รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 31
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐสดใสหนุนตลาดหุ้นยุโรปบวก
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 07:41:11 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนขานรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย.และผลการประมูลพันธบัตรที่สดใสของรัฐบาลอิตาลี พร้อมกับจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับการควบคุมวิกฤตหนี้ของรมว.คลังยูโรโซนซึ่งที่กรุงบรัสเซลส์
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.8% แตะที่ 231.68 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3026.76 จุด บวก 13.83 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 5799.91 จุด บวก 54.58 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5337.00 จุด บวก 24.24 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 40.9 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 44.0 ในเดือนพ.ย. และข่าวที่ว่ารัฐบาลอิตาลีสามารถระดมทุนจากการประมูลพันธบัตรชุดใหม่ครั้งที่ 3 ได้ทั้งสิ้น 7.5 พันล้านยูโร ใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ที่ 8 พันล้านยูโร
นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมรมว.คลังยูโรโซนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ โดยมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะเร่งหาแนวทางควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดการเงิน นอกจากนี้คาดว่า ที่ประชุมจะหารือกันเกี่ยวกับการใช้เงินในกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) มาใช้ในการรับประกันตราสารหนี้ของรัฐบาลในยูโรโซน
หุ้น BASF ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขาย และนายเคิร์ท บ็อค ซีอีโอของ BASF ได้เปิดเผยกลยุทธ์การตลาดหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งได้ 7 เดือน
หุ้น K+S ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายธาตุโปแตชรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 3% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการพัฒนาแหล่งสำรองแร่ธาตุในแคนาดา
หุ้น G4S ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น G4S ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "neutral"
ส่วนหุ้นออริเฟลม คอสเมติกส์ ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของสวีเดน พุ่งขึ้น 7% หลังจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "buy" จากระดับ "accumulate"
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 07:41:11 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนขานรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย.และผลการประมูลพันธบัตรที่สดใสของรัฐบาลอิตาลี พร้อมกับจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับการควบคุมวิกฤตหนี้ของรมว.คลังยูโรโซนซึ่งที่กรุงบรัสเซลส์
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.8% แตะที่ 231.68 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3026.76 จุด บวก 13.83 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 5799.91 จุด บวก 54.58 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5337.00 จุด บวก 24.24 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 40.9 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 44.0 ในเดือนพ.ย. และข่าวที่ว่ารัฐบาลอิตาลีสามารถระดมทุนจากการประมูลพันธบัตรชุดใหม่ครั้งที่ 3 ได้ทั้งสิ้น 7.5 พันล้านยูโร ใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ที่ 8 พันล้านยูโร
นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมรมว.คลังยูโรโซนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ โดยมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะเร่งหาแนวทางควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดการเงิน นอกจากนี้คาดว่า ที่ประชุมจะหารือกันเกี่ยวกับการใช้เงินในกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) มาใช้ในการรับประกันตราสารหนี้ของรัฐบาลในยูโรโซน
หุ้น BASF ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขาย และนายเคิร์ท บ็อค ซีอีโอของ BASF ได้เปิดเผยกลยุทธ์การตลาดหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งได้ 7 เดือน
หุ้น K+S ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายธาตุโปแตชรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 3% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการพัฒนาแหล่งสำรองแร่ธาตุในแคนาดา
หุ้น G4S ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น G4S ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "neutral"
ส่วนหุ้นออริเฟลม คอสเมติกส์ ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของสวีเดน พุ่งขึ้น 7% หลังจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "buy" จากระดับ "accumulate"
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 32
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: แรงขายทำกำไรฉุดนิกเกอิเปิดลบ 70.19 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 08:10:28 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดลดลง 70.19 จุด แตะที่ 8,407.63 จุดในวันนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วง 2 วันทำการที่ผ่ามา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 40.9 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 44.0 ในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 08:10:28 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดลดลง 70.19 จุด แตะที่ 8,407.63 จุดในวันนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วง 2 วันทำการที่ผ่ามา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 40.9 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 44.0 ในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 33
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์พุ่ง 490.05 จุดหลัง 6 แบงก์ชาติบรรเทาสภาพคล่องตึงตัว
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 06:25:14 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อให้ธุรกรรมการกู้ยืมไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP Employer Services ที่ระบุว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนตำแหน่งในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 490.05 จุด หรือ 4.24% ปิดที่ 12,045.68 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 51.77 จุด หรือ 4.33% ปิดที่ 1,246.96 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 104.83 จุด หรือ 4.17% ปิดที่ 2,620.34 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งขานรับรายงานที่ว่า เฟด พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความร่วมมือในการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในระบบการเงินโลก ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป
อัตราดอกเบี้ย OIS เป็นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นประเภทหนึ่ง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะช่วยให้รธุรกรรมการกู้ยืมเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่งยังตกลงกันว่าจะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2556
เฟดระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และบรรเทาผลกระทบของภาวะดังกล่าวที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนและภาคเอกชน การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งถือการดำเนินการครั้งแรกในรอบประมาณ 3 ปี เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวรัฐมนตรีคลังของ 17 ชาติสมาชิกยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป มีมติให้เพิ่มขนาดทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงการจ้างงานในภาคเอกชน
ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้
การเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนทำให้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.
หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 7.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 8.4% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 8.9% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปิดพุ่งขึ้น หลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุด 4 แห่งของสหรัฐ รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค
หุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ พุ่งขึ้น 8.1% หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 15%
ส่วนหุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอเมริกัน แอร์ไลน์ส พลิกกลับมาปิดตลาดพุ่งขึ้น 23% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร อันเนื่องมาจากข่าวเอเอ็มอาร์ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายต่อศาลในเมืองแมนฮัทตันของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 06:25:14 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อให้ธุรกรรมการกู้ยืมไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP Employer Services ที่ระบุว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนตำแหน่งในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 490.05 จุด หรือ 4.24% ปิดที่ 12,045.68 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 51.77 จุด หรือ 4.33% ปิดที่ 1,246.96 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 104.83 จุด หรือ 4.17% ปิดที่ 2,620.34 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งขานรับรายงานที่ว่า เฟด พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความร่วมมือในการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในระบบการเงินโลก ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป
อัตราดอกเบี้ย OIS เป็นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นประเภทหนึ่ง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะช่วยให้รธุรกรรมการกู้ยืมเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่งยังตกลงกันว่าจะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2556
เฟดระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และบรรเทาผลกระทบของภาวะดังกล่าวที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนและภาคเอกชน การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งถือการดำเนินการครั้งแรกในรอบประมาณ 3 ปี เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวรัฐมนตรีคลังของ 17 ชาติสมาชิกยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป มีมติให้เพิ่มขนาดทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงการจ้างงานในภาคเอกชน
ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้
การเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนทำให้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.
หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 7.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 8.4% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 8.9% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปิดพุ่งขึ้น หลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุด 4 แห่งของสหรัฐ รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค
หุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ พุ่งขึ้น 8.1% หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 15%
ส่วนหุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอเมริกัน แอร์ไลน์ส พลิกกลับมาปิดตลาดพุ่งขึ้น 23% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร อันเนื่องมาจากข่าวเอเอ็มอาร์ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายต่อศาลในเมืองแมนฮัทตันของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 34
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวหลัง 6 แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ยสวอปดอลล์-จีนลด RRR
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 22:44:02 น.
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่ง เห็นพ้องต้องกันในการลดดอกเบี้ยสวอปดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR)
ดัชนี Stoxx Europe 600 ดีดตัวขึ้น 2.8% แตะ 238.14 จุด ณ เวลา 14.35 น.ตามเวลาลอนดอน หลังจากที่ร่วงลง 1.1% ก่อนหน้านี้ภายหลังบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ พีแอลซี และยูบีเอส เอจี
หุ้นบาร์เคลย์ส พีแอลซี, ดอยช์แบงก์ เอจี ดีดตัวขึ้นคึกคัก ขณะที่หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน และบีพี พีแอลซี ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เห็นพ้องต้องกันว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยในการสวอปเงินดอลลาร์ลง 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ และได้มีการตกลงกันว่า จะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนประกาศผ่านทางเว็บไซต์ว่า ทางธนาคารจะลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยเป็นการประกาศลด RRR ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 22:44:02 น.
