ธรรมะ ธรรมชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1711
ผมคิดอีกอย่างนะ ผมอยากรู็ว่าทำไมเขาถึงติดอยู่ตรงนั้น
จะช่วยพวกเขาอย่างไรครับ
ผมฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อตัวเอง
ถึงไม่ถึงไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปถึงก้ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ
ถึงไหนยังไม่รู้เลย ฝึกไปไม่เคยคิดอย่างอืนเลย
นอกจากอยากรู็ว่าเอาชนะอารมณ์ตัวเองได้ไหม แค่นั้นเอง
ภาษาบาลีนี่ ผมไม่รู็เรื่องเลยนะ
ผมไม่ได้เรียนธรรมะแบบท้่องจำ
ผมเรียนแบบทรมานตัวเองล้วนๆ เลย
รู็แต่ว่า ช่วยยังไง ให้ไปเกิดตามที่เขาควรจะเป็น
เขาเล่นยึดติดไว้ เหมือนคนเลย ไม่ต่างกันเลย
ถ้าได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ให้พวกเขาเห้นความจริงว่า ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมมีศัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ผมเชื่อในคำสอน ผมปฎิบัติจริง แล้วก็ได้เห็นจริง
ถ้าใครเห้นจะสงสารพวกเขานะครับ
บางท่านยืนห้อยรถเมล์อยู๋ ยังไม่ทราบว่าตัวเองตายไปแล้วเลย
ไม่ได้เห้นเป้นตัวตนตลอดหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป้นหมอก
หมอกสีขาว สีเหลือง สีเลือด
ถ้ามาให้เห้น ถ้าเดินบนถนนก็ดูยากครับ
นอกจากว่ามองเท้า เท่าเขาไม่ติดดิน
บอกไปใครก็ไม่เชื่อครับ
ผมเคยบอกมาหลายคนแล้ว
ไปทราบอีกทีตอนตายแล้วว่ามีจริง
มันไม่ทันแล้ว
จะช่วยพวกเขาอย่างไรครับ
ผมฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อตัวเอง
ถึงไม่ถึงไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปถึงก้ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ
ถึงไหนยังไม่รู้เลย ฝึกไปไม่เคยคิดอย่างอืนเลย
นอกจากอยากรู็ว่าเอาชนะอารมณ์ตัวเองได้ไหม แค่นั้นเอง
ภาษาบาลีนี่ ผมไม่รู็เรื่องเลยนะ
ผมไม่ได้เรียนธรรมะแบบท้่องจำ
ผมเรียนแบบทรมานตัวเองล้วนๆ เลย
รู็แต่ว่า ช่วยยังไง ให้ไปเกิดตามที่เขาควรจะเป็น
เขาเล่นยึดติดไว้ เหมือนคนเลย ไม่ต่างกันเลย
ถ้าได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ให้พวกเขาเห้นความจริงว่า ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมมีศัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ผมเชื่อในคำสอน ผมปฎิบัติจริง แล้วก็ได้เห็นจริง
ถ้าใครเห้นจะสงสารพวกเขานะครับ
บางท่านยืนห้อยรถเมล์อยู๋ ยังไม่ทราบว่าตัวเองตายไปแล้วเลย
ไม่ได้เห้นเป้นตัวตนตลอดหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป้นหมอก
หมอกสีขาว สีเหลือง สีเลือด
ถ้ามาให้เห้น ถ้าเดินบนถนนก็ดูยากครับ
นอกจากว่ามองเท้า เท่าเขาไม่ติดดิน
บอกไปใครก็ไม่เชื่อครับ
ผมเคยบอกมาหลายคนแล้ว
ไปทราบอีกทีตอนตายแล้วว่ามีจริง
มันไม่ทันแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1712
ช่วงน้ำท่วมอย่างนี้
คุณโอ๊ตเป้นคนกตัญญูมากนะครับ
น้ำท่วมบ้านแต่ท่านก็ไม่ย้าย
ต้องดูแลแลผู้สูงอายุ
ผมขอปรมมือให้นะครับ
นี่ละครับฮี่โร่ของผม
ถ้ามีอะไรให้ช่วย
คุณโอ๊ตโพสมาได้เลยนะครับ
ขาดน้ำ ขาดอาหาร
ชมรมผู้ประสบภัย VI จะไปช่วยครับ
มีผมเป้นสมาชิกคนเดียวนี่ละครับ
แต่ใจเกินร้อยครับ
คุณโอ๊ตเป้นคนกตัญญูมากนะครับ
น้ำท่วมบ้านแต่ท่านก็ไม่ย้าย
ต้องดูแลแลผู้สูงอายุ
ผมขอปรมมือให้นะครับ
นี่ละครับฮี่โร่ของผม
ถ้ามีอะไรให้ช่วย
คุณโอ๊ตโพสมาได้เลยนะครับ
ขาดน้ำ ขาดอาหาร
ชมรมผู้ประสบภัย VI จะไปช่วยครับ
มีผมเป้นสมาชิกคนเดียวนี่ละครับ
แต่ใจเกินร้อยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1713
สวัสดีครับ
อยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะที่เพิ่งได้ฟังมาจาก ญาติท่านหนึ่งที่ค่อนข้างเอาจริงในทางธรรมครับ
1. ผมได้ถามถึงการปฏิบัติธรรม ภาวนา ว่า ช่วยอธิบายให้ฟัง ในภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย เค้าก็อธิบายมา สรุป ได้ใจความดังนี้
เทคนิคที่เค้าใช้ได้ผล คือ รู้อริยสัจ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่อาจเกิดในชีวิตประจำวันเลยนะครับ เช่น มีคนขับรถปาดหน้า ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะรู้ตัวอีกที เมื่อเราไปปาดหน้าเค้าคืนแล้ว
(1.) ทุกข์ ให้รู้
ให้ "รู้ลงที่ใจ" คือ รู้ที่สภาวะใจ ที่ถูกบีบเค้น สอดส่าย หรือ แกว่ง รู้ว่า อึดอัด หนักอึ้ง ตึงๆ เครียดๆ อย่างเดียวพอ ให้รู้ลงปัจจุบันที่ใจของเราเอง (เค้าบอกว่า ทุกข์นั้นมีหลายระดับ เช่น เรากินอาหารอร่อย หรือ ดีใจที่ได้ของที่ชอบก็เป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์อย่างละเอียดขึ้นมา ซึ่งควรไปเรียนปริยัติให้ลึกซึ้งต่อไป)
(2.) สมุทัย ให้ละ
อย่าไปหาเหตุที่ทำให้โกรธหรือ เกิดทุกข์ข้อ1 นั่นเอง แบ่งเป็น สมุทัยภายนอก เช่น มองหา ตามหา จ้องการขับของรถคันที่ปาดเราไม่วางตา กับ สมุทัยภายใน เช่น คิดถึงความเลวของรถคันที่ขับปาดหน้า จิตปรุงแต่ง โทสะขึ้นมา จนฟุ้งไปถึง อยากให้มันตาย เพราะถ้า มีเหตุ ผลก็เกิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น ถ้าหมดเหตุผลก็ดับ เราก็ควรจะจอดรถและปิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้มีเหตุเข้ามาทางวิญญาณ ผลคือ ความโกรธ จะได้ดับ
(3.) นิโรธ ให้แจ้ง
ถ้าเรามีสติดีพอ เมื่อ รู้ที่ทุกข์และละสมุทัย ได้ ก็จะเห็น ทุกข์ที่หมดเหตุแล้วดับลง เป็นจิตที่ไม่ทุกข์ สงบ เย็น คือ นิโรธ ซึ่งจะเป็นตัวเปรียบเทียบกัน
(4.) มรรค ให้เจริญ
เมื่อมีสติเห็น กระบวนการอริสัจบ่อยขึ้นๆ จิตก็จะจำสภาวะได้ ว่า มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ มันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตจำไตรลักษณ์ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การท่องจำจากสมอง หรือ การคิดเอาเอง ต่อไป จิตก็จะเจริญใน มรรค มี องค์ 8 ขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่า กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้
2. ผมถามต่อว่า เทคนิคการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ว่าควรทำอย่างไร
เค้าบอกให้ ควร นั่งสมาธิ ทำสมถะกรรมฐาน เพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอ ที่จะ มีสมาธิ หรือ สติที่ต่อเนื่องกันไปนั่นเอง เพราะ ถ้าไม่ทำสมถะ เวลาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับสิ่งภายนอก หรือ เหตุ เช่น ต้องทำงาน ต้องคิด ต้องคุย หรือ เห็นสาวสวย สติมันจะไม่มีกำลังมากพอที่จะ "เห็น" และ "รู้ทัน" อริสัจ
ซึ่งเทคนิคที่เค้าใช้ทำ สมถะ คือ การตามดู ความฟุ้ง เค้าบอกว่า คนที่เรียนมาเยอะ อ่านหนังสือเยอะ ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่ง จิตส่งออกนอกประจำ จะฟุ้งง่าย สงบยาก ต้องคอยตามดูความฟุ้งไปเรื่อยๆ จิตมันจะพากย์เป็นคำพูดของมันเอง ในหัวเรา จะมันจะมีแว้บนึง ที่สติเกิดขึ้นมา ประมาณว่า อ๊ะ รู้แล้วว่า ฟุ้ง พอเวลาผ่านไป เมื่อสติค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปก็ฟุ้งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
แต่พอ มีสติระลึกได้ ว่า อ๊ะ รู้แล้วว่าฟุ้ง ไปเรื่อยๆ จิตมันก็จะจำสภาวะได้เร็ว และ ถี่ขึ้นๆ จนมีสมาธิที่แข็งกล้าขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยความเพียรไปเรื่อยๆ ทำได้ทั้ง นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ
3. การรักษาศีล ทำบุญ จำเป็นมั้ย เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการภาวนาโดยตรง
เค้าบอกว่า การรักษาศีล เพื่อให้ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาทำให้ จิตแกว่ง ไม่สงบ เช่น ถ้าผิดศีลกาเม ก็จะโดนตามฆ่า ดื่มสุราก็จะร่างกายโทรม ส่วนการทำบุญ ก็เพื่อ สละความเป็นตัวเรา ของเรา ให้ไปศึกษา บุญกิริยาวัตถุ 10 หรือ ทศบารมี เพราะ ถ้า เราไม่ทำบุญแปลว่า เรา หวงความเป็นตัวเราของเรา ก็ภาวนาไม่ก้าวหน้า เช่นกัน
น่าจะเป็น 3 ข้อหลักๆ ที่ทำให้การภาวนา ก้าวหน้ามากขึ้น ที่โพสต์นี้เพื่อ เผื่อคนที่ อ่านหรือ ฟังธรรมจากที่ต่างๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ถ้ามาอ่านอันนี้ ที่มากจาก คนปฏิบัติจริง และเป็นคนที่ต้องทำมาหากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกจากการปฏิบ้ติเป็นแบบนี้ๆ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ถ้ามีข้อความส่วนใด ผิดเพี้ยนไม่ตรงกับ ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ขอเชิญๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ชี้แนะได้ และ ความผิดคงเป็น ที่ข้าพเจ้า มิได้เข้าใจ หรือ โง่เขลาเอง
ขอให้ทุกท่าน ที่ได้เกิดมา ได้อย่างน้อย พระโสดาบัน เพื่อเป็นบันได้ก้าวไปสู่ พระนิพพานในกาลเวลาต่อไปด้วยเทอญ
อยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะที่เพิ่งได้ฟังมาจาก ญาติท่านหนึ่งที่ค่อนข้างเอาจริงในทางธรรมครับ
1. ผมได้ถามถึงการปฏิบัติธรรม ภาวนา ว่า ช่วยอธิบายให้ฟัง ในภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย เค้าก็อธิบายมา สรุป ได้ใจความดังนี้
เทคนิคที่เค้าใช้ได้ผล คือ รู้อริยสัจ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่อาจเกิดในชีวิตประจำวันเลยนะครับ เช่น มีคนขับรถปาดหน้า ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะรู้ตัวอีกที เมื่อเราไปปาดหน้าเค้าคืนแล้ว
(1.) ทุกข์ ให้รู้
ให้ "รู้ลงที่ใจ" คือ รู้ที่สภาวะใจ ที่ถูกบีบเค้น สอดส่าย หรือ แกว่ง รู้ว่า อึดอัด หนักอึ้ง ตึงๆ เครียดๆ อย่างเดียวพอ ให้รู้ลงปัจจุบันที่ใจของเราเอง (เค้าบอกว่า ทุกข์นั้นมีหลายระดับ เช่น เรากินอาหารอร่อย หรือ ดีใจที่ได้ของที่ชอบก็เป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์อย่างละเอียดขึ้นมา ซึ่งควรไปเรียนปริยัติให้ลึกซึ้งต่อไป)
(2.) สมุทัย ให้ละ
อย่าไปหาเหตุที่ทำให้โกรธหรือ เกิดทุกข์ข้อ1 นั่นเอง แบ่งเป็น สมุทัยภายนอก เช่น มองหา ตามหา จ้องการขับของรถคันที่ปาดเราไม่วางตา กับ สมุทัยภายใน เช่น คิดถึงความเลวของรถคันที่ขับปาดหน้า จิตปรุงแต่ง โทสะขึ้นมา จนฟุ้งไปถึง อยากให้มันตาย เพราะถ้า มีเหตุ ผลก็เกิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น ถ้าหมดเหตุผลก็ดับ เราก็ควรจะจอดรถและปิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้มีเหตุเข้ามาทางวิญญาณ ผลคือ ความโกรธ จะได้ดับ
(3.) นิโรธ ให้แจ้ง
ถ้าเรามีสติดีพอ เมื่อ รู้ที่ทุกข์และละสมุทัย ได้ ก็จะเห็น ทุกข์ที่หมดเหตุแล้วดับลง เป็นจิตที่ไม่ทุกข์ สงบ เย็น คือ นิโรธ ซึ่งจะเป็นตัวเปรียบเทียบกัน
(4.) มรรค ให้เจริญ
เมื่อมีสติเห็น กระบวนการอริสัจบ่อยขึ้นๆ จิตก็จะจำสภาวะได้ ว่า มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ มันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตจำไตรลักษณ์ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การท่องจำจากสมอง หรือ การคิดเอาเอง ต่อไป จิตก็จะเจริญใน มรรค มี องค์ 8 ขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่า กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้
2. ผมถามต่อว่า เทคนิคการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ว่าควรทำอย่างไร
เค้าบอกให้ ควร นั่งสมาธิ ทำสมถะกรรมฐาน เพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอ ที่จะ มีสมาธิ หรือ สติที่ต่อเนื่องกันไปนั่นเอง เพราะ ถ้าไม่ทำสมถะ เวลาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับสิ่งภายนอก หรือ เหตุ เช่น ต้องทำงาน ต้องคิด ต้องคุย หรือ เห็นสาวสวย สติมันจะไม่มีกำลังมากพอที่จะ "เห็น" และ "รู้ทัน" อริสัจ
ซึ่งเทคนิคที่เค้าใช้ทำ สมถะ คือ การตามดู ความฟุ้ง เค้าบอกว่า คนที่เรียนมาเยอะ อ่านหนังสือเยอะ ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่ง จิตส่งออกนอกประจำ จะฟุ้งง่าย สงบยาก ต้องคอยตามดูความฟุ้งไปเรื่อยๆ จิตมันจะพากย์เป็นคำพูดของมันเอง ในหัวเรา จะมันจะมีแว้บนึง ที่สติเกิดขึ้นมา ประมาณว่า อ๊ะ รู้แล้วว่า ฟุ้ง พอเวลาผ่านไป เมื่อสติค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปก็ฟุ้งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
แต่พอ มีสติระลึกได้ ว่า อ๊ะ รู้แล้วว่าฟุ้ง ไปเรื่อยๆ จิตมันก็จะจำสภาวะได้เร็ว และ ถี่ขึ้นๆ จนมีสมาธิที่แข็งกล้าขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยความเพียรไปเรื่อยๆ ทำได้ทั้ง นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ
3. การรักษาศีล ทำบุญ จำเป็นมั้ย เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการภาวนาโดยตรง
เค้าบอกว่า การรักษาศีล เพื่อให้ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาทำให้ จิตแกว่ง ไม่สงบ เช่น ถ้าผิดศีลกาเม ก็จะโดนตามฆ่า ดื่มสุราก็จะร่างกายโทรม ส่วนการทำบุญ ก็เพื่อ สละความเป็นตัวเรา ของเรา ให้ไปศึกษา บุญกิริยาวัตถุ 10 หรือ ทศบารมี เพราะ ถ้า เราไม่ทำบุญแปลว่า เรา หวงความเป็นตัวเราของเรา ก็ภาวนาไม่ก้าวหน้า เช่นกัน
น่าจะเป็น 3 ข้อหลักๆ ที่ทำให้การภาวนา ก้าวหน้ามากขึ้น ที่โพสต์นี้เพื่อ เผื่อคนที่ อ่านหรือ ฟังธรรมจากที่ต่างๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ถ้ามาอ่านอันนี้ ที่มากจาก คนปฏิบัติจริง และเป็นคนที่ต้องทำมาหากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกจากการปฏิบ้ติเป็นแบบนี้ๆ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ถ้ามีข้อความส่วนใด ผิดเพี้ยนไม่ตรงกับ ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ขอเชิญๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ชี้แนะได้ และ ความผิดคงเป็น ที่ข้าพเจ้า มิได้เข้าใจ หรือ โง่เขลาเอง
ขอให้ทุกท่าน ที่ได้เกิดมา ได้อย่างน้อย พระโสดาบัน เพื่อเป็นบันได้ก้าวไปสู่ พระนิพพานในกาลเวลาต่อไปด้วยเทอญ
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1714
ถ้าพี่โหน่งปรารถนาอยากจะรู้ด้านนี้ก็ต้องเจริญกรรมฐานเพื่อให้ได้ วิชชา 3 หรือจนกระทั่งอภิญญา 6 ครับ ซึ่งญาณเบื้องต้นที่จะทำให้รู้ที่มาที่ไปของเขาก็คือ ปุพเพนิวาสญาณ หรือการระลึกชาติได้นั่นแหละhumdrum เขียน:ผมคิดอีกอย่างนะ ผมอยากรู็ว่าทำไมเขาถึงติดอยู่ตรงนั้น
จะช่วยพวกเขาอย่างไรครับ
ผมฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อตัวเอง
ถึงไม่ถึงไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปถึงก้ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ
ถึงไหนยังไม่รู้เลย ฝึกไปไม่เคยคิดอย่างอืนเลย
นอกจากอยากรู็ว่าเอาชนะอารมณ์ตัวเองได้ไหม แค่นั้นเอง
ภาษาบาลีนี่ ผมไม่รู็เรื่องเลยนะ
ผมไม่ได้เรียนธรรมะแบบท้่องจำ
ผมเรียนแบบทรมานตัวเองล้วนๆ เลย
รู็แต่ว่า ช่วยยังไง ให้ไปเกิดตามที่เขาควรจะเป็น
เขาเล่นยึดติดไว้ เหมือนคนเลย ไม่ต่างกันเลย
ถ้าได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ให้พวกเขาเห้นความจริงว่า ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมมีศัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ผมเชื่อในคำสอน ผมปฎิบัติจริง แล้วก็ได้เห็นจริง
ส่วนภาษาบาลีผมว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่นะ ธรรมะดำรงอยู่บนความจริง ไม่ได้ดำรงอยู่บนภาษาใดภาษาหนึ่ง หลวงพ่อรูปหนึ่งแถวอำเภอธาตุพนมได้เคยกรุณาเล่าให้ฟังว่า มีพระรูปหนึ่งไม่เคยเรียนหนังสือเลย แต่ปฏิฺบัติธรรมอยู่ในฝั่งลาว เมื่อท่านมาเทศน์ หรือสาธยายธรรม ก็สามารถพูดได้ตรงกับพระไตรปิฏกแทบจะทุกอย่าง
ผมไม่ใช่คนกตัญญูอะไรมากหรอกครับ เพราะถึงอยากย้ายคนที่ไม่ยอมคือคนแก่นั่นแหละ ส่วนมากมักจะติดบ้าน เลยเอาสมองไปคิดด้านอื่นแทนhumdrum เขียน:ช่วงน้ำท่วมอย่างนี้
คุณโอ๊ตเป้นคนกตัญญูมากนะครับ
น้ำท่วมบ้านแต่ท่านก็ไม่ย้าย
ต้องดูแลแลผู้สูงอายุ
ผมขอปรมมือให้นะครับ
นี่ละครับฮี่โร่ของผม
ถ้ามีอะไรให้ช่วย
คุณโอ๊ตโพสมาได้เลยนะครับ
ขาดน้ำ ขาดอาหาร
ชมรมผู้ประสบภัย VI จะไปช่วยครับ
มีผมเป้นสมาชิกคนเดียวนี่ละครับ
แต่ใจเกินร้อยครับ
พี่ PERFECT LUCKY มีกัลยาธรรมที่ดีแล้วครับ โชคดีจัง อยากเสริมเรื่องหนึ่งคือ รักษาศีล ก็เพื่อให้เราปกติ ไม่วิปริตไปตามอารมณ์ที่ผ่านมา ส่วนการให้ทานก็เพื่อหัดละ หัดวาง เพราะไม่มีอะไรที่เราจะยึดเอาไปได้ ทำบ่อย ๆ ก็กลายเป็นนิสัย เป็นสันดาน ซึ่งนั่นจะเป็นฐานที่มั่นสำหรับการเจริญสมาธิ หรือทำภาวนาPERFECT LUCKY เขียน:สวัสดีครับ
อยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะที่เพิ่งได้ฟังมาจาก ญาติท่านหนึ่งที่ค่อนข้างเอาจริงในทางธรรมครับ
ขอให้ทุกท่าน ที่ได้เกิดมา ได้อย่างน้อย พระโสดาบัน เพื่อเป็นบันได้ก้าวไปสู่ พระนิพพานในกาลเวลาต่อไปด้วยเทอญ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1715
ผมอนุโมทนากับพี่ humdrum นะครับ
การทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อสนองตัวเองนี่มันยากจริงๆ
ผมนับถือเลยครับ
ครูบาอาจารย์สายวัดป่าท่านฝึกมาทางสมาธิก็มากนะครับ
พี่ลองค้นหาดู ที่ดำรงขันธ์อยู่ก็มีมากครับ
ลองเล่าให้ท่านฟัง ถึงจุดประสงค์ด้วยนะครับ
ผมเองประสบมาหลายคน บางคนภาวนาก็ไม่ได้หวังเพื่อประโยชน์ตัวเอง
บางคนก็หวังประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ หรือย่างอื่นๆ
พี่ลองหาดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับพี่ และคนอื่นๆ
การทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อสนองตัวเองนี่มันยากจริงๆ
ผมนับถือเลยครับ
ครูบาอาจารย์สายวัดป่าท่านฝึกมาทางสมาธิก็มากนะครับ
พี่ลองค้นหาดู ที่ดำรงขันธ์อยู่ก็มีมากครับ
ลองเล่าให้ท่านฟัง ถึงจุดประสงค์ด้วยนะครับ
ผมเองประสบมาหลายคน บางคนภาวนาก็ไม่ได้หวังเพื่อประโยชน์ตัวเอง
บางคนก็หวังประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ หรือย่างอื่นๆ
พี่ลองหาดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับพี่ และคนอื่นๆ
. . .
-
- Verified User
- โพสต์: 76
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1716
ขอเอาไปแชร์นะครับ ^_^PERFECT LUCKY เขียน:สวัสดีครับ
อยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะที่เพิ่งได้ฟังมาจาก ญาติท่านหนึ่งที่ค่อนข้างเอาจริงในทางธรรมครับ
1. ผมได้ถามถึงการปฏิบัติธรรม ภาวนา ว่า ช่วยอธิบายให้ฟัง ในภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย เค้าก็อธิบายมา สรุป ได้ใจความดังนี้
เทคนิคที่เค้าใช้ได้ผล คือ รู้อริยสัจ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่อาจเกิดในชีวิตประจำวันเลยนะครับ เช่น มีคนขับรถปาดหน้า ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะรู้ตัวอีกที เมื่อเราไปปาดหน้าเค้าคืนแล้ว
(1.) ทุกข์ ให้รู้
ให้ "รู้ลงที่ใจ" คือ รู้ที่สภาวะใจ ที่ถูกบีบเค้น สอดส่าย หรือ แกว่ง รู้ว่า อึดอัด หนักอึ้ง ตึงๆ เครียดๆ อย่างเดียวพอ ให้รู้ลงปัจจุบันที่ใจของเราเอง (เค้าบอกว่า ทุกข์นั้นมีหลายระดับ เช่น เรากินอาหารอร่อย หรือ ดีใจที่ได้ของที่ชอบก็เป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์อย่างละเอียดขึ้นมา ซึ่งควรไปเรียนปริยัติให้ลึกซึ้งต่อไป)
(2.) สมุทัย ให้ละ
อย่าไปหาเหตุที่ทำให้โกรธหรือ เกิดทุกข์ข้อ1 นั่นเอง แบ่งเป็น สมุทัยภายนอก เช่น มองหา ตามหา จ้องการขับของรถคันที่ปาดเราไม่วางตา กับ สมุทัยภายใน เช่น คิดถึงความเลวของรถคันที่ขับปาดหน้า จิตปรุงแต่ง โทสะขึ้นมา จนฟุ้งไปถึง อยากให้มันตาย เพราะถ้า มีเหตุ ผลก็เกิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น ถ้าหมดเหตุผลก็ดับ เราก็ควรจะจอดรถและปิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้มีเหตุเข้ามาทางวิญญาณ ผลคือ ความโกรธ จะได้ดับ
(3.) นิโรธ ให้แจ้ง
ถ้าเรามีสติดีพอ เมื่อ รู้ที่ทุกข์และละสมุทัย ได้ ก็จะเห็น ทุกข์ที่หมดเหตุแล้วดับลง เป็นจิตที่ไม่ทุกข์ สงบ เย็น คือ นิโรธ ซึ่งจะเป็นตัวเปรียบเทียบกัน
(4.) มรรค ให้เจริญ
เมื่อมีสติเห็น กระบวนการอริสัจบ่อยขึ้นๆ จิตก็จะจำสภาวะได้ ว่า มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ มันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตจำไตรลักษณ์ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การท่องจำจากสมอง หรือ การคิดเอาเอง ต่อไป จิตก็จะเจริญใน มรรค มี องค์ 8 ขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่า กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้
2. ผมถามต่อว่า เทคนิคการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ว่าควรทำอย่างไร
เค้าบอกให้ ควร นั่งสมาธิ ทำสมถะกรรมฐาน เพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอ ที่จะ มีสมาธิ หรือ สติที่ต่อเนื่องกันไปนั่นเอง เพราะ ถ้าไม่ทำสมถะ เวลาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับสิ่งภายนอก หรือ เหตุ เช่น ต้องทำงาน ต้องคิด ต้องคุย หรือ เห็นสาวสวย สติมันจะไม่มีกำลังมากพอที่จะ "เห็น" และ "รู้ทัน" อริสัจ
ซึ่งเทคนิคที่เค้าใช้ทำ สมถะ คือ การตามดู ความฟุ้ง เค้าบอกว่า คนที่เรียนมาเยอะ อ่านหนังสือเยอะ ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่ง จิตส่งออกนอกประจำ จะฟุ้งง่าย สงบยาก ต้องคอยตามดูความฟุ้งไปเรื่อยๆ จิตมันจะพากย์เป็นคำพูดของมันเอง ในหัวเรา จะมันจะมีแว้บนึง ที่สติเกิดขึ้นมา ประมาณว่า อ๊ะ รู้แล้วว่า ฟุ้ง พอเวลาผ่านไป เมื่อสติค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปก็ฟุ้งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
แต่พอ มีสติระลึกได้ ว่า อ๊ะ รู้แล้วว่าฟุ้ง ไปเรื่อยๆ จิตมันก็จะจำสภาวะได้เร็ว และ ถี่ขึ้นๆ จนมีสมาธิที่แข็งกล้าขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยความเพียรไปเรื่อยๆ ทำได้ทั้ง นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ
3. การรักษาศีล ทำบุญ จำเป็นมั้ย เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการภาวนาโดยตรง
เค้าบอกว่า การรักษาศีล เพื่อให้ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาทำให้ จิตแกว่ง ไม่สงบ เช่น ถ้าผิดศีลกาเม ก็จะโดนตามฆ่า ดื่มสุราก็จะร่างกายโทรม ส่วนการทำบุญ ก็เพื่อ สละความเป็นตัวเรา ของเรา ให้ไปศึกษา บุญกิริยาวัตถุ 10 หรือ ทศบารมี เพราะ ถ้า เราไม่ทำบุญแปลว่า เรา หวงความเป็นตัวเราของเรา ก็ภาวนาไม่ก้าวหน้า เช่นกัน
น่าจะเป็น 3 ข้อหลักๆ ที่ทำให้การภาวนา ก้าวหน้ามากขึ้น ที่โพสต์นี้เพื่อ เผื่อคนที่ อ่านหรือ ฟังธรรมจากที่ต่างๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ถ้ามาอ่านอันนี้ ที่มากจาก คนปฏิบัติจริง และเป็นคนที่ต้องทำมาหากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกจากการปฏิบ้ติเป็นแบบนี้ๆ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ถ้ามีข้อความส่วนใด ผิดเพี้ยนไม่ตรงกับ ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ขอเชิญๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ชี้แนะได้ และ ความผิดคงเป็น ที่ข้าพเจ้า มิได้เข้าใจ หรือ โง่เขลาเอง
ขอให้ทุกท่าน ที่ได้เกิดมา ได้อย่างน้อย พระโสดาบัน เพื่อเป็นบันได้ก้าวไปสู่ พระนิพพานในกาลเวลาต่อไปด้วยเทอญ
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1717
เห็นคำว่าสาวๆ แล้วนึกขึ้นได้เลยอยากจะแชร์ครับPERFECT LUCKY เขียน:สวัสดีครับ
อยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะที่เพิ่งได้ฟังมาจาก ญาติท่านหนึ่งที่ค่อนข้างเอาจริงในทางธรรมครับ
2. ผมถามต่อว่า เทคนิคการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ว่าควรทำอย่างไร
เค้าบอกให้ ควร นั่งสมาธิ ทำสมถะกรรมฐาน เพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอ ที่จะ มีสมาธิ หรือ สติที่ต่อเนื่องกันไปนั่นเอง เพราะ ถ้าไม่ทำสมถะ เวลาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับสิ่งภายนอก หรือ เหตุ เช่น ต้องทำงาน ต้องคิด ต้องคุย หรือ เห็นสาวสวย สติมันจะไม่มีกำลังมากพอที่จะ "เห็น" และ "รู้ทัน" อริสัจ
ซึ่งเทคนิคที่เค้าใช้ทำ สมถะ คือ การตามดู ความฟุ้ง เค้าบอกว่า คนที่เรียนมาเยอะ อ่านหนังสือเยอะ ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่ง จิตส่งออกนอกประจำ จะฟุ้งง่าย สงบยาก ต้องคอยตามดูความฟุ้งไปเรื่อยๆ จิตมันจะพากย์เป็นคำพูดของมันเอง ในหัวเรา จะมันจะมีแว้บนึง ที่สติเกิดขึ้นมา ประมาณว่า อ๊ะ รู้แล้วว่า ฟุ้ง พอเวลาผ่านไป เมื่อสติค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปก็ฟุ้งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
แต่พอ มีสติระลึกได้ ว่า อ๊ะ รู้แล้วว่าฟุ้ง ไปเรื่อยๆ จิตมันก็จะจำสภาวะได้เร็ว และ ถี่ขึ้นๆ จนมีสมาธิที่แข็งกล้าขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยความเพียรไปเรื่อยๆ ทำได้ทั้ง นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ
3. การรักษาศีล ทำบุญ จำเป็นมั้ย เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการภาวนาโดยตรง
เค้าบอกว่า การรักษาศีล เพื่อให้ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาทำให้ จิตแกว่ง ไม่สงบ เช่น ถ้าผิดศีลกาเม ก็จะโดนตามฆ่า ดื่มสุราก็จะร่างกายโทรม ส่วนการทำบุญ ก็เพื่อ สละความเป็นตัวเรา ของเรา ให้ไปศึกษา บุญกิริยาวัตถุ 10 หรือ ทศบารมี เพราะ ถ้า เราไม่ทำบุญแปลว่า เรา หวงความเป็นตัวเราของเรา ก็ภาวนาไม่ก้าวหน้า เช่นกัน
น่าจะเป็น 3 ข้อหลักๆ ที่ทำให้การภาวนา ก้าวหน้ามากขึ้น ที่โพสต์นี้เพื่อ เผื่อคนที่ อ่านหรือ ฟังธรรมจากที่ต่างๆ แล้ว ไม่เข้าใจ ถ้ามาอ่านอันนี้ ที่มากจาก คนปฏิบัติจริง และเป็นคนที่ต้องทำมาหากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกจากการปฏิบ้ติเป็นแบบนี้ๆ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ถ้ามีข้อความส่วนใด ผิดเพี้ยนไม่ตรงกับ ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ขอเชิญๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ชี้แนะได้ และ ความผิดคงเป็น ที่ข้าพเจ้า มิได้เข้าใจ หรือ โง่เขลาเอง
ขอให้ทุกท่าน ที่ได้เกิดมา ได้อย่างน้อย พระโสดาบัน เพื่อเป็นบันได้ก้าวไปสู่ พระนิพพานในกาลเวลาต่อไปด้วยเทอญ
เมื่อก่อนผมเคยไปยืนอ่านหนังสือในศูนย์หนังสือจุฬาฯ เกี่ยวกับธรรมะเนี่ยแหละครับ ขณะอ่านผมเกิดสมาธิในระดับหนึ่ง
แล้วก็เหมือนกับว่า ผมมีสติที่เร็วกว่าความคิดที่เกิดขึ้น (พูดให้ถูกคงเป็นเร็วกว่าประสาทสัมผัส) คือ มีสาวคนนึงยืนอยู่ข้างหลังผม
ผมวางหนังสือแล้วหันมาเจอพอดี มันมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาเลยครับ "เดี๋ยวกรูจะต้องมองแล้วก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยแน่ๆ"
แล้วก็ใช่เลยครับ ผมมองแล้วก็รู้สึกว่า เออ สวยแฮะ ... ก็เป็นเรื่องที่แปลกดี คือมันคิด ก่อนที่จะรู้สึก .... อืม อธิบายไม่ถูกแฮะ มันไม่ใช่คิดแน่ๆ
อีกส่วนคือ เรื่อง จิตมันก็จะจำสภาวะได้เร็ว และ ถี่ขึ้นๆครับ
เคยอ่านมาว่า ความถี่สำคัญกว่าความเข้ม -> ผมคิดเอาเองว่าเพราะความถี่ที่มากกว่าทำให้ เกิดสติตลอดเวลาได้มากกว่า
ซึ่งเป็นขั้นแรกเริ่มต้นที่ดีกว่า
อันสุดท้าย การรักษาศีล เพื่อให้ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาทำให้ จิตแกว่ง ไม่สงบ
อันนี้แอบดีใจ เพราะว่าตรงกับที่คิดไว้ ฮาๆ
ผมเป็นคนปัญญาทึบครับ แต่ก็พอจะคิดได้บ้าง
จึงอยากจะให้เพื่อนๆ พี่ๆ ในนี้ที่ยังไม่เคยลองทำ ลองซะเถอะครับ
ของจริง ยิ่งกว่านิยายซะอีก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 1719
ขอบคุณและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV