อยากถามเรื่อง EBITDAอะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 567
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามเรื่อง EBITDAอะครับ
โพสต์ที่ 2
มันคือกระแสเงินสดอย่างคร่าวๆของธุรกิจครับ ที่เอามาใช้กันบ่อยๆ คือการหาค่า PE ของกิจการโดยเอาความแตกต่างทั้งทางด้านภาษี และโครงสร้างเงินทุนของแต่ละกิจการออกไปครับ เหมาะกับกิจการที่มีหนี้เยอะ หรือค่าเสื่อมเยอะๆครับ
สูตรที่ใช้กันคือ EV/EBITDA
http://en.wikipedia.org/wiki/EV/EBITDA
สูตรที่ใช้กันคือ EV/EBITDA
http://en.wikipedia.org/wiki/EV/EBITDA
- erickiros
- Verified User
- โพสต์: 415
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามเรื่อง EBITDAอะครับ
โพสต์ที่ 3
ความเห็นส่วนตัว EV/EBITDA ควรนำมาใช้เมื่อระบบภาษีมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไป
เช่น ในปีหน้าบางบริษัทที่เคยเสียภาษีร้อยละ 30 จะลดเหลือเพียงร้อยละ 23
ซึ่งเมื่อก่อนบริษัทที่ต้องเสียอัตราภาษีเยอะอาจจะทำกำไรขั้นต้นได้ 4,000 ล้านบาท
เยอะกว่าบริษัทที่เสียอัตราภาษีน้อยกว่าที่กำไรขั้นต้นได้เพียง 3,000 ล้านบาท
แต่กำไรสุทธิของบริษัทที่เสียอัตราภาษีเยอะต่ำกว่าจะมีเพียง 4,000-(4,000*0.3)= 2,800 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่เสียอัตราภาษีที่น้อยกว่าในอัตราพิเศษเช่น ร้อยละ 10 จะมีกำไรสุทธิ 3,500-(3,500*0.1)= 3,150 ล้านบาท
พอมีการลดอัตราภาษี บริษัทที่เคยเสียอัตราภาษีเยอะๆก็จะมีกำไรสุทธิมากขึ้นเพราะเสียภาษีลดลง
ส่วนที่บอกว่าใช้กับบริษัทที่มีโครงสร้างหนี้เยอะ ค่าเสื่อมสูง ควรจะใช้กับบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนบ่อยๆ
พูดง่ายๆคือลงทุนครั้งเดียวแล้วผูกขาดไปตลอดชาติ ถ้าต้องลงทุนซื้อเครื่องจักร กู้เงินมาวางระบบบ่อยๆ
การใช้ EV/EBITDA ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อาจกลายเป็นการประเมินมูลค่าเกินความเป็นจริง
เพราะดอกเบี้ยหรือค่าเสื่อมเป็นเงินที่เราต้องจ่ายออกไป อย่างไรเราก็ต้องหวังให้มันคืนทุน
เช่น ในปีหน้าบางบริษัทที่เคยเสียภาษีร้อยละ 30 จะลดเหลือเพียงร้อยละ 23
ซึ่งเมื่อก่อนบริษัทที่ต้องเสียอัตราภาษีเยอะอาจจะทำกำไรขั้นต้นได้ 4,000 ล้านบาท
เยอะกว่าบริษัทที่เสียอัตราภาษีน้อยกว่าที่กำไรขั้นต้นได้เพียง 3,000 ล้านบาท
แต่กำไรสุทธิของบริษัทที่เสียอัตราภาษีเยอะต่ำกว่าจะมีเพียง 4,000-(4,000*0.3)= 2,800 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่เสียอัตราภาษีที่น้อยกว่าในอัตราพิเศษเช่น ร้อยละ 10 จะมีกำไรสุทธิ 3,500-(3,500*0.1)= 3,150 ล้านบาท
พอมีการลดอัตราภาษี บริษัทที่เคยเสียอัตราภาษีเยอะๆก็จะมีกำไรสุทธิมากขึ้นเพราะเสียภาษีลดลง
ส่วนที่บอกว่าใช้กับบริษัทที่มีโครงสร้างหนี้เยอะ ค่าเสื่อมสูง ควรจะใช้กับบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนบ่อยๆ
พูดง่ายๆคือลงทุนครั้งเดียวแล้วผูกขาดไปตลอดชาติ ถ้าต้องลงทุนซื้อเครื่องจักร กู้เงินมาวางระบบบ่อยๆ
การใช้ EV/EBITDA ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อาจกลายเป็นการประเมินมูลค่าเกินความเป็นจริง
เพราะดอกเบี้ยหรือค่าเสื่อมเป็นเงินที่เราต้องจ่ายออกไป อย่างไรเราก็ต้องหวังให้มันคืนทุน
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามเรื่อง EBITDAอะครับ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณ คุณerickirosครับ
ผมลองแปลเป็นพื้นฐานง่ายสำหรับมือใหม่เพิ่มนะครับ
EBITDA = earning before interest, tax, depreciation and amortization
แปรตรงตัว กำไรที่ยังไม่หักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และ ค่าเสื่อม+ค่าตัดจำหน่าย
การที่ไม่เอาค่าเสื่อม+ตัดจำหน่ายมาคิด ทำให้ค่ากำไรตัวนี้ใกล้เคียงกำไรที่ได้เป็นเงินสดจริงมากขึ้น เพาะค่าเสื่อมไม่มีการจ่ายเงินจริงออกไป
และการที่เราไม่เอา "ดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และ ค่าเสื่อม+ค่าตัดจำหน่าย" มาหักออกจากกำไร ก็คือการมองว่า ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ (เช่นมองว่า ถ้าไม่มีค่าเสือม) จะกำไร เท่านั้น เท่านี้เชียวนะ
ยกอีกตัวอย่าง เช่น "บริษัท ก." ทำกำไรเบื้องต้นจากการดำเนินธุรกิจได้ดี แต่มีหนี้มาก หรือ ค่าเสื่อมมาก เทียบกับอีกบริษัทชื่อ "บริษัท ข." ทำกำไรเบื้องต้นได้น้อยกว่า แต่ไม่มีหนี้สิน หรือ ค่าเสื่อมน้อย ดังนั้น บริษัท ข. จึงมีกำไรสุทธิมากกว่า เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาหักออก
แต่อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมองว่าจริงๆแล้ว บริษัท ก. เก่งกว่า เพราะบริษัท ก.มีEBITDAมากกว่า เป็นต้น
ผมลองแปลเป็นพื้นฐานง่ายสำหรับมือใหม่เพิ่มนะครับ
EBITDA = earning before interest, tax, depreciation and amortization
แปรตรงตัว กำไรที่ยังไม่หักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และ ค่าเสื่อม+ค่าตัดจำหน่าย
การที่ไม่เอาค่าเสื่อม+ตัดจำหน่ายมาคิด ทำให้ค่ากำไรตัวนี้ใกล้เคียงกำไรที่ได้เป็นเงินสดจริงมากขึ้น เพาะค่าเสื่อมไม่มีการจ่ายเงินจริงออกไป
และการที่เราไม่เอา "ดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และ ค่าเสื่อม+ค่าตัดจำหน่าย" มาหักออกจากกำไร ก็คือการมองว่า ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ (เช่นมองว่า ถ้าไม่มีค่าเสือม) จะกำไร เท่านั้น เท่านี้เชียวนะ
ยกอีกตัวอย่าง เช่น "บริษัท ก." ทำกำไรเบื้องต้นจากการดำเนินธุรกิจได้ดี แต่มีหนี้มาก หรือ ค่าเสื่อมมาก เทียบกับอีกบริษัทชื่อ "บริษัท ข." ทำกำไรเบื้องต้นได้น้อยกว่า แต่ไม่มีหนี้สิน หรือ ค่าเสื่อมน้อย ดังนั้น บริษัท ข. จึงมีกำไรสุทธิมากกว่า เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาหักออก
แต่อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมองว่าจริงๆแล้ว บริษัท ก. เก่งกว่า เพราะบริษัท ก.มีEBITDAมากกว่า เป็นต้น
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Pathfinder
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามเรื่อง EBITDAอะครับ
โพสต์ที่ 7
ดูจากรูปประกอบนะครับzeed เขียน:แยกความหมายของ EBITDA, gross profit margin, net profit margin ไม่ออกอ่ะครับ = =
EBITDA = EBIT + Depreciation and amortization ... บอกกำำไรที่ได้ก่อนหักค่าต่างๆตามสูตร
Gross Profit Margin = (Sales Revenue - Cost of goods sold)/ Sales Revenue ... บอกความสามารถในการบริหารต้นทุนขายว่าทำได้ดีมากน้อยอย่างไร
Net Profit Margin = Net Income/ Sales Revenue.. บอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Earnings_b ... _and_taxes
http://www.investopedia.com/articles/fu ... 042804.asp
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Focusing on quality and cheapness simultaneously helps investors beat the market!