โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 ธันวาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าหุ้นตัวเล็กนั้นมักจะโตเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งหรือชีวิตทั้งหลายในโลก เด็กต้องโตเร็วกว่าผู้ใหญ่ บริษัทเล็กมักโตเร็วกว่าบริษัทใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของสิ่งที่เล็กหรือชีวิตที่เล็กก็มักจะสูงกว่าสิ่งที่ใหญ่หรือชีวิตที่เติบโตขึ้นมาแล้ว ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ หุ้นตัวเล็กหรือชีวิตที่เล็กนั้น อาจจะง่อยเปลี้ยหรือล้มหายตายจากไปได้ง่ายกว่าหุ้นตัวใหญ่หรือชีวิตที่โตขึ้นมามากแล้ว ในเรื่องของการลงทุนนั้น คนที่มีพอร์ตหรือมีเงินลงทุนจำนวนน้อยนั้น มีทางเลือกหรือมีโอกาสที่จะโตเร็วกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ แต่ก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ แทนที่พอร์ตจะโตเร็วก็กลายเป็นพอร์ตขาดทุนเสียหายไปมากมาย อย่างไรก็ตาม คนที่มีพอร์ตเล็กหลายคนอาจจะบอกว่าเขารับได้ เหนือสิ่งอื่นใด เขายังมีรายได้จากแหล่งอื่นที่จะเข้ามาลงทุนต่อหรือสามารถ “แก้ตัว” ได้ มาดูกันว่าทำไมพอร์ตเล็กจึงสามารถที่จะโตได้ไวกว่าพอร์ตใหญ่
ข้อแรกก็คือ คนที่มีพอร์ตเล็ก ซึ่งผมคิดว่าเงินลงทุนไม่ควรเกิน 10 ล้านบาท นั้น สามารถที่จะซื้อหุ้นได้เกือบทุกตัวในตลาดหุ้นโดยที่จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายนัก นั่นย่อมหมายความว่าคนที่มีพอร์ตเล็กมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้มากกว่าคนพอร์ตใหญ่ ทำให้สามารถหาหุ้นที่อาจจะตัวเล็กแต่มีโอกาสในการเติบโตสูงกว่าปกติ แน่นอน คนที่พอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กได้ แต่เขาอาจจะซื้อได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ดังนั้น ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะทำกำไรให้เขาได้เป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว แต่เม็ดเงินที่ได้นั้นก็จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตโตขึ้นเท่าไรนัก ตัวอย่างเช่น นายเล็กมีพอร์ต 1 ล้านบาท เขาซื้อหุ้น A ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็ก 2 แสนบาท หุ้นขึ้นไป 2 เท่าภายในเวลาเพียง 1 ปี ดังนั้น เฉพาะหุ้นนี้เพียงตัวเดียวก็ทำกำไรให้คุณเล็กแล้ว 4 แสนบาทหรือเท่ากับ 40% ของพอร์ตแล้ว ในเวลาเดียวกัน ถ้านายใหญ่ซื้อหุ้น A เช่นเดียวกันด้วยเงินจำนวน 1 ล้านบาท กำไรของคุณใหญ่จะเท่ากับ 2 ล้านบาทภายในเวลาหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม พอร์ตของคุณใหญ่เท่ากับ 100 ล้านบาท ดังนั้น ผลตอบแทนที่คุณใหญ่ได้จากการลงทุนในหุ้น A ก็คือ 2% ของพอร์ต ซึ่งถือว่ามีผลน้อยมากต่อผลตอบแทนรวมของเขา
ข้อสอง คนที่มีพอร์ตเล็กนั้น สามารถที่จะ Focus หรือลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้มากกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ หลายคนลงทุนในหุ้นตัวเดียวหรือสองตัวในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวนั้นขึ้นไปสูงมาก เช่น 3-4 เท่าในเวลาหนึ่งปี ผลตอบแทนของเขาในปีนั้นก็จะเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม คนพอร์ตใหญ่มักจะมีหุ้นจำนวนมากตัวกว่ามาก หุ้นแต่ละตัวอาจจะมีมูลค่าเพียง 5-10% ของพอร์ต ดังนั้น แม้ว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะขึ้นไป 3-4 เท่า แต่หุ้นตัวอื่น ๆ ก็อาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นนัก บางตัวก็ลดลง ด้วยเหตุนั้น ผลตอบแทนรวมของพอร์ตก็อาจจะเป็นแค่ 30-40% ซึ่งก็ถือว่ามาก แต่ก็ยังห่างไกลจากคนที่มีพอร์ตเล็ก
ข้อสาม คนพอร์ตเล็กหลายคนที่อยากจะรวยเร็วจากหุ้นนั้น สามารถที่จะใช้มาร์จินหรือกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อซื้อหุ้น ดังนั้น ในยามที่เขาซื้อหุ้นได้ “ถูกตัว” คือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง ผลตอบแทนก็จะ “ทวีคูณ” จากร้อยก็อาจจะกลายเป็นสองร้อย จากสองร้อยก็อาจจะกลายเป็นสี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเวลาหนึ่งปี ในขณะเดียวกัน คนที่มีพอร์ตใหญ่นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะคิดว่าชีวิตตนเองก็อยู่ในสภาพที่ดีมากอยู่แล้ว เขาไม่อยากเสียมันไป แม้ว่าการใช้มาร์จินอาจจะทำกำไรให้เขามากขึ้น แต่ถ้าพลาด เงินของเขาจะสูญไปมาก และนั่นจะเป็นสิ่งที่ “เจ็บปวด” มากกว่า “ความสุข” ที่จะได้จากผลตอบแทนที่จะได้มากขึ้น ชั่งน้ำหนักแล้ว เขาจึงมักจะใช้มาร์จินน้อยกว่าหรือไม่ใช้มาร์จินเลย
ข้อสี่ คนพอร์ตเล็กที่อยากรวยเร็ว มักจะเทรดหรือซื้อขายหุ้นมากกว่าคนพอร์ตใหญ่ เขาสามารถเข้าหรือออกจากหุ้นได้ง่ายเนื่องจากปริมาณหุ้นที่เขาซื้อขายนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นในแต่ละวัน แนวทางของเขาก็อาจจะเป็นว่า เขาจะซื้อหุ้นในช่วงต้น ๆ ก่อนที่หุ้นจะมี “Story” หรือเรื่องราวดี ๆ แล้วขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงเนื่องจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นของนักเล่นหุ้นเมื่อหุ้นนั้นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุน เขามักจะไม่รอให้ผลประกอบการออกมาเพื่อยืนยันว่าบริษัทนั้นมีพื้นฐานที่ดีจริง ๆ หรือไม่ ด้วยวิธีนี้ การทำกำไรจากหุ้นของเขาจะทำได้หลายรอบกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ที่ไม่สามารถ “หมุนหุ้น” ได้หลาย ๆ รอบในหนึ่งปี จริงอยู่ คนที่มีพอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อ ๆ ขาย ๆ เข้าออกหุ้นได้หลาย ๆ รอบ แต่นั่นก็ทำได้เฉพาะกับหุ้นขนาดใหญ่มากเช่นหุ้นในกลุ่มการเงิน พลังงาน สื่อสาร ซึ่งหุ้นเหล่านี้มักจะใหญ่เกินกว่าที่จะมี Story ดี ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มากนัก
นักลงทุนที่พอร์ตยังเล็กบางคนนั้น ค่าที่ต้องการจะโตอย่างรวดเร็วที่สุดที่จะทำได้ เขาจึงใช้เทคนิคหรือแนวทางทุกอย่างที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นคือ ซื้อหุ้นตัวเล็กที่อาจจะมีสภาพคล่องต่ำแต่ก็ไม่น้อยเกินไปสำหรับเขา เขาลงทุนถือหุ้นเพียงตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดที่มี เขาเล่นหุ้นที่จะมีสตอรี่หรือเรื่องราวดี ๆ เช่น อาจจะเป็นหุ้นที่กำลัง “ฟื้นตัว” หรือบริษัทกำลังมีรูปแบบหรือ “โมเดลการทำธุรกิจใหม่” หรือ วัฏจักรธุรกิจกำลังเป็น “ขาขึ้น” อย่างแรง ต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อซื้อแล้วและหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น อาจจะด้วยเหตุผลที่คาดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาเชื่อว่าหุ้นกำลังจะ “วิ่ง” เขาก็จะใช้มาร์จินเต็มวงเงินเพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม และถ้าหากว่าหุ้นขึ้นไปอีก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รวมถึงผลจากการที่มีเม็ดเงินจากเขาเองเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่ม เขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกโดยใช้มาร์จินที่จะเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นที่เพิ่ม กระบวนการ “อัดมาร์จิน” แบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ราคาหุ้น โดยเฉพาะของหุ้นขนาดเล็ก วิ่งขึ้นไปแรงมาก เป็นหลาย ๆ เท่าตัวในเวลาอันสั้น เนื่องจากบางครั้ง การ “อัดมาร์จิน” ที่ว่านั้น ไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีนักลงทุนรายอื่นเข้ามาเล่นด้วย
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็เป็นการมองหรือวิเคราะห์ในด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่สดใส เป็นด้านที่ทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น และมักจะเป็นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ และนั่นทำให้นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนมหาศาลจนกลายเป็นนักลงทุนพอร์ตกลางและพอร์ตใหญ่ภายในเวลาไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม ถ้าหันมามองอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนที่มากกว่ามาก ที่ทำการลงทุนแบบเดียวกัน นั่นคือ ลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ถือหุ้นเพียงตัวเดียวหรือสองตัวในพอร์ต ใช้มาร์จินซื้อหุ้นเต็มอัตรา และเล่นหุ้นที่มี “สตอรี่” แบบเดียวกัน เพียงแต่ว่าในกรณีหลังนี้ เขาเข้ามาซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นได้ขึ้นไปสูงสุดกู่แล้ว และก็ต้องขายในช่วงที่หุ้นตกต่ำลงมา ผลลัพธ์ก็คือ เขาขาดทุนย่อยยับ กลายเป็นนักลงทุนที่ “พอร์ตเล็กเหมือนเดิม” ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี เหตุผลที่เขาก็ยังมีพอร์ตลงทุนอยู่ได้ก็คือ เขายังมีแหล่งเงินจากที่อื่นที่จะมาลงทุนได้เสมอตราบที่ยังมีความหวังว่าจะรวยจากตลาดหุ้นได้
คนพอร์ตเล็กนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางในแนวที่ผมพูดถึงและผมเองก็ไม่แนะนำให้เดินทางสาย “รวยเร็ว” แต่มีความเสี่ยงสูงมากอย่างที่กล่าว แน่นอน คนที่สำเร็จและเป็น Role Model ของนักลงทุนพอร์ตเล็กที่รวยเร็วมากนั้น ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่อยากทำตาม หลายคนคิดว่า “ไม่มีอะไรจะเสีย” แต่ผมคิดว่าโอกาสชนะก็น้อยมาก ยังมีแนวทางการลงทุนแบบอื่นที่อาจจะให้ผลไม่ต่างกันนักในระยะยาวแต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า