ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 1
ตอนแรกอ่านคำถามแล้วก็มองนะครับ เพราะว่าเคยถามตัวเองอย่างนี้มาก่อน ผมนึกไม่ออกว่าเขียนอะไรไปบ้างเกี่ยวกับคนยิว ผมจำไมได้จริง ๆ เอาใจเขามาใส่ใจเราหรือปล่าว เอาเท้าตัวเองไปใส่ในรองเท้าของคนยิวดู น่าจะประมาณนี้นะครับ ที่ผมทำครับ อ่านหนังสือของท่านคึกฤทธิ์เกี่ยวกับยิว ทุกวันนี้ก็ยังอ่านนะครับ แต่จำได้ว่าไปคุยกับแรบไบที่ถนนข้าวสาร ไปกินอารหารยิว ไปโบสยิวด้วย เรียนภาษาฮิบรู เขียนจากขวาไปซ้าย เขียนแล้วเริ่มไม่เขียนสระ ลองมาหมดเลย เขียนทุกวันเลย ตอนเขียนจากซ้ายไปขวา ไปเข้าใจว่าทำไมคนยิวถึงไม่เหมือนคนอื่นตอนนั้น ไปอ่านบันทึกที่ตัวเองเขียนนะครับ
........ประเทศไหนเขียนจากซ้ายไปขวา ต้องระวังมากเป้นพิเศษ เพราะ invert กับระบบการเขียนของภาษาไทย พื้นฐานของภาษาแต่ละประเทศมีผลต่อรากฐานความคิดของคนคนนั้น.
วันนี้ลองกลับไปเขียนไทยจากขวาไปซ้าย เวลาเขียนมันบังคับให้ต้องคิดไปล่วงหน้าก่อนเสมอว่าจะเขียนอะไร ตอนนั้นก็เข้าใจทันทีเลยว่าคนยิวคิดอย่างไร คำตอบที่ได้คือ
They invert always invert.
เรื่อง invert การเขียนภาษาไทยนี้ ทำทุกวันก็กลายเป้นนิสัยไปไม่รู็ตัวให้คิดอะไรล่วงหน้าก่อนเสมอ ทำอย่างนี้ทุกวันก็ยกระดับนิสัยของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น คือ การมองอนาคตแล้วมองย้อนกลับไปกลับมาที่ปัจจุบัน เรื่องนี้เหมือนการมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วก็วางแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แต่ทำไปนานๆ ก็ถึงบางอ้อว่ามันต้อง invert นี่ว่า การมีเป้าหมายไม่ได้เป็นเป้าหมายจริงๆ ของการมีเป้าหมายเลย แต่การมีเป้าหมายนั้นเพื่อทำให้ตัวเรารู็จักศักยภาพตัวเองว่าเราขาดคุณสมบัติอะไรบ้างถึงไปไม่ถึงเป้าหมายต่างหาก การมีเป้าหมายจึงเป็นการจับผิดตัวเองและยิมรับว่าตัวเองห่วยขนาดไหน
การมีเป้าหมายนั้น ไม่สบายทั้งกายและใจอย่าบอกใครเชียว พอรู้สึก uncomfortable แล้วก้ถึงบางอ้ออีกครั้ง ถึงบางอ้อเป็นสองครั้งแล้ว แล้วก็คิดถึงตอนเป็นนักบิน ในหมู่นักบินเรียกภาวะนี้ว่า pushing the envelop คือภาวะที่ตัวเองต้องรับมือกับความกดดันมากๆ แล้ว limitation ตัวเองจะรับมือได้ไหวขนาดไหน
สภาวะอย่างนี้จะเรียกความสามารถที่แท้จริงของแต่ละคนออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง ใครยิ่งเรียกออกมาจนเป้นผู้เชียวชาญคงได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างมาก คนยิวคงทราบข้อนี้กันดีมานานมากแล้วถึงได้กำหนดให้คนยิวทุก คนถือศีลถึงหกร้อยกว่าข้อ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
เหมือนที่สตีฟ จ๊อป พูดว่า stay hungry stay foolish ก็เข้าใจตอนนั้น ยิ่งรู็สึกไม่สะดวกสบายในชีวิตมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้ดีเท่านั้น หรือจะบอกว่ายิ่งฉลาดเหมือนคนยิวเท่านั้น
ข้ามไปอีกวันที่เขียนครับ
จุดอ่อนระบบทุนนิยมทำให้คนเสียนิสัย คือ ทำให้คนติดความสบาย แต่คนยิวกลับทำตัวไม่ยอมสบาย จะกินก้ยังมีข้อกำหนดมากมายบังคับตัวเอง นี่ทำให้เห้นว่า เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ความเห็น : จากตรงนี้ ผมเลย apply ด้วยการการกินมังสวิรัติครับ ดีไม่ดีไม่รู็ แต่โรคหืดหอบหาย และจะกินอะไรก็ต้องวางแผนไว้ ถ้าไม่มีกิน ก็อดกิน ฝึกความอดทน ตอนหลัง ก้มาอดหลังเที่ยง บางวันก็ไม่กิน กินแต่น้ำ ก้ก็มาเข้าใจคนยิวอีกตอนนั้น ว่าเวลาหิวมันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมาก ทำได้ครั้งหนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมุ่งมั่นมาทุกอย่างเลย ที่สำคัญการอ่านอารมณ์ตัวเองนี่ถึงแห่งความเข้าใจเลยเพราะแยกอารมณ์ตัวเองได้สำเร็จก็เพราะตอนอดข้าวนี่ละครับ ที่นี้ทำอะไรก็ไม่กลัวแล้ว ถ้าผมตั้งใจที่จะทำให้ได้ มันก็ต้องสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ ไม่ใช่เพราะตัวเองเก่ง แต่มันทำได้เพราะเชื่อว่าตัวเองทำได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองยังไม่สำคัญเท่าการนับถือตัวเอง นับถือว่าตัวเองนั้นรักษาวินัยในตัวเองและมีใจที่เด็ดเดี่ยวอย่างมาก เอาชนะตัวเองได้ ตัวเองนี่ละยังชนะได้ ขนาดว่าผมมองกระจกแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้เลย ใครทำได้ ผมว่าใช้ได้เลย
บันทึกอีกวันครับ
......การละสระในการเขียนเหมือนภาษาคนยิว มาปรับใช้กับภาษาไทย อ่านยากมาก ยิ่งภาษาไทยนี่อ่านยากจริงๆ แต่ฝึกบ่อยๆ อดทน อดทน อดทน ฝึก ฝึก ฝึก มันก็ชินที่จะมองทั้่งประโยคก่อนที่จะแปลแต่ละคำ มันมีความสัมพันธ์กันหมดเลย คำนี้ใช่หรือปล่าว เอาคำนี้ไปใส่ทั้งประโยค ความหมายมันใช่ไหม มองบ่อยๆ ก็ถึงบางอ้ออีกแล้ว นี่การละสระฝึกให้มองเรื่อง ความไม่แน่นอนนี่ว่า ฝึกกับความไม่แน่นอนทุกวันเลย ฝึกจนคุ้นเคยกับความไม่แน่นอน ไม่ได้รู็สึกลำบากใจหรือรำคาญที่อ่านไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร มันมองผ่านๆ ก็พอเดาออก มันไม่ต้องตรงไปทุกคำทุกประโยคมันก็เริ่มอ่านออก คนยิวคงเข้าใจเรื่องนี้ดี ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นสาระของชีวิต การรับมือกับความไม่แน่นอนจึงสำคัญกว่าการรับมือกับความแน่นอน
ความเห้น : ผมเขียนนานมากแล้วครับ นานจนจำไมได้แล้ว หลายท่านคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเขียนผิดเขียนถูกแล้วก็ยังไม่สนใจอีก เวลาเขียนบันทึกยิ่งกว่านี้อีก การมองภาพต่างๆ ในการลงทุนนั้นเหมือนมีม่านหมอกมาบังตลอด ภาพต่างก็มองไม่ชัด การหากินกับความไม่ชัดเจนนี้เองจึงเป้นความสามารถที่คนยิวเก่งกว่าชาติอื่น
ผมไม่ทราบว่าอะไร แต่ผมมองที่ภาษาของเขา ผมเอามาปรับใช้ ก็เขียนบทความว่า ผมมองแต่ทุกข์ วันนี้เป้นวันดีที่จะขาดทุน ก็เกี่ยวกับ Risk Mnagement ทั้งนั้น เวลาเจอความผันผวน ความๆม่แน่นอนต่างๆ ความคาดหวังทีแปลกไปจากที่คาดคิดต่างๆ มันก็สร้างความเครียดให้กับตัวเองทั้งนั้น การรับมื่อกับความเครียดได้อย่างเชียวชาญนั้นคิอคุณสมบัติที่แท้จริงของคนยิว และรับมืออย่างไรนั้น ไม่ยากเลยครับ
ตลกเข้าไว้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกครับ ผมพูดจริงๆ อารมณ์ขันทำให้มีสติ มันเป็นตัวกรองคัดแยกอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
หรือ อย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ครับ Invert always invert
ถามผมว่าคนยิวเก่งกว่าคนอื่นๆ เรื่องใด
เชาบริหารจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าคนอื่นๆ
เก่งเรื่องมอง ตัวกรู นั่นเองครับ
อ้าวว ตัวกรู ตัวมรึง ตัวข้า
คนไทยทราบมานานแล้วนี่
ไปมองแต่คนยิว ของดีอยู๋ที่ตัวเรานี่เอง 555555555
........ประเทศไหนเขียนจากซ้ายไปขวา ต้องระวังมากเป้นพิเศษ เพราะ invert กับระบบการเขียนของภาษาไทย พื้นฐานของภาษาแต่ละประเทศมีผลต่อรากฐานความคิดของคนคนนั้น.
วันนี้ลองกลับไปเขียนไทยจากขวาไปซ้าย เวลาเขียนมันบังคับให้ต้องคิดไปล่วงหน้าก่อนเสมอว่าจะเขียนอะไร ตอนนั้นก็เข้าใจทันทีเลยว่าคนยิวคิดอย่างไร คำตอบที่ได้คือ
They invert always invert.