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่ง เห็นพ้องต้องกันในการลดดอกเบี้ยสวอปดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR)
ดัชนี Stoxx Europe 600 ดีดตัวขึ้น 2.8% แตะ 238.14 จุด ณ เวลา 14.35 น.ตามเวลาลอนดอน หลังจากที่ร่วงลง 1.1% ก่อนหน้านี้ภายหลังบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ พีแอลซี และยูบีเอส เอจี
หุ้นบาร์เคลย์ส พีแอลซี, ดอยช์แบงก์ เอจี ดีดตัวขึ้นคึกคัก ขณะที่หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน และบีพี พีแอลซี ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เห็นพ้องต้องกันว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยในการสวอปเงินดอลลาร์ลง 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ และได้มีการตกลงกันว่า จะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนประกาศผ่านทางเว็บไซต์ว่า ทางธนาคารจะลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยเป็นการประกาศลด RRR ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 35
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: มาตรการแบงก์ชาติทั่วโลกหนุนฟุตซี่พุ่ง 168.42 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 07:22:57 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ และธนาคารกลางจีนประกาศลดเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ (RRR)
ดัชนี FTSE 100 พุ่งขึ้น 168.42 จุด ปิดที่ 5505.42 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และช่วยให้ธนาคารนอกสหรัฐสามารถระดมทุนดอลลาร์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดลอนดอน โดยหุ้นคาซัคมิสพุ่งขึ้น 6.5% หุ้นอันโตฟากัสต้าพุ่งขึ้น 9.2% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 3.9%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 7.1% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ทะยานขึ้นกว่า 7% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส พุ่งขึ้น 6.7%
อย่างไรก็ตาม หุ้นเคร์น เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจแหล่งสำรองน้ำมัน ร่วงลง 1% หลังจากบริษัทประกาศยุติโครงการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งกรีนแลนด์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 07:22:57 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ และธนาคารกลางจีนประกาศลดเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ (RRR)
ดัชนี FTSE 100 พุ่งขึ้น 168.42 จุด ปิดที่ 5505.42 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และช่วยให้ธนาคารนอกสหรัฐสามารถระดมทุนดอลลาร์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดลอนดอน โดยหุ้นคาซัคมิสพุ่งขึ้น 6.5% หุ้นอันโตฟากัสต้าพุ่งขึ้น 9.2% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 3.9%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 7.1% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ทะยานขึ้นกว่า 7% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส พุ่งขึ้น 6.7%
อย่างไรก็ตาม หุ้นเคร์น เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจแหล่งสำรองน้ำมัน ร่วงลง 1% หลังจากบริษัทประกาศยุติโครงการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งกรีนแลนด์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 36
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดพุ่ง 146.59 จุดขานรับมาตรการแบงก์ชาติทั่วโลก
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 07:41:29 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดพุ่งขึ้น 146.59 จุด แตะที่ 8,581.20 จุดในวันนี้ (1 ธ.ค.) โดยนิกเกอิทะยานขึ้นกว่า 2% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายที่จะบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 07:41:29 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดพุ่งขึ้น 146.59 จุด แตะที่ 8,581.20 จุดในวันนี้ (1 ธ.ค.) โดยนิกเกอิทะยานขึ้นกว่า 2% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายที่จะบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 37
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ลบ 25.65 จุดหลังจำนวนคนว่างงานสหรัฐพุ่ง
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 06:25:29 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากข่าวสเปนที่ประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตร และดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 25.65 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 12,020.03 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.38 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 1,244.58 จุด ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 5.86 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 2,626.20 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนีดาวโจนส์และดัชนีหลักๆเคลื่อนตัวเข้าสู่แดนลบและแดนบวกสลับกันเกือบตลอดทั้งวัน หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ
ดัชนีดาวโจนส์อ่อนตัวลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ย.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 402,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 396,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือนที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 400,000 ราย และสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะถดถอยในปีหน้า โดยเฉพาะหากสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐปล่อยให้โครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานและการลดภาษีการจ้างงานหมดอายุลงในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq สามารถดีดตัวขึ้นในปิดในแดนบวกได้ เนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่าสเปนสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 3.7 พันล้านยูโร (5.1 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ ขณะที่ฝรั่งเศสสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 4.346 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่กำหนดไว้ที่ 4.5 พันล้านยูโร
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรของสเปนและฝรั่งเศสช่วยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศต่างๆทั่วยุโรปปรับตัวลดลง และการที่ทั้งสองประเทศสามารถระดมทุนด้วยการขายพันธบัตรได้ตามเป้านั้น แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงต้องการถือครองสินทรัพย์ของประเทศยูโรโซน ในขณะที่ผู้นำยุโรปพยายามหาทางควบคุมวิกฤหนี้ไม่ให้ลุกลาม
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากรายงานของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้
หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 3.3% และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยพยุงดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ไม่ให้ปรับตัวลงมากเกินไป ขณะที่หุ้นอัลโค อิงค์ ร่วงลง 2.1% หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกอ่อนตัวลง
หุ้นยาฮูพุ่งขึ้น 3.3% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทหลายแห่ง รวมถึงอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงส์ กำลังเตรียมเสนอซื้อกิจการยาฮู
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า รัฐแมสซาชูเซทส์ได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับธนาคารรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ เนื่องจากการบิดเบือนข้อมูลและดำเนินการยึดบ้านหลุดจำนองอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 1.8% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.7%
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 06:25:29 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากข่าวสเปนที่ประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตร และดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 25.65 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 12,020.03 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.38 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 1,244.58 จุด ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 5.86 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 2,626.20 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนีดาวโจนส์และดัชนีหลักๆเคลื่อนตัวเข้าสู่แดนลบและแดนบวกสลับกันเกือบตลอดทั้งวัน หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ
ดัชนีดาวโจนส์อ่อนตัวลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ย.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 402,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 396,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือนที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 400,000 ราย และสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะถดถอยในปีหน้า โดยเฉพาะหากสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐปล่อยให้โครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานและการลดภาษีการจ้างงานหมดอายุลงในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq สามารถดีดตัวขึ้นในปิดในแดนบวกได้ เนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่าสเปนสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 3.7 พันล้านยูโร (5.1 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ ขณะที่ฝรั่งเศสสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 4.346 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่กำหนดไว้ที่ 4.5 พันล้านยูโร
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรของสเปนและฝรั่งเศสช่วยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศต่างๆทั่วยุโรปปรับตัวลดลง และการที่ทั้งสองประเทศสามารถระดมทุนด้วยการขายพันธบัตรได้ตามเป้านั้น แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงต้องการถือครองสินทรัพย์ของประเทศยูโรโซน ในขณะที่ผู้นำยุโรปพยายามหาทางควบคุมวิกฤหนี้ไม่ให้ลุกลาม
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากรายงานของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้
หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 3.3% และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยพยุงดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ไม่ให้ปรับตัวลงมากเกินไป ขณะที่หุ้นอัลโค อิงค์ ร่วงลง 2.1% หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกอ่อนตัวลง
หุ้นยาฮูพุ่งขึ้น 3.3% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทหลายแห่ง รวมถึงอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงส์ กำลังเตรียมเสนอซื้อกิจการยาฮู
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า รัฐแมสซาชูเซทส์ได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับธนาคารรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ เนื่องจากการบิดเบือนข้อมูลและดำเนินการยึดบ้านหลุดจำนองอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 1.8% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.7%
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 38
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงขายหุ้นแบงก์,พลังงาน ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 16.08 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:23:07 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานตัวเลขคนว่างงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 16.08 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 5,489.34 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ย.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 402,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 396,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือนที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 400,000 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง ภายหลังจากที่จีนเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตที่หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยหุ้นบีพีร่วงลง 1.4% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับตัวลง 0.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากแรงเทขายทำกำไร โดยหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง ร่วงลง 3.3% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 2.1% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ร่วงลง 1.7% แต่หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ขึ้นสู่ระดับ A+ จากระดับ A เนื่องจากธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย
หุ้นเบอร์เบอรี่ กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3% หลังจากนักวิเคราะห์ของเซมัวร์ เพียร์ซ ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว ส่วนหุ้นโรลส์-รอยซ์ ขยับขึ้น 0.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโรลส์-รอยซ์เช่นกัน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:23:07 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานตัวเลขคนว่างงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 16.08 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 5,489.34 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ย.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 402,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 396,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือนที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 400,000 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง ภายหลังจากที่จีนเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตที่หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยหุ้นบีพีร่วงลง 1.4% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับตัวลง 0.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากแรงเทขายทำกำไร โดยหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง ร่วงลง 3.3% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 2.1% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ร่วงลง 1.7% แต่หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ขึ้นสู่ระดับ A+ จากระดับ A เนื่องจากธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย
หุ้นเบอร์เบอรี่ กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3% หลังจากนักวิเคราะห์ของเซมัวร์ เพียร์ซ ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว ส่วนหุ้นโรลส์-รอยซ์ ขยับขึ้น 0.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโรลส์-รอยซ์เช่นกัน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 39
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบหลังภาคการผลิตจีน-ยูโรโซนหดตัว
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:39:56 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของจีนและประเทศยูโรโซนหดตัวลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงไม่มากนักเนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรของสเปนและฝรั่งเศส
ดัชนี Stoxx 600 ร่วงลง 0.7% ปิดที่ 238.49 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง 52.96 จุด หรือ 0.87% ปิดที่ 6,035.88 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,017.38-6,111.97 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 24.67 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 3,129.95 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,119.74-3,168.92 จุด
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 16.08 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 5,489.34 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,486.87-5,553.89 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากรายงานภาคการผลิตที่อ่อนแอของจีนและยูโรโซน โดยสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย.ของจีน ร่วงลง 1.4 จุด มาอยู่ที่ระดับ 49 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.4 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552
มาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซน ร่วงลงสู่ระดับ 46.4 ในเดือนพ.ย. จาก 47.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งตัวเลขที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัว โดยผลสำรวจบ่งชี้ว่าผลผลิตภาคการผลิตของเยอรมนีลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าสองปี ขณะที่ผลผลิตของฝรั่งเศสอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2552
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนในระหว่างวันหลังจากมีรายงานว่า สเปนสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 3.7 พันล้านยูโร (5.1 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ ขณะที่ฝรั่งเศสสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 4.346 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่กำหนดไว้ที่ 4.5 พันล้านยูโร
หุ้น Hochtief AG ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านสนามบินของยุโรป ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้น Vinci SA ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่ของยุโรป ดิ่งลง 2% หลังจากมีรายงานว่า Vinci SA ถอนตัวออกจากการยื่นข้อเสนอซื้อธุรกิจการดำเนินงานสนามบินของ Hochtief AG
หุ้นธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ ร่วงลง 2% และหุ้นธนาคารโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ดิ่งลง 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:39:56 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของจีนและประเทศยูโรโซนหดตัวลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงไม่มากนักเนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรของสเปนและฝรั่งเศส
ดัชนี Stoxx 600 ร่วงลง 0.7% ปิดที่ 238.49 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง 52.96 จุด หรือ 0.87% ปิดที่ 6,035.88 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,017.38-6,111.97 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 24.67 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 3,129.95 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,119.74-3,168.92 จุด
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 16.08 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 5,489.34 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,486.87-5,553.89 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากรายงานภาคการผลิตที่อ่อนแอของจีนและยูโรโซน โดยสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย.ของจีน ร่วงลง 1.4 จุด มาอยู่ที่ระดับ 49 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.4 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552
มาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซน ร่วงลงสู่ระดับ 46.4 ในเดือนพ.ย. จาก 47.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งตัวเลขที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัว โดยผลสำรวจบ่งชี้ว่าผลผลิตภาคการผลิตของเยอรมนีลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าสองปี ขณะที่ผลผลิตของฝรั่งเศสอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2552
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนในระหว่างวันหลังจากมีรายงานว่า สเปนสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 3.7 พันล้านยูโร (5.1 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ ขณะที่ฝรั่งเศสสามารถประมูลขายพันธบัตรได้ 4.346 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่กำหนดไว้ที่ 4.5 พันล้านยูโร
หุ้น Hochtief AG ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านสนามบินของยุโรป ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้น Vinci SA ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่ของยุโรป ดิ่งลง 2% หลังจากมีรายงานว่า Vinci SA ถอนตัวออกจากการยื่นข้อเสนอซื้อธุรกิจการดำเนินงานสนามบินของ Hochtief AG
หุ้นธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ ร่วงลง 2% และหุ้นธนาคารโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ดิ่งลง 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 40
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิบวก 20.36 จุดขานรับภาคการผลิตสหรัฐแข็งแกร่ง
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:42:15 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้น 20.36 จุด หรือ 0.24% แตะที่ 8,617.74 จุด หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาทีในวันนี้ (2 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 07:42:15 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้น 20.36 จุด หรือ 0.24% แตะที่ 8,617.74 จุด หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาทีในวันนี้ (2 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 41
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์บวก 78.41 จุดหลังเยอรมนี-ฝรั่งเศสตกลงคุมวิกฤตหนี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 06:41:09 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) หลังจากผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงการควบคุมวินัยด้านการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นของประเทศยูโรโซน ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะสามารถหาทางควบคุมวิกฤตหนี้ยุโรปได้ อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดถูกสกัดลงหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" แก่ 15 ประเทศในกลุ่มยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 78.41 จุด หรือ 0.65% ปิดที่ 12,097.83 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 12.80 จุด หรือ 1.03% แตะที่ 1,257.08 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 28.83 จุด หรือ 1.10% แตะที่ 2,655.76 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นหลังจากประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โคซีของฝรั่งเศส เปิดเผยว่าเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมวินัยด้านการคลังที่มีความเข้มงวดมากขึ้นสำหรับประเทศยูโรโซน โดยผู้นำยุโรปจะลงมติในเรื่องดังกล่าวในในวันศุกร์นี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป และปรับงบประมาณของประเทศให้อยู่ภาวะสมดุลภายในปี 2556
ในช่วงเช้านั้น ตลาดให้น้ำหนักกับความเคลื่อนไหวของผู้นำเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งเป็น 3 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของยูโรโซน แต่ตลาดลดแรงบวกลงในช่วงบ่าย หลังจากเอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่อ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก ) ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสถึง 50% ที่ประเทศเหล่านี้จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือภายใน 90 วันข้างหน้า
เอสแอนด์พีระบุว่า การให้เครดิจพินิจในครั้งนี้เป็นเพราะความตึงเครียดในเชิงระบบของยูโรโซนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและกำลังเพิ่มแรงกดดันให้กับสถานะด้านความน่าเชื่อถือของทุกประเทศในกลุ่มยูโรโซน
หุ้นกลุ่มการเงินแข็งแกร่ง โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 3.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นการเงินที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 5.9% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดตัวขึ้น 6.8%
หุ้นแจนเนทท์ โค ซึ่งเป็นบริษัทสื่อรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 10.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของลาซาร์ด แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 'buy' จากระดับ 'neutra'
หุ้นซัคเซสแฟคเตอร์ส อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายซอฟแวร์ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ พุ่งขึ้น 51%
สำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการขยายตัวที่ระดับ 52 จุดในเดือนพ.ย. แต่น้อยกว่าเดือนต.ค.ที่ขยายตัว 52.9 จุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 06:41:09 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) หลังจากผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงการควบคุมวินัยด้านการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นของประเทศยูโรโซน ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะสามารถหาทางควบคุมวิกฤตหนี้ยุโรปได้ อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดถูกสกัดลงหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" แก่ 15 ประเทศในกลุ่มยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 78.41 จุด หรือ 0.65% ปิดที่ 12,097.83 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 12.80 จุด หรือ 1.03% แตะที่ 1,257.08 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 28.83 จุด หรือ 1.10% แตะที่ 2,655.76 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นหลังจากประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โคซีของฝรั่งเศส เปิดเผยว่าเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมวินัยด้านการคลังที่มีความเข้มงวดมากขึ้นสำหรับประเทศยูโรโซน โดยผู้นำยุโรปจะลงมติในเรื่องดังกล่าวในในวันศุกร์นี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป และปรับงบประมาณของประเทศให้อยู่ภาวะสมดุลภายในปี 2556
ในช่วงเช้านั้น ตลาดให้น้ำหนักกับความเคลื่อนไหวของผู้นำเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งเป็น 3 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของยูโรโซน แต่ตลาดลดแรงบวกลงในช่วงบ่าย หลังจากเอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่อ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก ) ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสถึง 50% ที่ประเทศเหล่านี้จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือภายใน 90 วันข้างหน้า
เอสแอนด์พีระบุว่า การให้เครดิจพินิจในครั้งนี้เป็นเพราะความตึงเครียดในเชิงระบบของยูโรโซนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและกำลังเพิ่มแรงกดดันให้กับสถานะด้านความน่าเชื่อถือของทุกประเทศในกลุ่มยูโรโซน
หุ้นกลุ่มการเงินแข็งแกร่ง โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 3.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นการเงินที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 5.9% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดตัวขึ้น 6.8%
หุ้นแจนเนทท์ โค ซึ่งเป็นบริษัทสื่อรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 10.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของลาซาร์ด แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 'buy' จากระดับ 'neutra'
หุ้นซัคเซสแฟคเตอร์ส อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายซอฟแวร์ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ พุ่งขึ้น 51%
สำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการขยายตัวที่ระดับ 52 จุดในเดือนพ.ย. แต่น้อยกว่าเดือนต.ค.ที่ขยายตัว 52.9 จุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 42
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่บวก 15.67 จากความหวังยุโรปคุมวิกฤตหนี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 07:36:35 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) ขานรับข่าวอิตาลีประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และข่าวผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงการควบคุมวินัยด้านการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นของประเทศยูโรโซน
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 15.67 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 5,567.96 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โกซีของฝรั่งเศส และนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้บรรลุข้อตกลงการเพิ่มความเข้มงวดด้านวินัยการคลังของประเทศยูโรโซน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของกลุ่มยูโรโซน
ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์ เพื่อดูว่ามาตรการเพิ่มวินัยด้านการคลังที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสนั้น จะผ่านความเห็นชอบจากผู้นำของประเทศอื่นๆในยูโรโซนในการประชุมครั้งนี้หรือไม่
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป และปรับงบประมาณของประเทศให้อยู่ภาวะสมดุลภายในปี 2556
หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 6.3% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) พุ่งขึ้น 5.3%
หุ้นอาเบอร์ดีน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนรายใหญ่ของสก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปี 2554
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 07:36:35 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) ขานรับข่าวอิตาลีประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และข่าวผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงการควบคุมวินัยด้านการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นของประเทศยูโรโซน
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 15.67 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 5,567.96 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โกซีของฝรั่งเศส และนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้บรรลุข้อตกลงการเพิ่มความเข้มงวดด้านวินัยการคลังของประเทศยูโรโซน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของกลุ่มยูโรโซน
ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์ เพื่อดูว่ามาตรการเพิ่มวินัยด้านการคลังที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสนั้น จะผ่านความเห็นชอบจากผู้นำของประเทศอื่นๆในยูโรโซนในการประชุมครั้งนี้หรือไม่
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป และปรับงบประมาณของประเทศให้อยู่ภาวะสมดุลภายในปี 2556
หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 6.3% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) พุ่งขึ้น 5.3%
หุ้นอาเบอร์ดีน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนรายใหญ่ของสก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปี 2554
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 43
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกขานรับมาตรการรัดเข็มขัดอิตาลี
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 07:44:30 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลอิตาลีประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวปัญหาหนี้ของอิตาลี
ดัชนี Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น 0.8% ปิดที่ 242.75 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก 25.41 จุด หรือ 0.42% แตะที่ 6,106.09 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,086.42-6,170.04 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 36.33 จุด หรือ 1.15% แตะที่ 3,201.28 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,183.57-3,215.78 จุด
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 15.67 จุด หรือ 0.28% แตะที่ 5,567.96 หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,545.93-5,602.80 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจและป้องกันผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป
นายมอนติกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการปฏิรูประบบบำเน็จบำนาญและการเกษียณอายุงาน การเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ และการเก็บอากรสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย เช่นเรือยอชต์และรถยนต์ราคาแพง และยังครอบคลุมถึงการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการลงทุน การเปิดเสรีด้านอาชีพ และการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นบังโค ซานตานเดร์ ธนาคารรายใหญ่ของสเปน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นยูนิเครดิต ธนาคารรายใหญ่สุดของอิตาลี พุ่งขึ้น 5.4% หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ธนาคารรายใหญ่ของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 4.9%
อย่างไรก็ตาม หุ้นมิเชล เพจ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทจัดหางานของยุโรป ร่วงลง 5.2% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการปี 2554
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 07:44:30 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลอิตาลีประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวปัญหาหนี้ของอิตาลี
ดัชนี Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น 0.8% ปิดที่ 242.75 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก 25.41 จุด หรือ 0.42% แตะที่ 6,106.09 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,086.42-6,170.04 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 36.33 จุด หรือ 1.15% แตะที่ 3,201.28 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,183.57-3,215.78 จุด
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 15.67 จุด หรือ 0.28% แตะที่ 5,567.96 หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,545.93-5,602.80 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเร่งด่วน มูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร หรือว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจและป้องกันผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป
นายมอนติกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการปฏิรูประบบบำเน็จบำนาญและการเกษียณอายุงาน การเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ และการเก็บอากรสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย เช่นเรือยอชต์และรถยนต์ราคาแพง และยังครอบคลุมถึงการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการลงทุน การเปิดเสรีด้านอาชีพ และการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นบังโค ซานตานเดร์ ธนาคารรายใหญ่ของสเปน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นยูนิเครดิต ธนาคารรายใหญ่สุดของอิตาลี พุ่งขึ้น 5.4% หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ธนาคารรายใหญ่ของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 4.9%
อย่างไรก็ตาม หุ้นมิเชล เพจ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทจัดหางานของยุโรป ร่วงลง 5.2% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการปี 2554
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 44
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์บวก 52.30 จุดจากความหวังอียูขยายกองทุน EFSF
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 06:20:54 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) จะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยลดแรงกดดันในตลาดหลังจากที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนี และอีก 5 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 52.30 จุด หรือ 0.43% แตะที่ 12,150.13 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 1.39 จุด หรือ 0.11% แตะที่ 1,258.47 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 6.20 จุด หรือ 0.23% แตะที่ 2,649.56 จุด
ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากเอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก) และเตือนว่าผลการประชุมสุดยอดผู้นำอียูในวันที่ 9 ธ.ค.จะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า 15 ประเทศเหล่านี้จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือไม่
การให้เครดิตพินิจแนวโน้มเชิงลบหมายความว่ามีโอกาสถึง 50% ที่ 15 ประเทศยูโรโซนจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือภายใน 90 วันข้างหน้า เนื่องจากความตึงเครียดในระบบการเงินของยูโรโซนมีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ, ต้นทุนการรับประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้น และหนี้สินของรัฐบาลและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุน EFSF ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะเร่งหาแนวทางป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้
ตลาดได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อรัฐบาลเยอรมนีไม่ได้แสดงความวิตกกังวลต่อความเคลื่อนไหวของเอสแอนด์พี โดยนายวูลฟ์กัง ชอยเบิล รมว.คลังเยอรมนี กล่าวว่า การที่เอสแอนด์พีประกาศให้เครดิตพินิจเชิงลบแก่ 15 ประเทศยูโรโซนนั้น ถือเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำยุโรปที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแผนการกู้วิกฤตหนี้ให้ได้ในการประชุมอียูวันศุกร์นี้
หุ้น 3M ดีดตัวขึ้น 1.5% หลังจากบริษัทคาดว่าผลประกอบการอาจจะเพิ่มขึ้น 6% ในปีหน้า ขณะที่หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากนักวิเคราะห์ของสแตนฟอร์ด แบร์สเติร์น ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นจีอี ขึ้นสู่ระดับ 'outperform' จากระดับ 'market perform'
หุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนหุ้นเมโทรพีซีเอส คอมมูนิเคชันส์ ทะยานขึ้น 7.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นสื่อสารโทรคมนาคมที่คำนวณในดัชนี S&P 500
อย่างไรก็ตาม หุ้นอัลฟา เนเชอรัล รีซอสเซส ร่วงลง 1.1% จากข่าวที่ว่าทางบริษัทยอมจ่ายเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องจากอุบัติเหตุรุนแรงที่เหมืองในปี 2553 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 29 คน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 06:20:54 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) จะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยลดแรงกดดันในตลาดหลังจากที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนี และอีก 5 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 52.30 จุด หรือ 0.43% แตะที่ 12,150.13 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 1.39 จุด หรือ 0.11% แตะที่ 1,258.47 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 6.20 จุด หรือ 0.23% แตะที่ 2,649.56 จุด
ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากเอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก) และเตือนว่าผลการประชุมสุดยอดผู้นำอียูในวันที่ 9 ธ.ค.จะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า 15 ประเทศเหล่านี้จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือไม่
การให้เครดิตพินิจแนวโน้มเชิงลบหมายความว่ามีโอกาสถึง 50% ที่ 15 ประเทศยูโรโซนจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือภายใน 90 วันข้างหน้า เนื่องจากความตึงเครียดในระบบการเงินของยูโรโซนมีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ, ต้นทุนการรับประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้น และหนี้สินของรัฐบาลและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุน EFSF ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะเร่งหาแนวทางป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้
ตลาดได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อรัฐบาลเยอรมนีไม่ได้แสดงความวิตกกังวลต่อความเคลื่อนไหวของเอสแอนด์พี โดยนายวูลฟ์กัง ชอยเบิล รมว.คลังเยอรมนี กล่าวว่า การที่เอสแอนด์พีประกาศให้เครดิตพินิจเชิงลบแก่ 15 ประเทศยูโรโซนนั้น ถือเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำยุโรปที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแผนการกู้วิกฤตหนี้ให้ได้ในการประชุมอียูวันศุกร์นี้
หุ้น 3M ดีดตัวขึ้น 1.5% หลังจากบริษัทคาดว่าผลประกอบการอาจจะเพิ่มขึ้น 6% ในปีหน้า ขณะที่หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากนักวิเคราะห์ของสแตนฟอร์ด แบร์สเติร์น ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นจีอี ขึ้นสู่ระดับ 'outperform' จากระดับ 'market perform'
หุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนหุ้นเมโทรพีซีเอส คอมมูนิเคชันส์ ทะยานขึ้น 7.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นสื่อสารโทรคมนาคมที่คำนวณในดัชนี S&P 500
อย่างไรก็ตาม หุ้นอัลฟา เนเชอรัล รีซอสเซส ร่วงลง 1.1% จากข่าวที่ว่าทางบริษัทยอมจ่ายเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องจากอุบัติเหตุรุนแรงที่เหมืองในปี 2553 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 29 คน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 45
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงซื้อเก็งกำไรหนุนฟุตซี่ปิดบวก 0.76 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:16:19 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร โดยหุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่รายใหญ่ของอังกฤษ พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุด อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากข่าวสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 0.76 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 5,568.72 จุด
แรงซื้อเก็งกำไรช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวก โดยหุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองทองแดงรายใหญ่ พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตทองแดงในปีหน้าเป็น 720,000 ตัน จากปีนี้ที่ระดับ 640,000 ตัน ขณะที่หุ้นเอ็กสตราต้า ซึ่งเป็นผู้ส่งออกถ่านหินเพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน ดีดตัวขึ้น 1.5% เพราะได้แรงหนุนจากราคาถ่านหินที่ฟื้นตัวขึ้น
หุ้นโวลเซลีย์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความร้อนรายใหญ่ของอังกฤษ ทะยานขึ้น 3.6%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวเอสแอนด์พีประกาศเตือนว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศในยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี หากที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ ไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง โดยหุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ร่วงลง 4.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่หุ้นเน็กซ์ ดิ่งลง 3.2% และหุ้นโฮม รีเทล กรุ๊ป ร่วงลง 8.6%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางอังกฤษซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดสภาพคล่องสกุลเงินปอนด์เข้าสู่ระบบการธนาคารภายในประเทศ เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อที่เป็นผลมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:16:19 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร โดยหุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่รายใหญ่ของอังกฤษ พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุด อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากข่าวสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 0.76 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 5,568.72 จุด
แรงซื้อเก็งกำไรช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวก โดยหุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองทองแดงรายใหญ่ พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตทองแดงในปีหน้าเป็น 720,000 ตัน จากปีนี้ที่ระดับ 640,000 ตัน ขณะที่หุ้นเอ็กสตราต้า ซึ่งเป็นผู้ส่งออกถ่านหินเพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน ดีดตัวขึ้น 1.5% เพราะได้แรงหนุนจากราคาถ่านหินที่ฟื้นตัวขึ้น
หุ้นโวลเซลีย์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความร้อนรายใหญ่ของอังกฤษ ทะยานขึ้น 3.6%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวเอสแอนด์พีประกาศเตือนว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศในยูโรโซน รวมถึงเยอรมนี หากที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ ไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง โดยหุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ร่วงลง 4.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่หุ้นเน็กซ์ ดิ่งลง 3.2% และหุ้นโฮม รีเทล กรุ๊ป ร่วงลง 8.6%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางอังกฤษซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดสภาพคล่องสกุลเงินปอนด์เข้าสู่ระบบการธนาคารภายในประเทศ เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อที่เป็นผลมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 46
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ข่าว S&P ขู่ลดเครดิตปท.ยุโรป ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:42:10 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) เนื่องจากภาวะการซื้อขายได้รับแรงกดดันหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนี และอีก 5 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA
ดัชนี Stoxx 600 ปิดลบ 0.3% แตะที่ 241.92 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,179.63 จุด ลดลง 21.65 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 6,028.82 จุด ลดลง 77.27 จุด แต่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,568.72 จุด เพิ่มขึ้น 0.76 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน หลังจาก เอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก)
เอสแอนด์พีเตือนว่า อาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศในยูโรโซน หากที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ ไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้ พร้อมระบุว่าความตึงเครียดในระบบการเงินของยูโรโซนมีความรุนแรงมากขึ้น อันเนื่องมาจากภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ, ต้นทุนการรับประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้น และหนี้สินของรัฐบาลและภาคครัวเรือนที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงไม่มากนัก เนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากรายงานของไฟแนนเชียล ไทมส์ที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุน EFSF ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะเร่งหาแนวทางป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปร่วงลง โดยหุ้นเครดิต อะกริโคล ดิ่งลง 3.2% หุ้นธนาคารเคบีซี กรุ๊ป ร่วงลง 4.5% หุ้นบังโค เอสปริริโต ซานโต ซึ่งเป็นธนาคารของโปรตุเกส ร่วงลง 12%
หุ้นฟินเมคคานิคา ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่สุดของอิตาลี ร่วงลง 4.8% หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของฟินเมคคานิคา ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB
หุ้นอาร์ดับเบิลยู เอจี ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ดิ่งลง 7.2% ขณะที่หุ้นเมโทร เอจี บริษัทค้าปลีกของเยอรมนี ร่วงลง 14%
หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 3.4% หลังจากหนังสือพิมพ์ลา ทริบูน รายงานว่าแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม เตรียมออกมาตรการประหยัดการใช้จ่ายมูลค่าหลายล้านยูโรในปี 2556
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:42:10 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) เนื่องจากภาวะการซื้อขายได้รับแรงกดดันหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเยอรมนี และอีก 5 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA
ดัชนี Stoxx 600 ปิดลบ 0.3% แตะที่ 241.92 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,179.63 จุด ลดลง 21.65 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 6,028.82 จุด ลดลง 77.27 จุด แต่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,568.72 จุด เพิ่มขึ้น 0.76 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน หลังจาก เอสแอนด์พีประกาศให้ "เครดิตพินิจ แนวโน้มเชิงลบ" ต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศกลุ่มยูโรโซน รวมถึง 6 ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA (เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก)
