กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 1
สืบเนื่องจากกระทู้นี้ มีเงินน้อย เป็นvi ไม่ได้จริงหรือไม่
แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้
ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป
เงินลงทุนน้อยๆตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก
ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
เพื่อนๆท่านใดมีเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่คิดว่าน่าสนใจอย่างไรจะแนะนำ สำหรับพอร์ตการลงทุนขนาดเล็ก ก็แสดงความคิดเห็นได้เลยครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆจะได้นำไปประยุกต์ใช้
แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้
ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป
เงินลงทุนน้อยๆตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก
ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
เพื่อนๆท่านใดมีเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่คิดว่าน่าสนใจอย่างไรจะแนะนำ สำหรับพอร์ตการลงทุนขนาดเล็ก ก็แสดงความคิดเห็นได้เลยครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆจะได้นำไปประยุกต์ใช้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 3
Leverage เป็นหนึ่งในกลยุทธที่นำมาใช้ได้ ซึ่งอาจจะเป็น Margin หรือ derivative อย่างวอแรนท์ พวกนี้จะช่วยทำให้เงินลงทุนเรามีอำนาจมากขึ้น
พวกหุ้นที่ผ่านการคัดสรรของเรามาแล้วแทนที่จะถือหุ้นแม่ ก็ซื้อวอร์แล้วถือแทน
พวกหุ้นที่ผ่านการคัดสรรของเรามาแล้วแทนที่จะถือหุ้นแม่ ก็ซื้อวอร์แล้วถือแทน
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 4
ผมยังจำได้ เปิดพอร์ตครั้งแรกด้วยเงิน 7000 บาท
ท่านใดต่ำกว่านี้ มาบลัฟเลยครับ 55 :lol: :lol:
ผมไม่กังวลใดๆทั้งสิ้นครับ ผมศึกษาจากพี่ๆในนี้ ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม เวลาผ่านไป ผมรู้สึกได้เองว่าเก่งขึ้น แต่ก็ยังอ่อนหัดมากอยู่ดี
เรื่องผลตอบแทนนั้น ผมเห็นกับตาในพอร์ทเลยว่า จากทีแรกที่ขาดทุนไปเยอะ แต่ตอนนี้ตัวที่มาซื้อระยะหลังๆ กำไรทุกตัว แต่ถือไว้ไม่ขาย
ของเก่าๆที่ถือไว้มีขาดทุนบ้าง ก็ตามติดสถานการณ์แล้ว เห็นว่ายังโอเค ก็ถือต่อครับ
ดังนั้นอย่าเอาจำนวนเงินมาเป็นที่ตั้งให้กังวลใจครับ ทำงานเก็บเงินเติมเข้าพอร์ตไปเรื่อย ทบกับกำไรที่ทำได้มากขึ้นตามความรู้ที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มั่นใจได้เลยว่าไม่นานจะมีอิสรภาพทางการเงิน สำหรับผมตั้งไว้ตอน 30 ปลายๆครับ
ท่านใดต่ำกว่านี้ มาบลัฟเลยครับ 55 :lol: :lol:
ผมไม่กังวลใดๆทั้งสิ้นครับ ผมศึกษาจากพี่ๆในนี้ ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม เวลาผ่านไป ผมรู้สึกได้เองว่าเก่งขึ้น แต่ก็ยังอ่อนหัดมากอยู่ดี
เรื่องผลตอบแทนนั้น ผมเห็นกับตาในพอร์ทเลยว่า จากทีแรกที่ขาดทุนไปเยอะ แต่ตอนนี้ตัวที่มาซื้อระยะหลังๆ กำไรทุกตัว แต่ถือไว้ไม่ขาย
ของเก่าๆที่ถือไว้มีขาดทุนบ้าง ก็ตามติดสถานการณ์แล้ว เห็นว่ายังโอเค ก็ถือต่อครับ
ดังนั้นอย่าเอาจำนวนเงินมาเป็นที่ตั้งให้กังวลใจครับ ทำงานเก็บเงินเติมเข้าพอร์ตไปเรื่อย ทบกับกำไรที่ทำได้มากขึ้นตามความรู้ที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มั่นใจได้เลยว่าไม่นานจะมีอิสรภาพทางการเงิน สำหรับผมตั้งไว้ตอน 30 ปลายๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 5
ซื้อ warrant นี่ต้องถูกสุดๆจริงๆ คือถ้าเทียบแล้ว ต้องมี margin of safety มากๆเลยทีเดียว เพราะราคามันจะผันผวนมากกว่าหุ้นแม่ มากๆ แล้วก็ต้องดูราคาด้วยว่า in the money มากๆ หรือเปล่า วันที่มีสิทธิแลกซื้อหุ้นแม่วันไหน หมดอายุเมื่อไหร่ warrant ไม่ได้ปันผลนะครับ บางครั้งถือไว้ก็เสียโอกาสการได้รับปันผล บางครั้งราคาพอใกล้วันแลกซื้อหุ้นแม่ มันก็มีอยู่สองแนวทางคือ หุ้นลูก ดึงหุ้นแม่ลงมาราคาเท่ากัน หรือ หุ้นแม่ ดันราคาหุ้นลูกขึ้นไปBoring Stock Lover เขียน:Leverage เป็นหนึ่งในกลยุทธที่นำมาใช้ได้ ซึ่งอาจจะเป็น Margin หรือ derivative อย่างวอแรนท์ พวกนี้จะช่วยทำให้เงินลงทุนเรามีอำนาจมากขึ้น
พวกหุ้นที่ผ่านการคัดสรรของเรามาแล้วแทนที่จะถือหุ้นแม่ ก็ซื้อวอร์แล้วถือแทน
สรุปว่า ถ้าซื้อ warrant แต่ไม่ได้ของถูกมากๆ จริงๆ มันจะเป็นการเก็งกำไรมากกว่าเป็นการซื้อหุ้นแนว vi ครับ
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 7
ในเมื่อพูดถึงเล็กๆใหญ่ๆขอฝากมุมมองอีกด้านของเล็กๆและใหญ่ๆดูนะครับ
ใหญ่ในเล็ก ดีกว่า เล็กในใหญ่
ใหญ่ในเล็ก ดีกว่า เล็กในใหญ่
แก้ไขล่าสุดโดย naris เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 9:36 am, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วยมากๆเลยครับ ผมเห็นหลายๆท่านชอบตั้งเป้าหมายไว้ 10-15% ผมว่ามันเหมาะกับคนที่มีพอร์ตใหญ่หลายสิบล้านขึ้นไป หรือไม่ก็คนสูงอายุมากกว่าครับ ถ้าเรายังอายุน้อยและเงินลงทุนไม่มาก ศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ ผมว่าตลาดบ้านเราทำได้กว่า 10-15% ไม่ยากเกินไปครับ
อย่าไปตั้งเป้าตามพวกพอร์ตแสนล้าน ล้านๆ เลยครับ มันคนละเรื่อง ใช้ประโยชน์จากความเล็กให้เต็มที่ก่อน โตไปพอร์ตใหญ่ๆแบบ ดร. ค่อยคิดอีกที
ด้วยความเคารพครับ
อย่าไปตั้งเป้าตามพวกพอร์ตแสนล้าน ล้านๆ เลยครับ มันคนละเรื่อง ใช้ประโยชน์จากความเล็กให้เต็มที่ก่อน โตไปพอร์ตใหญ่ๆแบบ ดร. ค่อยคิดอีกที
ด้วยความเคารพครับ
It's earnings that count
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 11
ลืมไปประเด็นนึง ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่แล้วอยากได้ผลตอบแทนสูงๆหน่อย ผมมองเห็นแค่หุ้นประเภทเดียวคือ growth stock เท่านั้นครับ หุ้นใหญ่ๆไม่ต้องสนใจ มั่นใจน้อยก็กระจายหลายตัวหน่อย มั่นใจมากก็ตีแตกไปเลย (รับผิดชอบกันเองนะครับ ) แต่ก็ต้องลงทุนให้เหมาะสมกับความรู้ด้วยนะครับเหมือนที่เฮียคลายเครียดชอบพูด อย่าโลภเกินความรู้
ส่วนพวก cyclical,turn around ผมว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างมาก หุ้น growth ถ้าดูที่ราคาไม่เวอร์ไปผมว่าโอกาสแพ้หรือเจ็บหนักน้อยมากครับ
ส่วนพวก cyclical,turn around ผมว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างมาก หุ้น growth ถ้าดูที่ราคาไม่เวอร์ไปผมว่าโอกาสแพ้หรือเจ็บหนักน้อยมากครับ
It's earnings that count
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 12
มีเพื่อนๆที่คิดคล้ายๆกันหลายท่านเลยนะครับ
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ
1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ
1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก :lol: ) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา
1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น
-แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน
-แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง :lol:
รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย :lol: )เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอืนค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอืนๆ(อยากรวย :lol: ) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน
ประเด็นแรกการหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ
1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ
1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก :lol: ) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา
1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น
-แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน
-แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง :lol:
รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย :lol: )เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอืนค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอืนๆ(อยากรวย :lol: ) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน
ประเด็นแรกการหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 14
ข้าน้อยฝีมือการเขียนยังอ่อนด้อยกว่าพี่ร้อกกี้แว่นมากนัก.^O-O^ เขียน:ขอก๊อปไปเก็บแฟ้มครับ ผมมีแฟ้ม "คุณนริศ" แยกไว้ต่างหากเลย
คุณนริศ เขียนได้ประทับใจมากครับ
เมื่อไหร่หุ่นผม จะเป็นแบบคุณแว่นน๊อ.....สาวๆคงจะกรี๊ดน่าดู
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 20
ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด
ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า
การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ
กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ
1.การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ :lol:
2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำใด้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ
ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า
การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ
กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ
1.การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ :lol:
2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำใด้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 21
ขอเสริมแบบมองต่างมุมนิดนึงนะครับ อาจจะไม่เป็นไปตามแนวทางกระทู้นี้เท่าไหร่
ผมเชื่อว่า ห้ามขาดทุน เป็นปัจจัยหรือกฎหลักที่สำคัญที่สุดครับ โดยเฉพาะกับพอร์ตขนาดเล็กและเพิ่งเริ่มลงทุน หลังจากเริ่มมีกำไรตุนไว้แล้ว ค่อยเริ่มลงทุนในมุมที่เสี่ยงขึ้น
เช่นเมื่อเราศึกษาอย่างละเอียดและทำการบ้านแล้ว จะมีตัวเลือกหลายแบบมาก ตัวเลือกประเภทที่มี Upside เยอะมากๆ แต่ Downside ก็ไม่น้อย อย่างนี้ผมว่า เลือก Upside กำลังดี แต่แทบไม่มี Downside เลยในระยะยาวดีกว่าในตอนต้น
ผมเปรียบเทียบกับการเล่นไพ่ครับ ถ้าใครเคยอยู่ในเกมส์พนัน จะรู้ว่า การขาดทุนแต่แรกทำให้เกมส์มันเสียและแย่ในระยะยาว เผลอ ๆ กู่ไม่กลับทั้งคืน
ในหุ้นก็น่าจะเช่นเดียวกัน
ผมเชื่อว่า ห้ามขาดทุน เป็นปัจจัยหรือกฎหลักที่สำคัญที่สุดครับ โดยเฉพาะกับพอร์ตขนาดเล็กและเพิ่งเริ่มลงทุน หลังจากเริ่มมีกำไรตุนไว้แล้ว ค่อยเริ่มลงทุนในมุมที่เสี่ยงขึ้น
เช่นเมื่อเราศึกษาอย่างละเอียดและทำการบ้านแล้ว จะมีตัวเลือกหลายแบบมาก ตัวเลือกประเภทที่มี Upside เยอะมากๆ แต่ Downside ก็ไม่น้อย อย่างนี้ผมว่า เลือก Upside กำลังดี แต่แทบไม่มี Downside เลยในระยะยาวดีกว่าในตอนต้น
ผมเปรียบเทียบกับการเล่นไพ่ครับ ถ้าใครเคยอยู่ในเกมส์พนัน จะรู้ว่า การขาดทุนแต่แรกทำให้เกมส์มันเสียและแย่ในระยะยาว เผลอ ๆ กู่ไม่กลับทั้งคืน
ในหุ้นก็น่าจะเช่นเดียวกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 22
พี่ BHT ผมนี้ละครับต่ำกว่าพี่
5 พันกว่าบาท กับตัวแรกในชีวิต เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว
โดนที่เพื่อนบอกด้วย ไม่เข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร
ถามเพื่อนคำเดียวตัวไหนดี มันก็บอกให้
จากนั้นได้ประสบการณ์ดีสำหรับตัวนี้คือ ถือต่อ เจ็ดเดือนได้กำไร 10% ตอนนั้นคิดว่าข้าแน่
สุดท้ายเสียค่าครูให้กับตลาดไปหลายเหมือนกัน
ณ ตอนนี้แนวทาง VI เป็นแนวที่ถูกใจใช่เลย
เพราะทำงานได้สะดวกสบายไม่ต้องพะวง
5 พันกว่าบาท กับตัวแรกในชีวิต เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว
โดนที่เพื่อนบอกด้วย ไม่เข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร
ถามเพื่อนคำเดียวตัวไหนดี มันก็บอกให้
จากนั้นได้ประสบการณ์ดีสำหรับตัวนี้คือ ถือต่อ เจ็ดเดือนได้กำไร 10% ตอนนั้นคิดว่าข้าแน่
สุดท้ายเสียค่าครูให้กับตลาดไปหลายเหมือนกัน
ณ ตอนนี้แนวทาง VI เป็นแนวที่ถูกใจใช่เลย
เพราะทำงานได้สะดวกสบายไม่ต้องพะวง
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 23
เหมือนกันครับ ทีแรกตามชาวบ้านที่เราเชื่อเขา หลังๆเชื่อตัวเอง และถืออย่างสบายใจmiracle เขียน:พี่ BHT ผมนี้ละครับต่ำกว่าพี่
5 พันกว่าบาท กับตัวแรกในชีวิต เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว
โดนที่เพื่อนบอกด้วย ไม่เข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร
ถามเพื่อนคำเดียวตัวไหนดี มันก็บอกให้
จากนั้นได้ประสบการณ์ดีสำหรับตัวนี้คือ ถือต่อ เจ็ดเดือนได้กำไร 10% ตอนนั้นคิดว่าข้าแน่
สุดท้ายเสียค่าครูให้กับตลาดไปหลายเหมือนกัน
ณ ตอนนี้แนวทาง VI เป็นแนวที่ถูกใจใช่เลย
เพราะทำงานได้สะดวกสบายไม่ต้องพะวง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 24
อือ ..กว่าจะมีเวลาโพสต์ต่อ คนอ่านก็ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว :lol:
ขอบคุณคุณ Linshi ครับ ผมก็ไม่ได้บอกก่อน ที่จริงตั้งใจจะบอกเหมือนกันครับว่า
กลยุทธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่คงไม่เหมาะกับ VI มือใหม่ที่เริ่มศึกษา แต่น่าจะมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ในระดับหนึ่ง อาจจะลงทุนแนวนี้มา 2-3 ปีแล้ว และบางประเด็นนอกจากความรู้ ต้องเข้าใจจิตวิทยามวลชน เช่น การลงทุนในตราสารพวก warrant ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเพิ่มผลตอบแทน จะทำให้ผลตอบแทนฮวบฮาบแทนครับ :lol:
ต่อกลยุทธ์ต่อไปเลยครับ..
3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที
ขอบคุณคุณ Linshi ครับ ผมก็ไม่ได้บอกก่อน ที่จริงตั้งใจจะบอกเหมือนกันครับว่า
กลยุทธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่คงไม่เหมาะกับ VI มือใหม่ที่เริ่มศึกษา แต่น่าจะมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ในระดับหนึ่ง อาจจะลงทุนแนวนี้มา 2-3 ปีแล้ว และบางประเด็นนอกจากความรู้ ต้องเข้าใจจิตวิทยามวลชน เช่น การลงทุนในตราสารพวก warrant ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเพิ่มผลตอบแทน จะทำให้ผลตอบแทนฮวบฮาบแทนครับ :lol:
ต่อกลยุทธ์ต่อไปเลยครับ..
3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 26
พูดถึง warrant เลยอยากกวนถามคุณ ลูกอีสาน หน่อยครับว่าตอนซื้อ SVI-W2 มองว่ายังไง เพราะผมเองก็สนใจ SVI แต่ซื้อ่ตัวแม่ ไม่ซื้อลูกเพราะมองว่า premium เยอะเกินไป คือ ตอนนั้นแม่ราคาประมาณ 11.5 บาท ขณะที่ลูกราคาประมาณ 3 บาท มี premium 1.5 บาท (exercise price 10 บาท)
ในแง่ margin of safety แล้ว premium มากเท่าไหร่ถึงไม่ควรยุ่งครับ
ในแง่ margin of safety แล้ว premium มากเท่าไหร่ถึงไม่ควรยุ่งครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 28
เท่าที่ศึกษามาบ้างนะครับ วอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักจะให้พรีเมียม ด้วยเหตุผลดังนี้sunchaiu เขียน:พูดถึง warrant เลยอยากกวนถามคุณ ลูกอีสาน หน่อยครับว่าตอนซื้อ SVI-W2 มองว่ายังไง เพราะผมเองก็สนใจ SVI แต่ซื้อ่ตัวแม่ ไม่ซื้อลูกเพราะมองว่า premium เยอะเกินไป คือ ตอนนั้นแม่ราคาประมาณ 11.5 บาท ขณะที่ลูกราคาประมาณ 3 บาท มี premium 1.5 บาท (exercise price 10 บาท)
ในแง่ margin of safety แล้ว premium มากเท่าไหร่ถึงไม่ควรยุ่งครับ
1.มีอายุเหลืออีกนาน เหตุผลคือยิ่งมีเวลาเหลือมากขึ้น วอร์แรนต์ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น(หรือปรับลง) มากกว่าวอร์ที่ใกล้หมดอายุขัย
2.ตัวแม่ปันผลน้อย เพราะการปันผลทำให้ราคาตามบัญชีของหุ้นแม่ลดลง ราคาหุ้นแม่ก็จะลดลง วอร์แรนต์ก็จะลดลงด้วยในอัตราทีมากกว่า (สังเกตุได้ว่าวอร์ที่ตัวแม่ปันผลหนักๆ จะไม่ค่อยมีพรีเมียมเช่น tluxe ccnet hemraj
3.กิจการมีอัตราการเติบโตสูง เพราะถือว่าหากบริษัทมี growth ราคาหุ้นมักจะเพิ่ม และวอร์แรนต์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยในอัตราที่มากกว่า
4.Gearing สูง เพราะถือว่าถ้าหุ้นแม่ขยับนิดเดียว ตัวลูกจะขยับมากกว่า นักลงทุนที่ถือวอร์จะมีโอกาสได้กำไรสูง
ถ้ามาดูที่ svi-w2 ตอน 3 บาท(หรือ0.3บ.หลังแตกพาร์) จะเข้าเกณฑ์ข้างต้นหมดเลย ดังนั้นตัวนี้จะมีพรีเมียมเป็นเรื่องปกติ และหากถามว่าที่ราคานั้นเป็นราคาที่วอร์มี margin of safety หรือเปล่าต้องกับไปดูที่พื้นฐานตัวแม่
ตอนที่ผมซื้อ PE ของหุ้นแม่ประมาณ 5 เท่า ถ้าสมมุติว่ามีการแปลงวอร์แรนต์ทั้งหมดในอีกหลายปีข้างหน้าพีอีก็ยังแค่ 7 เท่า นอกจากนั้นกิจการก็มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีและแนวโน้มก็ยังเป็นอย่างนั้น ประกอบกับผู้ถือหุ้นใหญ่พยายามที่จะขายหุ้นหลังจากได้ลงทุนมาแล้วเกือบ 10 ปี มีการพยายามที่จะโปรโมทหุ้นให้เป็นที่น่าสนใจ เพื่อให้ขายได้ราคาดี เช่นการเพิ่มสภาพคล่องโดยการแตกพาร์
ดังนั้นผมคาดว่าราคาน่าจะไปซื้อขายกันที่ราคาใกล้มูลค่าทางบัญชีที่ ประมาณ 15 บาท ตอนที่ราคาหุ้นแม่อยู่ที่ 11 บ.ผมคิดว่ามี mof เพียงพอ แต่ผมมีทางเลือก 2 ทางคือลงทุนในหุ้นแม่ ซึ่งจากราคา 11 บาทไป 15 บ.จะได้ผลตอบแทนประมาณ 40% แต่ถ้าผมลงทุนในวอร์แรนต์โดยซื้อที่ 3 บ. ถ้าราคาแม่เป็นไปตามคาด วอร์ก็น่าจะราคาไม่ต่ำกว่า 5 บ. หรือเท่ากับว่าผมได้ผลตอบแทนเกือบๆ 70% ในขณะที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ผมก็เลยเลือกลงทุนในวอร์แรนต์ และด้วยโชคเล็กน้อยปรากฏว่ามีการเก็งกำไรทำให้ราคาวอร์แรนต์เพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวแม่อย่างที่เห็นกันครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
โพสต์ที่ 29
5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passtion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย
ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย :lol: เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป
(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)
ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย :lol: เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป
(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว