้เยี่ยมจริงๆ

ตั้งเป้ากำไรแบบข้อ7 นี่ตรงใจผมเลยครับ

จริงๆ การตั้งเยอะๆนี่ไม่ใช่เว่อร์นะครับ

แต่มันมีเหตุผลภายในตัวมันเอง

สุดยอดครับ เห็นด้วยไปหมดทุกข้อเลย เยี่ยมมากๆครับ  

ผมอ่านกระทู้นี้แล้วทำให้คิดขึ้นมาได้ว่าทำอย่างไรที่จะให้เนื้อหาอย่างนี้รวมถึงกระทู้
จดหมายโต้ตอบระหว่าง ลุงขวดกับพี่ครรชิต แพร่หลายออกไปยังนักลงทุนมือใหม่รวมถึงมือเก่าที่ตามแห่ี่วนเวียนอยู่กับการทำกำไรระยะสั้นหลักพันแต่
cut loss หลักหมื่น      และหากเป็นไปได้แพร่หลายไปยังมาร์เก็ตติ้งหนุ่มๆสาวๆ
เอาไว้เป็นกลยุทธการลงทุนทางเลือกหนึ่งที่จะแนะนำลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่
่ของเขาและเธอ

ผมเข้า(เพราะโลภ)ออก(เพราะเข็ด)ตลาดหลายรอบมาตั้งแต่ดัชนี 120 แต่พึ่งมาตกผลึกว่าการลงทุนที่ถูกต้องคืออย่างไร(ถึงแม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จนัก)
เมื่อเข้ามาศึกษาบทความ กระทู้ ตลอดจน blog ของเหล่า VI ทั้งหลายอย่างละเอียดในช่วงเวลาไม่กี่เดือนมานี้เอง

ขอบคุณครับ ขอบคุณ
   

นับถือครับ นับถือทั้ง 2 ท่านเลย...    

save ไว้เรียบร้อยแล้วครับ

8) ยอดมากครับทั้งพี่ลูกอิสานและนริศ

    ใครไม่มางานมีตติ้ง 9มิย.ที่ผ่านมานี่

    ควรสั่งซื้อดีวีดีในงานไปดูและฟัง

    ทั้ง2ท่านพูดถึงมุมมองและประสบการณ์ในตลาดที่ผ่านมา

    รับรองว่าคุ้มเกินค่าครับ

    แล้วยังได้ฟังช๊อตเด็ดที่หมอศรรามประธานของเรา

    แซวท่านดร.ก่อนจบงานอย่างน่าทึ่งอีกตะหาก

ผมเห็นด้วยกับกฎที่ว่า ห้ามขาดทุน
คนที่มองระยะยาว, เป็น VI, เป้นนักลงทุนแบบค่อยเป้นค่อยไป  หรืออะไรก็เเล้วแต่
สิ่งที่เเต่ละท่าน (ควร) มีศรัทธาอยู่ น่าจะเป็น

...มหัศจรรย์ ของดอกเบี้ยทบต้น (สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก)

สำหรับความคิดผม.....
...นักลงทุนมือใหม่ (เหมือนกัน) น่าจะมีสัมมาทิฏฐิ เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็น base สำหรับการลงทุนครับ

เข้ามารับฟังผลึกแห่งแนวทางการลงทุนแนว VI จากเพื่อน ๆ ที่มากประสบการณ์

ขอบคุณมากสำหรับบทความดี อย่างนี้    

ขอบคุณมากๆนะครับผม
กระทู้ดีๆสำหรับปีดีๆ(หวังว่านะ )

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม

กระทู้ดีมากเลยครับ สรุปได้ใจความ

ผมชอบ  :D

มีเทคนิคการบริหารเงินลงทุนอย่างหนึ่ง ที่มีหลักการที่ดีมีเหตุผล และใช้ตรรกะมากกว่า DCA ที่อยากมาเสนอให้ลองใช้ดู คือแบบ Pyramiding ครับ

