Phillip Frost MD. – Celebrity Investor ที่อเมริกา

การลงทุนอื่นๆนอกจากหุ้น กองทุนรวมชนิดต่างๆ RMF LTFตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ อนุพันธ์ และเกษตรล่วงหน้า

โพสต์ โพสต์
sssjjjj
Verified User
โพสต์: 454
ผู้ติดตาม: 0

Phillip Frost MD. – Celebrity Investor ที่อเมริกา

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในเมืองไทย มีการลงทุนตาม Celebrity Investor ดังๆหลายๆคน ซึ่งส่วนนึงก็เป็นหมอ
มีคนบอกว่าหมอมักจะเล่นหุ้นเก่ง วันนี้ผมลองเขียนเรื่องนักลงทุนคนดัง ที่ชาวฝรั่งอเมริกา ก็นิยมซื้อหุ้นตามเค้าเหมือนกัน และก็เป็นหมอด้วยครับ ประวัติการลงทุนของ Dr. Phillip Frost นั้นน่าสนใจมากทีเดียวครับ เค้าเป็น ทั้ง Entrepreneur และ Investor ที่เก่งกาจในคน คนเดียวกัน ในปัจจุบัน อาณาจักรการลงทุนและธุรกิจ ของเค้า อยู่หลายหลายธุรกิจ แต่โดยมากจะอยู่ในธุรกิจ Medical ที่ตัว Frost ถนัดที่สุด

รูปภาพ
ชื่อเต็ม : Phillip Allen Gamma Frost
Net Worth: $2.1 Billion (จาก Forbes, กันยายน 2011)

อายุ: 76 ปี

คุณ หมอ Frost นั้น เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1935 และสำเร็จการศึกษาได้วุฒิแพทย์ จาก Albert Einstein College เมื่อขณะอายุได้ 26 ปี และเข้าทำงานเป็น Professor สาขา Dermatology(ผิวหนัง) ที่ มหาลัย Miami ระหว่างปี ค.ศ. 1966 - 1972 ในช่วงปี 1970 Dr.Frost กับเพื่อนๆ ของเค้าได้ลงทุน ซื้อ ฟาร์มเลี้ยงปลา ขนาดประมาณ 50-เอเคอร์ (75 ไร่ ) ซึ่งปรากฎว่าปลาในฟาร์มของแก โดนนกกินไปเยอะ และน้ำก็แห้งทำให้ปลาตาย เรียกว่าขาดทุนไม่เป็นท่า แต่ว่า Frost เห็นว่าที่ดินแถว South Florida นั้นราคาขึ้นมา Frost จึงนำที่ดินของฟาร์มมาขายและได้กำไรที่ดินมาได้ โดยรอดจากการขาดทุนในธุรกิจแรกของตัวเค้าเอง

ในปี 1972 Dr.Frost ได้ซื้อกิจการบริษัท Key Pharmaceuticals มา โดยหุ้นกับหุ้นส่วนอีกคน โดยซื้อมาใน ราคา $100,000 เหรียญ โดย Frost ตั้งใจให้ บริษัท Key เป็นบริษัทที่จะขายอุปกรณ์การแพทย์ใหม่ๆที่ตัวเค้าและเพื่อนคิดขึ้นมา โดยในปี 1972 บริษัท Key มีรายได้อยู่ $1.5 ล้าน และขาดทุนอยู่ $65,000 และใกล้จะล้มละลายเต็มที่ เมื่อซื้อกิจการมา Frost เล็งเห็นว่า การพัฒนา ยาใหม่ๆ มาขายในตลาด มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้น Frost จึงทำธุรกิจโดยการนำยาเก่าที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาปรับปรุงมในดีขึ้นแล้วขายจะ โมเดลธุรกิจที่เสี่ยงน้อยกว่า เช่น ยาแก้โรคหัด ที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้นมา 50 ปีชื่อ theophylline แล้ว แต่ Frost ซื้อและนำมาปรับปรุงวิธีการดูดซึมใหม่(time-release) และเป็น การเป็นยารักษาโรคหัดที่ขายดีสุดในช่วงเวลานั้นไป จากรายได้ $1.5 ล้าน และขาดทุน $65 ล้าน ในอีก 14 ปี ถัดมา คือปี ค.ศ.1986 รายได้ของ Key Pharma กลายเป็น $200 ล้าน และมีกำไรปีละ $22 ล้าน และในปีนั้นเอง ทาง Frost กับหุ้นส่วนได้ขายกิจการ ให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ชื่อ Schering-Plough ไปในราคา $800 ล้าน ซึ่ง Frost ได้ส่วนแบ่งจากการขายกิจการไป $150 ในปี 1986

