โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 เมษายน 2555
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในเรื่องของการลงทุนในหุ้นนั้น นักวิชาการจำนวนมากมักจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ “เสี่ยง” กว่าการลงทุนในพันธบัตร เงินฝากธนาคาร หุ้นกู้ เพราะที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเงินต้นจะยัง “อยู่ครบ” เสมอ พร้อมกับดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอน นอกจากนั้น หุ้นก็ยังถูกมองว่ามีความเสี่ยงกว่าที่ดินหรือทองคำในสายตาของคนทั่วไปในแง่ที่ว่า ทั้งสองอย่างนั้น “จับต้องได้และไม่สึกหรอ” และมันรักษาคุณค่าของมันได้เสมอ ราคาทองคำและที่ดินมีแต่จะ “เพิ่มขึ้น” แม้ว่าในช่วงหลังนี้ราคาทองคำอาจจะมีการ “ปรับตัวลงบ้าง” ในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว มัน “ไม่เสี่ยง” ผิดกับหุ้นที่ราคาขึ้นลงทุกวัน หุ้นบางตัวนั้น ราคาตกลงไปมากในเวลาสั้น ๆ จนแทบจะหมดค่า หุ้นสำหรับบางคนนั้นคงเหมือนกับ “กระดาษ” ที่ราคาขึ้นลงได้รวดเร็ว บางครั้งขึ้นไปหลายเท่าได้ในเวลาอันสั้น แต่บางครั้งก็สามารถตกลงมาได้มากมายแทบจะไม่มีค่าเหมือน “กระดาษ” ดังนั้น หุ้นจึงเป็นอะไรที่ “เสี่ยงมาก”
ข้างต้นนั้นก็เป็นการวิเคราะห์เรื่องของความเสี่ยงในบางมิติ นั่นก็คือ เป็นการวิเคราะห์โดยอิงอยู่กับการลงทุน “ระยะสั้น” และเป็นการมองทรัพย์สินหรือหุ้นเป็น “รายตัว” แต่ถ้าเรามองการลงทุนเป็น “ระยะยาว” และลงทุนในทรัพย์สินหรือหุ้นเป็นแบบ “พอร์ตโฟลิโอ” หรือกระจายการลงทุนโดยการถือทรัพย์สินหรือหุ้นเป็นกลุ่ม เรื่องของความเสี่ยงก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เหตุผลสำคัญก็คือ ในระยะยาวแล้ว มิติสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกตัวหนึ่งก็คือ “อัตราเงินเฟ้อ” เพราะนี่จะทำให้เงินมีค่าลดลงแม้ว่าเม็ดเงินของเราจะยังอยู่ครบ ตัวอย่างเช่น ถ้าสมมุติว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าอัตราเงินเฟ้อเท่ากับปีละ 3% แต่เงินลงทุนของเราได้ผลตอบแทนปีละ 2% เมื่อครบ 20 ปี เงินลงทุนของเราจะโตขึ้นจาก 100 บาท เป็น 149 บาท แต่ในวันนั้น สินค้าจะขึ้นราคาจาก 100 บาท เป็น 181 บาท ทำให้เรา “ขาดทุน” 32 บาท หรือซื้อของได้น้อยลงไปประมาณ 18% และนี่ก็คือความเสี่ยงของการถือทรัพย์สินที่มีมูลค่าคงที่แต่ไม่เติบโตหรือเติบโตช้ากว่าเงินเฟ้อในระยะยาว
มิติของการลงทุนแบบ “พอร์ตโฟลิโอ” นั้น ช่วยให้การลงทุนมี “ความผันผวน” น้อยลงมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นนั้น อาจจะมองได้ไม่ชัด แต่การลงทุนในหุ้นนั้น ถ้าเราลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ความเสี่ยงจะสูงมาก เนื่องจากหุ้นตัวนั้นอาจจะประสบปัญหารุนแรงได้ กิจการอาจจะเจ๊งไปและทำให้ราคาหุ้นกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าเราถือหุ้นหลาย ๆ ตัว โอกาสที่ทุกกิจการจะล้มละลายมีน้อยมาก ดังนั้น ราคาของหุ้นก็จะคละเคล้ากันไป บางตัวดี บางตัวอาจจะไม่ค่อยดี แต่โดยรวมแล้ว ราคาหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น แม้ว่าเราจะถือหุ้นเป็นพอร์ตหลาย ๆ ตัวหรือถือกองทุนรวมที่มีหุ้นจำนวนมาก มูลค่าหุ้นก็อาจจะลดลงได้เนื่องจากปัจจัยร้อยแปด แต่ในระยะยาวแล้ว มูลค่าหุ้นโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย และถ้าเราสามารถถือหุ้นได้ถึง 20 ปี โอกาสที่มูลค่าหุ้นจะลดลงนั้นน้อยมาก ในทางตรงกันข้าม โอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปสูงจะมีมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี เงิน 100 บาทจะกลายเป็นประมาณ 673 บาทในเวลา 20 ปี เทียบกับการฝากเงินที่เราจะได้ประมาณ 149 บาทแล้ว ต้องบอกว่าการลงทุนในหุ้นนั้น ดีกว่ามากถ้าเรามีเวลาลงทุนถึง 20 ปี หรือเป็นการลงทุนระยะยาว
ข้อสรุปในขั้นนี้ก็คือ ถ้าเรามีเวลาลงทุนถึง 20 ปีแล้ว การลงทุนในหุ้น โดยการลงทุนแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอหรือถือกองทุนรวม จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดโดยที่มีความเสี่ยง “ต่ำที่สุด” และนี่ทำให้เราควรถือหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินอย่างอื่น มากเท่าไรนั้นคงขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและความรู้เกี่ยวกับการลงทุนของแต่ละคน แต่ใจผมคิดว่าอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 50% ของทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ และคนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนเป็นอย่างดีจะมีหุ้นเกิน 90% ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ประเด็นสำคัญต่อมาก็คือ คนมักจะคิดว่าตนเองแก่แล้วหรือมีอายุมากแล้ว การลงทุนในหุ้นอาจจะเป็นเรื่องที่ “สายเกินไป” แล้ว เขาไม่มีเวลา 10 หรือ 20 ปี ที่จะทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่ “ไม่เสี่ยง” ดังนั้น เขาขอฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรดีกว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ “ผิดพลาด” เรามาดูกันว่าเพราะอะไร?
เรื่องที่ทำให้คนคิดผิดน่าจะอยู่ที่ประเด็นของ “อายุเกษียณ” หรือเวลาเลิกทำงานที่มักกำหนดไว้ที่ 60 ปี นี่ทำให้เรารู้สึกว่าเราแก่แล้วตั้งแต่อายุใกล้เกษียณที่ 50 ปีขึ้นไป แต่ความเป็นจริงก็คือ อายุของคนกำลังยืนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับสุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และผมคิดว่า คนรุ่นนี้จำนวนมากน่าจะมีอายุถึง 80 ปีขึ้นไปก่อนตาย นอกจากนั้น ความสามารถในการลงทุนในหุ้นก็น่าจะทำได้จนถึงอายุ 80 ปี และนี่ทำให้ผมคิดว่าการวางแผนเกี่ยวกับการลงทุนของเรานั้น เราควรกำหนดว่าเราจะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี และถ้าเป็นเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่เกษียณในวันนี้หรือแม้แต่คนที่กำลังเกษียณจึงมีเวลาที่จะลงทุนอีกถึง 20 ปี ซึ่งทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
คำแนะนำของผมสำหรับคนที่คิดว่าตนเอง “แก่” เกินที่จะเริ่มลงทุนก็คือ การลงทุน โดยเฉพาะในแนว Value Investment นั้น ไม่ได้ยากหรือใช้พลังอะไรมากมายนักแต่มันใช้ความสุขุมรอบคอบและใจเย็นยึดมั่นศรัทธาในสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้องซึ่งสิ่งเหล่านี้คนมีอายุไม่ได้เสียเปรียบคนหนุ่มสาวเลย ดังนั้น คนแก่ทำได้แน่นอน แต่จริง ๆ แล้วบางทีคุณอาจจะไม่ได้แก่อย่างที่คุณคิด และถ้าคุณสามารถลงทุนได้อีกถึง 20 ปี คุณก็สามารถเริ่ม “อาชีพใหม่” นี้ได้แม้ว่าคุณจะอายุ 60 ปีแล้ว และถ้าคุณทำได้ดี โอกาสที่คุณจะเป็น “เซียน” และมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมหาศาลก็ยังมีอยู่
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนถึงนานมาแล้วว่า เธอน่าจะเป็น “ไอดอล” ของนักลงทุน “คนแก่” ทั่วโลก เพราะเธอเริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปี โดยที่เธอเป็นเพียงเสมียนและมีเงินเดือนน้อยมากไม่ต้องพูดถึงความรู้ในการเลือกหุ้น เธอเริ่มจากเงินประมาณ 5,000 ดอลลาร์ โดยลงทุนซื้อหุ้นที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ผลิตและขายสินค้าที่เธอรู้จักดีเช่น โคคาโคลา บริษัทยาเช่นเชอริงพลาวก์ เธอซื้อแล้วก็เก็บ ติดตามดูกิจการของบริษัทไปเรื่อย ๆ เมื่อได้เงินปันผลมาก็ลงทุนเพิ่มในหุ้นทบต้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายในวันที่เธอตาย ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านเหรียญ ซึ่งเธอบริจาคให้กับโรงพยาบาลหมดเนื่องจากเธอไม่เคยแต่งงานและไม่มีญาติพี่น้อง สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จระดับนั้นก็คือ เวลาในการลงทุนอีก 51 ปี เพราะเธอตายตอนอายุ 101 ปี และผลตอบแทนที่เธอทำได้คือเฉลี่ยปีละประมาณ 17-18% ซึ่งก็เป็นผลตอบแทนที่ดีมาก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ Value Investor มีโอกาสทำได้
คนมักจะถามว่า แก่แล้วจะหาเงินมาก ๆ ไปทำอะไร ได้แล้วก็ “ไม่มีโอกาสใช้” หรือคนที่มีเงินเก็บ “พอดี ๆ” ก็อาจจะกลัวว่าจะขาดทุนจากหุ้นแล้วเงินจะไม่เหลือพอใช้จนตาย คำตอบของผมก็คือ เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร เราอาจจะคำนวณว่าเราจะตายเมื่ออายุ 80 ปี แต่เราอาจจะอยู่จนถึง 100 ปีก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นเรายังจะมีเงินพอใช้หรือไม่? ดังนั้น การไม่ลงทุนในหุ้นจึงอาจจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงพอ ๆ หรือมากกว่าการลงทุนในหุ้นก็ได้ ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ มีโอกาสสูงที่คุณควรลงทุนในหุ้นแม้ว่าคุณจะอายุมากแล้ว ไม่มีคำว่าสายเกินไป