เมื่อสี่ห้าปีก่อน ผมเกิดแนวคิด และทดลองการลงทุนแบบ"ซื้อเฉลี่ยขาขึ้น" หลังจากได้ศึกษาแนวทาง DSM ที่โด่งดังในเวปพันทิปเมื่อหลายปีก่อน แต่มาอ่านเจอ(ทีหลัง)จากตำราฝรั่งในห้องสมุดมารวย ว่าเขาเรียกการบริหารเงินลงทุนในหุ้นแบบปิรามิด

อธิบายหลักการแบบง่ายๆก้อคือ ซื้อหุ้นเพิ่มในจำนวนที่น้อยลงเมื่อราคาขึ้นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ ถ้าจะให้ดีทำเป็นตารางไว้เลย เช่น
ตั้งต้นซื้อหุ้น aaa 1000 หุ้นที่ราคา 10 บาท
ซื้อเพิ่มอีก 900 หุ้นเมื่อราคาขึ้นไปที่ 11 บาท
ซื้อเพิ่มอีก 800 หุ้นเมื่อราคาขึ้นไปที่ 12 บาท ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้หุ้นเท่าที่ต้องการ

แนวทางนี้น่าจะสอดคล้องกับ VI ที่มีเงินลงทุนไม่มากที่ต้องเน้นการบริหารพอร์ต

ขออณุญาติขยายความอีกนิดครับ

ผมมักใช้วิธีนี้ เวลาค้นพบหุ้นที่เชื่อว่ามีคุณค่ากับการลงทุนสัก 4-7 ตัวแล้วมีเงินจำกัด ลังเลไม่รุ้ จะลงตัวใหนก่อน ไม่มั่นใจความคิดตัวเอง

ผมจะกระจายเม็ดเงินลงไปพอๆกัน(เหลือเงินไว้เติมบ้าง) แล้วเฝ้าตามดูราคาอาทิตย์ละครั้งก้อน่าจะพอ ถ้าตัวใหนขยับขึ้น(อย่างมีนัยยะ) แสดงว่าเราเลือกหุ้นถูกตัวแล้ว .....ผลประกอบการไปตามทางที่คาดไว้ หรือดีกว่า.... คนอื่นๆเริ่มมองเห็นอย่างที่เราเห็น....ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ถ้าเป็นหุ้นคุณค่า(จริง) ไม่ใช่หุ้นปั่น มันก้อน่าจะลงทุนเพิ่มได้ไม่ใช่หรือ

หุ้นตัวที่ราคาไม่ขยับนานๆ(เป็นปี)จะต้องศึกษาทบทวนใหม่ เพื่อขายทิ้งปรับพอร์ตตามวาระที่ตั้งไว้

ตอนผมเริ่มทดลองใหม่ๆ ถ้าเกิดตัวใหนราคาตกถึงเป้าที่ตั้งไว้ จะถูก cut loss ด้วยซ้ำไป(แนวทางของ DSM) แต่คนเก่งหลายคนในเวปนี้ ช่วยให้ผมเข้าใจและยอมรับ Mr. Market มากขึ้น

:lol:  ขอบคุณมากครับ

พึ่งได้เข้ามาอ่าน สุดยอดเลยครับ

อ่านแล้วดีมีสาระและได้กำลังใจ

ผมยังพึ่งเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนเน้นคุณค่าเองครับ[ยังเด็ก อะครับ 15 เอง] ^ ^
กำลังพยายามเก็บข้อมูลอยู่อะครับ
ผมคาดว่าเงินเริ่มต้นที่ผมจะใช้คงประมาณ10000 - 30000 อะครับ
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี ๆ นะครับ  :D          :P

ขอบคุณครับ


^
^
^
มีเด็ก อายุ 15 ด้วยหรอ

เสียดายครับเริ่มต้นช้าไปนิด (ผม19)