เรื่อง invert การเขียนภาษาไทยนี้ ทำทุกวันก็กลายเป้นนิสัยไปไม่รู็ตัวให้คิดอะไรล่วงหน้าก่อนเสมอ ทำอย่างนี้ทุกวันก็ยกระดับนิสัยของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น คือ การมองอนาคตแล้วมองย้อนกลับไปกลับมาที่ปัจจุบัน เรื่องนี้เหมือนการมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วก็วางแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แต่ทำไปนานๆ ก็ถึงบางอ้อว่ามันต้อง invert นี่ว่า การมีเป้าหมายไม่ได้เป็นเป้าหมายจริงๆ ของการมีเป้าหมายเลย แต่การมีเป้าหมายนั้นเพื่อทำให้ตัวเรารู็จักศักยภาพตัวเองว่าเราขาดคุณสมบัติอะไรบ้างถึงไปไม่ถึงเป้าหมายต่างหาก การมีเป้าหมายจึงเป็นการจับผิดตัวเองและยิมรับว่าตัวเองห่วยขนาดไหน
การมีเป้าหมายนั้น ไม่สบายทั้งกายและใจอย่าบอกใครเชียว พอรู้สึก uncomfortable แล้วก้ถึงบางอ้ออีกครั้ง ถึงบางอ้อเป็นสองครั้งแล้ว แล้วก็คิดถึงตอนเป็นนักบิน ในหมู่นักบินเรียกภาวะนี้ว่า pushing the envelop คือภาวะที่ตัวเองต้องรับมือกับความกดดันมากๆ แล้ว limitation ตัวเองจะรับมือได้ไหวขนาดไหน
สภาวะอย่างนี้จะเรียกความสามารถที่แท้จริงของแต่ละคนออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง ใครยิ่งเรียกออกมาจนเป้นผู้เชียวชาญคงได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างมาก คนยิวคงทราบข้อนี้กันดีมานานมากแล้วถึงได้กำหนดให้คนยิวทุก คนถือศีลถึงหกร้อยกว่าข้อ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
เหมือนที่สตีฟ จ๊อป พูดว่า stay hungry stay foolish ก็เข้าใจตอนนั้น ยิ่งรู็สึกไม่สะดวกสบายในชีวิตมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้ดีเท่านั้น หรือจะบอกว่ายิ่งฉลาดเหมือนคนยิวเท่านั้น
ข้ามไปอีกวันที่เขียนครับ
จุดอ่อนระบบทุนนิยมทำให้คนเสียนิสัย คือ ทำให้คนติดความสบาย แต่คนยิวกลับทำตัวไม่ยอมสบาย จะกินก้ยังมีข้อกำหนดมากมายบังคับตัวเอง นี่ทำให้เห้นว่า เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ความเห็น : จากตรงนี้ ผมเลย apply ด้วยการการกินมังสวิรัติครับ ดีไม่ดีไม่รู็ แต่โรคหืดหอบหาย และจะกินอะไรก็ต้องวางแผนไว้ ถ้าไม่มีกิน ก็อดกิน ฝึกความอดทน ตอนหลัง ก้มาอดหลังเที่ยง บางวันก็ไม่กิน กินแต่น้ำ ก้ก็มาเข้าใจคนยิวอีกตอนนั้น ว่าเวลาหิวมันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมาก ทำได้ครั้งหนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมุ่งมั่นมาทุกอย่างเลย ที่สำคัญการอ่านอารมณ์ตัวเองนี่ถึงแห่งความเข้าใจเลยเพราะแยกอารมณ์ตัวเองได้สำเร็จก็เพราะตอนอดข้าวนี่ละครับ ที่นี้ทำอะไรก็ไม่กลัวแล้ว ถ้าผมตั้งใจที่จะทำให้ได้ มันก็ต้องสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ ไม่ใช่เพราะตัวเองเก่ง แต่มันทำได้เพราะเชื่อว่าตัวเองทำได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองยังไม่สำคัญเท่าการนับถือตัวเอง นับถือว่าตัวเองนั้นรักษาวินัยในตัวเองและมีใจที่เด็ดเดี่ยวอย่างมาก เอาชนะตัวเองได้ ตัวเองนี่ละยังชนะได้ ขนาดว่าผมมองกระจกแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้เลย ใครทำได้ ผมว่าใช้ได้เลย
บันทึกอีกวันครับ
......การละสระในการเขียนเหมือนภาษาคนยิว มาปรับใช้กับภาษาไทย อ่านยากมาก ยิ่งภาษาไทยนี่อ่านยากจริงๆ แต่ฝึกบ่อยๆ อดทน อดทน อดทน ฝึก ฝึก ฝึก มันก็ชินที่จะมองทั้่งประโยคก่อนที่จะแปลแต่ละคำ มันมีความสัมพันธ์กันหมดเลย คำนี้ใช่หรือปล่าว เอาคำนี้ไปใส่ทั้งประโยค ความหมายมันใช่ไหม มองบ่อยๆ ก็ถึงบางอ้ออีกแล้ว นี่การละสระฝึกให้มองเรื่อง ความไม่แน่นอนนี่ว่า ฝึกกับความไม่แน่นอนทุกวันเลย ฝึกจนคุ้นเคยกับความไม่แน่นอน ไม่ได้รู็สึกลำบากใจหรือรำคาญที่อ่านไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร มันมองผ่านๆ ก็พอเดาออก มันไม่ต้องตรงไปทุกคำทุกประโยคมันก็เริ่มอ่านออก คนยิวคงเข้าใจเรื่องนี้ดี ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นสาระของชีวิต การรับมือกับความไม่แน่นอนจึงสำคัญกว่าการรับมือกับความแน่นอน
ความเห้น : ผมเขียนนานมากแล้วครับ นานจนจำไมได้แล้ว หลายท่านคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเขียนผิดเขียนถูกแล้วก็ยังไม่สนใจอีก เวลาเขียนบันทึกยิ่งกว่านี้อีก การมองภาพต่างๆ ในการลงทุนนั้นเหมือนมีม่านหมอกมาบังตลอด ภาพต่างก็มองไม่ชัด การหากินกับความไม่ชัดเจนนี้เองจึงเป้นความสามารถที่คนยิวเก่งกว่าชาติอื่น
ผมไม่ทราบว่าอะไร แต่ผมมองที่ภาษาของเขา ผมเอามาปรับใช้ ก็เขียนบทความว่า ผมมองแต่ทุกข์ วันนี้เป้นวันดีที่จะขาดทุน ก็เกี่ยวกับ Risk Mnagement ทั้งนั้น เวลาเจอความผันผวน ความๆม่แน่นอนต่างๆ ความคาดหวังทีแปลกไปจากที่คาดคิดต่างๆ มันก็สร้างความเครียดให้กับตัวเองทั้งนั้น การรับมื่อกับความเครียดได้อย่างเชียวชาญนั้นคิอคุณสมบัติที่แท้จริงของคนยิว และรับมืออย่างไรนั้น ไม่ยากเลยครับ
ตลกเข้าไว้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกครับ ผมพูดจริงๆ อารมณ์ขันทำให้มีสติ มันเป็นตัวกรองคัดแยกอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
หรือ อย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ครับ Invert always invert
ถามผมว่าคนยิวเก่งกว่าคนอื่นๆ เรื่องใด
เชาบริหารจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าคนอื่นๆ
เก่งเรื่องมอง ตัวกรู นั่นเองครับ
อ้าวว ตัวกรู ตัวมรึง ตัวข้า
คนไทยทราบมานานแล้วนี่
ไปมองแต่คนยิว ของดีอยู๋ที่ตัวเรานี่เอง 555555555
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
- NAI-A SIKHIU
- Verified User
- โพสต์: 584
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ ผมชอบติดตามบทความของคุณ humdrum ให้ความคิดแง่มุมอื่นๆที่เราไม่เคยมอง
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
เขียนกลับจากซ้ายมาขวา อย่า่งภาษาทางยิว หรืออารบิกนั้น ผมทำไม่ได้จริงๆ
แต่ที่ผมเคยฝึกเล่้นตอนเด็ก คือเขียนตัวหนังสือแบบกลับกระจก แบบคำรถพยาบาล AMBULANCE ให้คนขับคันหน้าเห็น
เขียนพอส่องกระจกไป เป็นตัวหนังสืออ่า่นได้ เป็นที่สนุกสนาน
ถึงไม่คล่องไม่สวยเท่าเขียนปกติ แต่เทียบอัตรา ช้ากว่าประมาณ แค่ 10% เทียบกับคนทั่วไป มันไวกว่าเอง
ที่จริงไม่ได้ตั้งใจฝึกจริง และผมอาจจะยังไม่ถึงขั้น ที่เรียกว่าคิดอะไรล่วงหน้าเก่ง เป็นคนคิดอะไรซับซ้อนไม่เป็นแบบนั้น บางทีก็คิดอะไรง่ายๆ เกินไป แค่บังเอิญเรื่องนี้ไปค้นพบว่ามันเป็นไปของมันเอง
หัวทิ่มอย่างที่คุณ humdrum เขียนได้ (คือที่เคยเล่าเวลาเขียนอธิบายคนอื่น ไม่ต้องกลับกระดาษ) ลองเขียนดูพอได้นิด แต่มันนิด จนถือว่าไม่ได้ ยังไม่ไวเท่ากลับกระจกเลย
มีเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ได้เจอนานแล้ว มันคล้ายๆ กัน
เคยทายเล่นกัน ว่าเคยเห็นนิคมอุตฯ ที่ชื่ออาตมาไหม (ตอนนั้น ยังไร้เดียงสาเรื่องหุ้น)
เคยเห็นน้ำมันเครื่อง ยี่้ห้อลิด้อมไหม
เคยเห็นเครื่องดนตรี ยี่ห้ออาฮ่าเมย์ไหม
AMATA = AMATA
lidoM = Mobil
AHAMAY = YAMAHA
บังเอิญ อักษรกลับด้าน มันสะกดคำได้ เนื่องจากอักษรภาษาอังกฤษ หลายตัวมันสมมาตรกัน กลับกระจก ก็ยังเป็นอยู่
หรือบางที อักษรอังกฤษ หัวทิ่มหัวตำ ก็เป็นอักษรอีกตัว อย่าง b <-> p, u <-> n
ผมว่าคนที่ทำ web fliptext.org เหมือนพี่ humdrum พูดถึง คือชอบคิด invert แม้จะเป็นคำจะอ่านไม่ออกก็ตาม แต่อยู่ๆ ทำไมต้องไปพลิกตัวอักษรเล่น
คนอื่นไม่เข้าใจ อาจคิดว่าสงสัยมันว่างงาน
ที่จริงคนแบบนี้ เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย
แต่บังเอิญ มันเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ
ใครที่สนใจ ลองเข้าไปดูนะครับ (ทำได้แต่ภาษาอังกฤษ)
http://fliptext.org
ɯnɹpɯnɥ
nıɥʞıs ɐ-ıɐu
ʞɐsbuǝoןɐɥʇ
ɐuɐqo
เขียนกลับจากซ้ายมาขวา อย่า่งภาษาทางยิว หรืออารบิกนั้น ผมทำไม่ได้จริงๆ
แต่ที่ผมเคยฝึกเล่้นตอนเด็ก คือเขียนตัวหนังสือแบบกลับกระจก แบบคำรถพยาบาล AMBULANCE ให้คนขับคันหน้าเห็น
เขียนพอส่องกระจกไป เป็นตัวหนังสืออ่า่นได้ เป็นที่สนุกสนาน
