ถามเรื่องการจองหุ้นกู้ของ ปตท
-
- Verified User
- โพสต์: 535
- ผู้ติดตาม: 0
ถามเรื่องการจองหุ้นกู้ของ ปตท
โพสต์ที่ 1
เพื่อนๆ นักลงทุน คิดว่า น่าลงทุนไหมครับ
ถ้าจะซื้อคงเป็น
ชุดที่ 2
อายุประมาณ 6 ปี 10 เดือน
อัตราดอกเบี้ย
ปีที่ 1-4 : 4.00% ต่อปี
ปีที่ 5-6 : 4.40% ต่อปี
หลังจากปีที่ 6 : 5.50% ต่อปี
เพื่อนๆว่า มีความเสี่ยงไหมครับ แล้วม้นคุ้มไหม
หรือว่า เอามา ซื้อหุ้น หรือเก็บทองดีกว่า
ถ้าจะซื้อคงเป็น
ชุดที่ 2
อายุประมาณ 6 ปี 10 เดือน
อัตราดอกเบี้ย
ปีที่ 1-4 : 4.00% ต่อปี
ปีที่ 5-6 : 4.40% ต่อปี
หลังจากปีที่ 6 : 5.50% ต่อปี
เพื่อนๆว่า มีความเสี่ยงไหมครับ แล้วม้นคุ้มไหม
หรือว่า เอามา ซื้อหุ้น หรือเก็บทองดีกว่า
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องการจองหุ้นกู้ของ ปตท
โพสต์ที่ 2
สำหรับคนชอบความเสี่ยงต่ำ หรือไม่ไว้ใจทิศทางตลาดหุ้น ถือพวกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ในพอร์ทไว้ซัก 30-50% ก็ปลอดภัยดีครับ ข้อเสียคือระยะเวลาเกือบ 7 ปีมันค่อนข้างยาว อาจจะต้องประมาณให้ดีว่าจะแบ่งไปตราสารหนี้ระยะสั้นแทนไหม เช่น 3-6 เดือน ผลตอบแทนที่ 3-3.5% ในปัจจุบัน
ถ้าความเสี่ยงสูงขึ้นมาเล็กน้อยก็อาจไปลงหุ้นปันผล (aka หุ้นห่านทองคำ) ซึ่งไม่ค่อยอ่อนไหวต่อสภาพตลาดนัก ปันผลตอนนี้ก็อยู่ที่ ~5-6% มากกว่าที่คุณดูอยู่เล็กน้อย แต่สภาพคล่องสูงกว่าเยอะ
ทองคำนี่ ถ้าไม่ได้ลงยาวเป็นสิบปี หรือไม่ชำนาญจริงๆ หรือไม่คิดจะไปหมั้นสาว ผมว่ามันเสี่ยงกว่าหุ้นเสียอีก
โดยส่วนตัวผมนิยมแบ่งเงินส่วนหนึ่งในตราสารหนี้ระยะสั้นแล้วซื้อให้คร่อมเวลากันไว้ทุกๆเดือน เพราะเวลาที่ตลาดหุ้นตกมาแบบไม่สมเหตุผลจะได้มีโอกาสปรับพอร์ทได้ทัน
ถ้าความเสี่ยงสูงขึ้นมาเล็กน้อยก็อาจไปลงหุ้นปันผล (aka หุ้นห่านทองคำ) ซึ่งไม่ค่อยอ่อนไหวต่อสภาพตลาดนัก ปันผลตอนนี้ก็อยู่ที่ ~5-6% มากกว่าที่คุณดูอยู่เล็กน้อย แต่สภาพคล่องสูงกว่าเยอะ
ทองคำนี่ ถ้าไม่ได้ลงยาวเป็นสิบปี หรือไม่ชำนาญจริงๆ หรือไม่คิดจะไปหมั้นสาว ผมว่ามันเสี่ยงกว่าหุ้นเสียอีก
โดยส่วนตัวผมนิยมแบ่งเงินส่วนหนึ่งในตราสารหนี้ระยะสั้นแล้วซื้อให้คร่อมเวลากันไว้ทุกๆเดือน เพราะเวลาที่ตลาดหุ้นตกมาแบบไม่สมเหตุผลจะได้มีโอกาสปรับพอร์ทได้ทัน
Vi IMrovised
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องการจองหุ้นกู้ของ ปตท
โพสต์ที่ 4
แต่ทองคำ ผมมีความเห็นต่างนิดนึงครับ ว่า ถ้าพอรับความเสี่ยงได้พอควร
อาจซื้อเก็บไว้ในพอร์ต ที่ระดับทองคำที่ต่ำพอควรซัก 1400-1500 เหรียญต่อออนซ์
แล้วถือยาวซัก 1 ปีขึ้นไป น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร แต่ต้องทำใจเวลาสวิงขึ้น - ลง พอสมควร
อาจจะถือไว้ในพอร์ตซักไม่เกิน 10-15 % พอครับ
อีกอย่างทองคำ ไม่มีปันผลและดอกเบี้ยนะครับ ต้องคำนึงข้อนี้ด้วย
อาจซื้อเก็บไว้ในพอร์ต ที่ระดับทองคำที่ต่ำพอควรซัก 1400-1500 เหรียญต่อออนซ์
แล้วถือยาวซัก 1 ปีขึ้นไป น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร แต่ต้องทำใจเวลาสวิงขึ้น - ลง พอสมควร
อาจจะถือไว้ในพอร์ตซักไม่เกิน 10-15 % พอครับ
อีกอย่างทองคำ ไม่มีปันผลและดอกเบี้ยนะครับ ต้องคำนึงข้อนี้ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องการจองหุ้นกู้ของ ปตท
โพสต์ที่ 5
รายงานพิเศษ : PTT ครองตำแหน่ง กำไร-ยอดขายสูงสุดตลอดกาล
Source - ข่าวหุ้น (Th), Tuesday, March 13, 2012
แม้ว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2554 ธุรกิจ บจ. จะประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ แต่เมื่อภาพผลประกอบการปี 2554 ที่ออกมาพบว่ามีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 625,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 599,598 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.30% และมียอดขายรวม 9,104,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.23%
ตัวเลขดังกล่าวได้แสดงถึงศักยภาพของ บจ. และทำให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น เพราะถ้าหาก บจ. มีการบริหารจัดการที่ดี และสามารถบริหารจัดการต้นทุนขายได้มีประสิทธิภาพกำไรสุทธิของ บจ.ก็จะกลับมาเติบโตได้ดังเดิมนั่นเอง
จากความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้น “ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน” จึงได้รวบรวมตัวเลขบริษัทที่มีกำไรสุทธิและยอดขายสูงสุดใน SET ที่เด่นๆ 30 อันดับแรกมานำเสนอ
นอกจากนี้ยังนำเสนอ บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
โดยอันดับ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พบว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 105,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 อยู่ที่ 83,088 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 44,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่จำนวน 4,312.58 ล้านบาท
อันดับ 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 36,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 24,206 ล้านบาท
อันดับ 4 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 27,338 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 24,593 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มีกำไรสุทธิ 27,281 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 37,382 ล้านบาท
ส่วน บจ. ที่มียอดขายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)
โดยอันดับ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มียอดขายปี 2554 อยู่ที่ 2,428,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อยู่ที่จำนวน 1,900,005 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มียอดขายปี 2554 อยู่ที่ 446,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อยู่ที่จำนวน 318,391 ล้านบาท
อันดับ 3 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มียอดขาย 368,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 301,323 ล้านบาท
อันดับ 4 บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มียอดขายปี 246,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่จำนวน 221,611 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มียอดขายปี 206,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 189,049 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากสังเกตการสำรวจข้อมูลนับตั้งแต่ “ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน” รวบรวมมาหลายปีจะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีกำไรสุทธิและยอดสูงสุดไม่ได้แตกต่างไปจากปีที่ผ่านมาๆ มา นั้นเป็นเพราะไม่ว่าปีใด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ก็ยังครองตำแหน่งบริษัทที่ทำกำไรและยอดขายสูงสุดเอาไว้เหมือนเช่นเคย
ขณะเดียวกันหากสังเกตบริษัทที่ทำกำไรและยอดขายสูงสุด 10 อันดับแรก ก็ล้วนแต่เป็นหุ้นในกลุ่มของ ปตท. เกือบทั้งหมด ตรงนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นชัดเจน
--จบ--
Source - ข่าวหุ้น (Th), Tuesday, March 13, 2012
แม้ว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2554 ธุรกิจ บจ. จะประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ แต่เมื่อภาพผลประกอบการปี 2554 ที่ออกมาพบว่ามีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 625,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 599,598 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.30% และมียอดขายรวม 9,104,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.23%
ตัวเลขดังกล่าวได้แสดงถึงศักยภาพของ บจ. และทำให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น เพราะถ้าหาก บจ. มีการบริหารจัดการที่ดี และสามารถบริหารจัดการต้นทุนขายได้มีประสิทธิภาพกำไรสุทธิของ บจ.ก็จะกลับมาเติบโตได้ดังเดิมนั่นเอง
จากความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้น “ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน” จึงได้รวบรวมตัวเลขบริษัทที่มีกำไรสุทธิและยอดขายสูงสุดใน SET ที่เด่นๆ 30 อันดับแรกมานำเสนอ
นอกจากนี้ยังนำเสนอ บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
โดยอันดับ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พบว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 105,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 อยู่ที่ 83,088 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 44,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่จำนวน 4,312.58 ล้านบาท
อันดับ 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 36,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 24,206 ล้านบาท
อันดับ 4 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 27,338 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 24,593 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มีกำไรสุทธิ 27,281 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 37,382 ล้านบาท
ส่วน บจ. ที่มียอดขายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)
โดยอันดับ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มียอดขายปี 2554 อยู่ที่ 2,428,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อยู่ที่จำนวน 1,900,005 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มียอดขายปี 2554 อยู่ที่ 446,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 อยู่ที่จำนวน 318,391 ล้านบาท
อันดับ 3 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มียอดขาย 368,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 301,323 ล้านบาท
อันดับ 4 บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มียอดขายปี 246,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่จำนวน 221,611 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มียอดขายปี 206,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2553 อยู่ที่ 189,049 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากสังเกตการสำรวจข้อมูลนับตั้งแต่ “ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน” รวบรวมมาหลายปีจะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีกำไรสุทธิและยอดสูงสุดไม่ได้แตกต่างไปจากปีที่ผ่านมาๆ มา นั้นเป็นเพราะไม่ว่าปีใด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ก็ยังครองตำแหน่งบริษัทที่ทำกำไรและยอดขายสูงสุดเอาไว้เหมือนเช่นเคย
ขณะเดียวกันหากสังเกตบริษัทที่ทำกำไรและยอดขายสูงสุด 10 อันดับแรก ก็ล้วนแต่เป็นหุ้นในกลุ่มของ ปตท. เกือบทั้งหมด ตรงนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นชัดเจน
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."