โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 พฤศจิกายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในระยะสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นสูงลิ่วเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลจากความเฟื่องฟูของตลาดทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นมหาศาล บางคนกลายเป็นคนร่ำรวยหรือเป็น “เศรษฐี” จากการซื้อขายหุ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เริ่มจากเงินต้นมากมาย หลายคนอายุยังน้อยและไม่ได้ลงทุนมานานนัก หุ้นกลายเป็น “สิ่งมหัศจรรย์” ที่สามารถทำให้คนรวยได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องทำงานหนัก “ฮีโร่” นักลงทุนเกิดขึ้นคนแล้วคนเล่า เช่นเดียวกับ “อัจฉริยะ” ด้านการลงทุน ทั้งหมดนี้ได้ดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากหันมาสนใจการลงทุนในหุ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือ “หนังสือการลงทุน” ที่ออกมามากมายและมียอดขายติดอันดับหนังสือขายดีอย่างต่อเนื่อง บางช่วงและในบางร้านนั้น ว่ากันว่าในจำนวนหนังสือขายดี 20 อันดับ เป็นหนังสือการลงทุนถึง 4-5 เล่ม ลองมาดูว่าหนังสือเหล่านี้เป็นอย่างไร
หนังสือการลงทุนที่ขายดีและมีจำนวนมากที่สุดก็คือ หนังสือ “แนว VI” หรือแนวเน้นคุณค่า เพราะนี่คือแนวการลงทุนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงเนื่องจากเป็นวิธีการลงทุนที่มีเหตุมีผลสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ตามหลัก “วิทยาศาสตร์” แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นแนวการลงทุนที่ใช้โดยนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ “สูงที่สุด” ของโลก อย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์ ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือวิธีการลงทุนที่ Value Investor ของไทยจำนวนมากใช้แล้วประสบความสำเร็จ สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำจนหลายคนกลายเป็นเศรษฐีและบางคนก็เขียนเป็นหนังสือเผยแพร่วิธีการที่ตนเองใช้แล้วประสบความสำเร็จ
กลุ่มหนังสือแนว VI กลุ่มแรกเป็นหนังสือแปลที่มักจะเรียบเรียงจากหนังสือที่มีชื่อเสียงขายดีระดับโลก จำนวนมากเน้นที่หลักการและวิธีการลงทุนของนักลงทุนมืออาชีพ เช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ ลินช์ เป็นต้น นอกจากนั้น ก็มีหนังสือที่เขียนโดยนักวิชาการที่ศึกษาการลงทุนและส่วนมากอาจจะเกี่ยวข้องกับการลงทุนด้วย เช่น หนังสือของ เบน เกรแฮม และฟิลิปส์ ฟิสเชอร์ เป็นต้น หนังสือเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วก็ให้ความรู้และหลักการที่ผมคิดว่าเป็นมาตรฐานสูง ได้รับการพิสูจน์มาช้านานในระดับโลก อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งเจ้าตัวไม่ได้เขียนเอง ดังนั้น การวิเคราะห์ตีความจึงอาจจะผิดเพี้ยนไปได้และทำให้เราที่เป็นคนอ่านเข้าใจผิดไปได้เหมือนกัน นอกจากนั้น การเป็นหนังสือแปลก็อาจจะทำให้ความสละสลวยและความราบรื่นของภาษาลดลง เช่นเดียวกัน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างรวมถึงตัวหุ้นที่อาจจะกล่าวถึงก็เป็นสิ่งที่ “ไกลตัว” ทำให้ความ “น่าอ่าน” นั้นลดลงไป อย่างไรก็ตาม หนังสือแปลนั้น มักจะมีการ “คัดสรร” มาหลายชั้น ดังนั้น ความ “เสียหาย” หรือ “เสียเวลา” จากการอ่านน่าจะมีไม่มาก
หนังสือ “แนว VI” ที่เขียนขึ้นเองโดยนักเขียนไทยนั้นเริ่มจะมีมากขึ้น ความที่เขียนโดยคนไทย และเขียนโดยอิงและใช้ข้อมูลในตลาดหุ้นไทยทำให้หนังสือนั้นน่าสนใจ เหนือสิ่งอื่นใด เราคิดว่านี่คือหนังสือที่บอกวิธีที่น่าจะใช้ได้กับหุ้นไทยมากกว่าหนังสือแปลที่อิงกับหุ้นและตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลักและนี่คือจุดแข็ง อย่างไรก็ตาม นักเขียนไทยนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็น “นักเขียน” ดังนั้น สิ่งที่เขียนจึงมักจะมาจากการศึกษา “ศาสตร์ด้านการลงทุน” มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของประสบการณ์จริงในการลงทุน แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ มันไม่มี “ศาสตร์” ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การเขียนเรื่องการลงทุนจำนวนไม่น้อยจึงมักจะเป็นการใช้หลักการที่เป็นที่ยอมรับหลาย ๆ อย่าง ผสมผสานกับจินตนาการของผู้เขียน ถ้าเราอ่านโดยคิดว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและเราเชื่อ ความคิดเราก็จะผิดไปโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่นักเขียนที่เป็นนักลงทุนที่ “ประสบความสำเร็จสูง” (รวมถึงผมเองด้วย) ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เนื้อหาและสิ่งที่เขียนเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงแท้แน่นอน เหตุผลก็คือ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นเรื่อง “ฟลุ๊ก” หรืออาจเป็นเรื่อง “เฉพาะกาล” หรือเป็นเรื่องที่ “รับความเสี่ยงมากกว่าปกติ” นั่นคือ วิธีการหรือกลยุทธ์ที่อ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมนั้น อาจจะดีเพราะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหรือหุ้นบางประเภทเหมาะสมกับกลยุทธ์แบบนั้น แต่ถ้านำไปใช้ในอีกสถานการณ์หนึ่งผลตอบแทนก็อาจจะไม่ดีก็ได้ ตัวอย่างเช่น หุ้น “VI” นั้น อาจจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงที่ผ่านมา 10 ปี แต่ในอนาคต 10 ปีข้างหน้าอาจจะให้ผลตอบแทนต่ำก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ตลาดหุ้นที่ก่อตั้งมายาวนานอย่างในอเมริกาก็พบว่าในบางช่วงบางเวลานั้น หุ้น “VI” ก็ให้ผลตอบแทนที่ย่ำแย่เมื่อเทียบกับหุ้นแบบอื่นเหมือนกัน ดังนั้น การอ่านหนังสือที่เขียนโดยนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นไทยจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เขาสำเร็จจริงหรือไม่ ทำมานานแค่ไหน มีโอกาสแค่ไหนที่มันเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรือเป็นเรื่องของการรับความเสี่ยงที่สูงเกินไป ต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น
หนังสือกลยุทธ์การลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่วางขายกันมากก็คือแนว “เท็คนิค” นี่คือหนังสือที่บอกว่าจะใช้จังหวะเข้าซื้อขายหุ้นตอนไหน ซึ่งก็มักจะบอกถึงจังหวะ “เข้าตลาด” นั่นคือเข้าไปซื้อหุ้นในตลาดโดยดูจากดัชนีและปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดโดยรวม และจังหวะเข้าซื้อหุ้นเป็นรายตัวโดยดูจาก “สัญญาณ” ต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นที่ผ่านมา
ปัญหาของหนังสือแนวเท็คนิคก็คือ คนมักจะเขียนจาก “สิ่งที่ผ่านมาแล้ว” ที่สอดคล้องกับความคิดและวิธีการของตน เพื่อที่จะสรุปว่าแนวทางของตนนั้นถูกต้อง ส่วนที่ไม่ตรงและอาจจะขัดแย้งกับวิธีที่อธิบายซึ่งอาจจะมีมหาศาลนั้นไม่ถูกกล่าวถึง ดังนั้น ถ้าเราทำตามหรือนำวิธีการนั้นไปใช้กับหุ้นตัวใหม่หรือในสถานการณ์ใหม่เราอาจจะผิดได้ง่าย ๆ แม้แต่หลักการที่มีการแปลมาจากหนังสือต่างประเทศเองนั้น ก็มักจะ “ไม่นิ่ง” นั่นคือ ในช่วงเวลาหนึ่งวิธีหนึ่งอาจใช้ได้ผล แต่เมื่อเวลาผ่านไปหรือในอนาคต วิธีนั้นก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแนวเท็คนิคผมคิดว่าคนอ่านจะต้องเข้าใจว่ามันอาจจะไม่ใช่ของจริงและมีวงจรชีวิตที่ค่อนข้างสั้น
หนังสือแนวสุดท้ายที่ก็มีการเขียนกันมากก็คือ แนว “การบริหารเงินส่วนบุคคล” หนังสือแนวนี้จะพูดถึงการออมเงินและจัดสรรเงินลงทุนตามหลักวิชาการที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การกระจายความเสี่ยงของการลงทุนโดยการกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ ทรัพย์สินเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน นี่คือหนังสือที่ไม่ได้เน้นที่ “นักลงทุนผู้มุ่งมั่น” ที่อยากจะรวยจากการลงทุน แต่เน้นที่คนชั้นกลางธรรมดาที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีขึ้นกับเงินที่ตนเองเก็บออมเพื่อเอาไว้ใช้ยามเกษียณ หนังสือแนวนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะทำให้เราเข้าใจถึงการบริหารเงินที่เน้นความปลอดภัยและใช้ชีวิตที่ไม่เครียดกับการลงทุน
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ การอ่านหนังสือการลงทุนนั้น เราควรจะต้องเลือกอ่านอย่าง “ชาญฉลาด” เพราะถ้าเราเลือกผิดหรือไม่เข้าใจข้อจำกัดต่าง ๆ เราอาจจะเสียเวลา หรือถ้าเลวร้ายเราก็จะได้ความรู้ที่ผิดซึ่งจะเป็นอันตรายกับการลงทุนของเรา การเลือกหนังสือลงทุนนั้น ผมคิดว่าเราต้องทำเหมือนกับการเลือกหุ้นลงทุนนั่นคือ ต้องเลือกหนังสือให้ถูก ถ้าทำได้ ความสำเร็จของเราก็เกินครึ่งไปแล้ว