ถึงไม่คล่องไม่สวยเท่าเขียนปกติ แต่เทียบอัตรา ช้ากว่าประมาณ แค่ 10% เทียบกับคนทั่วไป มันไวกว่าเอง
ที่จริงไม่ได้ตั้งใจฝึกจริง และผมอาจจะยังไม่ถึงขั้น ที่เรียกว่าคิดอะไรล่วงหน้าเก่ง เป็นคนคิดอะไรซับซ้อนไม่เป็นแบบนั้น บางทีก็คิดอะไรง่ายๆ เกินไป แค่บังเอิญเรื่องนี้ไปค้นพบว่ามันเป็นไปของมันเอง
หัวทิ่มอย่างที่คุณ humdrum เขียนได้ (คือที่เคยเล่าเวลาเขียนอธิบายคนอื่น ไม่ต้องกลับกระดาษ) ลองเขียนดูพอได้นิด แต่มันนิด จนถือว่าไม่ได้ ยังไม่ไวเท่ากลับกระจกเลย
มีเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ได้เจอนานแล้ว มันคล้ายๆ กัน
เคยทายเล่นกัน ว่าเคยเห็นนิคมอุตฯ ที่ชื่ออาตมาไหม (ตอนนั้น ยังไร้เดียงสาเรื่องหุ้น)
เคยเห็นน้ำมันเครื่อง ยี่้ห้อลิด้อมไหม
เคยเห็นเครื่องดนตรี ยี่ห้ออาฮ่าเมย์ไหม
AMATA = AMATA
lidoM = Mobil
AHAMAY = YAMAHA
บังเอิญ อักษรกลับด้าน มันสะกดคำได้ เนื่องจากอักษรภาษาอังกฤษ หลายตัวมันสมมาตรกัน กลับกระจก ก็ยังเป็นอยู่
หรือบางที อักษรอังกฤษ หัวทิ่มหัวตำ ก็เป็นอักษรอีกตัว อย่าง b <-> p, u <-> n
ผมว่าคนที่ทำ web fliptext.org เหมือนพี่ humdrum พูดถึง คือชอบคิด invert แม้จะเป็นคำจะอ่านไม่ออกก็ตาม แต่อยู่ๆ ทำไมต้องไปพลิกตัวอักษรเล่น
คนอื่นไม่เข้าใจ อาจคิดว่าสงสัยมันว่างงาน
ที่จริงคนแบบนี้ เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย
แต่บังเอิญ มันเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ
ใครที่สนใจ ลองเข้าไปดูนะครับ (ทำได้แต่ภาษาอังกฤษ)
http://fliptext.org
ɯnɹpɯnɥ
nıɥʞıs ɐ-ıɐu
ʞɐsbuǝoןɐɥʇ
ɐuɐqo
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 7
ก็หาเทคนิคที่เราถนัดที่สุด invert เป็นเรื่องของการแยกอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ
ก็ให้ทำตามบุคคลิกของตนเอง เริ่มง่ายมาก
เวลาไม่พอใจโกรธอะไร ก็ขอบคุณคนที่ทำให้เราโกรธ
ถ้าทำไมได้ แสดงว่ายังแยกอารมณ์ออกจากตัวเองไม่เป็น
ต้องฝึกเอาชนะตัวเองครับ เรื่องมีแค่นี้เอง
ก็ให้ทำตามบุคคลิกของตนเอง เริ่มง่ายมาก
เวลาไม่พอใจโกรธอะไร ก็ขอบคุณคนที่ทำให้เราโกรธ
ถ้าทำไมได้ แสดงว่ายังแยกอารมณ์ออกจากตัวเองไม่เป็น
ต้องฝึกเอาชนะตัวเองครับ เรื่องมีแค่นี้เอง
- 1154
- Verified User
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 8
คิดแบบยิว ทำแบบยิว รวยเหมือน…ยิว : สวลี ตันกุลรัตน์
หลังจากเขียนเรื่อง “คิดเหมือนเจ้าสัว ทำแบบเจ้าสัว รวยเป็น…เจ้าสัว” ไปเมื่อเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ก็มีคนมากระซิบว่า ถ้าจะให้พูดถึงความร่ำรวยแล้ว ชนชาติที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกน่าจะเป็น “ยิว” เพราะชนชาติยิวมี “เคล็ดลับ” สร้างความร่ำรวยที่น่าเอาอย่าง
.
แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า แทบจะไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับชนชาติยิวสักเท่าไร โอกาสที่จะรู้จักมักจี่กับชนชาติยิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
.
นอกจากนี้ ถ้าได้ยินคำว่า “ยิว” ก็ต้องยอมรับอีกครั้งว่า ออกจะมีความรู้สึกไปในทางลบเสียเป็นส่วนใหญ่ (ทั้งๆที่ไม่ได้เคยรู้จัก) และอีกความรู้สึกคือ สงสารและเห็นใจ เพราะครั้งแรกที่รู้จักคำว่า “ยิว” ก็จากหนังสือเรื่อง “บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟรงค์” หนังสือที่สร้างจากสมุดบันทึกประจำวันของ “อันเนอ ฟรังค์” ที่ต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบากในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
.
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ชนชาติยิวที่มีอยู่ราวๆ 0.25% ของประชากรโลก แต่ในคนจำนวนเพียงเล็กน้อยนี้ มีคน 20% เป็นมหาเศรษฐี และ 40% เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของเศรษฐีอเมริกันเป็นชาวยิว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะคนจำนวนเพียงเล็กน้อย กลับกุมทรัพย์สินจำนวนมากมายมหาศาลเอาไว้ในมือ
.
จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “เงินทั้งโลกอยู่ในกระเป๋าของชาวอเมริกัน แต่เงินของชาวอเมริกันอยู่ในกระเป๋าชาวยิว”
.
เพราะฉะนั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงต้องออกเดินทางตามหา “ยิว” ที่แทบจะเรียกได้ว่า “งมเข็มในมหาสมุทร” เลยก็ว่าได้ สุดท้ายไปเจอหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ที่แปลและเรียบเรียงโดย ไอรีน เป จากร้าน Kinokuniya
.
บวกกับอีกสองเล่มที่ค้นเจอจากห้องสมุดมารวย ได้แก่ “สุดป่วนก๊วนกระเป๋าตุง ตอน รวยง่ายๆ สไตล์ยิว” ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค และ “สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาพลังสมอง” สำนักพิมพ์อินสปายร์ ซึ่งเป็นการไขความลับความอัจฉริยะระดับไอน์สไตน์ (ที่เป็นชาวยิว) ของชนชาติยิวที่ได้ชื่อว่า ฉลาดสุดๆ และในแทบทุกวงการจะต้องมีชนชาติยิวอยู่ในอันดับต้นๆเสมอ ซึ่งหากจะให้ไล่เรียงรายชื่อคงจะล้นเกินพื้นที่ที่มีอยู่แน่ๆ
.
นอกจากนี้ ยังมีบทความจากโลกไซเบอร์อีก 2-3 เรื่อง ที่มีการกล่าวอ้างถึงมันสมองระดับอัจฉริยะและลักษณะนิสัยที่ทำให้ชนชาติยิวมั่งคั่งเหนือกว่าชนชาติอื่นๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นการประมวลมาจากทุกๆแหล่งที่กล่าวมา
.
เงิน เงิน และเงิน
.
สำหรับชาวยิวแล้วไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะยอมรับว่า “เงินคือพระเจ้า” และเงินคือร่างจำแลงของพระเจ้า นั่นเพราะความยากลำบากและการร่อนเร่ ทำให้เงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต นอกจากนี้เงินยังเป็น “หลักประกันความปลอดภัย” เพราะหากวันใดที่พวกเขาถูกขับไล่ เงินจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นความคุ้มครองและที่อยู่อาศัย
.
ในคัมภีร์ทัลมุด (Talmud) ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของชาวยิวสอนเอาไว้ว่า คนต้องรักษาทรัพย์สินที่ตัวเองมีใน 3 รูปแบบ คือ
.
(1) เงินสด-เงินฝาก
.
(2) สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของมีค่า
.
(3) อสังหาริมทรัพย์
.
แต่เป็นเพราะยิวไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ทำให้ในภาวะสงครามชาวยิวเลือกที่จะเก็บสินทรัพย์ที่ติดตัวไปได้ง่าย นั่นคือ เงินสดและสังหาริมทรัพย์ เช่น เพชร ทำให้ในทุกวันนี้ยิวยังถือเป็นเจ้าตลาดเพชรอีกด้วย
.
ในหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” เขียนเอาไว้ว่า “ชีวิตที่ต้องเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆมายาวนาน ทำให้ชาวยิวไม่อาจดูถูกเงินได้ เพราะทุกครั้งที่พวกเขาจำเป็นจะต้องเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้ง เงินเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถนำติดตัวไปได้โดยสะดวกที่สุด และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตลอดการเดินทางอันยาวนาน”
.
เพราะฉะนั้น “หากชาวยิวไม่มีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้อื่น ชาวยิวคงจะต้องถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”
.
และจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวยิวจะขึ้นชื่อว่า เป็นชนชาติที่มี ความมัธยัสถ์ จนกระทั่งอาจจะเลยไปถึงความตระหนี่ถี่เหนียวในบางกรณี แต่นั่นเป็นเพราะชาวยิวเห็นคุณค่าของเงิน ซึ่งไม่เฉพาะเงินแสนเงินล้านเท่านั้น แม้กระทั่งเงิน 1 บาทก็มีคุณค่า นั่นเพราะชาวยิวได้รับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นว่า “เงินล้านก็เริ่มต้นจากเงิน 1 บาท”
.
ดังคำกล่าวที่ชาวยิวมักพูดกันเสมอๆ คือ “ถ้าค้าขายไม่ได้เงิน จงฝากธนาคารกินดอกเบี้ย” ที่แม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่วันหนึ่งผลของการอดออมจะงอกเงยขึ้นมาได้ ทำให้ชาวยิวติดนิสัยในการออมเงินมาตั้งแต่เด็กๆ
.
นอกจากนี้ สำหรับชาวยิวแล้ว “คำมั่นสัญญา” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยแค่ไหน เพราะยิวมีสำนวนที่ว่า “คนที่ยืมเงินแล้วไม่คืนก็ไม่ต่างอะไรกับขโมย”
.
เปิดประตูแห่งโอกาส
.
น่าจะเป็น “บุคลิกพิเศษ” ของชนชาติยิวที่จะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ช่างสงสัย ชอบใช้ความคิด และให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะถือว่าความรู้เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีนักคิดเจ้าทฤษฎี โดยเฉพาะด้านเศรษฐศาสตร์ออกมาบนโลกนี้มากนัก เพราะคนที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของโลกนี้จำนวนมาก “มีเชื้อสายยิว”
.
“ชาวยิวชอบตั้งคำถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา ผู้ที่ไม่รู้จักคิด คือ ผู้ที่ไม่รู้จักการเรียนรู้” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุไว้ นั่นเพราะ “คุณค่าของคนอยู่ที่มันสมองไม่ใช่มือหรือเท้า”
.
นอกจากนี้ ชาวยิวยังเป็นคนที่ชอบตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ เวลาที่มีการตั้งวงสนทนาก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องตัวเลข จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ชาวยิวแม้จะทักทายกันด้วยเรื่องทั่วๆไปอย่างเรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ยังสามารถโยงเรื่องตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ เพราะชาวยิวจะไม่ทักทายกันแค่ว่า “วันนี้อากาศร้อน” แต่จะบอกว่า “วันนี้อุณหภูมิ 30 องศา”
.
ขณะที่ชาวยิวจะมองเห็นอุปสรรคและความยากลำบากเป็นประตูสู่โอกาส ไม่เชื่อลองมองไปที่ประเทศอิสราเอลที่มีภูมิประเทศที่โหดร้าย โดย 80-90% ของพื้นที่เป็นทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้ง แต่ประเทศอิสราเอลมีประชากรชาวยิวอยู่ถึง 83% พวกเขาใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศ เปลี่ยนอิสราเอลที่น่าสงสารให้กลายเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์
.
นั่นเพราะชาวยิวจะยืนหยัดเผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยความเข้มแข็งและอดทน เพื่อเฝ้ารอโอกาสด้วยความหวัง
.
ชาวยิวมีสุภาษิตที่ว่า “ประตูในชีวิตของคนเราไม่ใช่ประตูอัตโนมัติ หากเราไม่ลงมือเปิดประตูเอง ประตูนั้นจะปิดตายไปตลอด ดังนั้น หากเราต้องการให้ประตูแห่งความสำเร็จเปิดออก เราก็ต้องลงมือผลัก หรือดึงประตูนั้นด้วยตัวเอง”
.
พร้อมกับบอกอีกว่า หากไม่กล้าเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อถึงเวลาที่แก่ชราเราก็จะเป็นได้แค่คนที่ล้มเหลว เพราะหากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ทุกอย่างก็มีแต่จะแย่ลง และความลังเลจะทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจ
.
และหากจะบอกว่า ชาวยิวเป็นนักฉวยโอกาสก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ แต่คำว่าฉวยโอกาสก็คือการบริหารความเสี่ยง โดยที่ชาวยิวส่วนใหญ่มักจะกล้าเสี่ยงและประสบความสำเร็จจากการเสี่ยงของเขาอยู่เสมอ นั่นไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เป็นเพราะเขามีความรู้และเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงนั้นอย่างดี
.
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายยิวเคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ควรคิดเรื่องราวใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเครื่องจักร” เพราะเรามักเคยชินกับความเป็นอยู่แบบสบายๆในปัจจุบันโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินและเฉยชา แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะกล้าทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถอยู่เสมอๆ
.
นอกจากนี้ ชาวยิวยังเชื่อว่าความยากลำบากในชีวิตเป็นสันปันน้ำสำหรับความมั่งคั่ง ที่อาจจะทำให้คนบางคนล้มหายตายไป แต่คนบางคนกลับยืนหยัดเอาชีวิตรอดและนำไปสู่ความมั่งคั่งได้ในที่สุด
.
เพราะฉะนั้น อย่าดูแคลนอุปสรรคและความยากลำบากนอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ใช้ชีวิตที่สุขสบายเกินไป เพราะมันจะทำให้สมองฝ่อและไม่มีความคิดความก้าวหน้าในชีวิต
.
ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธี
.
เพราะสำหรับชาวยิวแล้ว “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ต้องใช้เวลาไปกับเรื่องที่มีประโยชน์และจำเป็น โดยยกตัวอย่างนิทานสุภาษิตจากคัมภีร์ทัลมุด เรื่อง ผึ้งกับแมลงวัน
.
ผึ้งและแมลงวันตกลงไปในขวดพร้อมกัน เจ้าผึ้งพยายามหาทางออกโดยการบินวนไปมาอยู่ที่ก้นขวดและพยายามออกแรงต่อยขวดอย่างแรง เพราะเชื่อว่า ขวดจะแตก แต่ไม่นานมันก็หมดแรงตายอยู่ที่ก้นขวด
.
ขณะที่แมลงวันบินวนอยู่หลายรอบ ก็พบว่ารอบๆเป็นกำแพงหนา มันจึงเลือกที่จะบินขึ้นไปด้านบน จนพบกับทางออกที่ปากขวด
.
“นิทานสุภาษิตเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การค้นหาทิศทางการต่อสู้ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับทางเลือกที่ผิด เพราะไม่ว่าพยายามมากเพียงใดก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุ
.
และในขณะที่ นักธุรกิจจีนอาจจะกำลังสนใจกับการทำให้สินค้ามีราคาถูก เพื่อขายให้ได้จำนวนมากๆ แต่สำหรับชาวยิวแล้วลูกค้าของเขาคือคนที่เป็น “ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง” ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะดี
.
ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ปาก” และ “ผู้หญิง” โดยธุรกิจที่เกี่ยวกับปาก คืออาหารการกินที่คนเราต้องกินต้องใช้ และธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้หญิง เพราะเชื่อว่า “ผู้หญิงเป็นคนกุมกระเป๋าเงินของครอบครัว”
.
เพาะพันธุ์ความรวย
.
พ่อแม่ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาด้านการเงินตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ โดยของขวัญครบรอบ 1 ปีที่พวกเขาจะมอบให้เด็กๆ ไม่ใช่ของขวัญมูลค่าสูง แต่จะเป็น “หุ้น” โดยเฉพาะชาวยิวในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการมอบหุ้นให้เป็นของขวัญในวาระต่างๆ จากนั้นจะมีการพูดคุยกันถึงผลการลงทุนอยู่เป็นประจำ
.
และเมื่อลูกอายุมากขึ้น พวกเขาจะค่อยๆได้เรียนรู้ วิชาการบริหารเงินส่วนบุคคล จากพ่อและแม่
.
พ่อแม่ชาวยิวสอนการจัดการเงินส่วนบุคคล ด้วยวิธีการให้ค่าขนม โดยลูกๆจะต้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินล่วงหน้าอย่างละเอียดมานำเสนอให้พ่อแม่ และพ่อแม่จะให้ค่าขนมต่อเมื่อลูกๆช่วยงานบ้านเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งงานบ้านแต่ละอย่างจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินค่าขนมได้แตกต่างกันไป
.
ในวันเกิดอายุครบ 13 ปี ชาวยิวจะมีพิธีบาร์มิตซวาห์ (Barmitzvah) หรือพิธีบรรลุนิติภาวะ ซึ่งคนที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นญาติๆ ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ และแขกที่มาร่วมงานจะมอบเงินอวยพรให้คนละประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินขวัญถุงให้กับเด็กคนนั้น
.
เงินที่ได้รับจากพิธีจะถูกนำไปฝากเอาไว้ในธนาคาร ไปซื้อพันธบัตร หรือนำไปลงทุน จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่เด็กคนนี้เรียนจบ หรือต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง เงินก้อนนี้ก็จะงอกเงยจากเงินขวัญถุงไปเป็น “ทุนตั้งตัว”
.
ในเทศกาลฮานุกกาห์ (Hanukkah) หรือเทศกาลแห่งดวงประทีป ซึ่งเป็นเทศกาลส่งท้ายปลายปีของครอบครัวชาวยิว พ่อแม่ชาวยิวจะให้เงินรางวัลแก่ลูก โดยประเมินจากพฤติกรรมตลอดทั้งปี
.
นอกจากนี้ พวกเด็กๆชาวยิวยังต้องเรียนรู้เรื่องการค้าตั้งแต่เด็ก โดยลูกๆจะต้องช่วยเหลือกิจการของพ่อแม่เพื่อเป็นการปลูกฝังทักษะในการทำธุรกิจ เพราะชาวยิวมีภาษิตที่ว่า “ถ้าไม่สอนอาชีพให้ลูก ก็เหมือนสอนลูกให้เป็นโจร” โดยลูกๆจะได้เงินค่าจ้างจากการทำงาน
.
ในเทศกาลซุกโกต (Sukkot) หรือเทศกาลอยู่เพิง ที่ตรงกับวันที่ 15 ก.ย. ของทุกปี ชาวยิวมีธรรมเนียมว่าจะต้องอาศัยอยู่ในเพิงพักที่สร้างขึ้นบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และในช่วงเวลานี้เอง ที่เด็กๆจะสามารถหารายได้พิเศษจากการขายวัสดุสร้างเพิงพัก
.
อย่างไรก็ตาม ชาวยิวให้ความสำคัญกับการใช้เงินมากกว่าการหาเงิน และไม่ว่าลูกจะอยากทำอาชีพอะไร ในสายตาพ่อแม่ชาวยิวจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถ้าอาชีพนั้นสามารถทำเงินได้อย่างสุจริต
.
เพื่อนคือคนสำคัญ
.
ชาวยิวจะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยที่คนรวยจะช่วยเหลือคนยากจนอย่างเต็มที่ โดยเด็กๆชาวยิวจะมีเงินออมจำนวนหนึ่งเก็บเอาไว้ในบัญชีที่ชื่อว่า Tzedakah ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยที่คำว่า Tzedakah หมายถึงความยุติธรรมของทุกคนในสังคม
.
และชาวยิวถือว่าเพื่อนคือคนสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็เหมือนเสียแขนไปข้างหนึ่ง โดยชาวยิวแบ่งเพื่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ เพื่อนเหมือนขนมปัง เป็นเพื่อนที่ต้องการบ่อยที่สุด เพื่อนเหมือนข้าว ที่ต้องการบางครั้ง เพื่อนแบบที่สาม คือ เพื่อนเหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่ต้องหลีกเลี่ยง
.
สำหรับคนไทยเพื่อนแบบแรก คงจะเป็นเหมือนข้าวเพราะต้องกินทุกวัน เพื่อนแบบที่สอง เหมือนขนมปังที่กินบ้างบางครั้ง ซึ่งเพื่อนทั้งสองแบบต่างมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ โดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
.
