ธรรมะ ธรรมชาติ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1681

โพสต์

อะไรๆก็ใหม่สำหรับผมไปหมดเลย  :roll:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1682

โพสต์

[quote="smith_sanguan"][quote="Voldtrest"]ดิ้นอยู่ปีกว่าๆ ซ้ำไปซ้ำมายังไม่ถึงจุดทีเหนื่อยที่สุดซักที
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eyore
Verified User
โพสต์: 606
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1683

โพสต์

ช่วงนี้มีข้อถกเถียงกันมาก เรื่องสอนผิดสอนถูก
กำลัง intrend ช่วงนี้คือ
เด็กแรกเกิดมีสังโยชน์หรือไม่
จิตเกิดดับ หรือมีดวงเดียว
สำหรับท่านที่สนใจเรื่องนี้
ผมไปอ่านเจอ

ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา
(ตอนที่ ๕)
- พระธรรมเจดีย์ (จูม พนธุโล) ถาม
- พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร ตอบ


อ่านแล้ว แจ่มแจ้ง ซาบซึ้ง เกิดปีติเป็นอย่างมาก
เหมือนเปิดของคว่ำให้หงายจริงๆครับ
ท่านฉลาดแหลมคม สมแล้วที่ใครๆยกย่องเป็นพระอาจารย์ใหญ่
ภาพประจำตัวสมาชิก
2nd wind
Verified User
โพสต์: 594
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1684

โพสต์

พี่ป้อมเมื่อคืนผมฝัน เช้าวัน Halloween น่ากลัวเหมือนเป็นเรื่องจริง

เข้านอนตอนตีสาม เกิดมโนภาพในฝันว่าแต่งงาน ในชั่ววิบตาเดียวกันก็เห็นคู่ชีวิตตาย แล้วตัวเองดิ้นเจ็บปวดที่เขาตายเหมือนขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ รู้สึกเหมือนจิตใจปั่นป่วนจะตายให้ได้ พอตั้งสติได้เลยนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ แล้วพอใจนิ่งก็ลงไปนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่ไหนมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ เหมือนหยินและหยาง
ขอบคุณธรรมะที่คุ้มครอง
คนมีโชค คือ คนที่พร้อมเสมอเมื่อโอกาสยังมาไม่ถึง และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ยามโอกาสมาถึง
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1685

โพสต์

2nd wind เขียน:พี่ป้อมเมื่อคืนผมฝัน เช้าวัน Halloween น่ากลัวเหมือนเป็นเรื่องจริง

เข้านอนตอนตีสาม เกิดมโนภาพในฝันว่าแต่งงาน ในชั่ววิบตาเดียวกันก็เห็นคู่ชีวิตตาย แล้วตัวเองดิ้นเจ็บปวดที่เขาตายเหมือนขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ รู้สึกเหมือนจิตใจปั่นป่วนจะตายให้ได้ พอตั้งสติได้เลยนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ แล้วพอใจนิ่งก็ลงไปนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่ไหนมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ เหมือนหยินและหยาง
ขอบคุณธรรมะที่คุ้มครอง
ฝันก็คือคิดตอนกลางคืน

คิดก็คือฝันตอนกลางวัน

ไม่มีอะไรทั้งนั้นแล

ธรรมะย่อมคุ้มครองคนที่มีธรรมะ
เพราะ
คนที่มีธรรมะย่อมรู้จักกรรมฐานที่เหมาะกับตัวเองเพื่อทำสมาธิ
ในเวลาที่ต้องการ
สมาธิเกิดได้เพราะสุข สุขก็เกิดได้เพราะสมาธิ
มันimplyซึ่งกันและกัน
เพราะ
คนที่มีธรรมะมีศีลมีธรรม
คนมีศีล สติไม่ขาดไปจากตัวในยามที่ต้องการ
สติมาได้ แว่บ แว่บ อย่างอื่นหรืออะไรก็ไม่เท่าไหร่แล้วละ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1686

โพสต์

:8) แหมคิดว่าจะโพสแต่เรื่องฟิล์มกับแอนนี่ห้องเดียวซะอีก
     หมอครับ
     ผมตามไปอ่านที่ลิ๊งไว้ให้แล้วนะ
     แต่นี่เป็นข้อเสียส่วนตัวที่ทำให้ผมไม่สามารถเอาดีทางปรัยัติได้อย่างหมอเลยครับ
     พอเจอบาลีเยอะๆ ผมไปไม่เป็นเลย
     ต้องหนีไปฟังที่หลวงพ่อเทศน์ในซีดีแทนทุ๊กที
     มีอีตาหมอแพะอีกคนที่เก่งทั้งปฏิบัติทั้งปริยัติ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1687

โพสต์

พี่พอใจ!!

ผมแยก ใจไม่ตั้งมั่น และ ใจไม่ถึงฐาน ออกแล้วครับ!

งมแทบแย่แน่ะครับ

หลวงพ่อท่านว่า ให้ไปดูต่อ ๆ ไป2ครั้งบอกแบบนี้ทั้ง2ครั้ง (ห่างตั้ง2เดือน)
ท่านยังบอกว่า ถึงฐานไม่ถึงฐาน ต้องชำนาญในการถึงฐาน ถึงจะรู้ว่าฐานอยู่ไหน
ให้ดูต่อไป

ที่แท้ ท่านให้กลับมาดูเอง เรื่องแบบนี้ ถามก็บอกไม่ได้ ต้องดูเองแท้ ขอบคุณหลวงพ่อจริงๆ
. . .
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1688

โพสต์

คนเรือ VI เขียน:
ผมแยก ใจไม่ตั้งมั่น และ ใจไม่ถึงฐาน ออกแล้วครับ!
:8) ค่อยๆจัดการไปได้ทีละขันธ์ละ
     ฟังหลวงพ่อว่าคนที่จัดระเบียบวิญญาณขันธ์ได้ถือเป็นสายปัญญา
     สุโก้ยจริงๆ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1689

โพสต์

ไม่ได้นึกอะไรไกลเลยครับ

ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิผมแย่มากๆเลย การแยกออกว่าอะไรเป็นอะไร ระวังตอนไหน น่าจะเป็นประโยชน์ในการฝึกต่อๆไป ตอนเริ่มเจริญสติ มันง่ายมาก พอมาถึงตอนทำให้เกิดสมาธิ ติดนู้น ติดนี่ ตลอดเลย

จะลองฝึกให้ชำนาญดูครับ
. . .
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1690

โพสต์

พึ่งได้มีบุญฟัง พระธรรมเทศนาโดยหลวงปู่เทศน์ เทศรังสี
ท่านเทศน์ได้ง่ายๆ สบาย ๆ :D

http://audio.palungjit.com/f65/%E0%B8%9 ... -2518.html
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1691

โพสต์

สุขใด จะเท่ารู้ว่า มีลมหายใจ

555555555555555555
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1692

โพสต์

สวัสดีครับ ronnapum
ไม่ได้เจอกันซะนาน
ตอนนี้ผมมาดูลมหายใจ ดูหิมะที่สวีเด็น

อ้อ
ที่บอกว่า "อย่าเป็นนักแสดง จงเป็นเพียงผู้ดู" นั้น
ก็ถูกนะครับ
แต่ถ้าถามนักควอนตัมฟิสิกส์ เขาคงบอกว่า
เรามิสามารถเป็นเพียง"ผู้ดู"เฉยๆได้แต่เพียงอย่างเดียว
การไปดูเฉยๆจะส่งผลกระทบต่อ"นักแสดง"ทันที
"ผู้แสดง"จะเล่นยังไง "ผู้ดู(เฉยๆ)"ส่งผลต่อบทบาท
ฮ่า
เราๆขั้นนี้ก็ดูๆไปก่อน
ขั้นต่อๆไปก็
ไม่มีผู้ดู ไม่มีนักแสดง

อย่าคิดมาก อ่ะ ล้อเล่นขำๆ :lol:
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1693

โพสต์

อ่อ พระอาจารย์ท่านนึงได้แนะนำว่า
อย่าเป็นกรรมการ ด้วยครับ
. . .
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1694

โพสต์

สถาปนิกต่างดาว เขียน:สวัสดีครับ ronnapum
ไม่ได้เจอกันซะนาน
ตอนนี้ผมมาดูลมหายใจ ดูหิมะที่สวีเด็น

อ้อ
ที่บอกว่า "อย่าเป็นนักแสดง จงเป็นเพียงผู้ดู" นั้น
ก็ถูกนะครับ
แต่ถ้าถามนักควอนตัมฟิสิกส์ เขาคงบอกว่า
เรามิสามารถเป็นเพียง"ผู้ดู"เฉยๆได้แต่เพียงอย่างเดียว
การไปดูเฉยๆจะส่งผลกระทบต่อ"นักแสดง"ทันที
"ผู้แสดง"จะเล่นยังไง "ผู้ดู(เฉยๆ)"ส่งผลต่อบทบาท
ฮ่า
เราๆขั้นนี้ก็ดูๆไปก่อน
ขั้นต่อๆไปก็
ไม่มีผู้ดู ไม่มีนักแสดง

อย่าคิดมาก อ่ะ ล้อเล่นขำๆ :lol:


สวัสดีครับพี่สถาปนิก สบายดีนะครับ
ไหนพี่บอกผมว่า กลับมาประจำที่เมืิืองไทยแล้วอ่ะครับ
ทำไมหนีไปสวีเดนได้อีกล่ะ :D

เรืองภาวนา ตอนนี้ผมกิเลสมากมาย มีสิ่งที่มากระทบเยอะ
รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง หลุดบ้างอะไรบ้าง ตามกรรมที่จะรับไป
แต่เมื่อไหร่ที่รู้ทัน รู้ว่ามีลมหายใจ มันสุขที่สุดเลย บอกไม่ถูก รู้แต่สุดๆมันเลย 5555555
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1695

โพสต์

คนเรือ VI เขียน:อ่อ พระอาจารย์ท่านนึงได้แนะนำว่า
อย่าเป็นกรรมการ ด้วยครับ


สวััสดีครับพี่คนเรือ VI สบายดีนะครับพี่
ไม่เคยเจอพี่เลย อยากจะเจอสักครั้งขอคำชี้แนะจากพี่จริงๆ :D
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1696

โพสต์

สติ

"สติ" นั้นเหมือนมีด
ที่หั่น"จิต"กับ"ความคิด"ให้กระเด็นออกจากกัน
เราจึงต้องหันมาฝึกสติ
หยุดคิดไปก่อน
จนกว่า จิต สงบ
จึงค่อยคิด

สุขได้อีกเยอะเล้ย
วรภัทร์ ภู่เจริญ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1697

โพสต์

จิตว่าง คือความสุขถาวร

คนที่ไม่เคยฝึกจิตมาก่อน
ความคิดกับจิตของเขาจะพันกัน มัดกัน วิ่งควบคู่กันไปตลอด
มันไหลไปรวมเป็นเนื้อเดียวกันหมด
พอจิตเกิดอารมณ์ก็เฉโกเลย
(เฉโกคือความคิดที่เจืออัตตา เจือกิเลส หรือความคิดที่ออกมาทางจิตไม่ว่าง)

ทีนี้ทำอย่างไรให้เราเป็นสุขได้

นั่นก็คือเอา สติ ไปคุมความคิด
เอา สติ ไปแยกจิตกับความคิดออกจากกัน
ฉะนั้นความสุขที่ถาวรเลยก็คือตัวที่จิตว่างนี่เอง

จากเดิมที่จิตเป็นนาย มีจิตควบคุมความคิด
แต่พอฝึกสติ
เราก็ปลด "เจ้านาย" เดิม คือจิตออกไป
เราจะได้เจ้านายคนใหม่ คือ สติ
ใช้สติ ควบคุม ความคิด
ปลดปล่อย จิต ให้ตกงาน จิตก็เลยว่างๆ
ให้ จิต เป็นประธาน
คือ ดู เฉยๆ
ให้ สติ ทำงาน แทน จิต
ให้ สติ ทำงานแทน ความคิด

สุขได้อีกเยอะเล้ย
วรภัทร์ ภู่เจริญ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1698

โพสต์

ผมเคยนึกถึง อาร์เซนอล ครับ
touch & go
touch & go

แตะๆ แล้วปล่อย
แตะๆ แล้วปล่อย

พูดถึงจิตกับอารมณ์นะครับ แตะ แล้วปล่อย แตะแล้วปล่อย
ทุกข์หายไปได้เหมือนกันครับ
. . .
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1699

โพสต์

แตะแล้วตาม แตะแล้วติด แตะแล้วตบ
แตะแล้วหลบ แตะแล้วหลีก แตะแล้วไหล
แตะแล้วปลีก แตะแล้วปล่อย แตะแล้วไป
แตะแตะไป จนเบื้องปลาย ไม่ต้องแตะ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1700

โพสต์

แตะแตะไป จนเบื้องปลาย ไม่ต้องแตะ
สาธุครับ
สักวัน.....
. . .
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1701

โพสต์

สักวัน...คงต้องเริ่มจาก...สักวิ
คงร้องฮิฮิ ถ้าได้ซักสิบแปดวิในหนึ่งวัน
นิพพานเขาว่าอยู่ใกล้ตัวเรานา
เปรียบเสมือนบรานั้นอยู่ใกล้ถัน
ห่อหุ้มโอบอุ้มร่างกาย
ไอ้เราซิควาย...ชอบถอดทิ้งกัน
ถอดทิ้งแล้วปลงไม่ลง
ไปลุ่มไปหลงแต่ข้างในนั้น
แตะแตะแล้วก็ไม่ปล่อย
ต้องรอจนย้อยถึงค่อยเข้าใจกัน

สักวันคงเริ่มจากสักวิ
ชิมิ...ชิมิ....ใช่ไหมท่าน :D

แฮ่ๆ...กลอนพาไป(แต่ใจไม่พา)
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1702

โพสต์

osho

โอโชกล่าวถึงงานของตนเองว่า
เขากำลังสร้างเงื่อนไขต่างๆอันจะก่อให้เกิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้น
เขากล่าวถึงมนุษย์สายพันธุ์นี้ว่าเป็น.........."พุทธะซอร์บา"
คือมีความสามารถทั้งรื่นรมย์และเพลิดเพลินในทางโลกเหมือนซอร์บาเดอะกรีก
และสงบสันโดษแบบพระพุทธเจ้า
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1703

โพสต์

แนวทางของ ดีพัค โชปรา เมื่อเทียบกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
ขอถามคุณนันท์หน่อยนะคะเกี่ยวกับแนวทางของ ดีพัค โชปรา เมื่อเทียบกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ในสองประเด็นดังต่อไปนี้

1. ในทางพุทธจะสอนให้มุ่งสู่นิพพานคือการ”ละทิ้ง”ตัวตนเพื่อไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ในขณะที่ดีพัค โชปรา บอกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราควรเป็นการ”ค้นพบ”ตัวตนที่สูงกว่าคือจิตวิญญาณของเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่เป็นอมตะไม่มีที่สิ้นสุดในจักรวาล และให้เรา”ทำนุบำรุง”(nourish) จิตวิญญาณนี้ด้วยการกระทำ การคิด และการรับรู้ต่างๆเพื่อให้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวสามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยผ่านตัวเรา.... คุณนันท์คิดว่าแนวทางดังกล่าวเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา

2. ในบทเรียนข้อที่ห้าของ Golf for Enlightenment ดีพัค โชปราพูดถึง Passion with Detachment หรือตรงกับคำว่า “Shakti “ ในภาษาสันสกฤต ว่าเป็นแรงบันดาลใจหรือพลังของชีวิตที่จะช่วยให้เราเข้าถึงแก่นแท้ของตัวเราได้ แต่ในทางพุทธศาสนาเท่าที่ทราบดูเหมือนจะไม่มีคำสอนในแง่พลังงานหรือความพยายามเช่นว่านี้อยู่ ไม่ทราบว่าคุณนันท์มีความเห็นอย่างไรบ้างคะในเรื่องนี้

ชื่อผู้ส่ง : นพรัตน์ ถามเมื่อ : 13/10/2008


--------------------------------------------------------------------------------


คุณนพรัตน์ ครับ ในความเห็นของผม คำถามนี้ตอบยากมาก ทั้งละเอียดอ่อน เพราะโดยเนื้อหาแล้วเป็นการแสดงความเห็น ที่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสูงสุดระหว่างศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยมีการถกเถียงกันมาตลอด และเป็นเรื่องลึกซึ้งอยู่มาก หากตอบสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินก็คงบอกว่า ไม่รู้ว่าจะตอบได้อย่างไร

ผมจึงขอเน้นย้ำก่อนว่า นี่เป็นการพยายามตอบด้วยความเข้าใจส่วนตัวตามกำลังสติปัญญาที่ผมมี ซึ่งขอให้ฟังหูไว้หู ก็ดีนะครับ และอีกประเด็นหนึ่งคือ ผมไม่แน่ใจว่าการอธิบายผ่านทางตัวหนังสือนี้ของผม จะคลอบคลุมแง่มุมได้แค่ไหน เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว

ผมขอเริ่มจากการสรุปทบทวนประเด็นของคำถามข้อแรก เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อน

คำถามคือ . . .
> ระหว่างคำสอนของพุทธศาสนา ที่สอนให้มุ่งสู่นิพพาน คือการ “ละทิ้ง” ตัวตน เพื่อไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
กับ . . .
> ของ ดีพัค โชปรา ที่บอกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราควรเป็นการ “ค้นพบ” ตัวตนที่สูงกว่า คือจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ นั้น
> ผมคิดว่าแนวทางดังกล่าว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร “ในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา”

ผมขออนุญาตยังไม่สรุป แต่ผมจะพยายามเล่าความเข้าใจส่วนตัวที่ผมมี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเด็นของคำถาม แล้วคุณนพรัตน์อาจสรุปดูด้วยตัวเองว่า คำตอบคืออะไร หรืออาจจะสรุปว่าผมเข้าใจผิดทั้งหมดก็เป็นได้

เรื่องแรก ขอเริ่มเล่าความเข้าใจพื้นฐานทางพุทธศาสนาของผม ที่เชื่อมโยงกับกรณีนี้ก่อน ซึ่งความเข้าใจสำคัญประเด็นแรก เกิดมาจากข้อความอันหนึ่งซึ่งคุณนพรัตน์ก็น่าจะเคยได้ยิน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงธรรมที่พระองค์ ได้ทรงค้นพบในคืนวันตรัสรู้ว่า “สิ่งนั้น(ธรรมนั้น)มีอยู่แล้ว คถาคตจะเกิดหรือไม่เกิด สิ่งนั้นก็มีอยู่แล้ว”

ประเด็นต่อมา คือ ”สิ่งนั้น(ธรรมนั้น)” ที่มีอยู่แล้ว ที่พระองค์ทรงค้นพบคืออะไร ?

ตามภาษาทางวิชาการ ธรรมที่พระองค์ทรงได้พบ ในคืนวันตรัสรู้หรือบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถูกเรียกว่า กฎหรือหลัก “ปฏิจจสมุปบาท” (หรือในอีกกรณี เรียกว่า อิทัปปัจจยตา) ซึ่งผมสรุปเป็นความเข้าใจของผม เอาไว้ว่า เป็นการได้ทรงพบระบบความสัมพันธ์ในแบบสืบเนื่อง ของการมี “เหตุ(และปัจจัย)อันนำไปสู่ผล” และผลนั้นก็เป็น เหตุ(และปัจจัย)อันนำไปสู่ผลอันใหม่ และสืบเนื่องกันไปเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น ซึ่งเป็นระบบหลักที่ทำให้เกิดมีสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้น (หรือจะมองว่ามันเป็นความต่อเนื่องของระบบ “กรรม” ก็ได้) และ บ่อหรืออ่างหรือมวลรวม อันได้ปรากฏขึ้นและหมุนวนไม่จบสิ้นภายใต้ระบบนี้ คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า “สงสารวัฏ”

ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และเห็นขบวนการ เกิดเหตุ(และปัจจัย)ไปสู่ผล ตามระบบความสัมพันธ์นี้ ของทุกสรรพสิ่งอย่างลึกซึ้งทุกแง่มุม และทุกมิติ อันนำไปสู่แนวทางคำสอน เพื่อสร้างความเข้าใจและเกิดการหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้ระบบนี้ ในเรื่อง อริยสัจสี่ เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมทั้งจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า นิพพาน

ผมขอเน้นประด็นหลักในเรื่องแรกไว้ตรงนี้ก่อนว่า สิ่งที่พระองค์ได้ทรงไปพบเข้า นั้นคือ กฎหรือสัจจะธรรม อันหนึ่งที่มีอยู่เดิมแล้ว

เรื่องที่สอง คือ เรื่องคำสอนของ ดีพัค โชปรา ซึ่งต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่ามีพื้นฐานเดิมมาจากฮินดู แต่สนใจศึกษาพุทธศาสนา (พระพุทธเจ้าของเราเดิมก็มีพื้นฐานมาจากฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์เช่นกัน)

ซึ่งผมขอเล่าความเข้าใจของผมเกี่ยวกับหลักอันสำคัญของฮินดู ที่มีคัมภีร์อุปนิษัท เป็นหลักคำสอน ว่าคืออะไร

ฮินดูนั้น เชื่อและนับถือในสภาวะ สภาวะหนึ่ง ซึ่งทรงอานุภาพ เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง เป็นนิรันดร์ ไม่มีต้นกำเนิดและจุดสิ้นสุด เป็นทั้งผู้สร้าง ผู้รักษาและผู้ทำลาย เป็นเหมือนชีพของจักรวาล ซึ่งเรียกว่า “ปรมาตมัน” (หรือพระเจ้าหรือพรหมันในบางกรณี) และในมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ก็มีหน่วยย่อย ของ “ปรมาตมัน” นี้ ดำรงอยู่ภายใน ซึ่งเรียกว่า “อาตมัน”

ตามหลักคำสอนของฮินดูนั้น มุ่งเน้นให้เข้าใจและรู้แจ้งในความจริงนี้ คือ รู้แจ้งใน “อาตมัน” แห่งตน อันนำสู่การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ “ปรมาตมัน” (หรือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า หรือพรหมัน) ซึ่งการรู้แจ้งเห็นจริงนี้ จะทำให้เกิดการหลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งทางฮินดูเรียกว่า “โมกษะ”

มีอีกประเด็นหนึ่ง ดีพัค โชปรา จะแยกความเป็นตัวเราออกเป็น 3 ส่วน คือ body (ร่างกาย) mind (จิตใจ) spirit (จิตวิญญาณ) ซึ่งความเข้าใจของผม “จิตวิญญาณ” นี้น่าจะหมายถึง “อาตมัน” นั่นเอง เพียงแต่ ใช้คำสากลขึ้นตามแบบฉบับภาษาอังกฤษของคริสต์ศาสนา

(อาจจะเทียบได้กับคำว่า “จิตเดิมแท้” ในพุทธศาสนาแบบมหายาน หรือในนิกายเซน และขอเสริมนอกประเด็นว่า สภาวะอันเป็นหนึ่งนั้น ของฮินดู น่าจะเทียบได้กับ สภาวะธรรมที่ เหลาจื๊อ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เลยขอเรียกว่า “เต๋า” ที่แปลว่า หนทาง)

ผมขอสรุปประเด็นหลักของเรื่องที่สองนี้เอา ไว้ว่า ดีพัค โชปรา นั้นมีรากฐานความเชื่อในสภาวะอันเป็นหนึ่ง ที่ดำเนินความเป็นไปของจักรวาลนี้ ของฮินดู ดังปรากฏเป็นเนื้อหาหลักอยู่ในหนังสือของเขา

ถึงตรงนี้ ถ้าต้องตอบคำถามคุณนพรัตน์ ผมเห็นว่าเรื่องนี้มีแกนหลัก ร่วมกันหรือเหมือนกัน คือ เรื่องขบวนการที่พระพุทธเจ้าทรงได้พบ กับสภาวะความเป็นหนึ่งของฮินดู อาจสรุปได้ว่าเป็นการพูดถึงความจริงอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เดิมก่อนสิ่งใด และเป็นธรรมอันเดียวกัน ที่ทางพุทธศาสนาเราเรียกสิ่งนั้นว่า เป็นกฎ หรือหลัก ทางฮินดูเรียกว่า สภาวะ หรือเรียกเป็นรูปแทนว่า พระเจ้า แล้วพูดกันคนละวิธี อธิบายคนละเหลี่ยม คนละสถานการณ์ หรือบริบท (อาจเนื่องจากฮินดูมีมาก่อน พุทธศาสนาหลายพันปี และฮินดูไม่มีศาสดา คำสอนเกิดจากปราชญ์ของฮินดูในยุคต่างๆ บันทึกคำสอน อันเกิดจากการหยั่งถึงสภาวธรรมนั้น ต่อๆ กันมา เป็นคัมภีร์อุปนิษัท)

แต่ที่สำคัญหลังจากนั้นคือ การแปรรูปออกมาเป็นคำสอน เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผล ตรงต่อเป้าหมายสูงสุดของศาสนา ซึ่งสัมพันธ์กับเป้าหมายของชีวิตของเราที่นับถือศาสนานั้นๆ

คำตอบต่อมา จากประเด็นสำคัญของคำถาม ตรงที่ว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร “ในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา” ผมจึงขอตอบว่า ผมไม่รู้จริงๆ ครับ เพราะ ณ ขณะนี้ ผมไม่อาจรู้ได้จริงๆ ครับว่า สภาวะ “นิพพาน” กับ สภาวะ “การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า” หรือ “โมกษะ” นั้น แตกต่างกันหรือเหมือนกัน และไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ หรือชาติไหน ผมจะรู้คำตอบนี้ได้ด้วยตัวเองครับ นอกจากนี้ ผมยังเคยได้ยินว่า มีข้อถกเถียงกัน ของปราชญ์ทางศาสนา เรื่อง ความเป็นอนัตตา ของสองสภาวะนี้อีกยาวเลยครับ และผมคิดว่าคนที่รู้คำตอบแล้ว ก้จะไม่มาเถียงกันเป็นแน่แท้

มีหนังสือของท่านพุทธทาส ที่อธิบายความสัมพันธ์ ของธรรม ดังกล่าวนี้ไว้ ได้อย่างดี ซึ่งผมได้แนะนำคุณpenguin ไว้ในกระทู้ก่อน ชื่อ สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย "เต๋า" รวบรวมโดย กวีวงศ์ จัดทำโดย กลุ่มพุทธทาสศึกษา www.buddhadasa.org พิมพ์โดย มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ รายได้เข้าสถานปฏิบัติธรรม "สวนเมตตาธรรม" อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ หรือหาดูที่สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ก้ได้ครับ

แค่คำถามแรกผมก็เยิ่นเย้อยาวมาถึงขนาดนี้ ขออนุญาตคุณนพรัตน์ยกคำถามที่สอง ไปก่อน แล้วจะรีบกลับมาตอบโดยเร็วครับ

หากทุกท่านมีความเห็นอะไร ก็แทรกเข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/10/2008

คุณนันท์และคุณนพรัตน์ครับ ผมเองคงต้องยอมรับก่อนว่ามีความรู้น้อยมากในเรื่องของศาสนา แต่จากการได้อ่านคำถามและข้อคิดเห็นของคุณนันท์ รวมถึงการมองย้อนไปที่คำถามที่สองของคุณนพรัตน์นั้น มีเรื่องหนึ่งที่แว่บผุดขึ้นมาในความคิดของผมทันที ไม่รู้ว่าจะเป็นส่วนเสริมในการหาคำตอบนี้ต่อไปหรือเปล่านะครับ และในที่นี้ผมเองก็ยังไม่เคยได้อ่าน Golf ของดีพัคด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ผุดมาในความคิดคือ

ผมเองเคยมีโอกาสได้รับเชิยไปทานข้าวที่บ้านของครอบครัว อดีต กุมารีหลวงท่านหนึ่งในกาฏมัณฑุ กุมารีนั้นถือเป็นเทพผู้มีชีวิตที่ชาวเนปาลนับถือ เพราะถือว่าเป็นร่างผ่านของ Taleju Bravani หรือเทพผู้ปกปักษ์รักษาประเทศเนปาล กุมารีนั้นมีอยู่หลายองค์ในหลายๆเมืองของประเทศเนปาล ซึ่งชาวเนปาลนั้น เก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์หรือส่วนใหญ่ตามบัตรประชาชนจะมีลงข้อมูลไว้ว่าพวกเขานับถือฮินดูกัน แต่อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้เห็นและได้พูดคุยกับคนหลากหลายอาชีพที่นั่น พวกเขาเองก็นับถือBudha เป็นองค์สูงสุดและบูชาพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าตามรูปเคารพและงานศิลปะต่างๆที่มีอยู่มากมายในประทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นบูชา หรือรูปวาดองค์เทพทั้งหลายนั้นที่ยอดสูงสุดจะมีองค์ Budha เล็กนั่งสมาธิอย่างสงบอยู่ที่ยอดเหนือจากองค์เทพทั้งหลายเสมอ

แต่การทานข้าวที่บ้านกุมารีในวันนั้น มีบางอย่างที่ผมสังเกตุเห็นนั่นคือ รูปวาดรูปหนึ่งในบ้านของกุมารีที่แขวนไว้บริเวณใกล้หน้าต่าง รูปวาดนี้เป็นรูปวาดลงสีสวยงาม และมองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นรูปจากพุทธประวัติซึ่งมีความหมายกับผู้แขวนไว้ แต่อย่างไรก็ดี รูปที่ห็นนี้ไม่ใช้รูปเคารพอย่างที่เห็นกันบ่อยๆนั่นคือรูปพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ นั่งสมาธิ หรือโปรดสรรพสัตว์ต่างๆ หรือกำลังแสดงธรรม ตอนนั้นเองผมมองอยู่นาน เห็นไกลๆว่า ในรูปเป็นรูปชายหนุ่มกำลังแอบมองหญิงสาวสวยที่หลับไหลอยู่ในห้องนอนที่ตกแต่งสวยงาม ความเกรงใจทำให้ไม่กล้าถาม และมีความรู้สึกประหม่าที่จะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่อย่างไรก็ดี อาทิตย์กว่าๆผ่านไป เรามีโอกาสกลับไปทานอาหาร ดื่มชาที่บ้านอดีตกุมารีอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปอีก ผมขออนุญาติเดินไปดูรูป และได้ถามคุณพ่อเจ้าของบ้านถึงรูปและความหมายของรูปเคารพนี้ ตอนนั้นเองคำตอบทำให้แปลกใจอยู่บ้าง เพราะรูปนั้น เจ้าของบ้านอธิบายว่า เป็นรูปในคืนสุดท้ายก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกจากวัง พระองค์รู้แล้วว่าต้องทำอะไร แต่ก่อนออกไป พระองค์ของเดิมมามองพระชายาและบุตรเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรัก ก่อนจะออกค้นหาไปตามทางและตรัสรู้ในที่สุด

วันนี้เรื่องที่ไม่ได้เน้นการจดจำอะไรไว้มากกลับผุดมาอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าในรูปนั้นที่ถูกแขวนไว้อย่างสำคัญ ได้บอกความหมายถึงแรงดลใจ หรือแรงบันดาลใจบางอย่างของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มองความรัก ทุกข์ด้วยความรัก จากไปเพราะความรัก และวันหนึ่งท่านก็กลับมาเพื่อเทศนาแสดงธรรมให้คนที่ท่านรัก

บางทีทางผ่านสู่การหยั่งรู้นั้นอาจทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะทางสมาธิ กอล์ฟ หรือกิจกรรมอื่นก็ได้นะครับ เพียงแต่ทางพุทธพระองค์เน้นการสอนให้เราพินิจพิจรณาและค้นหาด้วยตนเอง คำตอบตรงนี้เลยถูกละไว้แบบเปิดทาง เพราะเราต่างมีประสบกาณณ์ที่ต่างกัน มีเรื่องราวที่ทำให้เกิดแรงดลใจต่างกัน และเราอาจเลือกวิธีการ หรือเลือกกิจกรรมที่จะผ่านไปสู่การหยั่งรู้ต่างกัน ทั้งนี้เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกันครับ

หวังว่าจะมีประโยชฯบ้างนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 13/10/2008

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น อย่างคนที่ก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าคุณนพรัตน์, คุณนันท์ และคุณ Karn ครับ

ผมเห็นจริงอย่างที่คุณ Karn เล่ามา ในคติความเชื่อของฮินดูนั้น เท่าที่ผมรับรู้มา เขาก็นับถือพระพุทธเจ้าอยู่ไม่น้อย และไม่ได้คิดว่าเป็นศาสนาอื่น เขามองว่าเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาฮินดูของเขาด้วยซ้ำไป บางตำราของฮินดูยังเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ เขาจึงจัดพระพุทธเจ้าเป็นเทพชั้นสูง แม้ไม่เทียบเท่าพระศิวะ,พระนารายณ์ และพระพรหม ซึ่งจัดเป็น "มหาเทพ" แต่ก็ยังมีอีกบางตำราเล่าว่า แม้แต่พระพรหมก็ยังต้องมาเข้าเฝ้าเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จกลับจากการไปแสดงธรรมบนสวรรค์ (ในประการนี้ คนไทยที่อ้างว่านับถือพุทธบางคน ซึ่งยังยึดมั่นถือมั่น ยังยึดมั่นในตัวกูของกู ยังมองอย่างแยกส่วน เชื่อมโยงอะไรไม่ได้ อาจจะรู้สึกรับไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าของเขาจะอยู่ในลำดับที่ต่ำกว่าพระศิวะ และพระนารายณ์) ที่กล่าวมาในประการนี้ ก็เพื่อจะบอกว่าศาสนาฮินดูเขายังมีการมองอย่างองค์รวม อย่างไม่แยกเขา ไม่แยกเราได้ดีทีเดียว

ในประเด็นที่คุณนพรัตน์ ถามว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า กับสิ่งที่โชปรานำเสนอไว้นั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไรนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม (ซึ่งส่วนตัวมากๆ ชนิดที่หลายคนอาจสาปแช่งผมได้เลยทีเดียว) นั้น ผมคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เรา "หลุดพ้น" มากจนเกินไป สงบเกินไป นี่น่าจะเป็นการขัดกับความเป็นจริงของจักรวาล หรือสัจธรรมสากล ที่ว่า มนุษย์เรานั้น มีหน้าที่ต้องแสวงหาความเป็นเลิศ (ในทุกด้าน) ต้องมีการเคลื่อนไหว มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ต้องมีสำนึกของความ "อยากมี" "อยากทำ" และ "อยากเป็น" อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเอาหลักการของเรื่องสนามควอนตัม ที่ระบุว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นพลังงานและข้อมูล ต้องมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว การที่คนเราจะ "ละทิ้ง" และ "หลุดพ้น" หรือ "นิพพาน" ไปเสียทั้งหมดนั้น ก็น่าจะเป็นการขัดกับ "ความจริงสูงสุด" ไปเลยทีเดียว

คุรุหลายท่านสอนว่า มนุษย์เราจะต้องมีแรงจูงใจเพื่อตอบสนองให้บรรลุ ให้ได้ใน 3 ส่วน คือ หนึ่งทางด้านร่างกาย สองทางด้านความคิดและจิตใจ และสามทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งผมขอเรียกว่า การบรรลุถึงการเป็น "คนรวย" (ร่างกาย) "คนเก่ง" (ความคิด/จิตใจ)และ "คนดี" (จิตวิญญาณ) ผมเคยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ทำไมจะเป็นคนดีแล้วจึงต้องเป็นคนจนด้วย และเป็นควนรวยแล้วจะเป็นคนเก่ง คนดีไปพร้อมๆ กันไม่ได้หรือ และบ่อยครั้ง ทำไมเป็นคนรวยแล้วจึงต้องเป็นคนเลว และหรือคนโง่ด้วยเล่า? มนุษย์จะสามารถบรรลุทั้งสามด้านนี้ไปพร้อมๆ กันไม่ได้หรือ ซึ่งคุรุหลายท่าน ตอบว่า "ได้" และ "ต้อง" เป็นเช่นนั้นด้วย

แต่ผู้สืบทอดการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาทำให้ทุกเรื่องแยกขาดออกจากกัน อย่างชนิดไปด้วยกันไม่ได้ พวกเขาสอนคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้กับฆราวาส เหมือนกับต้องการจะให้ทุกคนเป็นนักบวช แม้แต่หนังสือ The Top Secret ของทันตแพทย์สม สุจีรา ที่เอาหลักศาสนาพุทธมาอธิบายต่อยอดจากหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne (ตอนนี้หนังสือของหมอสม พิมพ์ไปครั้งที่ห้าสิบแล้วกระมัง) อ่านแรกๆ ก็ดูเหมือนหมอสมจะเห็นด้วยกับแนวเนื้อหาของ Byrne แต่ลงท้าย เขาก็สรุปว่าไม่มีอะไรวิเศษเท่าการหลุดพ้น และนิพพาน

OSHO ก็ยังเคยแสดงความเห็นไว้ในหนังสือของเขาว่า คุณลักษณะของความเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่ คือ "การผนวกรวมระหว่างซอร์บา เดอะกรีก (Zorba The Greek) และพระพุทธเจ้า" กล่าวคือ "มีความสุขทางโลกได้เหมือน Zorba และสุขสงบได้อย่างพระพุทธองค์"

กล่าวโดยสรุปแล้ว ผมเห็นว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของ "จิตวิญญาณ" ของแต่และคน ว่ากำลังแสวงหา และตัดสินใจ เลือกที่จะเป็นอะไร ทำอะไร และมีอะไร เป็นสำคัญ!


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/10/2008

ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดครับ (คัดจาก foot note ในหนังสือของ OSHO ที่ชื่อว่า Creativity หรือชื่อในภาษาไทยว่า "คิดนอกรีต")

Zorba The Greek เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย Nikos Kazanizakis นักเขียนชือ่ดังของกรีก และเคยได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 1964 ในบทประพันธ์นี้ มีตัวละครเอกคือ Zorba ผู้มีความสุขกับชีวิต เริงร่า ร้องรำทำเพลง ไม่มีหลักการใดๆ ต้องยึดถือปฏิบัติ ใช้ชีวิตกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับตัวละครอีกตัวหนึ่ง คือ Basil นักเขียนอังกฤษ ที่มาจากเมืองหลวง แต่งกายภูมิฐาน สำรวม เงียบขรึม ซึ่งต้องการเดินทางไปเกาะ Crete เพื่อเก็บข้อมูลประวัติพระพุทธเจ้า แต่เมื่อได้รู้จักกับ Zorba ปรากฎว่า Basil ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากการได้ค้นพบอิสรภาพในตัวเอง OSHO ได้อธิบายความของการนำคำว่า Zorba มาใช้ในงานของตนว่า หมายถึง "ผู้ที่มิได้อยู่ใต้อาณัติศาสนาใดๆ เป็นผู้ที่หลุดพ้น และมีโอกาสเข้าถึงพระพุทธองค์ได้มากกว่าพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดเสียอีก"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/10/2008

