อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 1
โพสนี้ คัดออกมาจาก กระทู้พี่อังกฤษของพี่หมอ PP ที่โพสคนแรกในไทวิ จากนั้นแล้วเอื้อเฟื้อแปลเป็นไทยโดย คุณ GrandSlam ของเดิมผมติดลิงค์มาให้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=42676
ขอบคุณทั้งสองท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ฉบัับเดิมเป็นภาษาจีน
【周末】我的老师:查理·芒格http://www.iceo.com.cn/renwu/35/2010/0521/1941 ... l=404[b]My
แล้วแปลเป้นอังกฤษว่า Teacher: Charlie Munger
Author: Li Lu
May 21, 2010
ก่อนที่จะแปลเป็นไทยโดย คุณ GrandSlam อีกทีว่า
อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
ข่าว Buffett ไม่สบายเร็ว ๆนี้ ทำเอาความรู้สึกผม irrational ไปได้เหมือนกัน
อย่างน้อยผมยังพบว่าตัวเองยังมี heart อยู่บ้างที่จะรู้สึกเสียใจกับข่าวนี้ Mr. Buffett เหมือนครูของผมเช่นกัน ถึงแม้ผมจะชอบครูที่ตายแล้วมากกว่า ผมหมายถึงผมชอบอ่านประวัติคนดังของโลกที่ตายไปแล้วมากกว่าจะเรียนรู็จาก alive ones แต่พอรู็ว่า Buffett ใกล้หมดอายุแล้ว ผมก็มีอาการ technical down ไปได้เหมือนกัน หนังสือของเขาหลายเล่มอยู๋บนหัวเตียง over my bed ทั้งนั้น แต่ถ้าข่าวนี้เกิดกับ Munger ผมคง fundamental down มากกว่านี้
ชีวิตเต็มไปด้วย opportunity costs ทั้งนั้น จะรอช้าอยู๋ใย
ผมขออนุญาติเอามาตั้งหัวข้อกระทู้ แล้วจะเติมเนื้อหาเพิ่มเติมไปเรื่อยเท่าที่มีโอกาสทำได้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=42676
ขอบคุณทั้งสองท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ฉบัับเดิมเป็นภาษาจีน
【周末】我的老师:查理·芒格http://www.iceo.com.cn/renwu/35/2010/0521/1941 ... l=404[b]My
แล้วแปลเป้นอังกฤษว่า Teacher: Charlie Munger
Author: Li Lu
May 21, 2010
ก่อนที่จะแปลเป็นไทยโดย คุณ GrandSlam อีกทีว่า
อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
ข่าว Buffett ไม่สบายเร็ว ๆนี้ ทำเอาความรู้สึกผม irrational ไปได้เหมือนกัน
อย่างน้อยผมยังพบว่าตัวเองยังมี heart อยู่บ้างที่จะรู้สึกเสียใจกับข่าวนี้ Mr. Buffett เหมือนครูของผมเช่นกัน ถึงแม้ผมจะชอบครูที่ตายแล้วมากกว่า ผมหมายถึงผมชอบอ่านประวัติคนดังของโลกที่ตายไปแล้วมากกว่าจะเรียนรู็จาก alive ones แต่พอรู็ว่า Buffett ใกล้หมดอายุแล้ว ผมก็มีอาการ technical down ไปได้เหมือนกัน หนังสือของเขาหลายเล่มอยู๋บนหัวเตียง over my bed ทั้งนั้น แต่ถ้าข่าวนี้เกิดกับ Munger ผมคง fundamental down มากกว่านี้
ชีวิตเต็มไปด้วย opportunity costs ทั้งนั้น จะรอช้าอยู๋ใย
ผมขออนุญาติเอามาตั้งหัวข้อกระทู้ แล้วจะเติมเนื้อหาเพิ่มเติมไปเรื่อยเท่าที่มีโอกาสทำได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 2
อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์ (ฉบับภาษาไทย)
จากนิตยสาร "China Entrepreneur"
เมื่อ 20 ปีก่อน ผมเป็นเด็กหนุ่มที่มาเรียนที่อเมริกา นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผมจะมีอาชีพเป็นนักลงทุน และนึกไม่ถึงว่าผมจะโชคดีที่ได้พบกับกูรูร่วมสมัยทางด้านการลงทุนอย่างชาร์ลี มังเจอร์
ในปี 2004 มังเจอร์ได้เป็นหุ้นส่วนในด้านการลงทุนของผม และหลังจากนั้นเป็นผู้ให้คำปรึกษา และเพื่อน -- เป็นโอกาสที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ผมจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1996 และก่อตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนในปี 1997 ถือเป็นจุดเริ่มต้นกับอาชีพการลงทุน
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ นักลงทุนบุคคลและสถาบันส่วนใหญ่ยังคงใช้ปรัชญาในการลงทุนที่มีพื้นฐานที่เรียกว่า "bad theories" ตัวอย่างเช่น พวกเขาเชื่อในสมมุติฐานที่ว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเชื่อว่าความผันผวนของราคาหุ้นเป็นความเสี่ยงอย่างแท้จริง และตัดสินผลงานของคุณจากความผันผวนนั้น ในความคิดของผม ความผันผวนของราคานั้นไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงคือการขาดทุนอย่างถาวรต่างหาก การตกลงของราคาหุ้นไม่ใช่แค่ความเสี่ยง แต่เป็นโอกาสต่างหาก คำถามคือคุณจะหาหุ้นถูกๆ
จากที่ไหนได้อีกล่ะ?
จากนิตยสาร "China Entrepreneur"
เมื่อ 20 ปีก่อน ผมเป็นเด็กหนุ่มที่มาเรียนที่อเมริกา นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผมจะมีอาชีพเป็นนักลงทุน และนึกไม่ถึงว่าผมจะโชคดีที่ได้พบกับกูรูร่วมสมัยทางด้านการลงทุนอย่างชาร์ลี มังเจอร์
ในปี 2004 มังเจอร์ได้เป็นหุ้นส่วนในด้านการลงทุนของผม และหลังจากนั้นเป็นผู้ให้คำปรึกษา และเพื่อน -- เป็นโอกาสที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ผมจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1996 และก่อตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนในปี 1997 ถือเป็นจุดเริ่มต้นกับอาชีพการลงทุน
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ นักลงทุนบุคคลและสถาบันส่วนใหญ่ยังคงใช้ปรัชญาในการลงทุนที่มีพื้นฐานที่เรียกว่า "bad theories" ตัวอย่างเช่น พวกเขาเชื่อในสมมุติฐานที่ว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเชื่อว่าความผันผวนของราคาหุ้นเป็นความเสี่ยงอย่างแท้จริง และตัดสินผลงานของคุณจากความผันผวนนั้น ในความคิดของผม ความผันผวนของราคานั้นไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงคือการขาดทุนอย่างถาวรต่างหาก การตกลงของราคาหุ้นไม่ใช่แค่ความเสี่ยง แต่เป็นโอกาสต่างหาก คำถามคือคุณจะหาหุ้นถูกๆ
จากที่ไหนได้อีกล่ะ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 3
ดูอย่างผิวเผิน ผมพบว่าผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงยอมรับทฤษฎีของบัฟเฟตและมังเจอร์ และชื่นชมในผลงาน แต่ในทางปฏิบัติกลับทำในสิ่งตรงข้าม เนื่องจากลูกค้าของพวกเขาก็ทำในสิ่งที่ตรงข้ามเช่นกัน พวกเขายังคงยอมรับทฤษฎีที่ว่า "ความผันผวนคือความเสี่ยง" และ "ตลาดมักถูกเสมอ"
โอกาสที่มาโดยไม่ได้คาดคิดทำให้ผมได้พบกับชาร์ลี มังเจอร์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา และเพื่อน
ผมพบกับชาร์ลีครั้งแรก ที่บ้านของเพื่อน ในขณะที่ผมทำงานด้านการลงทุนที่แอลเอ (LA) หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ความประทับใจแรกที่ผมพบคือ "ความห่าง" เขามักเหม่อลอยกับบทสนทนาของอีกฝ่ายแต่สนใจกับหัวข้อของเขา แต่ผู้เฒ่าท่านนี้พูดได้อย่างกระชับ และเต็มไปด้วยความรู้ที่ทำให้คุณต้องหยุดคิด และเรียนรู้
7 ปีต่อมาหลังจากที่เราได้รู้จักกัน ในวันขอบคุณ(พระเจ้า) ในปี 2003 เราได้คุยกันนานอย่างใจจดใจจ่อ ผมได้แนะนำบริษัททุกบริษัทที่ผมได้ลงทุนหรือที่ศึกษา หรือที่สนใจต่อชาร์ลีจากนั้นเขาจะวิจารณ์แต่ละบริษัทกลับมา ผมยังขอคำแนะนำสำหรับปัญหาที่ผมกำลังเผชิญ ในท้ายที่สุดเขากล่าวว่าปัญหาที่ผมกำลังเผชิญเป็นปัญหาเดียวกันกับพวก Wall Street ปัญหาก็คือแนวความคิดของพวก Wall Street และถึงแม้ว่า Berkshire Hathaway จะประสบความสำเร็จอย่างไรก็ไม่มีบริษัทไหนใน Wall street ที่จะลอกเลียนแบบได้เลย และถ้าผมยังดันทุรังลงทุนในแบบเดิมๆอีก ผมก็จะยังคงต้องกังวลในแบบเดิมอีกต่อไป แต่ถ้าผมยกเลิกวิธีการแบบเดิมให้แตกต่างจากพวก Wall Street เขาก็พร้อมที่จะร่วมลงทุนด้วย มันทำให้ผมประทับใจอย่างมาก
โอกาสที่มาโดยไม่ได้คาดคิดทำให้ผมได้พบกับชาร์ลี มังเจอร์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา และเพื่อน
ผมพบกับชาร์ลีครั้งแรก ที่บ้านของเพื่อน ในขณะที่ผมทำงานด้านการลงทุนที่แอลเอ (LA) หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ความประทับใจแรกที่ผมพบคือ "ความห่าง" เขามักเหม่อลอยกับบทสนทนาของอีกฝ่ายแต่สนใจกับหัวข้อของเขา แต่ผู้เฒ่าท่านนี้พูดได้อย่างกระชับ และเต็มไปด้วยความรู้ที่ทำให้คุณต้องหยุดคิด และเรียนรู้
7 ปีต่อมาหลังจากที่เราได้รู้จักกัน ในวันขอบคุณ(พระเจ้า) ในปี 2003 เราได้คุยกันนานอย่างใจจดใจจ่อ ผมได้แนะนำบริษัททุกบริษัทที่ผมได้ลงทุนหรือที่ศึกษา หรือที่สนใจต่อชาร์ลีจากนั้นเขาจะวิจารณ์แต่ละบริษัทกลับมา ผมยังขอคำแนะนำสำหรับปัญหาที่ผมกำลังเผชิญ ในท้ายที่สุดเขากล่าวว่าปัญหาที่ผมกำลังเผชิญเป็นปัญหาเดียวกันกับพวก Wall Street ปัญหาก็คือแนวความคิดของพวก Wall Street และถึงแม้ว่า Berkshire Hathaway จะประสบความสำเร็จอย่างไรก็ไม่มีบริษัทไหนใน Wall street ที่จะลอกเลียนแบบได้เลย และถ้าผมยังดันทุรังลงทุนในแบบเดิมๆอีก ผมก็จะยังคงต้องกังวลในแบบเดิมอีกต่อไป แต่ถ้าผมยกเลิกวิธีการแบบเดิมให้แตกต่างจากพวก Wall Street เขาก็พร้อมที่จะร่วมลงทุนด้วย มันทำให้ผมประทับใจอย่างมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 4
จากความช่วยเหลือของชาร์ลี ผมได้ปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อการลงทุนของผมอย่างสมบูรณ์ ไปเป็นรูปแบบคล้ายๆ กับของบัฟเฟตและมังเจอร์ ในช่วงแรกๆ (หมายเหตุ : บัฟเฟตและมังเจอร์ ต่างบริหารการลงทุนกับหุ้นส่วนของตัวเอง) และเหล่ากองทุนบริหารความเสี่ยงก็ค่อยๆ หายไป เหลือแต่นักลงทุนระยะยาวเท่านั้น และไม่รับนักลงทุนใหม่อีกเลย
นั่นทำให้ผมเข้าสู่ช่วงเวลาทองของการลงทุนของผม ผมได้หลุดจากข้อจำกัดทั้งหลายของพวก Wall Street อย่างไรก็ตามผลตอบแทนยังคงผันผวนเช่นเคย แต่ในที่สุดผลตอบแทนก็เติบโตสูงขึ้นมาก จากไตรมาส 4 ปี 2004 ไปจนถึง สิ้นปี 2009 กองทุนให้ผลตอบแทนในอัตราทบต้น 36% ต่อปี หลังจากหักค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนในเดือนมกราคมปี 1998 มีอัตราผลตอบแทนทบต้น 29% ต่อปีและใน 12 ปีเงินกองทุนได้เติบโตถึง 20 เท่า
บัฟเฟตได้กล่าวว่า แม้ว่าในชีวิตนี้เขาพบคนมามากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีใครที่เหมือนชาร์ลีเลย ซึ่งทำให้ผมได้เชื่ออย่างนั้นหลังจากที่ผมโชคดีที่ได้รู้จักและทำความเข้าใจเขา ผมยิ่งเชื่ออย่างลึกซื้งว่า ไม่ว่าใคร อายุเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครเหมือนเขา ชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร -- เอกลักษณ์ในเรื่องความคิดและบุคลิกภาพ
นั่นทำให้ผมเข้าสู่ช่วงเวลาทองของการลงทุนของผม ผมได้หลุดจากข้อจำกัดทั้งหลายของพวก Wall Street อย่างไรก็ตามผลตอบแทนยังคงผันผวนเช่นเคย แต่ในที่สุดผลตอบแทนก็เติบโตสูงขึ้นมาก จากไตรมาส 4 ปี 2004 ไปจนถึง สิ้นปี 2009 กองทุนให้ผลตอบแทนในอัตราทบต้น 36% ต่อปี หลังจากหักค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนในเดือนมกราคมปี 1998 มีอัตราผลตอบแทนทบต้น 29% ต่อปีและใน 12 ปีเงินกองทุนได้เติบโตถึง 20 เท่า
บัฟเฟตได้กล่าวว่า แม้ว่าในชีวิตนี้เขาพบคนมามากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีใครที่เหมือนชาร์ลีเลย ซึ่งทำให้ผมได้เชื่ออย่างนั้นหลังจากที่ผมโชคดีที่ได้รู้จักและทำความเข้าใจเขา ผมยิ่งเชื่ออย่างลึกซื้งว่า ไม่ว่าใคร อายุเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครเหมือนเขา ชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร -- เอกลักษณ์ในเรื่องความคิดและบุคลิกภาพ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 5
เมื่อไหร่ที่ชาร์ลีคิดในสิ่งใด เขามักจะคิดในทางตรงกันข้าม เช่น เมื่อเขาอยากรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุขชาร์ลีจะศึกษาว่าทำอย่างไรชีวิตถึงจะทุกข์ เมื่อเขาจะเรียนรู้วิธีจะทำให้ธุรกิจยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง เขาจะเริ่มศึกษาวิธีทำอย่างไรให้ธุรกิจตกต่ำและจบลง หลายคนศึกษาวิธีที่จะประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้น แต่ชาร์ลีจะศึกษาว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงได้ล้มเหลวจากตลาดหุ้น วิธีการคิดอย่างนี้ได้รับมาจากปรัชญาของชาวนาที่กล่าวว่า ฉันอยากรู้ว่าฉันจะตายอย่างไร เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ไปที่นั่น
ชาร์ลียังคงรวบรวมและวิจัยความล้มเหลวของแต่ละคน ธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษา อย่างสม่ำเสมอ จากนั้นจึงเรียบเรียงสาเหตุเพื่อนำไปสู่รายการเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ได้ในชีวิตและการทำงาน สิ่งนี้ไม่ได้เน้นย้ำมากนักในความสำเร็จของบัฟเฟตและ Berkshire Hathaway ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
ชาร์ลีมีความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ ไม่มีขีดจำกัด โซ่ตร่วน หรือศาสนา เขามีความกระตือรือร้นอย่างเด็ก และมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์อย่างสูง เขามีความกระหายที่จะหาความรู้ตลอดในทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเขาแล้วทุกปัญหาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ต่อจากพื้นฐานที่คนก่อนได้สร้างไว้ ความคิดของเขาแผ่ไปทั่วทุกธุรกิจ ชีวิต และความรู้ในทุกแขนง ในมุมมองเขา ทุกสิ่งในจักรวาลมีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และความรู้ของมนุษยชาติได้ทำการศึกษาแต่ละส่วนนั้น เพียงแค่เรียงร้อยความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกัน จะทำให้มีประโยชน์มากในการตัดสินใจและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ทำให้เขาอุทิศศึกษาทุกทฤษฎีที่สำคัญ และสร้างพื้นฐานขึ้นมาเรียกว่า "worldly wisdom" เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในธุรกิจและการลงทุน
ชาร์ลียังคงรวบรวมและวิจัยความล้มเหลวของแต่ละคน ธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษา อย่างสม่ำเสมอ จากนั้นจึงเรียบเรียงสาเหตุเพื่อนำไปสู่รายการเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ได้ในชีวิตและการทำงาน สิ่งนี้ไม่ได้เน้นย้ำมากนักในความสำเร็จของบัฟเฟตและ Berkshire Hathaway ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
ชาร์ลีมีความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ ไม่มีขีดจำกัด โซ่ตร่วน หรือศาสนา เขามีความกระตือรือร้นอย่างเด็ก และมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์อย่างสูง เขามีความกระหายที่จะหาความรู้ตลอดในทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเขาแล้วทุกปัญหาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ต่อจากพื้นฐานที่คนก่อนได้สร้างไว้ ความคิดของเขาแผ่ไปทั่วทุกธุรกิจ ชีวิต และความรู้ในทุกแขนง ในมุมมองเขา ทุกสิ่งในจักรวาลมีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และความรู้ของมนุษยชาติได้ทำการศึกษาแต่ละส่วนนั้น เพียงแค่เรียงร้อยความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกัน จะทำให้มีประโยชน์มากในการตัดสินใจและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ทำให้เขาอุทิศศึกษาทุกทฤษฎีที่สำคัญ และสร้างพื้นฐานขึ้นมาเรียกว่า "worldly wisdom" เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในธุรกิจและการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 6
แนวความคิดของชาร์ลีอยู่บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ต่อความรู้ เขาเชื่อว่าโลกที่ซับซ้อนและกำลังเปลี่ยนแปลงไป มีขีดจำกัดอยู่ที่ความหยั่งรู้และเข้าใจ ดังนั้นคุณจึงต้องใช้เครื่องมือทั้งหมดในการกำจัดมัน ในขณะเดียวกันคุณต้องรวบรวมข้อเท็จจริงใหม่ๆ ที่พิสูจน์ได้ เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ของคุณ และรู้ว่าสิ่งใดที่คุณรู้และสิ่งใดที่คุณไม่รู้
ถึงกระนั้น ความเข้าใจอย่างแท้จริงของมนุษย์ก็ยังมีขีดจำกัด ดังนั้นการตัดสินใจจึงต้องอยู่ในขอบเขตของคุณที่เรียกว่า "circle of competence" ความสามารถที่มีขอบเขตเท่านั้นถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง คำถาม:คุณจะกำหนดขอบเขตความรู้ ของคุณได้อย่างไร?
ชาร์ลีกล่าวว่า ถ้าเขาต้องเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะต้องไม่สามาถปฎิเสธหรือโต้แย้งได้ว่าความคิดนั้นดีกว่า ความคิดจากคนที่เก่งที่สุดในโลกนี้ มิฉะนั้นเขาจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าความคิดของเขานอกจากจะต้องริเริ่มสร้างสรรค์แล้ว จะต้องแทบไม่เคยผิดอีกด้วย
ถึงกระนั้น ความเข้าใจอย่างแท้จริงของมนุษย์ก็ยังมีขีดจำกัด ดังนั้นการตัดสินใจจึงต้องอยู่ในขอบเขตของคุณที่เรียกว่า "circle of competence" ความสามารถที่มีขอบเขตเท่านั้นถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง คำถาม:คุณจะกำหนดขอบเขตความรู้ ของคุณได้อย่างไร?
ชาร์ลีกล่าวว่า ถ้าเขาต้องเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะต้องไม่สามาถปฎิเสธหรือโต้แย้งได้ว่าความคิดนั้นดีกว่า ความคิดจากคนที่เก่งที่สุดในโลกนี้ มิฉะนั้นเขาจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าความคิดของเขานอกจากจะต้องริเริ่มสร้างสรรค์แล้ว จะต้องแทบไม่เคยผิดอีกด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 7
สุภาพสตรีที่สวยคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งยืนยันว่าชาร์ลี กล่าวสรุปที่มาของความสำเร็จของเค้าด้วยคำๆเดียวคือ "เหตุผล" (rational) อย่างไรก็ตาม นิยามของเหตุผลที่เขาใช้มีความเข้มงวดมากกว่า ซึ่งทำให้เหตุผลของเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้มีวิสัยทัศน์และเข้าใจอย่างถ่องแท้ และถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชำนาญเลย เขาก็ยังสามาถระบุประเด็นต่างๆ ที่จำเป็นออกมาได้ บัฟเฟตเรียกสิ่งนี้ว่า "two-minute effect" บัฟเฟตกล่าวว่าชาร์ลีสามารถเข้าใจความซับซ้อนของธุรกิจได้ในเวลาอันสั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ ขั้นตอนการลงทุนของ Berkshire ใน BYD Auto เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมจำได้ ในปี 2003 ผมได้ถกเถึยงเกี่ยวกับ BYD เป็นครั้งแรกกับชาร์ลี ทั้งๆ เขาไม่เคยพบกับ Wang Chuanfu (ประธาน BYD Auto) และไม่เคยไปที่โรงงาน อีกทั้งไม่ค่อยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมและตลาดของชาวจีน คำถามและคำวิจารณ์ของเขาก็ยังคงเป็นคำถามที่ตรงประเด็นที่สุดที่นักลงทุนคนใดคิดจะลงทุนในบริษัท BYD ณ วันนี้
ทุกคนมีจุดบอด แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดก็ไม่เว้น บัฟเฟตกล่าวว่า "เบนจามิน เกรแฮม สอนผมให้แค่ซื้อหุ้นที่ถูก แต่ชาร์ลีทำให้ผมเปลี่ยนความคิด นั่นคือสิ่งที่มีผลกระทบมากที่สุดที่ชาร์ลีมีต่อผม ผมต้องการแรงขับอย่างมากที่จะทำให้ผมยอมเดินออกจากข้อจำกัดในทฤษฎีของเกรแฮม ความคิดของชาร์ลีเป็นแหล่งพลัง ทำให้ผมขยายขอบเขต" ผมก็มีประสบการณ์ที่สุดยอดเช่นเดียวกัน ชาร์ลีชี้จุดบอดในความคิดผม ซึ่งถ้าผมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ผมก็ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนา และคลานไปอย่างช้าๆ
ชาร์ลีใช้ชีวิตทั้งหมดศึกษาหายนะของมนุษย์ และชอบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากความโน้มเอียงทางจิตวิทยา สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือเขาทำนายความหายนะของการแพร่หลายของอนุพันธ์ทางการเงิน และช่องโหว่ในทางบัญชี และระบบตรวจสอบ ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เขาและบัฟเฟตได้เตือนถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอนุพันธ์ทางการเงินที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งเปรียบได้ดั่งอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำลายล้างได้อย่างกว้างขวาง และถ้าไม่สามารถหยุดมันได้ก่อนเวลาอันควร มันจะสร้างความเสียหายให้กับสังคมปัจจุบัน โชคไม่ดีที่วิกฤตการณ์การเงินในปี 2008-2009 เป็นไปดังที่ชาร์ลีคาดและเข้าใจไว้ก่อนแล้ว
ทุกคนมีจุดบอด แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดก็ไม่เว้น บัฟเฟตกล่าวว่า "เบนจามิน เกรแฮม สอนผมให้แค่ซื้อหุ้นที่ถูก แต่ชาร์ลีทำให้ผมเปลี่ยนความคิด นั่นคือสิ่งที่มีผลกระทบมากที่สุดที่ชาร์ลีมีต่อผม ผมต้องการแรงขับอย่างมากที่จะทำให้ผมยอมเดินออกจากข้อจำกัดในทฤษฎีของเกรแฮม ความคิดของชาร์ลีเป็นแหล่งพลัง ทำให้ผมขยายขอบเขต" ผมก็มีประสบการณ์ที่สุดยอดเช่นเดียวกัน ชาร์ลีชี้จุดบอดในความคิดผม ซึ่งถ้าผมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ผมก็ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนา และคลานไปอย่างช้าๆ
ชาร์ลีใช้ชีวิตทั้งหมดศึกษาหายนะของมนุษย์ และชอบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากความโน้มเอียงทางจิตวิทยา สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือเขาทำนายความหายนะของการแพร่หลายของอนุพันธ์ทางการเงิน และช่องโหว่ในทางบัญชี และระบบตรวจสอบ ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เขาและบัฟเฟตได้เตือนถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอนุพันธ์ทางการเงินที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งเปรียบได้ดั่งอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำลายล้างได้อย่างกว้างขวาง และถ้าไม่สามารถหยุดมันได้ก่อนเวลาอันควร มันจะสร้างความเสียหายให้กับสังคมปัจจุบัน โชคไม่ดีที่วิกฤตการณ์การเงินในปี 2008-2009 เป็นไปดังที่ชาร์ลีคาดและเข้าใจไว้ก่อนแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 8
ถ้าเปรียบชาร์ลีกับบัฟเฟตแล้ว ชาร์ลีสนใจในสิ่งที่กว้างกว่า ยกตัวอย่างเช่น เขาสนใจในวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกแขนง นำมารวมกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของความคิดพื้นฐาน เมื่อเทียบกับความคิดที่มาจากหอคอยงาช้างแล้ว ทฤษฎีของมังเจอร์ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ ตัวอย่างเท่าที่ผมรู้ เช่น ชาร์ลีเป็นคนแรกที่เสนอแนวความคิดทางด้านจิตวิทยาการโน้มเอียงของมนุษย์ และผลกระทบต่อขั้นตอนการตัดสินใจในการลงทุน 10 ปีต่อมา ณ ปัจจุบันหัวข้อ Behavioral Finance กลายเป็นหัวข้อที่เป็นที่นิยมในการวิจัยในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล กรอบทฤษฎีที่ชาร์ลีได้อธิบายในบทสุดท้ายของหนังสือ "The Psychology of Human Misjudgement" อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวาง และนำไปใช้โดยผู้คนในอนาคต
โดยธรรมชาติแล้วชาร์ลีเป็นคนที่มีพลังอย่างมหาศาล ชาร์ลีมีอายุ 72 ปี ขณะที่ผมพบเขาในปี 1996 และขณะนี้เขามีอายุ 86 ปี ตลอดหลายสิบปีที่ผมได้รู้จักชาร์ลี ระดับพลังงานของเขาไม่เคยเปลี่ยน เขายังดูมีพลังอยู่เสมอและเป็นคนตื่นเช้า การนัดหมายตอนอาหารเช้ามักเริ่มที่เวลา 7.30 น. ในขณะเดียวกันก็มีนัดในช่วงค่ำ เขาจึงนอนน้อยกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลต่อพลังที่เหลือเฟือของเขาเลย ความจำของเขาน่าทึ่งมาก เขายังคงจำตัวเลขในการดำเนินงานของบริษัท BYD ที่ผมได้ถกเถึยงด้วยหลายปีก่อน ในขณะที่ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว
การที่คนอายุ 86 ปี ยังคงมีความจำดีกว่าคนหนุ่ม ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ความสำเร็จกลับได้มาจากการทำงานหนักที่มาพร้อมด้วยคุณภาพที่พิเศษ เมื่อชาร์ลีสนใจในสิ่งใด เขาสามารถทำมันได้ตลอดชีวิต
โดยธรรมชาติแล้วชาร์ลีเป็นคนที่มีพลังอย่างมหาศาล ชาร์ลีมีอายุ 72 ปี ขณะที่ผมพบเขาในปี 1996 และขณะนี้เขามีอายุ 86 ปี ตลอดหลายสิบปีที่ผมได้รู้จักชาร์ลี ระดับพลังงานของเขาไม่เคยเปลี่ยน เขายังดูมีพลังอยู่เสมอและเป็นคนตื่นเช้า การนัดหมายตอนอาหารเช้ามักเริ่มที่เวลา 7.30 น. ในขณะเดียวกันก็มีนัดในช่วงค่ำ เขาจึงนอนน้อยกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลต่อพลังที่เหลือเฟือของเขาเลย ความจำของเขาน่าทึ่งมาก เขายังคงจำตัวเลขในการดำเนินงานของบริษัท BYD ที่ผมได้ถกเถึยงด้วยหลายปีก่อน ในขณะที่ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว
การที่คนอายุ 86 ปี ยังคงมีความจำดีกว่าคนหนุ่ม ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ความสำเร็จกลับได้มาจากการทำงานหนักที่มาพร้อมด้วยคุณภาพที่พิเศษ เมื่อชาร์ลีสนใจในสิ่งใด เขาสามารถทำมันได้ตลอดชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 9
สำหรับผมแล้วชาร์ลีไม่ใช่แค่หุ้นส่วน แต่เขาเป็นทั้งญาติผู้ใหญ่ อาจารย์ เพื่อน และต้นแบบในความสำเร็จและการใช้ชีวิต ผมไม่เพียงแต่เรียนรู้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า แต่ผมยังได้เรียนรู้หลักในการดำรงชีวิตจากเขา เขาทำให้ผมเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ความสำเร็จไม่ได้มาโดยบังเอิญ แน่นอนช่วงเวลาและโอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณภาพที่ได้สืบทอดมาสำคัญยิ่งกว่า
ชาร์ลีมักนัดหมายผู้คนในช่วงเวลาอาหารเช้า ปกติเริ่มที่เวลา 7.30 น. ผมจำได้ในครั้งแรกที่ผมนัดทานอาหารเช้ากับชาร์ลี ผมมาตรงเวลา ปรากฎว่าชาร์ลี นั่งอยู่ที่นั่นแล้ว และอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะไปสายนิดหน่อย แต่ผมก็รู้สึกแย่ที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่เคารพต้องนั่งรอผม พอครั้งที่สองผมมาก่อนเวลา 15 นาที ผมพบชาร์ลีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนแล้วอีกเช่นกัน พอครั้งที่สามผมมาถึงก่อนครึ่งชั่วโมง ผมก็พบชาร์ลีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีกเช่นเดิมราวกับว่าเขาไม่ได้ลุกไปจากที่นั่งเลย พอครั้งที่สี่ ผมมานั่งรอตั้งแต่เวลา 6.30 น. พอเวลา 6.45 น. ชาร์ลีก็ค่อยๆ เดินมานั่งพร้อมกับหนังสือพิมพ์กองโต และไม่ทันสังเกตุเห็นผมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นผมถึงเข้าใจว่าชาร์ลีจะมาก่อนเวลานัดหมายเสมอ แต่เขาก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ที่พกมาด้วยเพื่อไม่ยอมให้เสียเวลาเช่นกัน
ชาร์ลีมักนัดหมายผู้คนในช่วงเวลาอาหารเช้า ปกติเริ่มที่เวลา 7.30 น. ผมจำได้ในครั้งแรกที่ผมนัดทานอาหารเช้ากับชาร์ลี ผมมาตรงเวลา ปรากฎว่าชาร์ลี นั่งอยู่ที่นั่นแล้ว และอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะไปสายนิดหน่อย แต่ผมก็รู้สึกแย่ที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่เคารพต้องนั่งรอผม พอครั้งที่สองผมมาก่อนเวลา 15 นาที ผมพบชาร์ลีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนแล้วอีกเช่นกัน พอครั้งที่สามผมมาถึงก่อนครึ่งชั่วโมง ผมก็พบชาร์ลีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีกเช่นเดิมราวกับว่าเขาไม่ได้ลุกไปจากที่นั่งเลย พอครั้งที่สี่ ผมมานั่งรอตั้งแต่เวลา 6.30 น. พอเวลา 6.45 น. ชาร์ลีก็ค่อยๆ เดินมานั่งพร้อมกับหนังสือพิมพ์กองโต และไม่ทันสังเกตุเห็นผมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นผมถึงเข้าใจว่าชาร์ลีจะมาก่อนเวลานัดหมายเสมอ แต่เขาก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ที่พกมาด้วยเพื่อไม่ยอมให้เสียเวลาเช่นกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 10
ในการพบปะครั้งหนึ่งกับชาร์ลีที่มีผลกับผมมาก ชาร์ลีกับผมต้องไปประชุมที่นอกรัฐ หลักจากเสร็จงานประชุม ผมต้องรีบบินกลับ นิวยอร์ค ผมบังเอิญพบกับชาร์ลีที่ประตูทางเข้าสนามบิน เมื่อร่างที่ใหญ่ของเขาผ่านเครื่องตรวจสัญญาณรักษาความปลอดภัย ปรากฎว่าเกิดสัญญาณดังขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชาร์ลีต้องกลับมาตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเครื่องบินของเขาออกไปแล้ว
แต่ชาร์ลีก็ไม่ได้เร่งรีบใดๆ เขานำหนังสือที่พกมาด้วย และนั่งอ่านขณะที่เขารอเครื่องลำถัดไป ซึ่งบังเอิญที่เที่ยวบินของผมก็ล่าช้าทำให้เราต้องอยู่รอด้วยกัน
ผมถามชาร์ลีว่า "คุณมีเครื่องบินส่วนตัวเช่นเดียวกับคนอื่นที่ Berkshire ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมานั่งปวดหัวกับสายการบินอย่างนี้ ?"
ชาร์ลีตอบ "อย่างแรกเลย สำหรับผมคือมันเปลืองน้ำมัน และอย่างที่สองผมรู้สึกปลอดภัยกว่า" แต่เหตุผลที่แท้จริงคือเหตุผลที่สามคือ "ผมต้องการมีชีวิตที่มีส่วนร่วม ผมไม่ต้องการมีชีวิตที่อยู่อย่างแปลกแยก โดดเดี่ยว"
แต่ชาร์ลีก็ไม่ได้เร่งรีบใดๆ เขานำหนังสือที่พกมาด้วย และนั่งอ่านขณะที่เขารอเครื่องลำถัดไป ซึ่งบังเอิญที่เที่ยวบินของผมก็ล่าช้าทำให้เราต้องอยู่รอด้วยกัน
ผมถามชาร์ลีว่า "คุณมีเครื่องบินส่วนตัวเช่นเดียวกับคนอื่นที่ Berkshire ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมานั่งปวดหัวกับสายการบินอย่างนี้ ?"
ชาร์ลีตอบ "อย่างแรกเลย สำหรับผมคือมันเปลืองน้ำมัน และอย่างที่สองผมรู้สึกปลอดภัยกว่า" แต่เหตุผลที่แท้จริงคือเหตุผลที่สามคือ "ผมต้องการมีชีวิตที่มีส่วนร่วม ผมไม่ต้องการมีชีวิตที่อยู่อย่างแปลกแยก โดดเดี่ยว"
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 11
สิ่งที่ชาร์ลีทนไม่ได้คือการขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอันเนื่องมาจากการที่เขามีเงินและความมั่งคั่ง ในการแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวในห้องด้านหลังเขาวงกตในสำนักงาน ต้องผ่านขั้นตอนหลายชั้นในการอนุมัติการประชุม และหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังระบบราชการอันซับซ้อน ที่ทำให้คนอื่นเข้าพบได้ยาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณสูญเสียการติดต่อกับความเป็นจริงของชีวิต
"ตราบใดที่ผมมีหนังสือในมือ ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังเสียเวลา"
ชาร์ลีมักนำหนังสือติดตัวไปด้วยเสมอ ถึงแม้เขาจะนั่งที่นั่งตรงกลางในชั้นประหยัดบนเครื่องบิน ตราบใดที่เขามีหนังสือ เขาจะไม่บ่นเลย ครั้งหนึ่งเขาไปประชุมที่ซีแอตเทิล ด้วยชั้นประหยัดเช่นเดิม เขานั่งข้างๆ เด็กผู้หญิงชาวจีนที่กำลังนั่งทำการบ้านตลอดทาง เขาประทับใจมากกับเด็กหญิงชาวจีน ขณะที่เขากำลังจินตนาการอย่างยากลำบากว่าจะมีเด็กหญิงชาวอเมริกันคนไหนที่จะมีพลังในการที่จะจดจ่อและไม่สนใจเสียงเครื่องบินขณะทำการอ่านหนังสือได้ ซึ่งเขาจะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าเขานั่งเครื่องบินส่วนตัว
ถึงแม้ชาร์ลีจะมีวินัยสูงกับตัวเองมาก แต่เขาก็เอื้อเฟื้อกับผู้อื่น และปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความรักอย่างดี เขาไม่ใช่คนขี้เหนียวในเรื่องเงิน และ ยังหวังอยู่เสมอว่าคนอื่นจะได้ประโยชน์มากกว่าตนเอง ในการเดินทางส่วนตัว ไม่ว่าจะในเรื่องงานหรือส่วนตัว เขาจะบินชั้นประหยัดเสมอ แต่สำหรับภรรยาและครอบครัวเขา เขาจะใช้เครื่องบินส่วนตัว ซึ่งเขาอธิบายว่า ภรรยาเขาเลี้ยงดูลูกหลายคนตลอดชั่วชีวิตของเธอ และให้หลายๆ สิ่งกับผม ขณะนี้สุขภาพเธอก็ไม่ดีเหมือนก่อน ผมจึงต้องดูแลเธออย่างดี
"ตราบใดที่ผมมีหนังสือในมือ ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังเสียเวลา"
ชาร์ลีมักนำหนังสือติดตัวไปด้วยเสมอ ถึงแม้เขาจะนั่งที่นั่งตรงกลางในชั้นประหยัดบนเครื่องบิน ตราบใดที่เขามีหนังสือ เขาจะไม่บ่นเลย ครั้งหนึ่งเขาไปประชุมที่ซีแอตเทิล ด้วยชั้นประหยัดเช่นเดิม เขานั่งข้างๆ เด็กผู้หญิงชาวจีนที่กำลังนั่งทำการบ้านตลอดทาง เขาประทับใจมากกับเด็กหญิงชาวจีน ขณะที่เขากำลังจินตนาการอย่างยากลำบากว่าจะมีเด็กหญิงชาวอเมริกันคนไหนที่จะมีพลังในการที่จะจดจ่อและไม่สนใจเสียงเครื่องบินขณะทำการอ่านหนังสือได้ ซึ่งเขาจะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าเขานั่งเครื่องบินส่วนตัว
ถึงแม้ชาร์ลีจะมีวินัยสูงกับตัวเองมาก แต่เขาก็เอื้อเฟื้อกับผู้อื่น และปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความรักอย่างดี เขาไม่ใช่คนขี้เหนียวในเรื่องเงิน และ ยังหวังอยู่เสมอว่าคนอื่นจะได้ประโยชน์มากกว่าตนเอง ในการเดินทางส่วนตัว ไม่ว่าจะในเรื่องงานหรือส่วนตัว เขาจะบินชั้นประหยัดเสมอ แต่สำหรับภรรยาและครอบครัวเขา เขาจะใช้เครื่องบินส่วนตัว ซึ่งเขาอธิบายว่า ภรรยาเขาเลี้ยงดูลูกหลายคนตลอดชั่วชีวิตของเธอ และให้หลายๆ สิ่งกับผม ขณะนี้สุขภาพเธอก็ไม่ดีเหมือนก่อน ผมจึงต้องดูแลเธออย่างดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 12
ชาร์ลีใช้เวลาตลอดชั่วชีวิตของเขาในการศึกษาสาเหตุของความล้มเหลวของคน ซึ่งทำให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ่งในความอ่อนแอในธรรมชาติของมนุษย์ เขาเชื่อว่าคนเราต้องมีวินัยกับตัวเองอย่างสูง และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะความอ่อนแอที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด นี่คือสิ่งที่จำเป็นอย่างสูง นี่คือสิ่งจำเป็นในแง่ศีลธรรมในการดำรงชีวิต สำหรับคนอื่นชาร์ลีอาจดูเหมือนพระภิกษุ แต่สำหรับชาร์ลีแล้ว ขั้นตอนเหล่านี้มีเหตุผลและความสุขในตัว มันทำให้คนเราประสบความสำเร็จและมีความสุข
ชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็คุณลองคิดดูสิว่า ถ้ามังเจอร์และบัฟเฟตไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนี้ เขาจะสร้างผลงานให้กับ Berkshire ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาโดยที่ไม่มีใครสามารถทำได้ในประวัติศาสตร์การลงทุนได้อย่างไร
ชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็คุณลองคิดดูสิว่า ถ้ามังเจอร์และบัฟเฟตไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนี้ เขาจะสร้างผลงานให้กับ Berkshire ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาโดยที่ไม่มีใครสามารถทำได้ในประวัติศาสตร์การลงทุนได้อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 13
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผมรู้จักกับชาร์ลี ผมมักลืมไปเลยว่าเขาเป็นชาวอเมริกัน เขาออกจะคล้ายๆ กับบัณฑิต (Literati) สมัยจักพรรดิ์จีนที่ผมรู้จัก
หลังจากที่ระบบการสอบเข้าของบัณฑิต (จอหงวน) หมดไป หลายร้อยปีที่ผ่านมาจิตวิญญาณของระบบจอหงวนก็ได้หายไป โดยเฉพาะในสังคมการค้าในปัจจุบัน นักวิชาการจีนที่ยึดหลักของบัณฑิตจีน ยังคงสับสนกับคำว่าคุณค่าและอุดมคติของเขา ในสังคมการค้าที่วัฒธรรมเก่าแก่ได้สูญหายไป แต่หลักคิดของบัณฑิตยังคงใช้ได้และมีอยู่หรือไม่ ในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย ระบบทุนนิยมเริ่มแพร่กระจายในประเทศจีน พ่อค้าในสมัยนั้นได้นำความคิดในอุดมคติที่ว่า "นักธุรกิจกับหลักคิดแบบบัณฑิต" สมัยนี้แรงขับของตลาดการค้าได้มีอิทธิพลสูง แต่ผมคิดว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่ที่ระบบในอุดมคติจะเป็นจริง
ชาร์ลีสามารถกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของ "นักธุรกิจที่มีหลักคิดแบบบัณฑิต" อย่างแรกชาร์ลีประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจ อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้ทำความรู้จักกับชาร์ลีผมพบว่า ชาร์ลีคือบัณฑิตที่มีศึลธรรม และปัญญา เขาอ่านได้ทุกเรื่อง และมุ่งมั่นในการปลูกฝังศีลธรรม และคำนึงถึงสังคม คุณค่าของชาร์ลีออกจากภายในสู่ภายนอก ปลูกฝังและพัฒนาตนเองจนสามารถเป็น "นักบุญ" ที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้
ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง ชาร์ลียังคงอุทิศให้กับการกุศลและช่วยเหลือผู้อื่นในโลก เขาใช้ความรู้ในการที่จะประสบความสำเร็จ และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือต้นแบบสำหรับนักวิชาการจีน เขาใช้ความรู้อย่างเต็มที่และประสบความสำเร็จในธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สูงสุด ในปัจจุบัน เศรษฐกิจการค้าชาวจีนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ นักวิชาการจีนจะสามารถเติมเต็มความคิดบัณฑิต และพัฒนาตัวเองไปสู่การเรียนรู้และปลูกฝังด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ?
ชาร์ลีชื่นชมขงจื๊อเป็นอย่างมาก ผมยังคิดว่าถ้าขงจื๊อกลับชาติมาเกิดในสังคมอเมริกา ก็คงเป็นชาร์ลีนั่นเอง ถ้าขงจื๊อกลับมาเกิดในอีก 2000 ปีต่อมาในสังคมการค้าของจีน คำสอนก็คงจะประมาณว่า : จงใส่ใจในที่ที่ถูก ปลูกฝังศีลธรรมอันดี ปกป้องครอบครัว สะสมความมั่งคั่ง และช่วยเหลือโลก
หลังจากที่ระบบการสอบเข้าของบัณฑิต (จอหงวน) หมดไป หลายร้อยปีที่ผ่านมาจิตวิญญาณของระบบจอหงวนก็ได้หายไป โดยเฉพาะในสังคมการค้าในปัจจุบัน นักวิชาการจีนที่ยึดหลักของบัณฑิตจีน ยังคงสับสนกับคำว่าคุณค่าและอุดมคติของเขา ในสังคมการค้าที่วัฒธรรมเก่าแก่ได้สูญหายไป แต่หลักคิดของบัณฑิตยังคงใช้ได้และมีอยู่หรือไม่ ในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย ระบบทุนนิยมเริ่มแพร่กระจายในประเทศจีน พ่อค้าในสมัยนั้นได้นำความคิดในอุดมคติที่ว่า "นักธุรกิจกับหลักคิดแบบบัณฑิต" สมัยนี้แรงขับของตลาดการค้าได้มีอิทธิพลสูง แต่ผมคิดว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่ที่ระบบในอุดมคติจะเป็นจริง
ชาร์ลีสามารถกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของ "นักธุรกิจที่มีหลักคิดแบบบัณฑิต" อย่างแรกชาร์ลีประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจ อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้ทำความรู้จักกับชาร์ลีผมพบว่า ชาร์ลีคือบัณฑิตที่มีศึลธรรม และปัญญา เขาอ่านได้ทุกเรื่อง และมุ่งมั่นในการปลูกฝังศีลธรรม และคำนึงถึงสังคม คุณค่าของชาร์ลีออกจากภายในสู่ภายนอก ปลูกฝังและพัฒนาตนเองจนสามารถเป็น "นักบุญ" ที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้
ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง ชาร์ลียังคงอุทิศให้กับการกุศลและช่วยเหลือผู้อื่นในโลก เขาใช้ความรู้ในการที่จะประสบความสำเร็จ และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือต้นแบบสำหรับนักวิชาการจีน เขาใช้ความรู้อย่างเต็มที่และประสบความสำเร็จในธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สูงสุด ในปัจจุบัน เศรษฐกิจการค้าชาวจีนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ นักวิชาการจีนจะสามารถเติมเต็มความคิดบัณฑิต และพัฒนาตัวเองไปสู่การเรียนรู้และปลูกฝังด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ?
ชาร์ลีชื่นชมขงจื๊อเป็นอย่างมาก ผมยังคิดว่าถ้าขงจื๊อกลับชาติมาเกิดในสังคมอเมริกา ก็คงเป็นชาร์ลีนั่นเอง ถ้าขงจื๊อกลับมาเกิดในอีก 2000 ปีต่อมาในสังคมการค้าของจีน คำสอนก็คงจะประมาณว่า : จงใส่ใจในที่ที่ถูก ปลูกฝังศีลธรรมอันดี ปกป้องครอบครัว สะสมความมั่งคั่ง และช่วยเหลือโลก
-
- Verified User
- โพสต์: 258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 16
ได้อ่านในหนังสือ Poor Charlie's Almanac มีเกร็ดเล็กน้อยในหนังสือ เขียนว่า
Howard Buffet ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ Buffet พูดว่า
ในโลกนี้พ่อของเค้าฉลาดเป็นที่คนสอง
คนที่ฉลาดที่สุดที่เค้ารู้จัก คือ Charlie Munger
Howard Buffet ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ Buffet พูดว่า
ในโลกนี้พ่อของเค้าฉลาดเป็นที่คนสอง
คนที่ฉลาดที่สุดที่เค้ารู้จัก คือ Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 17
สวัสดีครับคุณ ice เผลอๆ คุณ ice ท่านนี้ overdose Mungerism มากกว่าผมซะอีกนะครับ 555555 คุณ ice ศึกษาเรื่อง Influenes มาอย่างยาวนาน เรื่อง Human Misjudgement ก็ผูกพันกันอย่างแยกไม่ออก บุคลิกของของ ice เปลี่ยนไปในทิศทางใดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 18
สวัสดีครับ พี่ humdrum
ความรู้ผมน้อยนะครับ รู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ เองครับ
ก่อนหน้านี้ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับ buffet คิดว่า เกือบทุกเล่มที่มีเป็นภาษาไทย
หลังๆ ก็ติดตามอ่านใน annual report ผมอ่านทั้งหมดที่มีให้โหลดใน web ของ berkshire
เข้าใจว่าตั้งแต่ปี 1976 ก็ได้ความรู้บ้างตามความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของผม
ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้สนใจ ชาร์ลี เลยครับ ผมคิดว่า เค้าเป็นเพื่อนกับ บัพเฟต แค่นั้นเอง
เวลาตอบคำถามในการประชุมประจำปีของ berkshire ก็ไม่ค่อยตอบอะไร
จนมี motto ประจำตัวว่า "nothing to add"
จนวันนึง ผมแวะเข้าไปห้องสมุดมารวย ในตลาดหลักทรัพย์ ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า
Poor Charlie's Almanac นั่นแหละครับ ผมจึงรู้ว่า คนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว
ผมพยายามซื้อหนังสือทุกเล่มที่เค้าแนะนำอ่าน (เข้าใจว่าประมาณ 20-30 เล่ม) ตอนนี้ยังกองอยู่ที่ห้อง
แต่ที่ผมชอบและมีผลต่อชีวิตประจำวันของผม คือ Poor Richard's Almanac เป็นผลงานของ
Benjamin Franklin ครับ ผมชอบมากอ่านทุกวัน
ยิ่งงานหนังสือมากขึ้น ผมยิ่งรู้ว่า ผมไม่รู้อะไรเลย ตลกดีครับ
ความรู้ผมน้อยนะครับ รู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ เองครับ
ก่อนหน้านี้ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับ buffet คิดว่า เกือบทุกเล่มที่มีเป็นภาษาไทย
หลังๆ ก็ติดตามอ่านใน annual report ผมอ่านทั้งหมดที่มีให้โหลดใน web ของ berkshire
เข้าใจว่าตั้งแต่ปี 1976 ก็ได้ความรู้บ้างตามความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของผม
ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้สนใจ ชาร์ลี เลยครับ ผมคิดว่า เค้าเป็นเพื่อนกับ บัพเฟต แค่นั้นเอง
เวลาตอบคำถามในการประชุมประจำปีของ berkshire ก็ไม่ค่อยตอบอะไร
จนมี motto ประจำตัวว่า "nothing to add"
จนวันนึง ผมแวะเข้าไปห้องสมุดมารวย ในตลาดหลักทรัพย์ ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า
Poor Charlie's Almanac นั่นแหละครับ ผมจึงรู้ว่า คนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว
ผมพยายามซื้อหนังสือทุกเล่มที่เค้าแนะนำอ่าน (เข้าใจว่าประมาณ 20-30 เล่ม) ตอนนี้ยังกองอยู่ที่ห้อง
แต่ที่ผมชอบและมีผลต่อชีวิตประจำวันของผม คือ Poor Richard's Almanac เป็นผลงานของ
Benjamin Franklin ครับ ผมชอบมากอ่านทุกวัน
ยิ่งงานหนังสือมากขึ้น ผมยิ่งรู้ว่า ผมไม่รู้อะไรเลย ตลกดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 19
อย่างน้อยคุณ ice มี somethimg to add มาากว่า something to subtract ครับ 5555
Almanac ของ ทั้ง Charlie ทั้ง Ben Franklin มีผลต่อความคิดผมมากเช่นกันครับ
สักวัน ผมอาจได้เห็น Iceberg's Almanac บ้างในไทวิครับ
Almanac ของ ทั้ง Charlie ทั้ง Ben Franklin มีผลต่อความคิดผมมากเช่นกันครับ
สักวัน ผมอาจได้เห็น Iceberg's Almanac บ้างในไทวิครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 20
วันนี้ผมไม่มีอะไรมา add แต่มีบางอย่างมา substract ครับ
Poor Richard เป็น Bible สำหรับ Charlie
ผมชอบอ่าน Damn right น่าจะถือเป้น Bible สำหรับผม
ที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น Damn wrong ซะมากกว่า
สำหรับผม มังเกอร์เป็น negative man เขาเป็น No man
อย่างที่เขาพูด อาจารย์มังเกอร์ชอบเล่าให้นักศึกษามหาวิทยาลัยฟังว่า
"ถ้าเขารู้ว่าจะตายที่ไหน เขาจะไม่ไปที่นั่นเลย"
ช่วงนี้ลูกสาวขอเลี้ยงหมา Golden
สิ่งที่ผมทำคือเอาหลักความคิดของมังเกอร์มาพูดให้ลูกฟัง
แล้วเข้าก็เข้าใจทันที ความคิดมังเกอร์เข่้าใจง่ายมาก
ไม่ว่าเด็กขนาดเด็กสิบขวบเหมือนอย่างลูกสาวผม
หรือว่าจะแปดสิบก็สามารถเข้าใจได้
แต่มันยากตรงที่ ตัดกิเลศต่างๆ ของตัวเองออกไปจากเหตุผลที่ถูกต้องได้หรือไม่
ผมติดตัวอย่างมาฝากครับ
มีเหตุผลอะไรบ้างที่ลูกสาวไม่ควรเลี้ยง
โชคดีมีข้อมูลในเน็ตอยู่แล้ว
ผมติดมาให้อ่าน
Poor Richard เป็น Bible สำหรับ Charlie
ผมชอบอ่าน Damn right น่าจะถือเป้น Bible สำหรับผม
ที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น Damn wrong ซะมากกว่า
สำหรับผม มังเกอร์เป็น negative man เขาเป็น No man
อย่างที่เขาพูด อาจารย์มังเกอร์ชอบเล่าให้นักศึกษามหาวิทยาลัยฟังว่า
"ถ้าเขารู้ว่าจะตายที่ไหน เขาจะไม่ไปที่นั่นเลย"
ช่วงนี้ลูกสาวขอเลี้ยงหมา Golden
สิ่งที่ผมทำคือเอาหลักความคิดของมังเกอร์มาพูดให้ลูกฟัง
แล้วเข้าก็เข้าใจทันที ความคิดมังเกอร์เข่้าใจง่ายมาก
ไม่ว่าเด็กขนาดเด็กสิบขวบเหมือนอย่างลูกสาวผม
หรือว่าจะแปดสิบก็สามารถเข้าใจได้
แต่มันยากตรงที่ ตัดกิเลศต่างๆ ของตัวเองออกไปจากเหตุผลที่ถูกต้องได้หรือไม่
ผมติดตัวอย่างมาฝากครับ
มีเหตุผลอะไรบ้างที่ลูกสาวไม่ควรเลี้ยง
โชคดีมีข้อมูลในเน็ตอยู่แล้ว
ผมติดมาให้อ่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 21
10 เหตุผลที่คุณไม่ควรคิดจะเลี้ยงโกลเด้น
1) คุณกำลังมองหาหมาที่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เจ้าโกลเดนนั้นเป็นหมาที่รักและชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ หากปล่อยให้อยู่ตัวเดียวโดยไม่ได้เล่นกับคุณเจ้าโกลเดนนี่จะหยอยเหงาไร้ความสุขเป็นที่สุด และหากคุณลืมไม่มีเวลาให้โดยกักบริเวณให้อยู่หลังบ้านตลอดเวลาก็จะทำให้มีนิสัยเปลี่ยนแปลงได้ จากหมาที่น่ารัก ร่าเริง ขี้เล่น รักสนุก กลายเป็นหมาเซื่องซึมหรืออาจก้าวร้าวทำลายข้าวของ ชอบเห่าโดยไร้เหตุผลได้ โกลเดนนั้นเหมือนเด็กหากให้ความรักความอบอุ่นและเอาใจใส่ดูแลอย่างดีและเหมาะสม ก็จะเติบโตเป็นหมาที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจมีความสุขทั้งตัวมันเองและเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นก็จะมีนิสัยรักเด็กและเข้ากับสัตว์อื่นๆได้ดี ถ้าคุณไม่ได้ต้องการหมาสำหรับครอบครัว โกลเดนก็ไม่ใช่หมาสำหรับคุณ