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้ามีใครพูดถึง “ยิว” ให้มองพวกเขาให้ครบทุกมุม เพราะเป็นธรรมดาที่คนเรามีทั้งดีและไม่ดี สิ่งใดที่ดีก็นำมาเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไหนที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ไม่ควรนำมาปฏิบัติ แล้วเราจะรวยแบบยิวได้ โดยที่ไม่สร้าง “ความรู้สึกไปในทางลบ” ให้กับคนอื่นๆ
.
คิดแบบยิว ทำแบบยิว รวยเหมือน…ยิว
.
สวลี ตันกุลรัตน์
http://www.sarut-homesite.net/2011/03/% ... %E0%B8%AB/
หลังจากเขียนเรื่อง “คิดเหมือนเจ้าสัว ทำแบบเจ้าสัว รวยเป็น…เจ้าสัว” ไปเมื่อเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ก็มีคนมากระซิบว่า ถ้าจะให้พูดถึงความร่ำรวยแล้ว ชนชาติที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกน่าจะเป็น “ยิว” เพราะชนชาติยิวมี “เคล็ดลับ” สร้างความร่ำรวยที่น่าเอาอย่าง
.
แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า แทบจะไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับชนชาติยิวสักเท่าไร โอกาสที่จะรู้จักมักจี่กับชนชาติยิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
.
นอกจากนี้ ถ้าได้ยินคำว่า “ยิว” ก็ต้องยอมรับอีกครั้งว่า ออกจะมีความรู้สึกไปในทางลบเสียเป็นส่วนใหญ่ (ทั้งๆที่ไม่ได้เคยรู้จัก) และอีกความรู้สึกคือ สงสารและเห็นใจ เพราะครั้งแรกที่รู้จักคำว่า “ยิว” ก็จากหนังสือเรื่อง “บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟรงค์” หนังสือที่สร้างจากสมุดบันทึกประจำวันของ “อันเนอ ฟรังค์” ที่ต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบากในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
.
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ชนชาติยิวที่มีอยู่ราวๆ 0.25% ของประชากรโลก แต่ในคนจำนวนเพียงเล็กน้อยนี้ มีคน 20% เป็นมหาเศรษฐี และ 40% เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของเศรษฐีอเมริกันเป็นชาวยิว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะคนจำนวนเพียงเล็กน้อย กลับกุมทรัพย์สินจำนวนมากมายมหาศาลเอาไว้ในมือ
.
จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “เงินทั้งโลกอยู่ในกระเป๋าของชาวอเมริกัน แต่เงินของชาวอเมริกันอยู่ในกระเป๋าชาวยิว”
.
เพราะฉะนั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงต้องออกเดินทางตามหา “ยิว” ที่แทบจะเรียกได้ว่า “งมเข็มในมหาสมุทร” เลยก็ว่าได้ สุดท้ายไปเจอหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ที่แปลและเรียบเรียงโดย ไอรีน เป จากร้าน Kinokuniya
.
บวกกับอีกสองเล่มที่ค้นเจอจากห้องสมุดมารวย ได้แก่ “สุดป่วนก๊วนกระเป๋าตุง ตอน รวยง่ายๆ สไตล์ยิว” ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค และ “สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาพลังสมอง” สำนักพิมพ์อินสปายร์ ซึ่งเป็นการไขความลับความอัจฉริยะระดับไอน์สไตน์ (ที่เป็นชาวยิว) ของชนชาติยิวที่ได้ชื่อว่า ฉลาดสุดๆ และในแทบทุกวงการจะต้องมีชนชาติยิวอยู่ในอันดับต้นๆเสมอ ซึ่งหากจะให้ไล่เรียงรายชื่อคงจะล้นเกินพื้นที่ที่มีอยู่แน่ๆ
.
นอกจากนี้ ยังมีบทความจากโลกไซเบอร์อีก 2-3 เรื่อง ที่มีการกล่าวอ้างถึงมันสมองระดับอัจฉริยะและลักษณะนิสัยที่ทำให้ชนชาติยิวมั่งคั่งเหนือกว่าชนชาติอื่นๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นการประมวลมาจากทุกๆแหล่งที่กล่าวมา
.
เงิน เงิน และเงิน
.
สำหรับชาวยิวแล้วไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะยอมรับว่า “เงินคือพระเจ้า” และเงินคือร่างจำแลงของพระเจ้า นั่นเพราะความยากลำบากและการร่อนเร่ ทำให้เงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต นอกจากนี้เงินยังเป็น “หลักประกันความปลอดภัย” เพราะหากวันใดที่พวกเขาถูกขับไล่ เงินจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นความคุ้มครองและที่อยู่อาศัย
.
ในคัมภีร์ทัลมุด (Talmud) ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของชาวยิวสอนเอาไว้ว่า คนต้องรักษาทรัพย์สินที่ตัวเองมีใน 3 รูปแบบ คือ
.
(1) เงินสด-เงินฝาก
.
(2) สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของมีค่า
.
(3) อสังหาริมทรัพย์
.
แต่เป็นเพราะยิวไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ทำให้ในภาวะสงครามชาวยิวเลือกที่จะเก็บสินทรัพย์ที่ติดตัวไปได้ง่าย นั่นคือ เงินสดและสังหาริมทรัพย์ เช่น เพชร ทำให้ในทุกวันนี้ยิวยังถือเป็นเจ้าตลาดเพชรอีกด้วย
.
ในหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” เขียนเอาไว้ว่า “ชีวิตที่ต้องเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆมายาวนาน ทำให้ชาวยิวไม่อาจดูถูกเงินได้ เพราะทุกครั้งที่พวกเขาจำเป็นจะต้องเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้ง เงินเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถนำติดตัวไปได้โดยสะดวกที่สุด และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตลอดการเดินทางอันยาวนาน”
.
เพราะฉะนั้น “หากชาวยิวไม่มีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้อื่น ชาวยิวคงจะต้องถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”
.
และจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวยิวจะขึ้นชื่อว่า เป็นชนชาติที่มี ความมัธยัสถ์ จนกระทั่งอาจจะเลยไปถึงความตระหนี่ถี่เหนียวในบางกรณี แต่นั่นเป็นเพราะชาวยิวเห็นคุณค่าของเงิน ซึ่งไม่เฉพาะเงินแสนเงินล้านเท่านั้น แม้กระทั่งเงิน 1 บาทก็มีคุณค่า นั่นเพราะชาวยิวได้รับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นว่า “เงินล้านก็เริ่มต้นจากเงิน 1 บาท”
.
ดังคำกล่าวที่ชาวยิวมักพูดกันเสมอๆ คือ “ถ้าค้าขายไม่ได้เงิน จงฝากธนาคารกินดอกเบี้ย” ที่แม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่วันหนึ่งผลของการอดออมจะงอกเงยขึ้นมาได้ ทำให้ชาวยิวติดนิสัยในการออมเงินมาตั้งแต่เด็กๆ
.
นอกจากนี้ สำหรับชาวยิวแล้ว “คำมั่นสัญญา” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยแค่ไหน เพราะยิวมีสำนวนที่ว่า “คนที่ยืมเงินแล้วไม่คืนก็ไม่ต่างอะไรกับขโมย”
.
เปิดประตูแห่งโอกาส
.
น่าจะเป็น “บุคลิกพิเศษ” ของชนชาติยิวที่จะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ช่างสงสัย ชอบใช้ความคิด และให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะถือว่าความรู้เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีนักคิดเจ้าทฤษฎี โดยเฉพาะด้านเศรษฐศาสตร์ออกมาบนโลกนี้มากนัก เพราะคนที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของโลกนี้จำนวนมาก “มีเชื้อสายยิว”
.
“ชาวยิวชอบตั้งคำถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา ผู้ที่ไม่รู้จักคิด คือ ผู้ที่ไม่รู้จักการเรียนรู้” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุไว้ นั่นเพราะ “คุณค่าของคนอยู่ที่มันสมองไม่ใช่มือหรือเท้า”
.
นอกจากนี้ ชาวยิวยังเป็นคนที่ชอบตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ เวลาที่มีการตั้งวงสนทนาก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องตัวเลข จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ชาวยิวแม้จะทักทายกันด้วยเรื่องทั่วๆไปอย่างเรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ยังสามารถโยงเรื่องตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ เพราะชาวยิวจะไม่ทักทายกันแค่ว่า “วันนี้อากาศร้อน” แต่จะบอกว่า “วันนี้อุณหภูมิ 30 องศา”
.
ขณะที่ชาวยิวจะมองเห็นอุปสรรคและความยากลำบากเป็นประตูสู่โอกาส ไม่เชื่อลองมองไปที่ประเทศอิสราเอลที่มีภูมิประเทศที่โหดร้าย โดย 80-90% ของพื้นที่เป็นทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้ง แต่ประเทศอิสราเอลมีประชากรชาวยิวอยู่ถึง 83% พวกเขาใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศ เปลี่ยนอิสราเอลที่น่าสงสารให้กลายเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์
.
นั่นเพราะชาวยิวจะยืนหยัดเผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยความเข้มแข็งและอดทน เพื่อเฝ้ารอโอกาสด้วยความหวัง
.
ชาวยิวมีสุภาษิตที่ว่า “ประตูในชีวิตของคนเราไม่ใช่ประตูอัตโนมัติ หากเราไม่ลงมือเปิดประตูเอง ประตูนั้นจะปิดตายไปตลอด ดังนั้น หากเราต้องการให้ประตูแห่งความสำเร็จเปิดออก เราก็ต้องลงมือผลัก หรือดึงประตูนั้นด้วยตัวเอง”
.
พร้อมกับบอกอีกว่า หากไม่กล้าเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อถึงเวลาที่แก่ชราเราก็จะเป็นได้แค่คนที่ล้มเหลว เพราะหากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ทุกอย่างก็มีแต่จะแย่ลง และความลังเลจะทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจ
.
และหากจะบอกว่า ชาวยิวเป็นนักฉวยโอกาสก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ แต่คำว่าฉวยโอกาสก็คือการบริหารความเสี่ยง โดยที่ชาวยิวส่วนใหญ่มักจะกล้าเสี่ยงและประสบความสำเร็จจากการเสี่ยงของเขาอยู่เสมอ นั่นไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เป็นเพราะเขามีความรู้และเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงนั้นอย่างดี
.
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายยิวเคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ควรคิดเรื่องราวใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเครื่องจักร” เพราะเรามักเคยชินกับความเป็นอยู่แบบสบายๆในปัจจุบันโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินและเฉยชา แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะกล้าทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถอยู่เสมอๆ
.
นอกจากนี้ ชาวยิวยังเชื่อว่าความยากลำบากในชีวิตเป็นสันปันน้ำสำหรับความมั่งคั่ง ที่อาจจะทำให้คนบางคนล้มหายตายไป แต่คนบางคนกลับยืนหยัดเอาชีวิตรอดและนำไปสู่ความมั่งคั่งได้ในที่สุด
.
เพราะฉะนั้น อย่าดูแคลนอุปสรรคและความยากลำบากนอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ใช้ชีวิตที่สุขสบายเกินไป เพราะมันจะทำให้สมองฝ่อและไม่มีความคิดความก้าวหน้าในชีวิต
.
ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธี
.
เพราะสำหรับชาวยิวแล้ว “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ต้องใช้เวลาไปกับเรื่องที่มีประโยชน์และจำเป็น โดยยกตัวอย่างนิทานสุภาษิตจากคัมภีร์ทัลมุด เรื่อง ผึ้งกับแมลงวัน
.
ผึ้งและแมลงวันตกลงไปในขวดพร้อมกัน เจ้าผึ้งพยายามหาทางออกโดยการบินวนไปมาอยู่ที่ก้นขวดและพยายามออกแรงต่อยขวดอย่างแรง เพราะเชื่อว่า ขวดจะแตก แต่ไม่นานมันก็หมดแรงตายอยู่ที่ก้นขวด
.
ขณะที่แมลงวันบินวนอยู่หลายรอบ ก็พบว่ารอบๆเป็นกำแพงหนา มันจึงเลือกที่จะบินขึ้นไปด้านบน จนพบกับทางออกที่ปากขวด
.
“นิทานสุภาษิตเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การค้นหาทิศทางการต่อสู้ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับทางเลือกที่ผิด เพราะไม่ว่าพยายามมากเพียงใดก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุ
.
และในขณะที่ นักธุรกิจจีนอาจจะกำลังสนใจกับการทำให้สินค้ามีราคาถูก เพื่อขายให้ได้จำนวนมากๆ แต่สำหรับชาวยิวแล้วลูกค้าของเขาคือคนที่เป็น “ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง” ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะดี
.
ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ปาก” และ “ผู้หญิง” โดยธุรกิจที่เกี่ยวกับปาก คืออาหารการกินที่คนเราต้องกินต้องใช้ และธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้หญิง เพราะเชื่อว่า “ผู้หญิงเป็นคนกุมกระเป๋าเงินของครอบครัว”
.
เพาะพันธุ์ความรวย
.
พ่อแม่ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาด้านการเงินตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ โดยของขวัญครบรอบ 1 ปีที่พวกเขาจะมอบให้เด็กๆ ไม่ใช่ของขวัญมูลค่าสูง แต่จะเป็น “หุ้น” โดยเฉพาะชาวยิวในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการมอบหุ้นให้เป็นของขวัญในวาระต่างๆ จากนั้นจะมีการพูดคุยกันถึงผลการลงทุนอยู่เป็นประจำ
.
และเมื่อลูกอายุมากขึ้น พวกเขาจะค่อยๆได้เรียนรู้ วิชาการบริหารเงินส่วนบุคคล จากพ่อและแม่
.
พ่อแม่ชาวยิวสอนการจัดการเงินส่วนบุคคล ด้วยวิธีการให้ค่าขนม โดยลูกๆจะต้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินล่วงหน้าอย่างละเอียดมานำเสนอให้พ่อแม่ และพ่อแม่จะให้ค่าขนมต่อเมื่อลูกๆช่วยงานบ้านเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งงานบ้านแต่ละอย่างจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินค่าขนมได้แตกต่างกันไป
.
ในวันเกิดอายุครบ 13 ปี ชาวยิวจะมีพิธีบาร์มิตซวาห์ (Barmitzvah) หรือพิธีบรรลุนิติภาวะ ซึ่งคนที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นญาติๆ ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ และแขกที่มาร่วมงานจะมอบเงินอวยพรให้คนละประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินขวัญถุงให้กับเด็กคนนั้น
.
เงินที่ได้รับจากพิธีจะถูกนำไปฝากเอาไว้ในธนาคาร ไปซื้อพันธบัตร หรือนำไปลงทุน จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่เด็กคนนี้เรียนจบ หรือต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง เงินก้อนนี้ก็จะงอกเงยจากเงินขวัญถุงไปเป็น “ทุนตั้งตัว”
.
ในเทศกาลฮานุกกาห์ (Hanukkah) หรือเทศกาลแห่งดวงประทีป ซึ่งเป็นเทศกาลส่งท้ายปลายปีของครอบครัวชาวยิว พ่อแม่ชาวยิวจะให้เงินรางวัลแก่ลูก โดยประเมินจากพฤติกรรมตลอดทั้งปี
.
นอกจากนี้ พวกเด็กๆชาวยิวยังต้องเรียนรู้เรื่องการค้าตั้งแต่เด็ก โดยลูกๆจะต้องช่วยเหลือกิจการของพ่อแม่เพื่อเป็นการปลูกฝังทักษะในการทำธุรกิจ เพราะชาวยิวมีภาษิตที่ว่า “ถ้าไม่สอนอาชีพให้ลูก ก็เหมือนสอนลูกให้เป็นโจร” โดยลูกๆจะได้เงินค่าจ้างจากการทำงาน
.
ในเทศกาลซุกโกต (Sukkot) หรือเทศกาลอยู่เพิง ที่ตรงกับวันที่ 15 ก.ย. ของทุกปี ชาวยิวมีธรรมเนียมว่าจะต้องอาศัยอยู่ในเพิงพักที่สร้างขึ้นบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และในช่วงเวลานี้เอง ที่เด็กๆจะสามารถหารายได้พิเศษจากการขายวัสดุสร้างเพิงพัก
.
อย่างไรก็ตาม ชาวยิวให้ความสำคัญกับการใช้เงินมากกว่าการหาเงิน และไม่ว่าลูกจะอยากทำอาชีพอะไร ในสายตาพ่อแม่ชาวยิวจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถ้าอาชีพนั้นสามารถทำเงินได้อย่างสุจริต
.
เพื่อนคือคนสำคัญ
.
ชาวยิวจะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยที่คนรวยจะช่วยเหลือคนยากจนอย่างเต็มที่ โดยเด็กๆชาวยิวจะมีเงินออมจำนวนหนึ่งเก็บเอาไว้ในบัญชีที่ชื่อว่า Tzedakah ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยที่คำว่า Tzedakah หมายถึงความยุติธรรมของทุกคนในสังคม
.
และชาวยิวถือว่าเพื่อนคือคนสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็เหมือนเสียแขนไปข้างหนึ่ง โดยชาวยิวแบ่งเพื่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ เพื่อนเหมือนขนมปัง เป็นเพื่อนที่ต้องการบ่อยที่สุด เพื่อนเหมือนข้าว ที่ต้องการบางครั้ง เพื่อนแบบที่สาม คือ เพื่อนเหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่ต้องหลีกเลี่ยง
.
สำหรับคนไทยเพื่อนแบบแรก คงจะเป็นเหมือนข้าวเพราะต้องกินทุกวัน เพื่อนแบบที่สอง เหมือนขนมปังที่กินบ้างบางครั้ง ซึ่งเพื่อนทั้งสองแบบต่างมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ โดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
.
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้ามีใครพูดถึง “ยิว” ให้มองพวกเขาให้ครบทุกมุม เพราะเป็นธรรมดาที่คนเรามีทั้งดีและไม่ดี สิ่งใดที่ดีก็นำมาเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไหนที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ไม่ควรนำมาปฏิบัติ แล้วเราจะรวยแบบยิวได้ โดยที่ไม่สร้าง “ความรู้สึกไปในทางลบ” ให้กับคนอื่นๆ
.
คิดแบบยิว ทำแบบยิว รวยเหมือน…ยิว
.
สวลี ตันกุลรัตน์
http://www.sarut-homesite.net/2011/03/% ... %E0%B8%AB/
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับ งูๆ ปลาๆ ไปเรื่อยเปื่อยครับ
ตอนนี้ต้องสนใจเรื่องยิวแถวตะวันออกกลางครับ
เข้าไปอ่านข่าวของประเทศอิสราเอลไหมครับ
อิหร่านกำลังมีปัญหา
จีนซื้อน้ำมันจากอิหร่านเป็นหลัก มีปัญหาแน่
ยิวอเมริกันตีวัวกระทบคราด
จับตา futue ราคาทองคำกับน้ำมันดีๆ ครับ
ตอนนี้ต้องสนใจเรื่องยิวแถวตะวันออกกลางครับ
เข้าไปอ่านข่าวของประเทศอิสราเอลไหมครับ
อิหร่านกำลังมีปัญหา
จีนซื้อน้ำมันจากอิหร่านเป็นหลัก มีปัญหาแน่
ยิวอเมริกันตีวัวกระทบคราด
จับตา futue ราคาทองคำกับน้ำมันดีๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 12
อิหร่านไม่ว่ายังไงก็มีปัญหา เพราะภูมิภาคตะวันออกกลางขาดดุลยภาพของอำนาจ แต่ก่อนเคยมีอิรัก ทว่า George friedman ที่เป็นนักวิเคราะห์ geopolitical ชั้นนำกล่าวว่าดุลยภาพในตะวันออกกลางจะเริ่มสมดุลอีกครั้งโดย Turkey ในอีกสิบปี ส่วนน้ำมันจากอิหร่าน ไม่ต้องกังวลแทนจีนหรอกครับ ผู้นำจีนมองเกมนี้ขาดไปนานแล้วถึงได้ไปเที่ยว latin / africa บ่อยๆ ว่าแต่ว่า อเมริกาจะกล้าทำกับอิหร่าน (ที่มีเงาของจีน) เหมือนกับที่ทำอิรักหรอ ส่วนแนวโน้มทองคำและน้ำมัน เห็นด้วยทุกอย่าง แต่ทว่าทองคำผมชอบเหมืองเล็กๆ ที่ขยันขุด และรวมตัวกลายเป็นเหมืองใหญ่ๆ มากกว่าทองคำกระดาษรูปแบบอื่นๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 14
ผมอยู่ปักกิ่งครับ หนาวครับ หนาวมาก (ไม่ได้สบายเหมือนเซี่ยงไฮหรือกรุงเทพหรอกครับ) แต่เพราะไม่สบายจึงทำให้คนเข้มแข็ง (นั่นเป็นปัญญาที่คนจีนโบราณวางไว้) ผมไม่ได้ทำการค้าครับ ผมเป็นนักลงทุนตามก้นจีน และภรรยาครับ ไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ
เหตุที่ไม่สมดุล เพราะอิรักทำเกินหน้าที่ (หน้าที่เดิมคือการถ่วงดุลอิหร่าน ตามบทที่อเมริกาให้) ถ้าไม่มี Turkey หรือ Turkey อ่อนแรง อิหร่านจะเข้มแข็งมากและกลายเป็น dominant power ในตะวันออกกลาง ผิดกลยุทธ์ของจักรวรรดิอเมริกาที่ต้องการให้แต่ละภูมิภาคสร้างดุลยภาพสมดุลกันเอง เพื่อตัวเองจะได้สบาย (ออกแรงและเงินน้อย แต่ได้ผลมาก) ฉะนั้นสิ่งที่อเมริกา/อังกฤษ (น่าจะ) ทำคือ support Turkey and contain Iran ครับ มิใช่ทำลาย
ในเอเชีย อเมริกา ต้องใช้หมากหลายตัว contain จีน ทุกด้าน เช่น อินเดีย ญี่ป่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ส่วนจีนก็แก้เกมด้วย ปากีสถาน และ เกาหลีเหนือ ส่วนไต้หวัน เกมโอนเอียงไปทางจีน แล้วมั่ง เห็นลูกหลานตระกูลก่อตั้งประเทศอยากมาทำการค้าร่วมกับจีนเหลือเกิน
เหตุที่ไม่สมดุล เพราะอิรักทำเกินหน้าที่ (หน้าที่เดิมคือการถ่วงดุลอิหร่าน ตามบทที่อเมริกาให้) ถ้าไม่มี Turkey หรือ Turkey อ่อนแรง อิหร่านจะเข้มแข็งมากและกลายเป็น dominant power ในตะวันออกกลาง ผิดกลยุทธ์ของจักรวรรดิอเมริกาที่ต้องการให้แต่ละภูมิภาคสร้างดุลยภาพสมดุลกันเอง เพื่อตัวเองจะได้สบาย (ออกแรงและเงินน้อย แต่ได้ผลมาก) ฉะนั้นสิ่งที่อเมริกา/อังกฤษ (น่าจะ) ทำคือ support Turkey and contain Iran ครับ มิใช่ทำลาย
ในเอเชีย อเมริกา ต้องใช้หมากหลายตัว contain จีน ทุกด้าน เช่น อินเดีย ญี่ป่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ส่วนจีนก็แก้เกมด้วย ปากีสถาน และ เกาหลีเหนือ ส่วนไต้หวัน เกมโอนเอียงไปทางจีน แล้วมั่ง เห็นลูกหลานตระกูลก่อตั้งประเทศอยากมาทำการค้าร่วมกับจีนเหลือเกิน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 15
เป็นอย่างนี้นี่เองครับ
ผมไปเที่ยวที่ปักกิ่งสองครั้ง
ตรงสวนอะไรนะครับที่คนแก่เขามาร้องเพลงกัน
พวกเขาดูภูมิใจที่เป้นคนจีนมากเลยนะครับ
เพราะอะไรครับชาตินิยมเขาถึงมากขนาดนี้
เป็นเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นหรือปล่าว
ตรงร้านหนังสือที่เขาชั่งกิโลกันขายชื่ออะไรครับจำไม่ได้แล้ว
ผมไปเที่ยวที่ปักกิ่งสองครั้ง
ตรงสวนอะไรนะครับที่คนแก่เขามาร้องเพลงกัน
พวกเขาดูภูมิใจที่เป้นคนจีนมากเลยนะครับ
เพราะอะไรครับชาตินิยมเขาถึงมากขนาดนี้
เป็นเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นหรือปล่าว
ตรงร้านหนังสือที่เขาชั่งกิโลกันขายชื่ออะไรครับจำไม่ได้แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 16
ผมเห็นแถบจะทุกสวนเลยครับ ไม่ร้องก็รำ แต่ที่คุณ humdrum เห็นน่าจะเป็น Tiantan เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป คนจีนชาตินิยม เพราะประวัติศาสตร์ และ ภาษา ครับ มันยิ่งใหญ่มาก ตะวันตกและญี่ปุ่นเป็นเพียงแค่เสี่ยวเดียว แต่ผู้นำจีนรู้จักใช้ประโยชน์กับความรู้สึกของคน
ผมพยายามเข้าใจสังคมพวกเขาเหมือนกัน ผมยอมรับว่าภาษาจีนโบราณสุดยอดมาก เพราะ อ่านจากขวาไปซ้าย บนลงล่าง และเต็มไปด้วยความหมาย ตย ขงเบ้งเล่าประวัติ ตัวเองโดยใช้ตัวอักษรโบราณแค่ 200 อักษร (ไม่มีสระ) ความหมายนั่นลุ่มลึกและอัดแน่นมาก ไม่รู้ว่าจะมีภาษาใดในโลกทำได้บ้าง ถึงจะชาตินิยม แต่คนจีนกลับไม่รู้จักรักสามัคคีและไม่ยอมรับสิ่งที่ตนมีและตนเป็น ถึงจะพยายามทำตนให้นิ่งเหมือนน้ำ แต่ก็ไม่สามารถลดความทะนงตนได้
ปล ที่ผมเขียนนี่ทั้งหมด 164 คำ
ผมพยายามเข้าใจสังคมพวกเขาเหมือนกัน ผมยอมรับว่าภาษาจีนโบราณสุดยอดมาก เพราะ อ่านจากขวาไปซ้าย บนลงล่าง และเต็มไปด้วยความหมาย ตย ขงเบ้งเล่าประวัติ ตัวเองโดยใช้ตัวอักษรโบราณแค่ 200 อักษร (ไม่มีสระ) ความหมายนั่นลุ่มลึกและอัดแน่นมาก ไม่รู้ว่าจะมีภาษาใดในโลกทำได้บ้าง ถึงจะชาตินิยม แต่คนจีนกลับไม่รู้จักรักสามัคคีและไม่ยอมรับสิ่งที่ตนมีและตนเป็น ถึงจะพยายามทำตนให้นิ่งเหมือนน้ำ แต่ก็ไม่สามารถลดความทะนงตนได้
ปล ที่ผมเขียนนี่ทั้งหมด 164 คำ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 18
ถ้าอยากดูวัฒนธรรมแบบ preview ให้ครบทุกภาค ต้องลองไปที่เซินเจิ้นครับ เขาเอามารวมกันในสถานที่เดียว ทัวร์ส่วนใหญ่ก็พาไป
เขาเรียก China Folk Culture Villages หรือหมู่บ้านวัฒนธรรม จะเห็นการแต่งกายและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่างๆทุกมณฑลของจีน จาก 24 หมู่บ้าน 21 ชนเผ่า
ที่นั่นเป็นเมืองผลิตของ ผลิตสินค้าไฮเทค แต่เขาก็พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยการสร้างสถานที่แสดงตระการตา
หาดทรายธรรมชาติไม่มี ก็ลงทุนสร้างเอง มีแสดงแสงสีอลังการประยุกต์ (เขาใช้ว่า "splendid show")
ลอง search ดูนะครับ http://www.google.co.th/search?sourceid ... es+youtube
(เอ...นอกจาก vote ไม่ได้ กระทู้นี้ใช้ BBCode ไม่ได้อีก ตอนแรก กะจะแทรก youtube เลยต้องใส่ link)
ผมเคยไปทำงานบา่งอย่างที่นั่น ใช้เวลาหลายเดือน (เกือบเสียดุลย์การค้าให้สาวจีนซะแล้ว)
แต่ปักกิ่ง แค่เคยไปกับทัวร์อาทิตย์เดียว
เขาเรียก China Folk Culture Villages หรือหมู่บ้านวัฒนธรรม จะเห็นการแต่งกายและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่างๆทุกมณฑลของจีน จาก 24 หมู่บ้าน 21 ชนเผ่า
ที่นั่นเป็นเมืองผลิตของ ผลิตสินค้าไฮเทค แต่เขาก็พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยการสร้างสถานที่แสดงตระการตา
หาดทรายธรรมชาติไม่มี ก็ลงทุนสร้างเอง มีแสดงแสงสีอลังการประยุกต์ (เขาใช้ว่า "splendid show")
ลอง search ดูนะครับ http://www.google.co.th/search?sourceid ... es+youtube
(เอ...นอกจาก vote ไม่ได้ กระทู้นี้ใช้ BBCode ไม่ได้อีก ตอนแรก กะจะแทรก youtube เลยต้องใส่ link)
ผมเคยไปทำงานบา่งอย่างที่นั่น ใช้เวลาหลายเดือน (เกือบเสียดุลย์การค้าให้สาวจีนซะแล้ว)
แต่ปักกิ่ง แค่เคยไปกับทัวร์อาทิตย์เดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 19
ไม่สามัคคี - ปัจจัยที่บ่งบอกเช่น คนจีนเล่นกีฬาที่เป็นทีมใหญ่แย่ และ ทำธุรกิจแบบพวกใคร พวกมัน (ไม่ใช่เป็นเครือข่ายเหมือนยิว)
ไม่รู้จักพอ - ปัจจัยที่บ่งบอกเช่น ความรู้สึกไม่พอใจของคนชั้นล่างเนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจส่งผลให้สื่อออกมาทางกริยาและการกระทำ ซึ่งแต่เดิมนั่น ภาษาจีนโบราณ เป็นเส้นแบ่งชนชั้น ปัจจุบัน ภาษาจีนกลางและ culture revolution ทำลายเส้นนั่นแล้ว ตอนนี้ ไม่ว่าคนทำงานระดับไหน (ตั้งแต่ปีละหลายล้านหยวน จนถึง 2-3000 หยวน) คุณลองถามเขาสิครับ ว่า พอใจ มั้ย ผมไม่เคยได้ยิน คำว่า พอใจ เลยจากคนจีนสักคนเดียว
นิ่งเหมือนน้ำ - ผู้นำและนักปราชหลายคนชื่อประกอบด้วยตัวอักษร น้ำ เพราะเชื่อการทำตนให้เสมือนน้ำ แต่ถึงกริยาจะนิ่งแต่ความนึกคิดช่างทะนงตนนัก (ความรู้สึกของผมเอง)
ปล อย่าแค่ดูผ่าน พยายามเข้าใจด้วยการกระทำ ด้วยนะครับ จะได้เข้าใจ
ไม่รู้จักพอ - ปัจจัยที่บ่งบอกเช่น ความรู้สึกไม่พอใจของคนชั้นล่างเนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจส่งผลให้สื่อออกมาทางกริยาและการกระทำ ซึ่งแต่เดิมนั่น ภาษาจีนโบราณ เป็นเส้นแบ่งชนชั้น ปัจจุบัน ภาษาจีนกลางและ culture revolution ทำลายเส้นนั่นแล้ว ตอนนี้ ไม่ว่าคนทำงานระดับไหน (ตั้งแต่ปีละหลายล้านหยวน จนถึง 2-3000 หยวน) คุณลองถามเขาสิครับ ว่า พอใจ มั้ย ผมไม่เคยได้ยิน คำว่า พอใจ เลยจากคนจีนสักคนเดียว
นิ่งเหมือนน้ำ - ผู้นำและนักปราชหลายคนชื่อประกอบด้วยตัวอักษร น้ำ เพราะเชื่อการทำตนให้เสมือนน้ำ แต่ถึงกริยาจะนิ่งแต่ความนึกคิดช่างทะนงตนนัก (ความรู้สึกของผมเอง)
ปล อย่าแค่ดูผ่าน พยายามเข้าใจด้วยการกระทำ ด้วยนะครับ จะได้เข้าใจ
- 1154
- Verified User
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 21
[quote="humdrum"]คนจีนเขามองคนไทยอย่างไรบ้างครับ[/quote]
เท่าที่เจอแม่เพื่อน ไม่ชอบลูกสะใภ้คนไทย เพราะแม่เพื่อนมีความเชื่อว่า
"คนไทยรักสบาย ไม่สู้งาน ไม่ขยันเหมือนคนจีน" ถ้าพูดตรงๆก็ ขี้เกียจ
ท้ายที่สุด ก็ไม่ไ้ด้แต่งกัน
ผมมองว่าส่วนนึงเพราะ ที่คนไทยมีนิสัยแบบนี้ เพราะอยู่แนวเส้นศูนย์สูตรที่มี ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
เื้ื้อื้อต่อการทำมาหากิน ไม่ต้องดิ้นรน ขนขวาย ทำวิธีพิศดารมาก ก็มีกิน
แต่ด้วยที่ทำมาหากินได้ตลอดทั้งปี รูปแบบออกมาำทำซ้ำ เหมือนเดิมๆ
ทุกวันๆ วิถีชีวิตเลยไม่ค่อยเปลี่ยนนัก สังเกตุจากคนทีอยู่ในละแวกเส้นศูนย์สูตร ก็จะคล้ายๆกัน
สิ่งประดิษฐ์ หรือวิธีคิดที่เป็น Product Championหรือมีอิทธิพลต่อโลก จึงมักจะมาจากประเทศที่มีหน้าหนาวเพราะมีเวลามาคิด ว่าเวลาและปัจจัยที่มีจำกัด จะทำยังไงให้มีได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
เท่าที่เจอแม่เพื่อน ไม่ชอบลูกสะใภ้คนไทย เพราะแม่เพื่อนมีความเชื่อว่า
"คนไทยรักสบาย ไม่สู้งาน ไม่ขยันเหมือนคนจีน" ถ้าพูดตรงๆก็ ขี้เกียจ
ท้ายที่สุด ก็ไม่ไ้ด้แต่งกัน
ผมมองว่าส่วนนึงเพราะ ที่คนไทยมีนิสัยแบบนี้ เพราะอยู่แนวเส้นศูนย์สูตรที่มี ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
เื้ื้อื้อต่อการทำมาหากิน ไม่ต้องดิ้นรน ขนขวาย ทำวิธีพิศดารมาก ก็มีกิน
แต่ด้วยที่ทำมาหากินได้ตลอดทั้งปี รูปแบบออกมาำทำซ้ำ เหมือนเดิมๆ
ทุกวันๆ วิถีชีวิตเลยไม่ค่อยเปลี่ยนนัก สังเกตุจากคนทีอยู่ในละแวกเส้นศูนย์สูตร ก็จะคล้ายๆกัน
สิ่งประดิษฐ์ หรือวิธีคิดที่เป็น Product Championหรือมีอิทธิพลต่อโลก จึงมักจะมาจากประเทศที่มีหน้าหนาวเพราะมีเวลามาคิด ว่าเวลาและปัจจัยที่มีจำกัด จะทำยังไงให้มีได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 22
ที่ตัวบุคคล คือ ความรู้สึกกดดันที่บางเบา
ที่ประเทศ คือ ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ อากาศที่ไม่แปรปวน ตำแหน่งที่เกื้อหนุน
ที่ผู้นำ คือ ความขัดแย้งระหว่างสองความคิดใหญ่ๆ (ถึงขนาดมีการสังเกต สีหน้าของประมุข ระหว่างการออกสื่อ เพื่อประเมินถึงสุขภาพ ปล จากคำบอกเล่า)
ที่ประเทศ คือ ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ อากาศที่ไม่แปรปวน ตำแหน่งที่เกื้อหนุน
ที่ผู้นำ คือ ความขัดแย้งระหว่างสองความคิดใหญ่ๆ (ถึงขนาดมีการสังเกต สีหน้าของประมุข ระหว่างการออกสื่อ เพื่อประเมินถึงสุขภาพ ปล จากคำบอกเล่า)
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 23
สิงคโปร์ก็อยู๋แถวเส้น o สูตรเหมือนกัน
ตอนตั้งประเทศใหม่ ๆ
ลีกวนยิวไปขอคำแนะนำจากอิสราเอลในการตั้งประเทศ
คนที่สร้างเกาะสิงคโปร์ก็เป็นพ่อค้ายิว
ภาษาญีปุ่นกับภาษาฮิบรูมีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ
วัฒนธรรมบางอย่างก็คล้ายกัน
เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นถึงกลับทำการศึกษาเรื่องนี้
และตั้งสมมุติฐานว่า ชนเผ่าที่หายไปของคนยิวเคยมาตั้งรกรากที่ญี่ปุ่น
ใน youtube มีสารคดีเรื่องนี้ครับ
ตอนตั้งประเทศใหม่ ๆ
ลีกวนยิวไปขอคำแนะนำจากอิสราเอลในการตั้งประเทศ
คนที่สร้างเกาะสิงคโปร์ก็เป็นพ่อค้ายิว
ภาษาญีปุ่นกับภาษาฮิบรูมีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ
วัฒนธรรมบางอย่างก็คล้ายกัน
เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นถึงกลับทำการศึกษาเรื่องนี้
และตั้งสมมุติฐานว่า ชนเผ่าที่หายไปของคนยิวเคยมาตั้งรกรากที่ญี่ปุ่น
ใน youtube มีสารคดีเรื่องนี้ครับ
- 1154
- Verified User
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 24
[quote="humdrum"]สิงคโปร์ก็อยู๋แถวเส้น o สูตรเหมือนกัน
ตอนตั้งประเทศใหม่ ๆ
ลีกวนยิวไปขอคำแนะนำจากอิสราเอลในการตั้งประเทศ
คนที่สร้างเกาะสิงคโปร์ก็เป็นพ่อค้ายิว
ภาษาญีปุ่นกับภาษาฮิบรูมีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ
วัฒนธรรมบางอย่างก็คล้ายกัน
เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นถึงกลับทำการศึกษาเรื่องนี้
และตั้งสมมุติฐานว่า ชนเผ่าที่หายไปของคนยิวเคยมาตั้งรกรากที่ญี่ปุ่น
ใน youtube มีสารคดีเรื่องนี้ครับ[/quote]
สิงคโปร์ มีข้อจำกัดที่ประเทศเล็ก เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ไม่ได้
ทำให้มีข้อจำกัด ทำให้ต้องคิดมากกว่าประเทศในละแวกเดียวกัน
ผมเพิ่งทราบนะครับว่า ลีกวนยิว ไปขอคำแนะนำอิสราเอลด้วย
ถ้าเจอ link สารคดี ฝากแปะด้วยนะครับ อยากดูครับ
ตอนตั้งประเทศใหม่ ๆ
ลีกวนยิวไปขอคำแนะนำจากอิสราเอลในการตั้งประเทศ
คนที่สร้างเกาะสิงคโปร์ก็เป็นพ่อค้ายิว
ภาษาญีปุ่นกับภาษาฮิบรูมีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ
วัฒนธรรมบางอย่างก็คล้ายกัน
เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นถึงกลับทำการศึกษาเรื่องนี้
และตั้งสมมุติฐานว่า ชนเผ่าที่หายไปของคนยิวเคยมาตั้งรกรากที่ญี่ปุ่น
ใน youtube มีสารคดีเรื่องนี้ครับ[/quote]
สิงคโปร์ มีข้อจำกัดที่ประเทศเล็ก เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ไม่ได้
ทำให้มีข้อจำกัด ทำให้ต้องคิดมากกว่าประเทศในละแวกเดียวกัน
ผมเพิ่งทราบนะครับว่า ลีกวนยิว ไปขอคำแนะนำอิสราเอลด้วย
ถ้าเจอ link สารคดี ฝากแปะด้วยนะครับ อยากดูครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
- 1154
- Verified User
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 26
[quote="humdrum"]http://www.youtube.com/watch?v=yhlkuGwE ... re=related[/quote]
แอบดูไปตอนแรกได้หน่อยนึง ตรงตัวอักษร โอ้!
คืนนี้จะตามดูให้หมด ขอบคุณมากครับ
แอบดูไปตอนแรกได้หน่อยนึง ตรงตัวอักษร โอ้!
คืนนี้จะตามดูให้หมด ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 27
http://www.youtube.com/watch?v=iksLD8wX ... ure=relmfu
ร้านอาหารยิวร้านนี้อยู่ที่ปักกิ่ง คุณ Chaoyang ไปทานหรือยังครับ
ร้านอาหารยิวร้านนี้อยู่ที่ปักกิ่ง คุณ Chaoyang ไปทานหรือยังครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์ที่ 30
http://www.youtube.com/watch?v=KxxuSiC4 ... re=related
แรบไบท่านนี้เทศน์โดยร้องเป็น raggae ครับ
ผมเคยเห็นที่เกาหลีร้องสรรเสริญพระเจ้าเป็น hiphop
ลูกสาวสวดมนต์ที่โรงเรียนเป็นเพลงเหมือนบทสวดมนต์พระแม่กวนอิม
พระในศาสนาพุทธเทศน์เป็น hiphop จะเป้นอย่างไรครับ
แรบไบท่านนี้เทศน์โดยร้องเป็น raggae ครับ
ผมเคยเห็นที่เกาหลีร้องสรรเสริญพระเจ้าเป็น hiphop
ลูกสาวสวดมนต์ที่โรงเรียนเป็นเพลงเหมือนบทสวดมนต์พระแม่กวนอิม
พระในศาสนาพุทธเทศน์เป็น hiphop จะเป้นอย่างไรครับ