เราลงทุนแบบไหนแล้วมันใช่กับตัวเรา ก็ทำไปเถิด
![Smile :)](./images/smilies/icon_smile.gif)
คุณleky ทำเหมือนผมเลยครับleky เขียน:ขอขุดกระทู้ขึ้นมาหน่อยครับ
อยากทราบว่าตอนนี้ ท่านทั้งหลายที่เคยแสดงความเห็นกันในตอนนั้น ผ่านมาสองเดือนกว่าตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ครับ
1) ลงทุนเต็มที่เหมือนเดิม
2) ออกจากตลาดยังไม่กลับเข้ามา
3) ลงทุนบางส่วน รอจังหวะสวนอีกบางส่วน
ผมเองยังลงทุนเต็มที่เหมือนเดิม เพียงแต่ปรับพอร์ตบ้าง ปรับเอาตัวที่ดูไม่เป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ไว้ออก แลกกับหุ้นตัวที่คิดว่าดีกว่าแล้วราคาลงมาในจุดที่พอใจ
ช่วงนี้ดูเว็บเงียบกว่าเมื่อก่อนครับ
ผมคนหนึ่งล่ะที่เข็ดกับการ"ล้างพอร์ตสู่ความตาย"แล้วล่ะครับleky เขียน:ที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะตอนนั้นกระแส "ล้างพอร์ต" หนีตายแรงมาก ในขณะที่เวลาผ่านมากว่าสองเดือน เรื่องหนี้ยุโรปก็ยังมีมาเป็นระยะ ๆ แต่สภาพตลาดดูดีกว่าตอนนั้นมาก เท่าที่สังเกตเห็น กระทู้ใหม่ ๆ หรือการโพสต์ในตอนนี้ลดลงกว่าเดิมมาก ส่วนหนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากน้ำท่วมด้วย ที่ทำให้กิจกรรมการลงทุนลดลงไปจากที่หนีตาย "ล้างพอร์ต" กลายเป็น "หนีน้ำ" แทน แต่ที่อดคิดไม่ได้ก็คือหรือคนที่หนีตลาดไปตั้งหลักกลับมากันบ้างแล้วหรือยัง
เห็นด้วยครับ จะถนัดอย่างไหนก็ได้ แต่ให้เลือกเอาซักอย่างsakkaphan เขียน:สำหรับผมจะถือยาวก็คือถือยาว จะเล่นสั้นก็คือเล่นสั้น เอาสักอย่าง ไอประเภทตอนที่ตลาดขึ้นแล้วบอกว่าตัวเองคือVIถือยาว พอตลาดตกกูขายทิ้งกลายเป็นเล่นสั้นซะงั้น ถ้าใครเป็นแบบนี้อยู่ จากประสบการณ์ของผม ผมคิดว่านี่ไม่ใช่การ"ล้างพอร์ตหนีตาย"แต่เป็นการ"ล้างพอร์ตสู่ความตาย"นะครับ
ziannoom เขียน:เจ้าของกระทู้ขอมารายงานตัวครับ ขอบคุณที่ขุดกระทู้ขึ้นมา หวังว่าจะมีประโยชน์ให้กับคนอื่นๆบ้าง
เริ่มกันที่ผลการล้างพอร์ตตอนนั้นเทียบกับตอนนี้แล้วกัน
Synex ตัวนี้มีมากสุด ขายไป 4.98 ไปซื้อคืนแถว 4.2-4.4 แล้วก็ไปขายอีกตอน 4 บาท ตอนนี้ 5 บาท โง่บรรลัยเลย
SVI ขายไป 3.88 ตอนนี้ 3.36
SSI ขายไป 0.79 ตอนนี้ 0.8
TICON ขายไป 12.4 ตอนนี้ 11.2
เปรียบเทียบกับการไม่ทำอะไรเลย ก็ถือว่ามีค่าพอๆกันคือพอร์ตโดยรวมบวกลบ นิดหน่อย
แต่ถ้าเปรียบเทียบหลังจากนั้น set ขึ้นมากว่าสองร้อยจุดคิดเป็น 20กว่า% แต่หุ้นที่ซื้อเข้าไปใหม่ขึ้นมาบวกแค่ 10% กว่าๆ
แต่ประเด็นมันอยู่ที่เงินที่ลงทุนนั้นเป็นเงินที่เย็นไม่พอ ต้องนำมาเปิดร้านใหม่ จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจขายตอนนั้นแล้วนำเงินมาพักไว้กับบัญชีเงินฝาก ที่ฝากมาสองเดือนได้ดอกเบี้ย 3800
สรุป การลงทุนนี่ขอให้ใช้หลักการง่ายๆ
1 นำเงินที่เย็นจริงๆมาลงทุน
2 ลงทุนในบริษัทที่ดีมีกำไรต่อเนื่อง
3 หากหุ้นลงแล้วคิดว่าดีก็แค่ซื้อเพิ่ม
มันก็แค่นั้น แต่ทำได้หรือป่าวนี่สิปัญหา
ยอมรับครับว่าเดี๋ยวนี้หาคนที่มีประสบการณ์สมัยปี 40 ได้น้อยลงเรื่อย ๆ ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงนั้น แต่ตอนนั้นไม่ได้ลงทุนเต็มตัว แต่เชื่อว่าคนที่ผ่านช่วงนั้นมาและยังยืนหยัดอยู่ในตลาดจนถึงตอนนี้ ประสบการณ์ที่ได้มาในตอนนั้นน่าจะทำให้แกร่งขึ้นมาก เพราะหุ้นแย่อยู่ 6 ปี กว่าจะเป็นขาขึ้นในปี 46 บางครั้งหุ้นดี แต่ซื้อแล้วไม่ไปไหนdrsp เขียน:ขอชมว่าภรรยาสวย ลูกน่ารัก
สิ่งที่คุณมีอยู่ผมว่ามีค่ากว่ากําไรหุ้นนะครับ
ถ้าอยากเล่นหุ้นให้สบายใจ
ผมว่ากันเงินก้อนหนึ่งไว้ให้ครอบครัวเผื่อกรณีฉุกเฉิน
เงินที่เหลือค่อยมาลงทุน
จะเล่นหุ้นอย่างไรก็ได้
อย่าให้ครอบครัวเดือดร้อนก็แล้วกัน
การเล่นหุ้นเป็นการวิ่งมาราธอน
ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตร
ตอนปี40ผมขาดทุนหุ้นจากเงิน3ล้านเหลืออยู่3แสน
คนรอบข้างผมสาบส่งตลาดหุ้นกันหมด
ผมเองก็หยุดไประยะหนึ่งเพิ่งกลับมาเล่นใหม่
แต่เริ่มเล่นแบบมีหลักการมากขึ้น
ตอนนี้พอร์ทผม8หลัก
เฉพาะปันผลก็อยู่ได้สบาย
ถ้ายอมแพ้ไปก็คงไม่มีวันนี้
ขอให้คุณประสพความสําเร็จเช่นกันครับ
จำได้ว่าตอนที่คุณเซียนหนุ่มตั้งกระทู้ขึ้นมา ผมก็ขายล้างพอร์ตเหมือนกันครับ แต่ผมก็กลับเข้ามาซื้อใหม่ไม่ถึงสองอาทิตย์ มองย้อนหลังกลับไปดูเป็นบทเรียนที่ดีบทหนึ่ง จงมองที่ธุรกิจของเรามากกว่าที่จะมองเศรษฐกิจโลก แล้วกลับมามองว่ามีผลกระทบต่อบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ไหม และมากน้อยขนาดไหนkit556 เขียน:อ่านกระทู้หน้าแรก แล้วตกใจ จนมาเห็นว่าเป็นปี 2011 ก็มานั่งคิดว่าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น ผมนึกออกแค่เรื่องน้ำท่วม ส่วนเรื่อง ตลาดไม่รู้อะไรกับเขาเลย มันมีตกหนักด้วยหรือ เพราะตัวที่ผมถือก็ลงแต่ไม่เยอะเท่าไหร่
ที่สำคัญตอน Oct 2011 นี่สุดๆละ ทั้งเรื่องที่ทำงาน มีน้องสาวสองคน แม่แก่อีกหนึ่งคน วุ่นวายทั้งเดือน ขนาดหนีไปนอนอยู่ชะอำแล้ว ใจก็ยังว้าวุ่น วันๆดูแต่ข่าว น้ำมาหรือยัง ลดหรือยัง จริงๆก็คิดเหมือนกันว่าวิกฤติน้ำท่วมนี้น่าจะเป็นโอกาสซื้อหุ้นบางตัวถูก แต่พอลองเปิด port ดูหุ้นที่ถืออยู่มันลงแต่ไม่มีตัวไหนถูกจนน่าซื้อสักตัว
แป๊บเดียวผ่านมาปีนึงละ สถานะการณ์กลับด้านกับปีที่แล้วเลย ลุ้นมาเปิดกระทู้นี้อีกที Oct 2013 ดีกว่า