2) คุณไม่ชอบหมาที่มีขนยาว โกลเดนนั้นผลัดขนซึ่งและจะมีขนหลุดร่วงมากเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีขนติดเสื้อผ้าคุณอยู่ตลอดเวลา ขนของโกลเดนต้องการการบำรุงรักษาโดยการอาบน้ำและแปรงขนอย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง และขณะอาบน้ำและแปรงขนจะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเจ้าโกลเดนและตัวคุณเอง หากคุณไม่มีเวลาและไม่ชอบอาบน้ำให้หมา โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ
3) คุณเป็นคนเจ้าระเบียบและไม่มีอารมณ์ขบขัน โกลเดนจะซนและฝากรอยจมูกบนหน้าต่างทุกบานของบ้าน ทิ้งรอยขาเปื้อนโคลนไว้บนพื้นบ้าน ฝากความรักเป็นรอยเท้าและคราบน้ำลายบนเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ อย่าลืมว่าโกลเดน รีทริฟเวอร์ ในภาษาลาตินแปลว่าเอาใส่ในปากและกระโดดโลดเต้นไปมา และนำของกลับมาเป็นสัญชาตญาณ บางครั้งก็จะปีนหรือคาบของของคุณจากในบ้านไปทิ้งไว้นอกบ้าน คงต้องทำใจมีความสุขกับความซนของเจ้าโกลเดน
4) คุณชอบที่จะอยู่เฉยๆนอนดู TV และหวังว่าเจ้าหมาจะทำเหมือนคุณ เจ้าโกลเดนเป็นหมาสปอร์ตติ้ง ด๊อก เป็นหมาเพื่อเกมส์กีฬาล่าสัตว์ ดังนั้นจึงต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณจึงต้องเป็นคนไม่มีนิสัยขี้รำคาญ ควรต้องมีความกระตือรือล้น กระฉับกระเฉง ชอบออกกำลังกายหรืออาจชอบว่ายน้ำด้วยเพราะโกลเดนชอบการเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
5) คุณต้องเดินทางบ่อยหรือไม่มีเวลาให้ หากคุณจำเป็นต้องเดินทาง ไม่สามารถนำหมาไปได้และต้องฝากเจ้าโกลเดนไว้กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยให้ดูแลแทนบ่อยๆ ก็ควรคิดก่อนว่าคุณสมควรจะเลี้ยงโกลเดนตั้วแต่แรกหรือไม่ เพราะโกลเดนสามารถจำเจ้าของได้เป็นอย่างดี จะเฝ้ารออย่างจดจ่อกับการกลับมาของคุณและคุณเองก็จะรู้สึกผิดกับการที่ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน
6) คุณไม่ต้องการพบปะกับคนอื่นๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจูงเจ้าโกลเดนทีเป็นมิตรและมีขนที่สวยงามไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาหยุดทักทายกับหมาตัวโปรดของคุณแล้วถามคำถามพูดคุยกับคุณ บางทีหมาเฝ้าบ้านพันธุ์อื่นๆอาจเหมาะสมกว่า
7) คุณต้องการหมาเฝ้าบ้าน โกลเดนจะเป็นมิตรกับทุกคนแม้แต่คนแปลกหน้า อาจจะเห่าเตือน แต่ก็จะเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านแม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคย
8) คุณต้องการเพาะพันธุ์หมาขาย มีโกลเดนจำนวนมากมายที่ถูกเพาะขึ้นมาขายเพื่อที่มุ่งหวังเพียงเพื่อหาเงินจากความเข้าใจผิดว่าสามารถหาเงินได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงไม่มีผู้เพาะสมัครเล่นคนใดเลยที่มีกำไรจากการเพาะโกลเดนขาย เนื่องจากค่าเลี้ยงดูอย่างถูกต้องของหมาใหญ่ที่สูง นอกจากนั้นยังมีค่าวัคซีนและค่ารักษาพยาบาลลูกหมาที่เกิดใหม่อีก จึงทำให้โกลเดนที่ถูกปล่อยปะละเลยไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างที่ถูกที่ควรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
9) คุณไม่มีสถานที่เพียงพอ โกลเดนเป็นหมาขนาดค่อนข้างใหญ่ จะสูงประมาณ 21-24 นิ้ว หนักประมาณ 29-34 กก จึงควรเลี้ยงไว้ในบ้านที่มีบริเวณบ้านหรือสนามหญ้า ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียมหากจำเป็นต้องเลี้ยงในที่นี้ ควรต้องมีสถานที่ข้างนอกที่จะพาไปเดินเล่นทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายทุกวัน
10) คุณไม่สามารถดูแลได้ตลอดอายุ 10-15 ปีของโกลเดน คุณมีข้อผูกมัดกับโกลเดนของคุณไปตลอดช่วงอายุไขของเค้า ต้องมีการให้ทั้งเวลาและการเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มีค่าเลี้ยงดู ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลและค่าฉีดวัคซีน อีกทั้งต้องเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ วันนึงก็ต้องจากเราไปตามธรรมชาติที่ไม่มีอะไรอยู่ยั่งยืนได้ตลอดไป
Credit : http://www.mylovegolden.com/mcontents/m ... 1&id=66065
1) คุณกำลังมองหาหมาที่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เจ้าโกลเดนนั้นเป็นหมาที่รักและชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ หากปล่อยให้อยู่ตัวเดียวโดยไม่ได้เล่นกับคุณเจ้าโกลเดนนี่จะหยอยเหงาไร้ความสุขเป็นที่สุด และหากคุณลืมไม่มีเวลาให้โดยกักบริเวณให้อยู่หลังบ้านตลอดเวลาก็จะทำให้มีนิสัยเปลี่ยนแปลงได้ จากหมาที่น่ารัก ร่าเริง ขี้เล่น รักสนุก กลายเป็นหมาเซื่องซึมหรืออาจก้าวร้าวทำลายข้าวของ ชอบเห่าโดยไร้เหตุผลได้ โกลเดนนั้นเหมือนเด็กหากให้ความรักความอบอุ่นและเอาใจใส่ดูแลอย่างดีและเหมาะสม ก็จะเติบโตเป็นหมาที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจมีความสุขทั้งตัวมันเองและเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นก็จะมีนิสัยรักเด็กและเข้ากับสัตว์อื่นๆได้ดี ถ้าคุณไม่ได้ต้องการหมาสำหรับครอบครัว โกลเดนก็ไม่ใช่หมาสำหรับคุณ
2) คุณไม่ชอบหมาที่มีขนยาว โกลเดนนั้นผลัดขนซึ่งและจะมีขนหลุดร่วงมากเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีขนติดเสื้อผ้าคุณอยู่ตลอดเวลา ขนของโกลเดนต้องการการบำรุงรักษาโดยการอาบน้ำและแปรงขนอย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง และขณะอาบน้ำและแปรงขนจะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเจ้าโกลเดนและตัวคุณเอง หากคุณไม่มีเวลาและไม่ชอบอาบน้ำให้หมา โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ
3) คุณเป็นคนเจ้าระเบียบและไม่มีอารมณ์ขบขัน โกลเดนจะซนและฝากรอยจมูกบนหน้าต่างทุกบานของบ้าน ทิ้งรอยขาเปื้อนโคลนไว้บนพื้นบ้าน ฝากความรักเป็นรอยเท้าและคราบน้ำลายบนเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ อย่าลืมว่าโกลเดน รีทริฟเวอร์ ในภาษาลาตินแปลว่าเอาใส่ในปากและกระโดดโลดเต้นไปมา และนำของกลับมาเป็นสัญชาตญาณ บางครั้งก็จะปีนหรือคาบของของคุณจากในบ้านไปทิ้งไว้นอกบ้าน คงต้องทำใจมีความสุขกับความซนของเจ้าโกลเดน
4) คุณชอบที่จะอยู่เฉยๆนอนดู TV และหวังว่าเจ้าหมาจะทำเหมือนคุณ เจ้าโกลเดนเป็นหมาสปอร์ตติ้ง ด๊อก เป็นหมาเพื่อเกมส์กีฬาล่าสัตว์ ดังนั้นจึงต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณจึงต้องเป็นคนไม่มีนิสัยขี้รำคาญ ควรต้องมีความกระตือรือล้น กระฉับกระเฉง ชอบออกกำลังกายหรืออาจชอบว่ายน้ำด้วยเพราะโกลเดนชอบการเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
5) คุณต้องเดินทางบ่อยหรือไม่มีเวลาให้ หากคุณจำเป็นต้องเดินทาง ไม่สามารถนำหมาไปได้และต้องฝากเจ้าโกลเดนไว้กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยให้ดูแลแทนบ่อยๆ ก็ควรคิดก่อนว่าคุณสมควรจะเลี้ยงโกลเดนตั้วแต่แรกหรือไม่ เพราะโกลเดนสามารถจำเจ้าของได้เป็นอย่างดี จะเฝ้ารออย่างจดจ่อกับการกลับมาของคุณและคุณเองก็จะรู้สึกผิดกับการที่ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน
6) คุณไม่ต้องการพบปะกับคนอื่นๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจูงเจ้าโกลเดนทีเป็นมิตรและมีขนที่สวยงามไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาหยุดทักทายกับหมาตัวโปรดของคุณแล้วถามคำถามพูดคุยกับคุณ บางทีหมาเฝ้าบ้านพันธุ์อื่นๆอาจเหมาะสมกว่า
7) คุณต้องการหมาเฝ้าบ้าน โกลเดนจะเป็นมิตรกับทุกคนแม้แต่คนแปลกหน้า อาจจะเห่าเตือน แต่ก็จะเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านแม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคย
8) คุณต้องการเพาะพันธุ์หมาขาย มีโกลเดนจำนวนมากมายที่ถูกเพาะขึ้นมาขายเพื่อที่มุ่งหวังเพียงเพื่อหาเงินจากความเข้าใจผิดว่าสามารถหาเงินได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงไม่มีผู้เพาะสมัครเล่นคนใดเลยที่มีกำไรจากการเพาะโกลเดนขาย เนื่องจากค่าเลี้ยงดูอย่างถูกต้องของหมาใหญ่ที่สูง นอกจากนั้นยังมีค่าวัคซีนและค่ารักษาพยาบาลลูกหมาที่เกิดใหม่อีก จึงทำให้โกลเดนที่ถูกปล่อยปะละเลยไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างที่ถูกที่ควรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
9) คุณไม่มีสถานที่เพียงพอ โกลเดนเป็นหมาขนาดค่อนข้างใหญ่ จะสูงประมาณ 21-24 นิ้ว หนักประมาณ 29-34 กก จึงควรเลี้ยงไว้ในบ้านที่มีบริเวณบ้านหรือสนามหญ้า ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียมหากจำเป็นต้องเลี้ยงในที่นี้ ควรต้องมีสถานที่ข้างนอกที่จะพาไปเดินเล่นทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายทุกวัน
10) คุณไม่สามารถดูแลได้ตลอดอายุ 10-15 ปีของโกลเดน คุณมีข้อผูกมัดกับโกลเดนของคุณไปตลอดช่วงอายุไขของเค้า ต้องมีการให้ทั้งเวลาและการเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มีค่าเลี้ยงดู ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลและค่าฉีดวัคซีน อีกทั้งต้องเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ วันนึงก็ต้องจากเราไปตามธรรมชาติที่ไม่มีอะไรอยู่ยั่งยืนได้ตลอดไป
Credit : http://www.mylovegolden.com/mcontents/m ... 1&id=66065
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 23
Charlie Munger Quotes
credit: Special thanks to by Bluevideogame
http://www.youtube.com/watch?v=ssr7rOAfcmY
credit: Special thanks to by Bluevideogame
http://www.youtube.com/watch?v=ssr7rOAfcmY
-
- Verified User
- โพสต์: 569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 24
เข้าไปที่เว็บนี้ครับ
http://keepvid.com/
พอขึ้นหน้าเว็บมาแล้วจะเห็นช่องให้ใส่ url เราก็ copy url (http://www.youtube.com/watch?v=ssr7rOAfcmY) ไปใส่ในนั้น
เสร็จแล้วก็กด DOWNLOAD
ถ้าขึ้น pop up อะไรขึ้นมา ก็ให้กด run ครับ (ถ้าจำไม่ผิดมันจะถามว่าอนุญาตให้ run java รึเปล่าครับ)
เสร็จแล้วมันจะขึ้นไฟล์มาให้เราโหลดเก็บไว้ มีไฟล์หลายแบบก็เลือกเอาตามใจชอบครับ
http://keepvid.com/
พอขึ้นหน้าเว็บมาแล้วจะเห็นช่องให้ใส่ url เราก็ copy url (http://www.youtube.com/watch?v=ssr7rOAfcmY) ไปใส่ในนั้น
เสร็จแล้วก็กด DOWNLOAD
ถ้าขึ้น pop up อะไรขึ้นมา ก็ให้กด run ครับ (ถ้าจำไม่ผิดมันจะถามว่าอนุญาตให้ run java รึเปล่าครับ)
เสร็จแล้วมันจะขึ้นไฟล์มาให้เราโหลดเก็บไว้ มีไฟล์หลายแบบก็เลือกเอาตามใจชอบครับ
เราจะพอเพียง แค่เราเพียงพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 26
ในบทความของ Li Lu มีตอนหนึ่งที่น่าสนใจครับ
เขาพูดถึงเหตุการณ์ที่มีผู้หญิงคนหนึ่ีงมานั่งใกล้มังเกอร์
เธอนุ่งสั้น เปิดอก ผู้ชายในงานมองกันหมด
แต่มีผู็ชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจเลย
เขาคือมังเกอร์ครับ
ผู็หญิงคนนั้นเลยไปนั่งเก้าอี้ติดกับมังเกอร์
แล้วถามว่า คุณสมบัติอะไรทำให้มังเกอร์ปะสบความสำเร็จขนาดนี้
มังเกอร์ตอบว่า "rational"
เขาพูดถึงเหตุการณ์ที่มีผู้หญิงคนหนึ่ีงมานั่งใกล้มังเกอร์
เธอนุ่งสั้น เปิดอก ผู้ชายในงานมองกันหมด
แต่มีผู็ชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจเลย
เขาคือมังเกอร์ครับ
ผู็หญิงคนนั้นเลยไปนั่งเก้าอี้ติดกับมังเกอร์
แล้วถามว่า คุณสมบัติอะไรทำให้มังเกอร์ปะสบความสำเร็จขนาดนี้
มังเกอร์ตอบว่า "rational"
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 27
ผมอ่านตอนแรกก็ไม่เข้าใจครับ
ลองนึกกับตนเองดู มีสาวมานั่งใกล้ๆ นุ่งสั้นเกือบถึงเป้า
แค่นึกภาพ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น ลมหายใจเปลี่ยนจังหวะ
ลมหายใจเข้าสั้น ออกก็สั้น พอใกล้เข้าตัวไปมากกว่านี้
ผมก็กำหนด "หนอ" ผมว่าดีมาก
เห้นด้วยปัญญาว่าสภาพต่างๆ มันผันแปรกลับกลอกหลอกหลวงได้
เยื้องย้ายได้ทุกประการ ผมว่าสิ่งพวกนี้
นักลงทุนก็ต้องกำหนด ทิ้งข้อนี้ไปไม่ได้เลย
รู็ตาใน เห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นแค่ตาเนื้อ
สติปฏฐานสี่ นี่คือทางสายเอกของพระพุทธเจ้า
ใครอยากอ่านฉบับฝรั่งก็ไปอ่าน Human Misjudgement ครับ
ลองนึกกับตนเองดู มีสาวมานั่งใกล้ๆ นุ่งสั้นเกือบถึงเป้า
แค่นึกภาพ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น ลมหายใจเปลี่ยนจังหวะ
ลมหายใจเข้าสั้น ออกก็สั้น พอใกล้เข้าตัวไปมากกว่านี้
ผมก็กำหนด "หนอ" ผมว่าดีมาก
เห้นด้วยปัญญาว่าสภาพต่างๆ มันผันแปรกลับกลอกหลอกหลวงได้
เยื้องย้ายได้ทุกประการ ผมว่าสิ่งพวกนี้
นักลงทุนก็ต้องกำหนด ทิ้งข้อนี้ไปไม่ได้เลย
รู็ตาใน เห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นแค่ตาเนื้อ
สติปฏฐานสี่ นี่คือทางสายเอกของพระพุทธเจ้า
ใครอยากอ่านฉบับฝรั่งก็ไปอ่าน Human Misjudgement ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 29
เรื่องภาษาอังกฤษนี้ ผมไม่เก่งเลยครับ
เวลามีคนเก่งอังกฤษ ก็ต้องถามเขาว่า
เขาเก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาใด
เหมือนค่าเงินบาทแข็ง ก็ต้องถามว่า
เงินบาทแข็งเมื่อเทียบกับเงินสกุลใด
บางคนเก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ
บางคนก็เก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาฝรั่งเศส
เพราะตอนเรียนภาษาฝรั่งเศส เรียนแบบเทียบกับอังกฤษ
เก่งภาษาอังกฤษก็เหมือนเก่งการลงทุนที่มีหลายมุมครับ
เวลามีคนเก่งอังกฤษ ก็ต้องถามเขาว่า
เขาเก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาใด
เหมือนค่าเงินบาทแข็ง ก็ต้องถามว่า
เงินบาทแข็งเมื่อเทียบกับเงินสกุลใด
บางคนเก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ
บางคนก็เก่งอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาฝรั่งเศส
เพราะตอนเรียนภาษาฝรั่งเศส เรียนแบบเทียบกับอังกฤษ
เก่งภาษาอังกฤษก็เหมือนเก่งการลงทุนที่มีหลายมุมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์
โพสต์ที่ 30
[quote="โอรสสวรรค์"]เข้าไปที่เว็บนี้ครับ
http://keepvid.com/
ผมเก็บได้แล้วครับ ขอบคุณมากครับ
จากเว็บนี้ มีอะไรที่เราต้องระวังไหมครับคุณโอรส
http://keepvid.com/
ผมเก็บได้แล้วครับ ขอบคุณมากครับ
จากเว็บนี้ มีอะไรที่เราต้องระวังไหมครับคุณโอรส