ผมเกิดความคิดขึ้นว่าน่าจะลองค้นหา ข้อเขียนหรือคำพูดที่บรรยายถึงคุณลักษณะของ สภาวะธรรมนี้มาประกอบ เผื่ออาจทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ทำให้นึกไปถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ในความเห็นส่วนตัวของผม ท่านมักพูดถึง ธรรมอันเป็นหนึ่ง นี้เอาไว้ค่อนข้างเด่นชัด เลยไปเลือกคัดลอกมาและพยายามจัดกลุ่มให้ชัดเจนขึ้น ลองพิจารณาดูครับว่า มีมิติสัมพันธ์กับคำถามและคำตอบอย่างไรได้บ้าง

กลุ่มแรกนี้ผมเลือกที่เป็นเชิงคุณลักษณะ มารวมๆ กันดูครับ

> พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง “จิตหนึ่ง” นอกจาก “จิตหนึ่ง” นี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลย

> "จิตหนึ่ง” ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย มันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด

> “จิตนั้น” ไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

> “จิตหนึ่ง” นั่นแหละคือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง มันเป็นเรื่องที่เพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อ “จิตหนึ่ง” นั้น เท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร ไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียว ที่จะอิงอาศัยได้

> “จิตหนึ่ง” เท่านั้นที่เป็น พระพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า
ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

> สิ่งต่างๆ ทุกสิ่ง ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะ เท่ากันหมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มนี้เป็นเรื่องหลักพิจารณในวิธีการใช้ชีวิตครับ

> วิธีอันโง่เขลา ที่สรรพสัตว์ใช้ในการดับทุกข์ มี ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค อธิบายง่ายๆ ว่า วิธีคล้อยตามความปรารถนา คือ เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ให้สมปรารถนาในสิ่งนั้น ความทุกข์ก็ระงับดับไป และ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง วิธีหักห้ามความปรารถนา คือ เมื่อเกิดปรารถนาสิ่งใดก็แก้ไขหักห้ามตรงๆ บ้าง หันเหจิตใจไปสู่อารมณ์อื่นที่สุขุมประณีตกว่า เช่น การเล่นกีฬา เล่นต้นไม้ เป็นต้นบ้าง ในที่สุดความทุกข์นั้นก็ระงับดับไป
สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ล้วนแสวงหาพระนิพพานแก่ตนด้วยวิธีการอันโง่เขลาทั้ง ๒ วิธี มาเป็นเวลานาน ความทุกข์ก็ยังเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป จนพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก และทรงรู้แจ้งจึงชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ดำเนินตาม
ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริง อยู่ที่ตัวความปรารถนานั้นนั่นเอง ถ้าสามารถทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้ถึงเหตุปัจจัยการปรุงแต่งของมัน หรือรู้รากเหง้าของมัน ธำรงจิตเสียใหม่ให้ถูกต้อง ธำรงจิตให้อยู่โดยประการที่ความทุกข์ไม่อาจท่วมทับได้ โดยประการที่เหตุปัจจัยทั้งหลายไม่อาจปรุงแต่งจิตให้หลงโง่เขลาได้ ดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์โดยสิ้นเชิง

> เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหยุดความกระวนกระวาย เพราะการแสวงหานั้นเสีย (ผมคิดว่าไม่ได้หมายความว่า ให้หยุดแสวงหา) พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะ นั่นเอง

> มันเป็นเรื่อง ที่เพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร

กลุ่มนี้เป็นเรื่องการลุถึงจุดหมายสูงสุด

> จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้ง เห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้อง ในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผ็อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียง ไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่งเดียวกับ “สิ่งสูงสุด” นั้น เราจะได้ลุถึง ภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์ และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม

> ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือว่าเรียก "พระนิพพาน" อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้

ความจริงมีอีกมากครับที่หลวงปู่ท่านพูดถึง ธรรมอันเป็นหนึ่ง นี้เอาไว้ แต่มันจะยาวมากเกินไป

คุณนพรัตน์ครับ ขอนอกเรื่องที่ไม่ตรงกับคำถามนัก อยากเล่าว่า ตัวผมเองก็ได้อาศัยข้อความทำนองนี้ เป็นสื่อในการเทียบเคียงให้เกิดความเข้าใจถึงธรรมะข้างต้นที่พูดถึงกัน มาโดยตลอด รวมทั้งจากของจากครู อาจารย์ ปราชญ์ ท่านอื่น ของทั้งพุทธและศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะฮินดู หรือเซน หรือเต๋า อยู่ด้วย คือผมคิดว่าผมเลือกเป็น คนตาบอดที่ชอบคลำช้าง เพื่ออย่างน้อยได้รู้ว่า มันใหญ่มากและผิวหยาบๆ แล้วมันน่าจะตรงกับที่เราเคยได้เห็นมาบ้างหรือไม่ หรือคนละเรื่องกันเลย

ผมยังค้างตอบข้อสองอยู่นะครับ ไม่ได้ลืม และขอขอบคุณ คุณKarn และท่านอาจารย์ด้วยครับ ที่ช่วยขยายมุมมองในเรื่องนี้



ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/10/2008

ขอบพระคุณคุณนันท์มากๆครับ อธิบายได้คร่าวๆแค่ว่ารู้สึกดีมากๆ จิ๊กซอว์บางช่องลงล๊อค แต่รูปภาพรวมก็ขยายใหญ่ขึ้นต่อเนื่องไปอีก นอกนั้น คือคำ ขอบคุณๆ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 14/10/2008

มันเป็นปมอันแสนปวดร้าวกับศาสนาพุทธของผม(เหมือนนุ่น วรนุชในบทพญานาคสาวในละครเรื่องกาษานาคาช่อง 7 ที่ชาติที่แล้วพระเอกละทิ้งตนหนีไปบวชชาตินี้เลยทั้งโกรธและแค้นศาสนาพุทธเสมอมาจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น) คือผมอยู่ปราจีนบุรี ไปเที่ยว อ.วังน้ำเขียวกับลูกพี่น้องคนสนิทและแม่และขากลับแวะห้างเทสโก้ โลตัสที่เพิ่งเปิดใหม่ของจังหวัด(อารมณืประมาณตื่นเต้นจังหวัดกูมีห้างซักที) แวะเข้าไปในร้านซีเอ็ดบุ๊คซ์ แล้วเมื่อนั้นสงครามนิก-พุทธครั้งที่1 จึงปรากฏขึ้น เมื่อผมไปเจอหนังสือชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอนให้รวย ผมก็คิดว่ามีด้วยหรือวะพระพุทธเจ้าสอนให้รวย มีแต่จะให้ตัดกิเลส เปิดไปหน้าหลังถึงกับผงะ! คนเขียนมันบอกว่า(ขอเรียกว่ามันเพราะการเขียนทำลายจิตใจคนอ่านโดยอ้างเป็นนามพุทธไม่จับมันเผาทั้งเป็นก็บุญโข) พระพุทธเจ้าชี้ชัดดาราตกนรกแน่นอน! ผมตกใจมากเลยซื้อมาอ่าน พบเนื้อหาที่พูดถึงพระไตรปิฎกบทหนึ่งที่ตาลบุตรศิลปินดาราในสมัยนั้นไปถามพระพุทธเจ้าว่าผมเป็นดาราให้ความบันเทิงคนผมต้องได้ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธที่จะตอบ แต่ทรงทนการรบเร้าไม่ไหวเลย ตอบว่าเป็นดาราไปมอมเมาให้คนมีกิเลสตกนรก แล้วก็ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า ของ ศิริพงศ์ อัครศรียุกต์ ที่บอกว่าเลิกเชื่อตัวเองเพราะไม่รู้จริงหันไปเชื่อพระพุทธเจ้าทุกอย่าง(ซึ่งผมเกลียดมากไอ้ความคิดแบบนี้) พูดจูงใจทำนองว่าหนังสือข้านี่ศักดิ์สิทธิ์จัดใครลบหลู่ตกนรกหมกไหม้ มันก็ถึงขนาดล้มเลิกความฝันการเป็นนักร้องของลูก(ลูกมันยังเล็กกำลังสนใจการเป็นนักร้องตอนแรกเขาก็จะสนับสนุน แต่แค่ไปอ่านเจอพระไตรปฎกบทนี้ มันก็ไปโปรแกรมลูกในสมองทันทีว่า ดารานักร้อง=ตกนรก ซึ่งรู้สึกแย่มาก (ตอนนั้นต้องยอมรับเลยสนพ.อมรินทร์ ทำให้ผมรู้สึกว่าศาสนาพุทธถูกต้อง 100% ราวกับ 2+2=4 ยังงั้นเลย) ผมสนใจและเรียนเรื่องการท่องเที่ยวและชื่นชอบวรรณกรรม รักโรแมนติกอย่างมาก ความคิดพล่างพลู มาว่า งั้น วอลซ์ ดิสนีย์ เชคสเปียร์ โมสารท์หรือแม้กระทั่งสุนทรภู่แม่งก็ตกนรกหมดสิผมยอมไม่ได้ ไปหาหนังสือของพุทธทาสมาอ่าน เพราะเห็นว่าท่านน่าจะรู้เกี่ยวพุทธดีที่สุด ทำให้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก คำตอบของท่านเหมือนกับคำตอบของหนังสือ QUANTUM SUCCESS (ที่คุณวันชัยเอาแปลด้วยพระองค์เอง คาดว่าออกงานหนังสือช่วงมีนาคม) ว่าความสำนึกรู้หรือสภาวะจิตของเราเนี่ยแหละถ้ามันสวรรค์ตอนนี้ ตายไปมันก็ไปดี ถ้ามันนรกตอนนี้ตายไปก็ไปไม่ดี ก็คือพลังงานในสภาวะจิตมันจะกำหนดผลกรรมหรือสิ่งที่เราจะได้ ผมเลยสบายใจแต่ก็มาขัดแย้งกับหนังสือของท่านพุทธทาสคือ ท่านเชียร์นิพพานมากไป ราวกับสุขและทุกข์มันไม่ดีทั้งคู่
ตามหลักเหตุและผลหรืออิทัปปัจยตา ถ้าสภาวะจิตผมเป็นอย่างไรผมจะกำหนดเหตุการณ์ที่จะเข้ามาสู่ผม ถ้าผมร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลาผมเชื่อว่าถ้าผมตายไปขณะที่ใจกำลังร้อนรุ่มผมต้องไปอยู่ในภพที่เหมาะกับสภาวะจิต(ซึ่งอาจจะเป็นนรก) แต่ถ้าสภาวะจิตผมเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ร่างเริงเบิกบานมันก็เป็นเหตุให้ผมเจอสภาวะนั้นเรื่อย แต่ท่านพุทธทาสไม่อยากให้คนมีทั้ง2สภาวะ คือต้องมีเหตุและผลต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด ท่านสอนให้ตัดเหตุซะ แต่ท่านไม่เหมือนโอโช่ตรงที่ท่านมีทัศนะคติกับมนุษย์เหมือนมันสภาวะที่ทุกข์ทนไม่น่าอยู่แต่โอโช่นั้น WORD หรือคำแต่ละคำที่บรรยายมนุษย์ที่เข้าถึงจิตวิญญาณพูดแต่ว่ามันสวยงาม เป็นบทกวี เป็นเสียงดนตรีเป็นโรแมนติก ซึ่งขณะนั้นการท่องเที่ยวยังไม่บูมเหมือนสมัยนี้แต่ท่านก็เหมือนต่อต้านการท่องเที่ยวหรือบทเพลงหาว่าเป็นกิเลสลุ่มหลงเหมือนกัน ผมจึงเห็นด้วยกับอ.วสันต์ที่ยังไม่มีใครในศาสนาพุทธที่แสดงที่ความงดงามได้เหมือนคนที่เขาไม่ถือศาสนาใดทั้งสิ้น ซึ่กงารยึดติดกับศาสนามันบ่อนทำลายสภาวะความงดงามของผมที่เป็นค่านิยมหลักของผมมาก(เพราะพอจิตใจผมจะเสพควาสวยงามที เสียงของปราชญ์ชาวพุทธหลายคนก็ก้องเข้ามาในหัวให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่า "มันเป็นกิเลส" แถมมีหนังสือของแม่ชีดร.ไพเราะที่ใช้นามปากกาว่าสิริวรุณที่ชื่อ อิทัปปัจยตา อำนาจสูงสุดของธรรมชาติกับคิดให้เป็นเดี๋ยวเห็นเอง ของสนพ.สุขภาพใจ ต่อต้านการท่องเที่ยวและการมีเป้าหมายส่วนตัวโดยใช้วิธีกระแนะกระแหนอย่างสุดโต่ง ประมาณว่าถ้าใช้หลักเศษฐศาสตร์แบบพุทธจะไม่มีการท่องเที่ยว ถ้าเด็กไม่หลงค่านิยมผิดๆจะต้องเกลียดการมีเพศสัมพันธ์เข้ากระดูกดำ ทั้งที่พออ่านของ OSHO เราจะรู้สึกว่าเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสวยงามรวมถึงหนังสือฝรั่งหลายเล่มทั้ง สนทนากับพระเจ้าและกฏแห่งการดึงดูดเพื่อดึงดูดคนรัก ของ สนพ.ต้นไม้ จึงฝากให้พิจาณาพิษสงของการยึดติดทางศาสนา ผมคนนึงแหละสถาปนาเป็นแบบ OSHO กับ เอ็คฮาร์ท โทเล่คือ ขอไม่มีศาสนาใดทั้งสิ้น!