ในปี 1987 หลังจาก Frost ขายกิจการไปแล้ว และได้แยกทางกับหุ้นส่วนเดิมไป Frost ก็ได้เริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้ง โดยยังอยู่ในอุตสาหกรรมยาเหมือนเดิม โดย Frost ซื้อบริษัทยา สามแห่ง เข้ามารวมกัน เป็นบริษัท IVAX โดยการเดิมพันครั้งนี้ของ Frost นั้นใหญ่กว่าตอนที่ทำ Key มาก และ กลยุทธ์ของ Frost ก็ยังเหมือนเดิมคือ ให้ IVAX โตโดยการไปซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ บางครั้งก็เป็นบริษัทเล็กๆ บางครั้งก็เป็นบริษัทคู่แข่งที่มีขนาดพอๆกัน และ ยังนำ IVAX จดทะเีบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย การซื้อกิจการในช่วง ปี '90 ทาง IVAX ก็ได้ เข้าไปกิจการ Personal Care ด้วย ซึ่งถือว่าออกนอกอุตสาหกรรมเดิมของตน และเมื่อผ่านไป พบว่าไม่ประสบผลเท่าไหร่นัก ทาง Frost ก็ไม่ลังเลที่จะขายออกไป ในช่วง ปี 2000 IVAX ถือว่าเป็น บริษัทยาสัญชาติ อเมริกา ที่เป็นผู้นำทางด้านยา Generic ( ยาที่หมด Petent แล้วนำมาผลิตต่อ) และในที่สุดใน ช่วงปี 2006 คุณหมอ Frost ก็ได้ ขาย IVAX ให้กับคู่แข่งทางด้าน Generic Drug ที่สำคัญอย่าง TEVA จาก ประเทศอิสราเอลไป ในมูลค่าประมาณ $7.4 billion ซึ่งเป็นการทำกำไรให้นักลงทุนใน IVAX และตัว ดร. Frost เอง อย่างงดงาม หลังจากขาย กิจการ Frost ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้น 3% ใน TEVA และ กลายเป็น Chairman ที่ TEVA ต่อ ซึ่งในปัจจบัน Teva เป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสหกรรมยารายหนึ่งเช่นกัน อ่านประวัติ Deal ต่างๆของ Ivax แบบละเอียดได้ที่นี่ครับ

นอก จากสอง บริษัทคือ Key และ Ivax แล้ว ตัว Frost เอง เริ่มตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 90 จนถึงปัจจุบัน ก็ได้กลายเป็น นักลงทุน ที่ไปลงทุนในกิจการ ขนาดเล็กถึงกลาง หลายๆบริษัท โดยผ่านทาง Investment Trust ของเค้า โดยการลงทุนของ Dr.Frost นั้น จะเ็ป็นการลงทุน ไปในอุตสหากรรมทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกัน หรือถ้าเป็นในอุตสกรรมที่เค้าไม่รู้จัก เค้าก็ต้องมีคนที่เค้าเชื่อใจนำเ้ค้าเข้าไปลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่การลงทุนของ Frost จะลงทุน ในบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น หรือถ้าไม่จดทะเบียนเค้าก็จะแนะนำให้เข้าตลาดหุ้นซะ โดนบริษัทที่ Frost เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายๆบริษัท ก็จะมีกลยุทธการเติบโตเหมือนกับ Ivax คือโตโดยการซื้อกิจการอื่นๆ ดังนั้น การเป็นบริษัทในตลาดหุ้น การทำ Deal ประเภทนี้จะง่ายกว่ามาก และโดยปกติ Frost จะเข้าถือเป็นหุ้นเป็นสัดส่วนที่มีอำนาจในการตัดสินใจทางธุรกิจได้ และส่งคนของตนเองไป นั่งกรรมการในบริษัทนั้นๆ บริษัท 90% ที่ Frost ลงทุน จะลงทุนในสัดส่วน 15-50% และส่วนมากจะมีคนของตนนั่งเป็นบอร์ดอยู่ นักลงทุนฝรั่ง จะมีหลายๆกลุ่มที่ซื้อหุ้นตาม Dr. Frost ด้วยความที่เชื่อมือในการบริหารของเค้า และนอกจากนั้น หุ้นที่ Frost เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ตัวเค้าเองจะซื้อหุ้นในตลาดหุ้นอยู่บ่อยๆครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเมื่อมีชื่อเค้าอยู่ในผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทใด หุ้นตัวนั้นก็จะขึ้นหลังจากนักลงทุนรับรู้ข่าว จนมีคนเรียกกันว่าเป็น Frost Factor และโดยปกติ Frost มักไม่ขายหุ้นที่ตัวเองถือออกในตลาดหุ้น แต่เค้าจะ Exit จากหุ้นตัวนั้น โดยการขายทั้งกิจการ ให้บริษัทที่ใหญ่กว่าไปเลย ผมค้น Transaction ของ Dr.Frost ในช่วง 5 ปีหลัง ก็พบปีแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเอง ที่เค้าขายหุ้นออกใน Open Market

บริษัท ส่วนตัวที่ Frost มีบทบาทมากที่สุดนอกจาก Teva แล้วก็คือ Opko Health (OPK) ซึ่งเป็นบริษัท พัฒนายา กำลังอยู่ในช่วง Research ยาใหม่อยู่ โดย Frost นั่งเป็น CEO เองในบริษัทนี้เลย โดย เมื่อบริษัทต้องการเงินทุน (บริษัทพัฒนายาไม่มีรายได้) Frost ก็เพิ่มทุนเข้าไปให้อยู่เรื่อยๆ Frost มีหุ้นใน Opko ในสัดส่วนสูงกว่า 50% โดยปัจจุบัน บริษัทมี Market Capt $1.4 billion ราคาหุ้นอยู่ที่ เกือบๆ $5 ซึ่งเพิ่มขึ้นมา ประมาณ 5 เท่าตัวจากช่วง Financial Crisis แล้วในปีนี้ ที่ตลาดหุ้น Nasdaq โดยรวมไม่ดีเท่าไหร่นัก หุ้น OPK ก็ขึ้นมา ประมาณ 20% กว่าๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่มีต่อ Frost เป็นอย่างนี้ และตัว Frost เอง ก็ซื้อหุ้น OPK ในตลาด แทบจะทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือน พร้อมกับยื่น Form-4 (รายการการซื้อขายของ Insider) เป็นประจำ

ข้างล่างนี้เป็น รายชื่อการลงทุนของ Frost ทั้งใน อดีต และปัจจบันเท่าที่ผมหามาได้ครับ ข้อมูลในอดีตน่าจะตกหล่นไปเยอะ

Past investments.
Key Pharmaceuticals - อุตสาหกรรมยา : ขายให้ Schering-Plough ปี 1986 ราคา $800 ล้าน
Whitman Education Group (WIX) -อุตสาหกรรมการศึกษา : ขายให้ CECO ปี 2003 ราคา $230 ล้าน ($14 ต่อหุ้น โดย Frost ซื้อหุ้น 20% ของทั้งบริษัท เมื่อปี 1992 ที่ราคาประมาณ $1.5)
IVAX - อุตสาหกรรมยา :ขายให้ Teva ปี 2006 ราคา $7.4 billion
Contunucare (CNU) - ศูนย์การแำพทย์และพยาบาล : ทำ IPO เมื่อ 3-4 ปีก่อนที่มูลค่าบริษัท ประมาณ $200 ล้าน ก่อนขายให้ MDF ปี 2011 ราคา $416 ล้าน
PLX : ขายทิ้งในปี 2011 โดยหุ้นส่วนนึง บริจาคให้องค์กรการกุศล และส่วนนึงขายในตลาด ( Frost เป็นผู้ถือหุ้น 3.8%) ตัวนี้เข้าใจว่าขายโดยได้กำไรเพียง 5% หลังจากถือไว้ 5 ปี

Current Investments:

TEVA - บริษัทยา Frost เป็น Chairman
OPK - บริษัทยา Frost นั่งเป็น CEO เอง
LTS - บริษัท Investment Banker และ Broker ซื้อขายหุ้น Frost ใช้บริษัทนี้ส่วนในการทำ Deal การลงทุนของเค้าหลายๆครั้ง
IDI - บริษัทขายสื่อโฆษณานอกบ้านในประเทศจีน
PBTH - บริษัทยา
ROX - บริษัททำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
DRJ - บริษัทขายของที่ระลึกของสะสมเกี่ยวกับกีฬา
CDXC - บริษัททำอาหารเสริม
SFES - บริษัทยา
VGR - บริษัทบุหรี่
ALQA - บริษัทยา
SAGE - เหมืองทอง
HITK -บริษัทยา
NIMU -บริษัทพัฒนาเครื่องมือแพทย์
CDOM -บริษัทยา
CDZI -บริษัทพัฒนา Water Resource
UPBS - บริษัทยา
UPST -Internet (Usell.com)

เ่ท่า ที่ค้นข้อมูลดู ถ้าเป็นหุ้นที่ถือในสัดส่วน 15% ขึ้น ไป Frost จะส่งคนของตนเข้านั่งบอร์ดบริหาร หรือไม่ก็เป็นกรรมการอิสระ การลงทุนในแต่ละบริษัทของ Frost มีขนาดตั้งแต่ 3% - 50% โดยส่วนมากที่เห็นสัดส่วนผู้ถือหุ้นของ Frost จะประมาณ 20-30% และการลงทุนของเค้าส่วนใหญ่ เทียบกับราคาตลาดปัจจุบันของหุ้นต่างๆ กำไรเกือบหมด มีเพียง 3-4 เท่านั้นที่ เท่าทุน หรือว่าขาดทุน และส่วนมากเป็นหุ้นขนาดเล็ก มูลค่าตลาดไม่เกิน $1 billion

เทคนิค อีกอย่างที่ทาง Phillip Frost ชอบใช้ เมื่อปี 2007-2008 กับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นคือ นำพวก Blank Check Company คือ บริษัทเปล่าๆที่มีแต่เงินสด ไม่มีการลงทุนอะไร โดย Frost จะเป็นแกนหลักในการระดมทุนเข้ามาบริษัทพวกนี้ และหลังจากนั้น บริษัทที่เป็น Blank Check หรือเรียกอีกชื่อว่า SPAC (Special-purpose Acquisition Company) จะทำการนำเงิน พร้อมทั้งหุ้น ไปซื้อกิจการชนิดอื่นๆที่มี Potential และขนาดพอๆ กันเข้ามา เป็นการแปลงสภาพบริษัทที่ถูกซื้อ ให้กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไปโดยปริยาย เรียกอีกอย่างว่า Reverse-merger ก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันจะไม่ค่อยเห็นบริษัทอย่างนี้มากนักแล้ว จากกรณีของพวก Chinese Companies หลายๆบริษัทที่เข้าตลาดหุ้นโดยวิธีนี้และกลายเป็น Fraud ไป ทำให้ บริษัทประเภท SPAC ลดความนิยมลงไปในหมู่นักลงทุนต่างชาิติ แต่ถ้าเป็น SPAC ที่มีนักลงทุนชื่อดังก็ยังได้รับความสนใจอยู่ อย่าง เช่นปลายปี 2010 Frost ได้ลงทุนในบริษัท 5to1 ผ่านวิธีแบบ Reverse-Merger และหลังจากนั้น 6 เดือน Yahoo ก็ได้ขอซื้อกิจการ 5to1 และ Delist ออกจากตลาดไป เป็น Deal เล็กๆมูลค่าซื้อเพียง $28 ล้าน เข้าใจว่าทาง Frost น่าจะกำไรไปเกือบๆเท่าตัวในเวลาสั้นๆ

การลงทุนของ Frost ทำผ่าน Frost Gamma Investment Trust ท่านใดที่สนใจ "ลอกการบ้าน" หมอ Frost สามารถดูได้จาก Website ที่ ค่อย Track Insider Filling (แต่หลายๆกรณีบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ต้องยื่น Formซื้อขาย ทำให้ข้อมูลไม่สมบูรณ์มาก) อย่างเว็บนี้ก็เป็นตัว Track Form-4

http://www.secform4.com/insider-trading/1380896.htm

ในช่วง 4-5 ปีหลังนี้ Dr.Frost มีการลงทุนกระจายในหลายๆอุตสาหกรรม ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักของตัวเองเยอะ แต่โดยทั่วไปการลงทุนหนักๆ ก็ยังมุ่งเน้นที่พวก Medical อยู่ นอกนั้นก็เป็นหุ้นตัวเล็กๆ บางคนก็บอกว่า Frost ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่กับ บริษัทเล็กๆที่ตัวเองเข้าไปลงทุน เพราะขนาดของการลงทุนนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดของเค้า เหมือนเป็น Billionaire's Hobby แต่ว่าอย่างที่เคยกล่าว Frost แทบจะไม่เคยทิ้งหุ้นของตัวเองออกทาง Open Market ยิ่งเป็นหุ้นที่ Market Capt ต่ำๆด้วยแล้ว สาเหตุน่าจะเพราะสภาพคล่องต่ำ ทิ้งไปก็ราคาตกเกินไม่คุ้มค่า อย่างหุ้น Opko ก็เป็นหุ้นขนาดเล็กไม่กี่ร้อยล้านเหรียญ ก่อนที่จะมี Market Capt เป็นพันล้าน อย่างทุกวันนี้ ชื่อของ คุณหมอ Frost จึงยังคงขลังในหมู่นักลงทุนหุ้นขนาดเล็กที่อเมริกาครับ

Happy Investing ครับ

** ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผ่ยแพร่ แต่ช่วยใส่ Reference เป็น Link ว่ามาจาก Blog ผมครับ
http://rsnstock.wordpress.com/
โพสต์โพสต์