เอสแอนด์พีเตือนว่า อาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 15 ประเทศในยูโรโซน หากที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ ไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้ พร้อมระบุว่าความตึงเครียดในระบบการเงินของยูโรโซนมีความรุนแรงมากขึ้น อันเนื่องมาจากภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ, ต้นทุนการรับประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้น และหนี้สินของรัฐบาลและภาคครัวเรือนที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงไม่มากนัก เนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากรายงานของไฟแนนเชียล ไทมส์ที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุน EFSF ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผู้นำยุโรปจะเร่งหาแนวทางป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปร่วงลง โดยหุ้นเครดิต อะกริโคล ดิ่งลง 3.2% หุ้นธนาคารเคบีซี กรุ๊ป ร่วงลง 4.5% หุ้นบังโค เอสปริริโต ซานโต ซึ่งเป็นธนาคารของโปรตุเกส ร่วงลง 12%
หุ้นฟินเมคคานิคา ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่สุดของอิตาลี ร่วงลง 4.8% หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของฟินเมคคานิคา ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB
หุ้นอาร์ดับเบิลยู เอจี ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ดิ่งลง 7.2% ขณะที่หุ้นเมโทร เอจี บริษัทค้าปลีกของเยอรมนี ร่วงลง 14%
หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 3.4% หลังจากหนังสือพิมพ์ลา ทริบูน รายงานว่าแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม เตรียมออกมาตรการประหยัดการใช้จ่ายมูลค่าหลายล้านยูโรในปี 2556
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 47
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดบวก 54.03 จุด ตลาดจับตาอียูซัมมิท
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:59:44 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดบวก 54.03 จุด แตะที่ 8,629.19 จุดในวันนี้ (7 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการปิดบวกของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่มีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ในวันศุกร์นี้
โบรกเกอร์กล่าวว่า ตลาดหุ้นโตเกียวได้ปัจจัยบวกจากการปิดบวกของตลาดหุ้นนิวยอร์ก อันเนื่องมาจากความคาดหวังที่ว่าผู้นำอียูจะใช้มาตรการควบคุมวิกฤตหนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมอียูในวันศุกร์ และก่อนที่ทางการจีนจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) รวมทั้งการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 ธันวาคม 2554 07:59:44 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดบวก 54.03 จุด แตะที่ 8,629.19 จุดในวันนี้ (7 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการปิดบวกของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่มีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ในวันศุกร์นี้
โบรกเกอร์กล่าวว่า ตลาดหุ้นโตเกียวได้ปัจจัยบวกจากการปิดบวกของตลาดหุ้นนิวยอร์ก อันเนื่องมาจากความคาดหวังที่ว่าผู้นำอียูจะใช้มาตรการควบคุมวิกฤตหนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมอียูในวันศุกร์ และก่อนที่ทางการจีนจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) รวมทั้งการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 48
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์บวก 46.24 จุด ขณะตลาดจับตาประชุมอียู
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 06:21:08 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ จะสามารถหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซนได้ ซึ่งรวมถึงการออกกฎระเบียบใหม่ในการสร้างวินัยด้านการคลัง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 46.24 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 12,196.37 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.54 จุด หรือ 0.20% แตะที่ 1,261.01 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 0.35 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 2,649.21 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ที่ประชุมอียูจะสามารถหาทางป้องกันและควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศยักษ์ใหญ่ของยูโรโซน รวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศส ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 6 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับเครดิตขั้น AAA หากที่ประชุมอียูวันศุกร์นี้ไม่สามารถหาทางป้องกันปัญหาหนี้ได้
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดของผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดสนใจจะอยู่ที่กฎเกณฑ์ใหม่ในการประสานนโยบายการคลังเข้าด้วยกัน โดยนักลงทุนจับตาดูว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่ เพราะการแก้ไขสนธิสัญญาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ขณะที่สื่อบางแห่งคาดว่าที่ประชุมอาจจะหารือกันเกี่ยวกับการให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของประเทศสมาชิกยูโรโซนจัดหาเม็ดเงินให้แก่ไอเอ็มเอฟ เพื่อให้ไอเอ็มเอฟนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการแก้ไขวิกฤติหนี้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า ปัญหาหนี้ยุโรปเป็นปัญหาร้ายแรงเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในอนาคตอันใกล้นี้
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการซื้อคืนหุ้น ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดตัวขึ้น 1.9%
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลงหนักสุด หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ โดยหุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและเหมืองแร่ ร่วงลง 1.1% ขณะที่พีบอดี้ เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.4% หุ้นอาร์ช โคล อิงค์ ร่วงลง 3.4% และหุ้นอัลฟา เนเชอรัล รีซอสเซส ปรับตัวลง 0.9%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% และอาจจะประกาศอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเงินทุนในภาคธนาคาร
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 06:21:08 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ จะสามารถหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซนได้ ซึ่งรวมถึงการออกกฎระเบียบใหม่ในการสร้างวินัยด้านการคลัง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 46.24 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 12,196.37 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.54 จุด หรือ 0.20% แตะที่ 1,261.01 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 0.35 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 2,649.21 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ที่ประชุมอียูจะสามารถหาทางป้องกันและควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศยักษ์ใหญ่ของยูโรโซน รวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศส ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 6 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับเครดิตขั้น AAA หากที่ประชุมอียูวันศุกร์นี้ไม่สามารถหาทางป้องกันปัญหาหนี้ได้
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดของผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดสนใจจะอยู่ที่กฎเกณฑ์ใหม่ในการประสานนโยบายการคลังเข้าด้วยกัน โดยนักลงทุนจับตาดูว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่ เพราะการแก้ไขสนธิสัญญาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ขณะที่สื่อบางแห่งคาดว่าที่ประชุมอาจจะหารือกันเกี่ยวกับการให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของประเทศสมาชิกยูโรโซนจัดหาเม็ดเงินให้แก่ไอเอ็มเอฟ เพื่อให้ไอเอ็มเอฟนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการแก้ไขวิกฤติหนี้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า ปัญหาหนี้ยุโรปเป็นปัญหาร้ายแรงเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในอนาคตอันใกล้นี้
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการซื้อคืนหุ้น ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดตัวขึ้น 1.9%
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลงหนักสุด หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ โดยหุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและเหมืองแร่ ร่วงลง 1.1% ขณะที่พีบอดี้ เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.4% หุ้นอาร์ช โคล อิงค์ ร่วงลง 3.4% และหุ้นอัลฟา เนเชอรัล รีซอสเซส ปรับตัวลง 0.9%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% และอาจจะประกาศอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเงินทุนในภาคธนาคาร
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 49
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ลบ 21.81 จุด เหตุตลาดกังวลก่อนประชุมอียู
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:28:39 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากมีรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษร่วงหนักเกินคาดในเดือนต.ค. เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 5,546.91 จุด ลดลง 21.81 จุด
ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้น ขานรับความคาดหวังที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูในวันศุกร์นี้จะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการใช้มาตรการกู้วิกฤตหนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดัชนี FTSE 100 ก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าสู่แดนลบ หลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลเยอรมนีคาดว่าที่ประชุมอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการคลี่คลายวิกฤติหนี้ยูโรโซน
ความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 4.4% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ร่วงลง 3% และหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง กรุ๊ป ร่วงลง 2.7%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นคาซัคมิสร่วงลง 2.8% หุ้นเอ็กสตราต้าดิ่งลง 2.2% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.5%
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงหลังจากสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า รายได้สุทธิโดยรวมของธุรกิจสายการบินทั่วโลกจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2555 จากปี 2554 ที่ระดับ 6.9 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หุ้นไอเอจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริติช แอร์เวยส์ ร่วงลง 3.3% หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ ดิ่งลง 1.4% และหุ้นอีซีเจ็ท ร่วงลง 1.1%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในช่วงเย็นวันนี้ตามเวลาไทย หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดสภาพคล่องสกุลเงินปอนด์เข้าสู่ระบบการธนาคารภายในประเทศ เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อที่เป็นผลมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:28:39 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากมีรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษร่วงหนักเกินคาดในเดือนต.ค. เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 5,546.91 จุด ลดลง 21.81 จุด
ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้น ขานรับความคาดหวังที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูในวันศุกร์นี้จะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการใช้มาตรการกู้วิกฤตหนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดัชนี FTSE 100 ก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าสู่แดนลบ หลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลเยอรมนีคาดว่าที่ประชุมอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการคลี่คลายวิกฤติหนี้ยูโรโซน
ความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 4.4% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ร่วงลง 3% และหุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง กรุ๊ป ร่วงลง 2.7%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นคาซัคมิสร่วงลง 2.8% หุ้นเอ็กสตราต้าดิ่งลง 2.2% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.5%
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงหลังจากสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า รายได้สุทธิโดยรวมของธุรกิจสายการบินทั่วโลกจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2555 จากปี 2554 ที่ระดับ 6.9 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หุ้นไอเอจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริติช แอร์เวยส์ ร่วงลง 3.3% หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ ดิ่งลง 1.4% และหุ้นอีซีเจ็ท ร่วงลง 1.1%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในช่วงเย็นวันนี้ตามเวลาไทย หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดสภาพคล่องสกุลเงินปอนด์เข้าสู่ระบบการธนาคารภายในประเทศ เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อที่เป็นผลมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 50
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดร่วงหลังเยอรมนีปัดข้อเสนอรวมกองทุนกู้วิกฤตยูโรโซน
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:44:06 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอให้มีการรวมกองทุนช่วยเหลือยูโรโซนในปัจจุบันเข้ากับกองทุนถาวร นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นในแง่ลบเรื่องผลการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นที่กรุงบรัสเซลล์ในวันที่ 8-9 ธ.ค.
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.2 % ปิดที่ 241.44 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง 34.09 จุด หรือ 0.57% ปิดที่ 5,994.73 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,919.56-6,137.05 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 3.65 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 3,175.98 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,131.99-3,244.89 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง 21.81 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 5,546.91 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,497.96-5,631.88 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป หลังจากเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้กองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป โดยย้ำว่ากองทุน EFSF จะถูกทดแทนด้วยกองทุนถาวรที่มีชื่อว่ากลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ตามระยะเวลาที่ได้มีการกำหนดไว้ในปี 2556 และจะไม่มีการใช้กองทุนทั้งสองพร้อมกันเด็ดขาด
นอกจากนี้ เยอรมนียังได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูในครั้งนี้ โดยกล่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีคาดว่า ที่ประชุมอาจจะไม่สามารถข้อตกลงกันได้ในเรื่องการกู้วิกฤติหนี้ยูโรโซนเนื่องจากรัฐบาลของหลายประเทศยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สถานการณ์ในขณะนี้มีความรุนแรงมากเพียงใด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงแม้มีรายงานว่าเยอรมนีประสบความสำเร็จในการพันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 4.09 พันล้านยูโร (5.48 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ความต้องการซื้อพันธบัตรสูงกว่าจำนวนที่นำออกจำหน่าย
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง โดยหุ้นบังคา มอนเต เดอ ปาสชี เดอ เซียนา ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของอิตาลี ร่วงลง 4.8% หุ้นไอเอ็นจี กรุ๊ป ดิ่งลง 4.7%
นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% และอาจจะประกาศอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเงินทุนในภาคธนาคาร
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:44:06 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอให้มีการรวมกองทุนช่วยเหลือยูโรโซนในปัจจุบันเข้ากับกองทุนถาวร นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นในแง่ลบเรื่องผลการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นที่กรุงบรัสเซลล์ในวันที่ 8-9 ธ.ค.
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.2 % ปิดที่ 241.44 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง 34.09 จุด หรือ 0.57% ปิดที่ 5,994.73 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,919.56-6,137.05 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 3.65 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 3,175.98 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,131.99-3,244.89 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง 21.81 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 5,546.91 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,497.96-5,631.88 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป หลังจากเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้กองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป โดยย้ำว่ากองทุน EFSF จะถูกทดแทนด้วยกองทุนถาวรที่มีชื่อว่ากลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ตามระยะเวลาที่ได้มีการกำหนดไว้ในปี 2556 และจะไม่มีการใช้กองทุนทั้งสองพร้อมกันเด็ดขาด
นอกจากนี้ เยอรมนียังได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูในครั้งนี้ โดยกล่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีคาดว่า ที่ประชุมอาจจะไม่สามารถข้อตกลงกันได้ในเรื่องการกู้วิกฤติหนี้ยูโรโซนเนื่องจากรัฐบาลของหลายประเทศยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สถานการณ์ในขณะนี้มีความรุนแรงมากเพียงใด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงแม้มีรายงานว่าเยอรมนีประสบความสำเร็จในการพันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 4.09 พันล้านยูโร (5.48 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ความต้องการซื้อพันธบัตรสูงกว่าจำนวนที่นำออกจำหน่าย
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง โดยหุ้นบังคา มอนเต เดอ ปาสชี เดอ เซียนา ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของอิตาลี ร่วงลง 4.8% หุ้นไอเอ็นจี กรุ๊ป ดิ่งลง 4.7%
นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% และอาจจะประกาศอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเงินทุนในภาคธนาคาร
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 51
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดร่วง 92.98 จุดหลังญี่ปุ่นเผยยอดซื้อเครื่องจักรหดตัว
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:53:43 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดร่วงลง 92.98 จุด แตะที่ 8,629.19 จุดในวันนี้ (8 ธ.ค.) หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนหดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนต.ค.
รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งไม่นับรวมเครื่องจักรที่ใช้ในอตุสาสหกรรมเดินเรือและสาธารณูปโภค หดตัวลง 6.9% ในเดือนต.ค. มาอยู่ที่ระดับ 6.874 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนของญี่ปุ่นลดการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าทุน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโตเกียวยังเปิดตลาดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายเพื่อทำกำไร หลังจากดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนเมื่อวานนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554 07:53:43 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดร่วงลง 92.98 จุด แตะที่ 8,629.19 จุดในวันนี้ (8 ธ.ค.) หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนหดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนต.ค.
รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งไม่นับรวมเครื่องจักรที่ใช้ในอตุสาสหกรรมเดินเรือและสาธารณูปโภค หดตัวลง 6.9% ในเดือนต.ค. มาอยู่ที่ระดับ 6.874 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนของญี่ปุ่นลดการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าทุน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโตเกียวยังเปิดตลาดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายเพื่อทำกำไร หลังจากดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนเมื่อวานนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 52
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ดิ่ง 198.67 จุดหลังอีซีบีไม่มีแผนซื้อบอนด์ล็อตใหญ่
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 06:34:41 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง 1.63% เมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) หลังจากประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เปิดเผยว่า อีซีบียังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลล็อตใหญ่ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ การที่อีซีบีส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลังจากที่ปรับลดไป 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนมีความวิตกกังวล ก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ในวันศุกร์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 198.67 จุด หรือ 1.63% ปิดที่ 11,997.70 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 26.66 จุด หรือ 2.11% ปิดที่ 1,234.35 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 52.83 จุด หรือ 1.99% ปิดที่ 2,596.38 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลการประชุมครั้งล่าสุดของอีซีบี ซึ่งแม้ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของอีซีบีมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมเสนอวงเงินกู้ระยะเวลา 3 ปีอย่างไม่จำกัดจำนวนให้กับธนาคารพาณิชย์ แต่นายมาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีประกาศว่า อีซีบีไม่มีแผนการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลล็อตใหญ่ของรัฐบาลยูโรโซนตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และยังกล่าวด้วยว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันนี้ เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ พร้อมกับส่งสัญญาณ อีซีบีจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ด้วย
การแสดงความคิดเห็นของนายดรากิทำให้นักลงทุนมองว่า อีซีบียังไม่ได้ใช้มาตรการที่เด็ดขาดมากพอในการควบคุมการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ และยังส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลี สเปน และประเทศอื่นๆในยูโรโซน พุ่งขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านี้กำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ ความผิดหวังต่อผลการประชุมอีซีบีทำให้นักลงทุนมองข้ามปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ธ.ค.ลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 381,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 404,000 ราย
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดของผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดสนใจจะอยู่ที่กฎเกณฑ์ใหม่ในการประสานนโยบายการคลังเข้าด้วยกัน โดยนักลงทุนจับตาดูว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่ เพราะการแก้ไขสนธิสัญญาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 7% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 8.4% ส่วนหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 5.1%
หุ้นแมคโดนัล คอร์ป ดีดตัวขึ้น 0.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นคอสโค โฮลเซลส์ ร่วงลง หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ลดลง เนื่องต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค.ในวันนี้เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสหรัฐจะขาดดุลการค้า 4.35 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นจาก 4.311 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐในวันนี้เวลา 21.55 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าคาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะอยู่ที่ 65.5 จุด เพิ่มขึ้นจาก 64.1 ในช่วงท้าย เดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 06:34:41 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง 1.63% เมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) หลังจากประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เปิดเผยว่า อีซีบียังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลล็อตใหญ่ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ การที่อีซีบีส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลังจากที่ปรับลดไป 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนมีความวิตกกังวล ก่อนที่จะรับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ในวันศุกร์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 198.67 จุด หรือ 1.63% ปิดที่ 11,997.70 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 26.66 จุด หรือ 2.11% ปิดที่ 1,234.35 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 52.83 จุด หรือ 1.99% ปิดที่ 2,596.38 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลการประชุมครั้งล่าสุดของอีซีบี ซึ่งแม้ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของอีซีบีมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมเสนอวงเงินกู้ระยะเวลา 3 ปีอย่างไม่จำกัดจำนวนให้กับธนาคารพาณิชย์ แต่นายมาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีประกาศว่า อีซีบีไม่มีแผนการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลล็อตใหญ่ของรัฐบาลยูโรโซนตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และยังกล่าวด้วยว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันนี้ เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ พร้อมกับส่งสัญญาณ อีซีบีจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ด้วย
การแสดงความคิดเห็นของนายดรากิทำให้นักลงทุนมองว่า อีซีบียังไม่ได้ใช้มาตรการที่เด็ดขาดมากพอในการควบคุมการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ และยังส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลี สเปน และประเทศอื่นๆในยูโรโซน พุ่งขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านี้กำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ ความผิดหวังต่อผลการประชุมอีซีบีทำให้นักลงทุนมองข้ามปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ธ.ค.ลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 381,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 404,000 ราย
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดของผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดสนใจจะอยู่ที่กฎเกณฑ์ใหม่ในการประสานนโยบายการคลังเข้าด้วยกัน โดยนักลงทุนจับตาดูว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่ เพราะการแก้ไขสนธิสัญญาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 7% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 8.4% ส่วนหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 5.1%
หุ้นแมคโดนัล คอร์ป ดีดตัวขึ้น 0.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นคอสโค โฮลเซลส์ ร่วงลง หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ลดลง เนื่องต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค.ในวันนี้เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสหรัฐจะขาดดุลการค้า 4.35 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นจาก 4.311 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐในวันนี้เวลา 21.55 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าคาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะอยู่ที่ 65.5 จุด เพิ่มขึ้นจาก 64.1 ในช่วงท้าย เดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 53
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ร่วง 63.14 จุด หลังอีซีบีเมินซื้อบอนด์เพิ่ม
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 07:46:56 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวทางการควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการสกัดกั้นการลุกลามของปัญหาหนี้ รวมถึงการไม่ประกาศซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 63.14 จุด ปิดที่ 5,483.77 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีเปิดเผยว่า อีซีบียังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม และการที่อีซีบีประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ ก็เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ อีกทั้งยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนผิดหวังต่อแผนการกู้วิกฤตหนี้ยูโรโซนของอีซีบี
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบและโลหะในตลาดโลก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลง 3.11% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 2.24%
อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทบริติช อเมริกัน โทแบคโค พุ่งขึ้น 1.5% ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ส่วนหุ้นอิมพีเรียล โทแบคโค ดีดขึ้น 0.7%
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และวิกฤตหนี้ยูโรโซน นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษยังได้ตัดสินใจที่จะไม่ขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 2.75 แสนล้านปอนด์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 07:46:56 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวทางการควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการสกัดกั้นการลุกลามของปัญหาหนี้ รวมถึงการไม่ประกาศซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 63.14 จุด ปิดที่ 5,483.77 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีเปิดเผยว่า อีซีบียังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม และการที่อีซีบีประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ ก็เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ อีกทั้งยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนผิดหวังต่อแผนการกู้วิกฤตหนี้ยูโรโซนของอีซีบี
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบและโลหะในตลาดโลก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลง 3.11% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 2.24%
อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทบริติช อเมริกัน โทแบคโค พุ่งขึ้น 1.5% ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ส่วนหุ้นอิมพีเรียล โทแบคโค ดีดขึ้น 0.7%
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และวิกฤตหนี้ยูโรโซน นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษยังได้ตัดสินใจที่จะไม่ขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 2.75 แสนล้านปอนด์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 54
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วงหลังอีซีบียืนยันไม่ซื้อพันธบัตรเพิ่ม
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 08:10:21 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศว่าจะไม่เข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงินยุโรประบุว่า ธนาคารหลายแห่งในยุโรปจะต้องระดมทุนเพิ่ม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.5% ปิดที่ 237.71 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 120.29 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 5,874.44 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,868.63-6,077.17 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 80.49 จุด หรือ 2.53% ปิดที่ 3,095.49 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,091.23-3,215.59 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลง 63.14 จุด หรือ 1.14% ปิดที่ 5,483.77 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,483.77-5,605.27 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีประกาศว่า อีซีบีไม่มีแผนการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และยังกล่าวด้วยว่าการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันนี้ เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ พร้อมกับส่งสัญญาณ อีซีบีจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ด้วย
แถลงการณ์ของนายดรากีทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังต่อผลการประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ที่กรุงบรัสเซลส์ซึ่งจะเสร็จสิ้นลงในครั้งนี้ นอกจากนัก นักลงทุนยังกังวลเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปหลังจากเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้กองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป โดยย้ำว่ากองทุน EFSF จะถูกทดแทนด้วยกองทุนถาวรที่มีชื่อว่ากลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ตามระยะเวลาที่ได้มีการกำหนดไว้ในปี 2556 และจะไม่มีการใช้กองทุนทั้งสองพร้อมกันเด็ดขาด
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงินของยุโรประบุว่า ธนาคารของยุโรปจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่ม 1.147 แสนล้านยูโร หรือ 1.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นคอมเมิร์ซ แบงก์ และหุ้นดอยช์ แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของเยอรมนี ร่วงลง 9.5% และ 4.3% ตามลำดับ ส่วนหุ้นอินเทซา ซานเปาโล ซึ่งเป็นธนาคารของอิตาลี ดิ่งลง 8.9% และหุ้นธนาคารโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ของฝรั่งเศส ร่วงลง 4.5%
หุ้นฟินเมคคานิคา ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่สุดของอิตาลี ดิ่งลง 9.4% ปิดที่ 3.02 ยูโร หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นฟินเมคคานิคา พร้อมกับปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นดังกล่าวลง 44% มาอยู่ที่ระดับ 2.50 ยูโร
หุ้นเปอร์โยต์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศส ร่วงลง 7.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบีเอ็นพี พาริบาส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเปอร์โยต์ลงมาอยู่ที่ระดับ "neutral" จากระดับ "outperform"
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 08:10:21 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศว่าจะไม่เข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงินยุโรประบุว่า ธนาคารหลายแห่งในยุโรปจะต้องระดมทุนเพิ่ม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.5% ปิดที่ 237.71 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 120.29 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 5,874.44 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,868.63-6,077.17 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 80.49 จุด หรือ 2.53% ปิดที่ 3,095.49 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,091.23-3,215.59 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลง 63.14 จุด หรือ 1.14% ปิดที่ 5,483.77 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,483.77-5,605.27 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีประกาศว่า อีซีบีไม่มีแผนการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และยังกล่าวด้วยว่าการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันนี้ เป็นมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ พร้อมกับส่งสัญญาณ อีซีบีจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้ด้วย
แถลงการณ์ของนายดรากีทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังต่อผลการประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ที่กรุงบรัสเซลส์ซึ่งจะเสร็จสิ้นลงในครั้งนี้ นอกจากนัก นักลงทุนยังกังวลเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปหลังจากเยอรมนีปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้กองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป โดยย้ำว่ากองทุน EFSF จะถูกทดแทนด้วยกองทุนถาวรที่มีชื่อว่ากลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ตามระยะเวลาที่ได้มีการกำหนดไว้ในปี 2556 และจะไม่มีการใช้กองทุนทั้งสองพร้อมกันเด็ดขาด
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงินของยุโรประบุว่า ธนาคารของยุโรปจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่ม 1.147 แสนล้านยูโร หรือ 1.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นคอมเมิร์ซ แบงก์ และหุ้นดอยช์ แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของเยอรมนี ร่วงลง 9.5% และ 4.3% ตามลำดับ ส่วนหุ้นอินเทซา ซานเปาโล ซึ่งเป็นธนาคารของอิตาลี ดิ่งลง 8.9% และหุ้นธนาคารโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ของฝรั่งเศส ร่วงลง 4.5%
หุ้นฟินเมคคานิคา ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่สุดของอิตาลี ดิ่งลง 9.4% ปิดที่ 3.02 ยูโร หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นฟินเมคคานิคา พร้อมกับปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นดังกล่าวลง 44% มาอยู่ที่ระดับ 2.50 ยูโร
หุ้นเปอร์โยต์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศส ร่วงลง 7.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบีเอ็นพี พาริบาส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเปอร์โยต์ลงมาอยู่ที่ระดับ "neutral" จากระดับ "outperform"
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 55
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดร่วง 143.25 จุดหลังอีซีบีไม่ซื้อบอนด์เพิ่ม
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 08:23:03 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดร่วงลง 143.25 จุด แตะที่ 8,521.33 จุดในวันนี้ (9 ธ.ค.) เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยืนยันว่าจะไม่เข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า อีซีบีประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบียืนยันว่าอีซีบีจะไม่ซื้อพันธบัตรเพิ่ม ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ว่าอีซีบีจะมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขวิกฤตหนี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 08:23:03 น.
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดตลาดร่วงลง 143.25 จุด แตะที่ 8,521.33 จุดในวันนี้ (9 ธ.ค.) เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยืนยันว่าจะไม่เข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า อีซีบีประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบียืนยันว่าอีซีบีจะไม่ซื้อพันธบัตรเพิ่ม ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ว่าอีซีบีจะมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขวิกฤตหนี้
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 56
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์พุ่ง 186.56 จุดรับอียูเพิ่มทุน IMF,คุมเข้มการคลัง
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554 08:09:50 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้ใช้บทบัญญัติด้านการคลัง ซึ่งมีเป้าหมายที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณและการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวที่ประชุมอียูมีมติเพิ่มทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 186.56 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 12,184.26 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 20.84 จุด หรือ 1.69% ปิดที่ 1,255.19 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 50.47 จุด หรือ 1.94% ปิดที่ 2,646.85 จุด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.4% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.9% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.8%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นขานรับมติของที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียู ที่กำหนดให้มีการใช้บทบัญญัติทางการคลังฉบับใหม่ซึ่งตั้งอยู่บนสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลและการเพิ่มความแข็งแกร่งในการประสานนโยบายเศรษฐกิจในประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แทนการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาของอียู โดยกำหนดว่าประเทศสมาชิกควรมียอดขาดดุลงบประมาณต่อปีไม่เกิน 0.5% ของจีดีพี ซึ่งมีเป้าหมายที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณและการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม อังกฤษปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนบทบัญญัตินี้ เนื่องจากอังกฤษต้องการคุ้มครองภาคการเงินภายในประเทศของตนเอง
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวที่ประชุมอียูมีมติให้เพิ่มทุนมูลค่า 2 แสนล้านยูโรให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และร่นระยะเวลาการใช้กลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ให้เร็วขึ้นจากเดิม 1 ปี โดยมีศักยภาพในการปล่อยเงินกู้ร่วมกันกับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ในวงเงิน 5 แสนล้านยูโร
นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวว่า "นี่เป็นการบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค บทบัญญัติด้านการคลังจะนำไปสู่การพัฒนา 'สหภาพการคลัง' แบบค่อยเป็นค่อยไป และเราจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่"
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 67.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงท้ายเดือนพ.ย.ที่ระดับ 64.1 จุด ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 65.5 จุด และยังเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นแข็งแกร่งขานรับผลประชุมอียู โดยหุ้บแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 3% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 3.7% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.1%
หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาส อย่างไรก็ตาม หุ้นดูปองท์ และหุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ร่วงลงกว่า 3% หลังจากทั้งสองบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554 08:09:50 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้ใช้บทบัญญัติด้านการคลัง ซึ่งมีเป้าหมายที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณและการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวที่ประชุมอียูมีมติเพิ่มทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 186.56 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 12,184.26 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 20.84 จุด หรือ 1.69% ปิดที่ 1,255.19 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 50.47 จุด หรือ 1.94% ปิดที่ 2,646.85 จุด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.4% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.9% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.8%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นขานรับมติของที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียู ที่กำหนดให้มีการใช้บทบัญญัติทางการคลังฉบับใหม่ซึ่งตั้งอยู่บนสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลและการเพิ่มความแข็งแกร่งในการประสานนโยบายเศรษฐกิจในประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แทนการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาของอียู โดยกำหนดว่าประเทศสมาชิกควรมียอดขาดดุลงบประมาณต่อปีไม่เกิน 0.5% ของจีดีพี ซึ่งมีเป้าหมายที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณและการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม อังกฤษปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนบทบัญญัตินี้ เนื่องจากอังกฤษต้องการคุ้มครองภาคการเงินภายในประเทศของตนเอง
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวที่ประชุมอียูมีมติให้เพิ่มทุนมูลค่า 2 แสนล้านยูโรให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และร่นระยะเวลาการใช้กลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ให้เร็วขึ้นจากเดิม 1 ปี โดยมีศักยภาพในการปล่อยเงินกู้ร่วมกันกับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ในวงเงิน 5 แสนล้านยูโร
นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวว่า "นี่เป็นการบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค บทบัญญัติด้านการคลังจะนำไปสู่การพัฒนา 'สหภาพการคลัง' แบบค่อยเป็นค่อยไป และเราจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่"
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 67.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงท้ายเดือนพ.ย.ที่ระดับ 64.1 จุด ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 65.5 จุด และยังเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นแข็งแกร่งขานรับผลประชุมอียู โดยหุ้บแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 3% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 3.7% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.1%
หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาส อย่างไรก็ตาม หุ้นดูปองท์ และหุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ร่วงลงกว่า 3% หลังจากทั้งสองบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 57
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่บวก 45.44 จุดรับข่าวอียูอัดฉีดเงินทุนให้ IMFข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554 11:36:20 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) ขานรับที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้อัดฉีดเงินทุนมูลค่า 2 แสนล้านยูโร ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาหนี้
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 45.44 จุด หรือ 0.8% แตะที่ 5,529.21 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นขานรับที่ประชุมอียูมีมติให้จัดหาเงินทุนวงเงิน 2 แสนล้านยูโร หรือ 2.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับไอเอ็มเอฟ เพื่อช่วยให้ไอเอ็มเอฟมีศักยภาพในการแก้ไขวิกฤติหนี้สินยูโรโซนได้มากขึ้น โดยมีรายงานว่าผู้นำอียูจะให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆในยุโรปเป็นผู้จัดหาเงินทุนให้กับไอเอ็มเอฟ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ผู้นำอียูมีมติให้ใช้บทบัญญัติด้านการคลังเพื่อควบคุมการลุกลามของปัญหาหนี้และการขาดดุลงบประมาณของประเทศยูโรโซน
หุ้นบาร์เคลย์ส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของอังกฤษเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ พุ่งขึ้น 5.4% หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 6.5%
หุ้นเบลล์เวย์ ดีดตัวขึ้น 2.8% ขณะที่หุ้นแอฟริกัน แบร์ริค โกลด์ ร่วงลง 2.1% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลผลิตในช่วงปลายปีจนถึงต้นปีหน้า
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) ขานรับที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้อัดฉีดเงินทุนมูลค่า 2 แสนล้านยูโร ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาหนี้
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 45.44 จุด หรือ 0.8% แตะที่ 5,529.21 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นขานรับที่ประชุมอียูมีมติให้จัดหาเงินทุนวงเงิน 2 แสนล้านยูโร หรือ 2.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับไอเอ็มเอฟ เพื่อช่วยให้ไอเอ็มเอฟมีศักยภาพในการแก้ไขวิกฤติหนี้สินยูโรโซนได้มากขึ้น โดยมีรายงานว่าผู้นำอียูจะให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆในยุโรปเป็นผู้จัดหาเงินทุนให้กับไอเอ็มเอฟ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ผู้นำอียูมีมติให้ใช้บทบัญญัติด้านการคลังเพื่อควบคุมการลุกลามของปัญหาหนี้และการขาดดุลงบประมาณของประเทศยูโรโซน
หุ้นบาร์เคลย์ส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของอังกฤษเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ พุ่งขึ้น 5.4% หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 6.5%
หุ้นเบลล์เวย์ ดีดตัวขึ้น 2.8% ขณะที่หุ้นแอฟริกัน แบร์ริค โกลด์ ร่วงลง 2.1% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลผลิตในช่วงปลายปีจนถึงต้นปีหน้า
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 58
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ร่วง 162.87 จุดหลังมูดีส์เตือนทบทวนเครดิตอียู
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 06:37:43 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปอีกครั้ง หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่ประชุมอียูไม่ได้ประกาศใช้มาตรการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ ขณะที่ฟิทช์ เรทติงส์ และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ออกมาแสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 162.87 จุด หรือ 1.34% แตะที่ 12,021.39 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 18.72 จุด หรือ 1.49% แตะที่ 1,236.47 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 34.59 จุด หรือ 1.31% แตะที่ 2,612.26 จุด
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดัน หลังจากมูดีส์ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียู "แทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆ" ในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมครั้งนี้
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอียูเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "แทบจะไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลอียู ในการจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะในภูมิภาค" และเอสแอนด์พีได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูครั้งล่าสุด และยังคงยืนยันการตัดสินใจที่ว่าเอสแอนด์พีอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยูโรโซน
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรปมากขึ้น หลังจากผลการประมูลพันธบัตรของสเปนและอิตาลีบ่งชี้ว่า อัตราผลตอบพันธบัตรของทั้ง 2 ประเทศแทนพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 7% ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายและสะท้อนให้เห็นว่าสเปนและอิตาลีกำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะอยู่เป็นจำนวนมาก
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าธนาคารรายใหญ่อาจจะได้รับความเสียหายจากวิกฤตหนี้ยุโรป โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 6.1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ร่วงลง 5.4% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 4.7% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 3.4%
หุ้นอินเทล คอร์ป ดิ่งลง 4% หลัวจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 4 เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานอันเป็นผลมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย
หุ้นไดมอนด์ ฟูดส์ อิงค์ ดิ่งลง 23% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกวอลนัท
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. ส่วนวันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย.
วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 06:37:43 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปอีกครั้ง หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่ประชุมอียูไม่ได้ประกาศใช้มาตรการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ ขณะที่ฟิทช์ เรทติงส์ และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ออกมาแสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 162.87 จุด หรือ 1.34% แตะที่ 12,021.39 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 18.72 จุด หรือ 1.49% แตะที่ 1,236.47 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 34.59 จุด หรือ 1.31% แตะที่ 2,612.26 จุด
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดัน หลังจากมูดีส์ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียู "แทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆ" ในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมครั้งนี้
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอียูเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "แทบจะไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลอียู ในการจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะในภูมิภาค" และเอสแอนด์พีได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูครั้งล่าสุด และยังคงยืนยันการตัดสินใจที่ว่าเอสแอนด์พีอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยูโรโซน
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรปมากขึ้น หลังจากผลการประมูลพันธบัตรของสเปนและอิตาลีบ่งชี้ว่า อัตราผลตอบพันธบัตรของทั้ง 2 ประเทศแทนพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 7% ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายและสะท้อนให้เห็นว่าสเปนและอิตาลีกำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะอยู่เป็นจำนวนมาก
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าธนาคารรายใหญ่อาจจะได้รับความเสียหายจากวิกฤตหนี้ยุโรป โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 6.1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ร่วงลง 5.4% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 4.7% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 3.4%
หุ้นอินเทล คอร์ป ดิ่งลง 4% หลัวจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 4 เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานอันเป็นผลมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย
หุ้นไดมอนด์ ฟูดส์ อิงค์ ดิ่งลง 23% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกวอลนัท
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. ส่วนวันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย.
วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 59
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปร่วงหลังกมูดีส์เตือนทบทวนอันดับเครดิตอียู
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 08:01:29 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) หลังจากมูดีส์อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่ประชุมอียูไม่ได้ประกาศใช้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะอย่างเด็ดขาด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.9% ปิดที่ 236.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 201.28 จุด หรือ 3.36% ปิดที่ 5,785.43 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,785.43-5,952.55 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 82.76 จุด หรือ 2.61% ปิดที่ 3,089.59 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,089.59-3,163.70 จุด
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 101.35 จุด หรือ 1.83% ปิดที่ 5,427.86 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,427.86-5,529.21 จุด
ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมอียูมีมติ"บทบัญญัติทางการคลัง" (fiscal compact) ฉบับใหม่ ที่ตั้งอยู่บนสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาล (inter-governmental treaties) แทนการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาของอียู ซึ่งมติดังกล่าวครอบคลุมถึงการกำหนดว่าประเทศสมาชิกยูโรโซนจะมียอดขาดดุลงบประมาณต่อปีได้ไม่เกิน 0.5% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) พร้อมกับจัดหาเงินทุนวงเงิน 2 แสนล้านยูโรให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ หลังจากมูดีส์ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียูแทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอียูเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "แทบจะไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลอียู ในการจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะในภูมิภาค" และเอสแอนด์พีได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูครั้งล่าสุด และยังคงยืนยันการตัดสินใจที่ว่าเอสแอนด์พีอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยูโรโซน
หุ้นกลุ่มประกันร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นแอ็กซา ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป ดิ่งลง 6.5% หุ้นอัลลิอันซ์ ร่วงลง 6.5% หุ้น Assicurazioni Generali SpA ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของอิตาลี ร่วงลง 3.9% และหุ้นไอเอ็นจี กรุ๊ป ร่วงลง 8.1%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาโลหะในตลาดโลก โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 3.3% หุ้นเอ็กสตราต้าร่วงลง 5.6% และหุ้นคาซัคมิส ดิ่งลง 6.7%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 08:01:29 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) หลังจากมูดีส์อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่ประชุมอียูไม่ได้ประกาศใช้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะอย่างเด็ดขาด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.9% ปิดที่ 236.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 201.28 จุด หรือ 3.36% ปิดที่ 5,785.43 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,785.43-5,952.55 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 82.76 จุด หรือ 2.61% ปิดที่ 3,089.59 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,089.59-3,163.70 จุด
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 101.35 จุด หรือ 1.83% ปิดที่ 5,427.86 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,427.86-5,529.21 จุด
ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมอียูมีมติ"บทบัญญัติทางการคลัง" (fiscal compact) ฉบับใหม่ ที่ตั้งอยู่บนสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาล (inter-governmental treaties) แทนการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาของอียู ซึ่งมติดังกล่าวครอบคลุมถึงการกำหนดว่าประเทศสมาชิกยูโรโซนจะมียอดขาดดุลงบประมาณต่อปีได้ไม่เกิน 0.5% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) พร้อมกับจัดหาเงินทุนวงเงิน 2 แสนล้านยูโรให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ หลังจากมูดีส์ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียูแทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอียูเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "แทบจะไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลอียู ในการจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะในภูมิภาค" และเอสแอนด์พีได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อผลการประชุมอียูครั้งล่าสุด และยังคงยืนยันการตัดสินใจที่ว่าเอสแอนด์พีอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยูโรโซน
หุ้นกลุ่มประกันร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นแอ็กซา ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป ดิ่งลง 6.5% หุ้นอัลลิอันซ์ ร่วงลง 6.5% หุ้น Assicurazioni Generali SpA ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของอิตาลี ร่วงลง 3.9% และหุ้นไอเอ็นจี กรุ๊ป ร่วงลง 8.1%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงตามราคาโลหะในตลาดโลก โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 3.3% หุ้นเอ็กสตราต้าร่วงลง 5.6% และหุ้นคาซัคมิส ดิ่งลง 6.7%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รายงานตลาดหุ้นเช้านี้
โพสต์ที่ 60
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: มูดีส์เตือนลดเครดิตอียู ฉุดนิกเกอิร่วง 124.06 จุด
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 08:07:31 น.
ดัชนีนิกเกอิร่วงลง 124.06 จุด หรือ 1.43% แตะที่ 8,529.76 จุดหลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาทีในวันนี้ (13 ธ.ค.) เนื่องบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสประกาศว่า จะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียูแทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า ความล้มเหลวในการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น จะสร้างแรงกดดันต่อประวัติความน่าเชื่อถือและอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอียู สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 08:07:31 น.
ดัชนีนิกเกอิร่วงลง 124.06 จุด หรือ 1.43% แตะที่ 8,529.76 จุดหลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาทีในวันนี้ (13 ธ.ค.) เนื่องบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสประกาศว่า จะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของ 27 ประเทศสมาชิกอียูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 หลังจากผู้นำอียูแทบจะไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะฟิทช์ เรทติงส์ ระบุว่า ความล้มเหลวในการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น จะสร้างแรงกดดันต่อประวัติความน่าเชื่อถือและอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอียู สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--