ชื่อผู้ตอบ : นิก(ผู้คลั่งไคล้จิตวิญญาณ โดยหลักการที่งดงาม) ตอบเมื่อ : 14/10/2008

ผมขอแทรก เล่าเรื่องใกล้ตัวผมเรื่องหนึ่งครับ

เหตุที่ทำให้ผมได้คิด จากเรื่องที่จะเล่านี้ เกิดจากลูกสาวและลูกชายของผม ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงวัยรุ่นทั้งคู่ และก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่ชอบฟังเพลงเกือบจะตลอดเวลา เวลาที่ขึ้นรถไปด้วยกัน ทันทีที่ปิดประตูรถ ไม่คนใดคนหนึ่ง ก็จะต้องเอื้อมมือมาเปิดวิทยุหาคลื่นโปรดในทันที หรือบางครั้งถึงขนาดเตรียมแผ่นซีดีเพลงโปรด ขึ้นมาเปิดด้วยเลยก็มี ผมจึงต้อง(จำใจ)ฟังเพลงที่ถูกเปิดนั้น จนกระทั่งเราถึงที่หมายลงจากรถ ซึ่งบ่อยครั้งที่ผมอยากจะบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องเปิดเพลงหรือขอแบบเงียบๆ บ้างได้ไหม แต่ก็ไม่ได้บอกออกไป เพราะพอนึกย้อนกลับไป ตอนที่ผมอายุเท่าๆ พวกเขา ตัวผมเองก็มีความสุขแบบเดียวกับเขาเหมือนกัน

อยู่มาวันหนึ่ง ตัวผมและลูกทั้งสองคน มีเหตุให้เราต้องไปรอทำธุระบางอย่าง ใกล้บริเวณที่เขากำลังขุดเจาะพื้นถนน ซึ่งคงพอจะนึกกันออกนะครับ ว่ามันจะมีเสียงของเครื่องเจาะกระแทกกับพื้นคอนกรีต ที่ทำให้เกิดความรำคาญจากความดังที่แสนสั่นประสาทของมันขนาดไหน และจำต้องทนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ๆ จนเสร็จธุระ จึงรีบโทรเรียกภรรยาของผม ให้ขับรถวนมารับเราออกจากพื้นที่อึกทึกนั้น

ทันทีที่เราทั้งสามคน (ผมและลูก) ขึ้นรถ ปิดประตูและขับจากมา เสียงอึกทึกที่ต้องทนอยู่เมื่อครู่นั้น ก็หายไป พร้อมกับที่ลูกชายและลูกสาวของผม เอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กันว่า "ค่อยยังชั่ว" และนั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่ยื่นมือมาเปิดเพลงจากวิทยุ เหมือนเช่นเคย ไปอีกพักใหญ่ๆ จนเกือบจะถึงบ้าน

ที่ผมได้คิดขึ้นในตอนนั้นก็คือว่า ทั้งลูกสาวและลูกชายของผม คงรู้จัก ความสุข อันเกิดจาก "เสียงแห่งความเงียบ" เข้าบ้างแล้ว

และมันทำให้ผมหวังว่า ลูกชายและลูกสาวของผม จะได้รู้ว่า มันไม่ได้มีแค่ซีกของ ความทุกข์ หรือ ความสุข แบบที่เขาคุ้นเคยอยู่ เพียงแค่นั้น ความจริงมันมี "ความ" อีกความหนึ่ง ซึ่งเราอาจต้องออกไปพ้นจาก ความทุกข์ หรือ ความสุข แบบที่คุ้นชินนั้น และลองลิ้มรสสิ่งใหม่นั้นดู ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรให้เขาเข้าใจ


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1704

โพสต์

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๐๒
เพื่อนธรรมจารี (Friend of Dhammacārī)
โดย งดงาม
[email protected]
----------------------------------------------------------------

อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา

คุณเคยคิดบ้างไหมครับว่า อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ???
ผมตั้งคำถามเปิดแบบนี้ ก็อาจจะทำให้คุณนึกถึงหลายอย่างมาก ๆ และยังหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้
แต่หากคุณสามารถตอบได้ในขณะนี้ ก็ขอให้ตอบได้เลย และจำคำตอบไว้ด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ยังนึกคำตอบไม่ออก ผมจะลองเปลี่ยนคำถามใหม่นะ

สมมุติว่าคุณเป็นเทวดาที่กำลังจะหมดบุญ และกำลังจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ท้าวสักกะเทวราชให้คุณขอพรได้หนึ่งข้อว่า
เมื่อคุณมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะให้มีสิ่งหนึ่งติดตัวมาด้วย
คุณจะขออะไรดี??? (คำถามนี้อาจจะง่ายขึ้นแล้ว)

ยกตัวอย่างนะครับ ขอให้มีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี
ผิวพรรณดี สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ฯลฯ
สารพัดให้เลือก ... ลองนึกนะครับว่าคุณจะขออะไร

คิดว่าคุณคงพอจะได้คำตอบหรือตัวเลือกบางตัวในใจบ้างแล้ว
ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าคุณจะขออะไร
แต่สมมุติว่าคุณเกิดมาแล้วได้ดีทุกอย่างที่กล่าวเลย
โดยมีฐานะดี ตำแหน่งดี ชื่อเสียงเกียรติยศดี รูปร่างดี หน้าตาดี ผิวพรรณดี
สุขภาพดี พ่อแม่ดี ชาติตระกูลดี คู่สมรสดี บุตรดี ครูบาอาจารย์ดี ทุกอย่างดีหมดเลย
แต่เสียแค่เพียงอย่างเดียว คือ คุณ “ปัญญาอ่อน”

หากคุณเพียงแค่ “ปัญญาอ่อน” เสียอย่างเดียวแล้ว
ต่อให้สิ่งทั้งหลายรอบตัวคุณจะดีแสนดีไปหมดทุกอย่างก็ตาม
คุณก็ไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ใด ๆ จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นได้เลย


ทีนี้หากผมสมมุติว่าให้คุณมี “ปัญญาดี” ด้วยเลยนะ
แต่ว่าคุณขาดอยู่เพียงอย่างเดียว คือคุณไม่มี “สัมมาทิฏฐิ”
“สัมมาทิฏฐิ” ก็แปลได้ว่า ปัญญาอันเห็นชอบ
หากเข้าใจยาก ผมจะขอแปลอีกแบบว่าคือ ความเห็นในทางที่ชอบที่ควร

หากคุณมีดีพร้อมทุกอย่างเลย และมีปัญญาดีด้วยแล้ว
แต่ขาดเสียซึ่งสัมมาทิฏฐิเพียงอย่างเดียว
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คุณมีดีพร้อมนั้น
จะเป็นไปเพื่อสนอง “มิจฉาทิฏฐิ” ในตัวคุณเองเท่านั้น
(“มิจฉาทิฏฐิ” ก็แปลไปในทางตรงกันข้าม คือ ความเห็นในทางที่ผิดที่ไม่ควร)

หากปราศจากเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” ในตัวคุณแล้ว
สิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่คุณมีก็จะเป็นไปเพื่อการสร้างบาปสร้างเวรกรรมให้แก่ตนเองเท่านั้น
เช่น คุณมีมือเท้าดี ก็จะนำไปตบตีทำร้ายคนอื่น หรือฆ่าสัตว์
คุณมีตำแหน่งสูง ก็จะไปคอรัปชั่นหรือกลั่นแกล้งคนอื่น
คุณมีความรู้ดี ก็จะไปโกงคนอื่น คุณมีรูปร่างหน้าตาดี ก็จะไปผิดลูกเมียคนอื่นเขา
คุณมีฐานะดี ก็จะใช้เงินที่มีนั้นไปเบียดเบียนคนอื่น หรือดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น
และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะต้องรับผลแห่งกรรมไม่ดีทั้งหลายที่คุณได้ทำนั้นอย่างเนิ่นนานในอนาคตกาล
ซึ่งที่คุณมีความสามารถไปทำกรรมไม่ดีทั้งหลายนั้นได้
ก็เพราะว่าคุณมีสิ่งดี ๆ เยอะ แต่ว่าขาดเสียซึ่ง “สัมมาทิฏฐิ” นั่นเอง
ผมจึงเห็นว่า “สัมมาทิฏฐิ” นี้แหละ เป็นคำตอบของคำถามแรก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา
และเป็นคำตอบของคำถามที่สอง ซึ่งเทวดาในคำถามนั้นควรจะขอต่อท้าวสักกะเทวราช

หากคุณบางคนยังไม่เชื่อ ผมจะขอเปลี่ยนคำถามใหม่
สมมุติว่าคุณอยู่ที่กรุงเทพฯ และต้องการจะเดินทางไปไหว้อัฐิคุณพ่อของคุณที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ผมให้คุณเลือกว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจะเดินทางไปนี้
ยกตัวอย่างให้เลือกนะ ให้อากาศดี ฝนไม่ตก ให้มีรถยนต์ดี ให้มีถนนดี ให้มีเพื่อนร่วมทางที่ดี
ให้มีเงินในกระเป๋าเยอะ ๆ ให้มีน้ำมันเพียงพอ ให้มีสุขภาพร่างกายดี ฯลฯ
ผมก็จะให้คุณมีดีทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดเลยนะ
แต่ขอแค่คุณไม่มีอย่างเดียวก็คือ คุณไม่มี “ทิศทางไปที่ถูกต้อง”

หากคุณมีดีทุกอย่าง แต่ไปกลับเดินไปผิดทาง เช่น ขับรถมุ่งไปเหนือ หรือขับรถพุ่งลงใต้แล้ว
คุณจะไปถึงจังหวัดชลบุรีได้หรือเปล่า ก็คงต้องตอบว่า “ไม่ถึง”
และที่แย่กว่านั้น ก็คือ หากรถยนต์ยิ่งดี ถนนยิ่งดี น้ำมันยิ่งเยอะ
ก็จะยิ่งพาคุณออกไปไกลห่างจากจังหวัดชลบุรีได้เร็วและได้มากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อคุณรู้ตัวขึ้นมาว่าไปผิดทางแล้ว
คุณจะต้องใช้ความพยายามและเวลาที่มากขึ้น
ในการที่จะต้องกลับมาอยู่ที่จุดเดิมและในเส้นทางที่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่เรามีอะไรหลายอย่างดี ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคุณประโยชน์เสมอไป
หากแต่เราไม่มี “สัมมาทิฏฐิ” ที่จะใช้สิ่งใด ๆ เหล่านั้นให้เป็นคุณแก่ตัวเราเองได้แล้วนะ
สู้เรายอมว่าไม่มีสิ่งดี ๆ เหล่านั้นเลยจะดีกว่า
หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายอมเป็นคนปัญญาอ่อนและให้นอนอัมพาตขยับไม่ได้อีกด้วย ยังจะดีเสียกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ไปสร้างเวรสร้างกรรมไม่ดีอะไรที่จะเป็นโทษแก่ตนเองต่อไปในอนาคตกาล
ก็เรียกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ติดลบ ก็เพียงแค่ “เสมอตัว” เท่านั้น
แต่หากปัญหาดี ขยับได้ และไปทำสิ่งที่เป็นบาปกรรมและเป็นโทษกับตัวเองแล้ว เท่ากับ “ติดลบ”

หากเปรียบเป็นการเดินทางแล้ว หากจะต้องเดินทางไป “ผิดทิศทาง” แล้ว
สู้ยอมอยู่กับที่ยังจะดีเสียกว่า
ยอมให้รถเสีย น้ำมันหมด ถนนไม่ดี ฯลฯ ก็ยังจะดีกว่า
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้วิ่งห่างจากจุดหมายไปมากกว่าเดิม



ทิศทางที่จะเดินทางไปนั้น มีความสำคัญที่สุดฉันใด
สัมมาทิฏฐิก็มีความสำคัญที่สุดฉันนั้น
ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ขออยู่เฉย ๆ ทั้งชีวิตจะดีกว่า เพราะหากคุณกำลังถือ “มิจฉาทิฏฐิ” แล้ว
ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเป็นไปเพื่อโทษแก่ตัวเองทั้งสิ้นครับ




ที่มา : http://www.dharmamag.com/index.php?opti ... &Itemid=76
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1705

โพสต์

ยังนิยมชมชอบลุ่มหลงหัวปักหัวปำกับ กิน ขี้ x นอน อยู่เลย :wall:

ฤา ต้องเจอ crossroad เข้าสักวัน

จึงจะตระหนัก :oops:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1706

โพสต์

ความลับของชีวิต

เราอาจสรุปความได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" นั้น
มันมี"เคล็ดลับ"มาก แต่มันก็รวมอยู่ที่ สิ่งที่เรียกว่า
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ช่วยจำคำ ๖ คำนี้ไว้ให้ดีๆ อย่าหาว่าเป็นคำธรรมดา
มันมีความลับอยู่ในนั้นมากมาย

.............................................
ทั้ง ๖ นั้น มันยังมีสิ่งสัมพันธ์กันอยู่ด้วย คือมันต้องมี
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์อีก ๖ อย่างมาจับคู่กัน
ถ้าไม่มีรูปมากระทบตา ไม่มีเสียงมากระทบหู เป็นต้น
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่มีความหมาย อะไร
มันเหมือนกับไม่มี มันเท่ากับไม่มี
ที่แท้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ยังอยู่ อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ
แต่ทางธรรมะจะถือว่า ไม่มี
คือมันเท่ากับไม่มี
................................................

อย่างว่า คนเรานี้ก็ไม่ได้เกิดอยู่
ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นฉัน คนจึงเกิดขึ้นมา
นี่เป็นใจความสำคัญ ที่จะทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนา
คนทั่วไปจะพูดว่า ฉันมีอยู่ ฉันเกิดอยู่ตลอดเวลา
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนมันเกิดตายๆวันหนึ่ง
ไม่รู้กี่หน
คือรู้สึกว่า กูเป็นกู ฉันเป็นฉัน อะไรขึ้นมา อย่างนี้ก็
เรียกว่า คนเกิดทีหนึ่ง

ดังนั้นจึงมีเคล็ดลับ คงามลับ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1707

โพสต์

พระไตรปิฎก จะ ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ หรือ
จะกี่ล้านๆก็ตาม สรุปอยู่ที่คำๆนี้คือ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทำผิด เป็นนรก ทำถูกเป็นสวรรค์
ทำได้เหนือผิด เหนือถูก ก็เป็นนิพพาน
....................................

ทีว่า การทำผิด หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า เราเป็นทาสมัน
เราเป็นทาสอายตนะทั้ง ๖
ความเป็นทาสตา ทาสหู ทาสจมูก ทาสลิ้น
ทาสกาย ทาสใจ นั่นแหละคือปัญหาทั้งหมดของความทุกข์
ไม่เป็นอิสระต่อตนเอง
นี่คือเคล็ดลับของชีวิต
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1708

โพสต์

ผมถามหน่อยครับ ในนี้มีท่านไหนที่ฝึกสมาธิ
มีใครเคยเห็นวิญญาณบ้างครับ
จะคุยกับเขาอย่างไรครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1709

โพสต์

คำสอนของพระธุดงค์นิรนาม


“รู้ตัว”

เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน

บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้งๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า

ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคุยกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นานๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ

เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ

ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”

“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”

“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว

ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก

ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ

ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า ไกลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก

ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์

หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ

เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว

ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา “อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว “ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง “รู้ตัว” ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า “สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ” ผมยังไม่ “รู้ตัว” อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?

อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน

“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ

ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย

ข้าพเจ้ากลับไปพลหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง

สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง สภาวสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย

ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่

ข้าพเจ้ายังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ พยายามไต่ถามใครต่อใครก็แล้ว จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะรับประทานอาหารค่ำ วิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ที่หอประชุมกลาง อาคารเฉลิมพระเกียรติที่ในเมือง ในสองวันข้างหน้านี้

พอได้ยินประกาศนั้น ข้าพเจ้าก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะสองครั้งที่แล้วมา ข้าพเจ้าศึกษา “ตัว” ในด้านวัตถุด้านเดียว ลืมด้านจิตใจเสียสนิท คราวนี้ข้าพเจ้าจะมีโอกาสรู้จักตนเองในด้านจิตใจ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจด วัน เวลา ปาฐกถาลงในสมุดพก แล้วตั้งตาคอยด้วยความกระวนกระวายใจ

ในที่สุด วันที่ตั้งตาคอยก็มาถึง ข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า และไปนั่งคอยอยู่ที่ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติก่อนเวลาเกือบชั่วโมง

ในวันนั้นปรากฏว่ามีคนฟังมากเป็นพิเศษ แม้หอประชุมจะกว้างใหญ่ ก็เต็มแน่นไปด้วยประชาชนผู้สนใจ เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่ท้องฟ้าอวกาศ คนสามารถรู้ว่า ดวงดาวเล็กๆ ที่ส่งแสงริบหรี่อยู่ในห้วงอวกาศอันไกลแสนไกลนั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวเท่าไหร่ มีเส้นรอบวงยาวเท่าไร มีน้ำหนักเท่าไร ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง ห่างจากโลกกี่ปีแสง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท ไม่ศึกษาตนเอง จึงมีความรู้เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ต่อจากนั้น องค์ปาฐกก็เข้าประเด็นสำคัญของปาฐกถา

ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่างๆ ของจิต จำนวนร้อย การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต การกระทำกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่

นอกจากนี้ ท่านยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่างๆ ทางไสยศาสตร์ด้วย หลังจากปาฐกจบ องค์ปาฐกได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ๒-๓ ข้อ และได้ฟังการตองจากองค์ปาฐกอย่างแจ่มแจ้งเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด การฟังปาฐกถาครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน “หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่อสองครั้งที่แล้วมา เราไปแสดง “ตัว” ในด้านวัตถุให้ท่านฟัง ตามทัศนะทางวิทยาศาสตร์ ท่านปฏิเสธไปก็ชอบแล้ว ถูกของท่านแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในประอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป

เย็นวันเดียวกันนั้นเอง อาบน้ำรัปประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ เมื่อนั่งกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ให้ท่านหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ เช่นเดียวกัน เมื่อเล่าจบ ข้าพเจ้าก็คอยตั้งใจฟังคำตอบจากหลวงพ่อ “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย “สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป

ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง ดุจเดียวกับคนที่สร้างบ้านจวนเสร็จแล้ว แต่ถูกลมพายุพัดพังทลายลงต่อหน้าต่อตา การประสบความผิดหวังถึง ๓ ครั้ง ๓ คราวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” เจนจบแล้ว ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นองเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก

เมื่อคิดดังนี้ ข้าพเจ้าก็เลิกล้มความคิดที่ค้นหาความจริงของ “รู้ตัว” ต่อไป เพราะในตัวคนเรา ไม่มีอะไรจะให้รู้ต่อไปอีกแล้ว “พอกันที” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง สำหรับ “รู้ตัว” อันยุ่งยากของหลวงพ่อ มันรู้ยากนักก็ไม่รู้มันละ ทำบุญรักษาศีลไปตามเดิมดีกว่า หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตฆราวาสไปอย่างปกติธรรมดา ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย

ประมาณ ๑ เดือนหลังจากนั้น ขาพเจ้ามีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสารที่สถานีจอดรถ วันนั้นอากาศค่อนข้องร้อนอบอ้าว ผู้โดยสารก็ค่อนข้างแน่นชวนให้งว่งนอน ในขณะที่รถโดยสารวิ่งไปตามถนนอันราบเรียบ ข้าพเจ้าจึงนั่งหลับนกไปในรถตลอดเวลา เมื่อรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เพราะแทนที่จะพบตัวเองอยู่ในรถโดยสาร กลับพบตัวเองนอนอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

เสียงที่ได้ยิน แทนที่จะเป็นเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ กลับเป็นเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปมองทางด้านขวามือ ก็ได้พบชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง หน้าตาแขนขาของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าปลาสเตอร์สีขาว จนดูคล้ายศพที่เขาตราสังแล้ว ถัดจากนั้นไป มองเห็นหัวเข่าอันผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของชายคนหนึ่งโผล่ขี้นมา ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปดูทางซ้ายบ้าง ก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเหลืองดุจซากศพ กำลังนั่งกิดเข่าอยู่บนเตียงอย่างเป็นทุกข์ ถัดไปเป็นชายอีกคนหนึ่งนอนครวญครางอยู่ด้วยความเจ็บปวด ขาข้างหนึ่งของเขาถูกผูกโยงไว้กับราวข้างบน ข้าพเจ้าหันหน้ากลับ หลับตาคิดทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองมิได้ฝันไป แต่พอลืมตาขึ้นก็ได้พบสภาพเดิมอีก แสดงว่ามิได้ฝันแน่ๆ “โรงพยาบาล”

ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเองเบาๆ “โรงพยาบาล” ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเอง แล้วพยายามคู้แขนเตรียมจะใช้ยันลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความพยายาม เพราะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย พยายามคู้ขาเพื่อจะยันเข่าขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ข้าพเจ้าจึงนอนอยู่นิ่งๆ และยิ้มนิดๆ เพราะรู้สึกขบขันต่อความไม่แน่นอนของชะตามนุษย์

ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน จึงได้ทราบจากเธอว่า รถยนต์ที่ข้าพเจ้าโดยสารไปเกิดคันเร่งหลุด เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้คนโดยสารตายทันที ๗ ศพ นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส และไม่สาหัสทุกคน สำหรับข้าพเจ้า ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย ๒ สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลนี้เอง ข้าพเจ้าได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบายต่างๆ อันกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน

สียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงอาเจียนโอ้กอ้าก เสียงพร่ำเพ้อละเมอครวญครางด้วยทุกข์เวทนาที่ดังก้องอยู่ตลอดคืน ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก ภาพเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ามองชีวิตในแนวใหม่ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนี่อย โรครัก โรคชัง โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์

ข้าพเจ้าเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ ยาแก้โรค อาหาร แก้โรคหิว น้ำ แก้โรคกระหาย ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็นร้อน และโรคอาย เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา นอนแก้โรคง่วง เรียนแก้โรคดง่ แต่ถึงแม้จะมียาเท่าไร มากแค่ไหน ในที่สุด ก็ไม่พ้นโรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้

ความจริงของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดในเช้าวันหนึ่ง คือที่ข้างๆเตียงของข้าพเจ้า มีเพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี และเป้นคนช่างพูด ฉะนั้นจึงเป็นที่รู้จักสนิทสนมกับคนป่วยบนเตียงข้างเคียงทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งกับข้าพเจ้า เราได้กลายเป็นเพื่อคุยที่ถูกคอกันมากที่สุด เขาเล่าว่า มีร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทางบ้าน กิจการของเขากำลังก้าวหน้า เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงแผนการต่างๆ ที่จะกลับไปทำเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

ภรรยาและลูกน้อยประมาณ ๓ ขวบครึ่งของเขาได้มานอนเฝ้าที่โรงพยาบาลด้วย โดยผูกมุ้งเข้ากับขาเตียงนอนอยู่ระหว่างเตียงของสามีกับเตียงของข้าพเจ้านั่นเอง

ในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง เมื่อลุกขึ้นนั่ง ก็ได้พบภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ฝ่ายลูกน้อยก็กอดคอแม่ร้องไห้ด้วย ดูเป็นที่น่าสงสารจับใจยิ่ง ข้าพเจ้าได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบและแข็งทื่อพิกล เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก”

ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขาซึ่งเปิดอยู่นิดๆ แว่วเสียงก้องในจิตใจว่า

โลกมนุษย์เราเกิดแล้ว ตายแน่

บ้างไม่ทันถึงแก่ ดับแล้ว

บางคนป่วยจนแย่ ตายยาก นาเจ้า

อ่อนแก่ก็ไม่แคล้ว แน่แท้ คือ “ตาย”

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันปราศจากวิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วก็เข็นออกไป พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ “เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าข้าพเจ้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขาไป” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงใจว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว”


“รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อมๆ กับความคิดนี้ ข้าพเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลดใจต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใดๆ ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตนได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์

ถ้าจะเว้นการทำชั่ว ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขณะที่กำลังนั่งตรึกตรองอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนคิดถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ “รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็วๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจอิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อนๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนคิดอยู่นั่นเอง หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของข้าพเจ้า แต่มิได้พูดอะไรออกมา ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ครั้นได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานการ “รู้ตัว” แก่ท่าน

แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้อ้าปากพูด หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล

เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก

พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน บัดนี้เจ้า “รู้ตัว” แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็เดินหันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าวตอบโต้ใดๆ ข้าพเจ้ายกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยือยาวเช่นนี้ ข้าพเจ้าปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของข้าพเจ้าว่า ถูกต้องแล้ว

พอหายเจ็บและได้รับอนุญาตให้ออกจากธรงพยาบาลได้ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านทันที จุดประสงค์ก็เพื่อจะไปเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ไปที่ถ้ำ

เมื่อถึงปากถ้ำ ข้าพเจ้ามิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ข้าพเจ้าโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำแล้วก็ส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อๆ” หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของข้าพเจ้าเองสะท้อนกลับ ข้าพเจ้าสำรวจภายในถ้ำจนทั่วก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ

ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้าน “หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว” ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางกับข้าพเจ้าบอก

“และไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตรร แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” แม้หลวงพ่อได้จาริกธุดงค์ค์จากไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลา

http://webboard.mthai.com/7/2006-10-22/276042.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1710

โพสต์

humdrum เขียน:ผมถามหน่อยครับ ในนี้มีท่านไหนที่ฝึกสมาธิ
มีใครเคยเห็นวิญญาณบ้างครับ
จะคุยกับเขาอย่างไรครับ
ผมไม่เคยเห็นหรอกพี่โหน่ง ว่าแต่ถ้าเปรียบเหมือนเราเป็นนักเดินทาง ถ้ามัวแต่คุยกับผู้คนระหว่างเดิน เมื่อไหร่จะถึงล่ะ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นน่าจะดีกว่า
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี