บังเอิญได้อ่านบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจจากเว็บไซต์ BBC มีหลายบทความที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับวิกฤตในยูโรโซน
http://www.bbc.co.uk/news/special_repor ... l_economy/
มีเวลาว่างไม่มากจึงสรุปบทความที่คิดว่าน่าสนใจที่สุดมาให้สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษครับ
*********************************************************************************************************************
What's the matter with Spain?
http://www.bbc.co.uk/news/business-15734280
โดย Laurence Knight
15 พ.ย. 2011
ใครก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปของสเปนในวันอาทิตย์นี้ (คาดว่าจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นฝ่ายค้าน) คงจะพบ
กับปัญหาเศรษฐกิจที่คงจะเยียวยาไม่ได้ หรืออาจจะพบกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญก็เป็นได้
เนื่องจากสเปนอาจเป็นประเทศต่อไปที่อยู่ในรายชื่อของประเทศที่มีปัญหาในยูโรโซนร่วมกับ กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์
และอิตาลีที่เพิ่งเข้าไป
ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมระยะ 10 ปีของรัฐบาลสเปนในตลาดเงิน (ซึ่งเป็นตัววัดระดับความกลัวของเจ้าหนี้) ได้พุ่งไปที่ 6.3%
ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับระดับที่รัฐบาลประเทศในยูโรโซนอื่นต้องขอรับความช่วยเหลือ เทียบกับรัฐบาลเยอรมันที่
ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพียง 1.8%
อย่างไรก็ตาม การที่สเปนได้ดำดิ่งลงสู่หุบเหวทางการเงินนี้มีความสำคัญมาก นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าสเปนเป็นประเทศ
ที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เกินกว่าจะช่วยได้ เช่นเดียวกับอิตาลีแล้ว สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือสเปนไม่ได้มีปัญหาทำนอง
เดียวกัน
ที่จิรงแล้วเรื่องราวของสเปนอยู่บนข้อเท็จจริงพื้นๆ ที่ว่า ปัญหาของประเทศในยูโรโซนนั้นหยั่งรากลึกเกินกว่าเรื่องของ
การกู้ยืมเงินเกินตัวของรัฐบาลที่ไม่มีวินัย
เป็นเรื่องง่ายที่จะประณามประเทศทางยุโรปใต้เรื่องปัญหาทางเศรษฐกิจ
กรีซไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมทั้งยังโกหกในเรื่องตัวเลขขการกู้ยืมเงิน
โปรตุเกสก็กู้ยืมและใช้จ่ายอย่างมากเช่นกัน
อิตาลีแม้ว่าจะมีความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายแต่ก็มีหนี้ท่วมตัวจากรัฐบาลในอดีต
แต่สเปนนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีของยุโรป แต่ก็ต่างจากเยอรมัน
เมื่อเริ่มระบบเงินยูโรขึ้นในทศวรรษที่ 1990 นั้น เยอรมันพยายามผลักดันเรื่องข้อกำหนดเพื่อเสถียรภาพ เพื่อให้มั่นใจ
ว่ารัฐบาลในยูโรโซนนั้นจะสามารถรักษาสถานะทางการเงินให้มีความเรียบร้อย
แต่ละรัฐบาลต่างก็สัญญาว่าจะรักษาระดับการกู้ยืมในแต่ละปีให้น้อยกว่า 3% ของจีดีพี และเพื่อที่จะให้สามารถเข้า
ร่วมในยูโรโซนได้นั้น รัฐบาลเหล่านี้จะต้องมีหนี้น้อยกว่า 60% ของจีดีพี
มาตรการข้อหลังนี้ถูกตัดทิ้งไปตั้งแต่ต้นเนื่องจากถ้าไม่ตัดแล้วเยอรมันเองก็เข้าร่วมในยูโรโซนไม่ได้ เมื่อเริ่มตั้งยูโรโซนในปี
1999 นั้น เยอรมันมีหนี้คิดเป็น 60.9% ของจีดีพี
ต่อมาข้อกำหนดทั้งหมดในกฏกติกาเพื่อเสถียรภาพก็ได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากเยอรมันในช่วงปี 2002-2005 มีการกู้ยืม
เกิน 3% ของจีดีพีในแต่ละปี
แล้วสเปนล่ะ? ตอนที่สเปนเข้าร่วมยูโรโซนในปี 1999 นั้น สเปนมีหนี้คิดเป็น 62.3% ของจีดีพี แต่รัฐบาลสเปนได้
ดำเนินนโยบายงบประมาณสมดุลมาโดยตลอด คือไม่มีการกู้ยืมเงิน จนกระทั่งถึงวิกฤตการเงินในปี 2008
และเมื่อเศรษฐกิจของสเปนเติบโตอย่างรวดเร็ว สัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีก็ลดลงเป็น 36% ในปี 2007 ในทางกลับกัน
หนี้สินของเยอรมันกลับเพิ่มขึ้น
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากประวัติดังกล่าว ทำไมตลาดถึงบอกกับเราว่าตลาดกำลังกลัวว่าสเปนอาจไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้
ในขณะที่ตลาดกลับคิดว่าหนี้ของเยอรมันนั้นปลอดภัยที่สุดในยูโรโซน
ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไหร่
เหตุผลก็คือสเปนกำลังประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
เมื่อสเปนเข้าร่วมในยูโรโซนนั้น อัตราดอกเบี้ยของสเปนตกลงสู่ระดับต่ำซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในเยอรมัน
ในขณะที่รัฐบาลสเปนนั้นสามารถต้านทานกับความยั่วยวนของดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยได้ (คือไม่กู้เงิน) แต่คนสเปนทั่วไปไม่
เป็นเช่นนั้น
เศรษฐกิจของสเปนเฟื่องฟูเป็นระยะเวลานานโดยมีพื้นฐานจากฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งครัวเรือนมีการจำนองบ้าน
ในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่าง 2004-2008 ราคาบ้านในสเปนเพิ่มขึ้น 44% หลังจากการเกิดวิกฤตในปี 2008 ราคาก็
ตกลง 17% ช่วงที่เฟื่องฟูนี้ชาวสเปนมีรายได้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้จ่ายมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งงเสริมฐานะทาง
การเงินของรัฐบาล ยิ่งมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากรายได้จากภาษีก็มาก
แต่เรื่องดังกล่าวกลับทำให้ค่าจ้างในสเปนสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จากจุดเริ่มต้นของยูโรโซนในปี 1999
จนถึงสิ้นปี 2008 ค่าจ้างเพิ่มขึ้น 36% ต่างจากเยอรมันที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ตอนนี้สเปนกำลังร่วง
แรงงานสเปนมีราคาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับแรงงานเยอรมัน ภาคการก่อสร้างที่เคยเฟื่องฟูตอนเศรษฐกิจรุ่งเรืองนั้นได้
พังลงมาแล้ว
ครัวเรือนต่างพากันลดค่าใช้จ่ายในขณะที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาทางจ่ายหนี้คืน และการว่างงานซึ่งปกติแล้วมีอัตราที่สูง ก็พุ่ง
ขึ้นถึง 21.5% ของแรงงาน
เศรษฐกิจที่เคยเติบโตเฉลี่ย 3.7% ตั้งแต่เมื่อเริ่มตั้งยูโรโซนจนถึงปี 2007 ก็ได้หดตัวลงมาอยู่ที่ 1% ต่อปี
ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาลสเปนจะมีหนี้สินในสัดส่วนที่น้อย แต่ก็จำเป็นต้องกู้ยืมอย่างมากเพื่อมาจ่ายสวัสดิการสำหรับผู้ว่าง
งานและชดเชยรายได้จากภาษีที่ลดลงไปในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
แล้วรัฐบาลอาจจะต้องนำเงินไปช่วยธนาคารที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของภาคอสังหาริมทรัพย์จากการ
ปล่อยเงินกู้
ทั้งหมดนี้ทำให้ตลาดการเงินรู้สึกหวาดๆ ในการที่จะให้สเปนกู้เงิน
ปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะต้องเจอก็คือ
ในการที่จะหลุดออกจากหลุมทางเศรษฐกิจนี้แรงงานสเปนจะต้องกลับมามีความสามารถในการแข่งขันอีกครั้งหนึ่งซึ่ง
จะช่วยให้มีความต้องการในสินค้าของสเปนเพิ่มขึ้นและช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต และการเติบโตของเศรษฐกิจก็จะเป็นตัว
ช่วยให้สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางหนี้จำนวนมหาศาล
แต่จะทำได้อย่างไรล่ะ? ถ้าแรงงานเหล่านี้ตกลงที่จะลดค่าแรงลงอย่างมาก (ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยเว้นแต่ว่าจะมีการ
ว่างงานมากขึ้น) ก็จะสร้างความยากลำบากต่อพวกเขาในการจ่ายหนี้เงินกู้บ้าน
ดังนั้นชาวสเปนส่วนใหญ่ก็จะจับจ่ายน้อยลง และส่วนใหญ่อาจไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้ธนาคารได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้
การตกต่ำของเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น
ในทางกลับกัน ถ้าค่าแรงเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันก็จะลดลงและอาจเสียธุรกิจไปให้ประเทศคู่แข่งในยูโรโซน
ด้วยกันเพิ่มขึ้น
ทางแก้ที่เป็นไปได้มี 2 ทาง ทางแรกคือทำให้ค่าแรงของเยอรมันแพงขึ้น ทำให้แรงงานสเปนมีความได้เปรียบมากขึ้นโดย
ไม่ต้องลดค่าแรงของตัวเอง ทางแก้นี้อาจทำได้โดยให้ธนาคารกลางยุโรปเพิ่มเพดานเงินเฟ้อให้มากกว่าที่กำหนดไว้ใน
ปัจจุบันที่ 2% ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้
ทางแก้อีกทางหนึ่งคือกสเปนอาจออกจากยูโรโซนและลดค่าเงินตัวเองลง ค่าแรงก็จะลดลงรวมทั้งหนี้ด้วย การออก
จากยูโรโซนยังจะช่วยลดความเสี่ยงของการที่รัฐบาลสเปนจะไม่มีเงินใช้เนื่องจากธนาคารกลางของสเปนก็จะสามารถ
ปล่อยกู้ให้รัฐบาลได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารกลางยุโรปปฎิเสธที่จะทำ
อย่างไรก็ตามทางแก้นี้ก็อาจจะทำให้ยูโรโซนแตกออกซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินกังวลมากที่สุด
*********************************************************************************************************************
What's the matter with Spain?
- harlembeats
- Verified User
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
Re: What's the matter with Spain?
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณคุณ kanokski มากครับ
สรุป EU ก็กลายเป็น Domino ที่ค่อยๆล้มกันไปทีละตัว ทีละตัว จนหมดจริง
หวังว่าประเทศไทยเราคงควบคุมเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐดีๆน้าาา
ไม่อยากให้เป็นแบบ EU เลย
สรุป EU ก็กลายเป็น Domino ที่ค่อยๆล้มกันไปทีละตัว ทีละตัว จนหมดจริง
หวังว่าประเทศไทยเราคงควบคุมเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐดีๆน้าาา
ไม่อยากให้เป็นแบบ EU เลย