ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เมื่อวาน SET ขึ้นกว่ายี่สิบกว่าจุด
รัฐเขาบอกให้ยกของสูง
รวมถึงราคาหุ้นถูกยกขึ้นที่สูงด้วยเช่นกันครับ

Thailand's fundamental มีสะดุดช่วงนี้
GDP เงินเฟ้อ การจ้างงาน
ภาพรวม GDP มันลดลง
ใคร ๆ ก็มองออกนะครับ
ผมสงสัยว่านั่นใช่ fundamental จริงหรือครับ


ผมชอบมอง Hedge Fund Managers เวลาแข่งขัน
ทุกท่านดึงความเป้นตัวเองออกมากันหมด
ทุกท่าน fundamental ต่างกันแค่ไหน
ชอบการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจครับ
ทุกท่านสุดยอดแต่ละอย่างกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะตอนเล่น poker
ไม่มีใครสนใจ fundamantal
สนใจแต่เงินกลางโต๊ะอย่างเดียว

"เจโทรจะยืมเงินบาทจากแบงชาติปล่อยกู้ให้โรงงานญีปุ่น"
"รัฐเตรีมเงินกว่า 3 แสนล้านฟื้นเศรษฐกิจ"


Money is the most fundamental.
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ตอนนี้ทางประชาชนไม่ตื่นตะหนกแล้ว
เราขออยากให้รัฐบาลอย่าตื่นตะหนกนะครับ

ผู็บริหารตื่นตะหนกได้เหมือนกันไหมครับ
นักลงทุนผู้ถือหุ้น SVI ไม่ตื่นตะหนกแล้ว
ขอให้ผู็บริหารอย่าตื่นตะหนกนะครับ


แบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2)

ชื่อบริษัท ชื่อผู้บริหาร วันที่ได้มา วิธีการได้มา ประเภท จำนวน ราคา มูลค่า
/จำหน่าย /จำหน่าย หลักทรัพย์ (หุ้น) (บาท) (บาท)
AGE บุญเลิศ ปลื้มสืบกุล 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 5,000 4.88 24,400
APCS อภิชาติ การุณกรสกุล 21/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 200,000 3.96 792,000
BANPU องอาจ เอื้ออภิญญกุล 18/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 5,000 588.00 2,940,000
BANPU องอาจ เอื้ออภิญญกุล 19/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 5,000 600.00 3,000,000
BGH ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 21/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 371,400 64.67 24,018,438
BKI พนัส ธีรวณิชย์กุล 19/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 500 218.00 109,000
BKI พนัส ธีรวณิชย์กุล 19/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 500 216.00 108,000
BKI สุพัฒน์ อยู่คงพันธุ์ 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 1,000 205.00 205,000
BLAND อนันต์ กาญจนพาสน์ 19/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 10,000,000 0.50 5,000,000
BTS คีรี กาญจนพาสน์ 19/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 15,000,000 0.59 8,850,000
BTS คีรี กาญจนพาสน์ 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 20,000,000 0.56 11,200,000
DEMCO ภูมิชาย หิรัญชัย 19/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 64,900 3.14 203,786
PB อภิชาติ ธรรมมโนมัย 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 10,100 32.16 324,816
PB อภิชาติ ธรรมมโนมัย 21/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 11,100 31.75 352,425
RS สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 50,000 2.56 128,000
SVI วีรพันธ์ พูลเกษ 19/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 100,000 3.10 310,000
SVI วีรพันธ์ พูลเกษ 19/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 170,000 3.10 527,000
SVI วีรพันธ์ พูลเกษ 19/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 200,000 3.12 624,000
SVI วีรพันธ์ พูลเกษ 19/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 300,000 3.12 936,000
SVI วีรพันธ์ พูลเกษ 20/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 205,000 3.00 615,000

TOP กรพจน์ อัศวินวิจิตร 20/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 50,000 52.00 2,600,000
TOP กรพจน์ อัศวินวิจิตร 21/10/54 ซื้อ หุ้นสามัญ 50,000 50.25 2,512,500
TUF กิติ ปิลันธนดิลก 20/10/54 ขาย หุ้นสามัญ 2,845 53.97 153,545
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รูปภาพ

ผมเดาว่า 70% ของเครื่องจักร
ทั้งหมดจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
และน่าจะใช้เวลาราว 6 เดือน
กว่าจะกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งครับ

รูปภาพ

เกาะดีๆ ครับพี่ PERFECT STORM จะมาแล้วครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

รูปภาพ
พอความคิดเราเริ่มเอียงมากๆ
การเสียความสมดุลจะทำให้การสะท้อนกลับนั้นก่อตัวอย่างช้าๆ
ผมไม่เคยลืมความผิดพลาดของผมเลย
ยิ่งมั่นใจมากแค่ไหน ยิ่งเสียใจมากเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปค้นหาบทความของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เพื่อมาปรับ invert ความคิด ปรับสมดุลให้ความคิดตัวเองครับ
ความคิดอาจารย์มองทุกอย่างบนความเป็นจริงเสมอ
นั่นคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับผมในช่วงอย่างนี้ครับ
ขอบพระคุณมากครับ

Perfect Storm – Perfect Stock : ดร.นิเวศน์

ข่าวร้ายในตลาดสำหรับคนเล่นหุ้นแล้ว มันคือเวลาของการขายหุ้น ยิ่งร้ายเท่าไรก็ต้องรีบขายเร็วเท่านั้น ผลของการขายทำให้ราคาหุ้นที่เจอกับข่าวร้ายตกลงมาอย่างหนัก หลายๆครั้งหนักเกินความเป็นจริง และนั่นคือโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาเก็บหุ้น

ประเด็นสำคัญก็คือ คุณจะต้องมั่นใจจริงๆว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว มันไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปและไม่ช้าก็เร็วบริษัทก็จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างที่มันเคยเป็น และด้วยราคาหุ้นที่ตกลงมามาก การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน 3-5 ปีข้างหน้า

ข่าวร้ายในตลาดที่ส่งผลต่อหุ้นอย่างแรงอาจจะแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกันคือ

หนึ่ง ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจหรือตลาด ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิด Panic หรือตกใจ เกิดการขายหุ้นทั่วทั้งตลาด สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นจากภาวะการเงินหรือเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลอย่างแรง เช่น เกิดภาวะเงินตึงตัว เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูง หรือการที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

ข่าวร้ายประเภทนี้มักทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดตกลง แม้ว่าหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอาจจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือถูกกระทบน้อย หน้าที่ของ Value Investor ก็คือ มองหาหุ้นที่ถูกกระทบน้อยแต่ราคาหุ้นตกลงมามากพอๆกับดัชนีตลาด

ข่าวร้ายแบบที่สองก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ความตกต่ำหรือถดถอยของอุตสาหกรรมทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่แข็งแกร่งจะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมในขณะที่บริษัทที่อ่อนแอจะล้มหายตายจากหรือลดระดับของการดำเนินงานลง กระบวนการนี้อาจจะใช้เวลาบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม

หน้าที่ของเราก็คือต้องวิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมจะใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ต้องหาว่าบริษัทไหนจะถูกกระทบน้อยและกลับมายิ่งใหญ่และทำกำไรได้มากแค่ไหนเมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว

ข่าวร้ายแบบสุดท้ายก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง นี่คือข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบริษัทเองที่อาจจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือถูกกระทบโดยความโชคร้าย แต่ความผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องชั่วคราวที่บริษัทน่าจะแก้ไขได้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นักลงทุนมักจะเทขายหุ้นกันอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นตกลงมามาก อย่างที่ “ไม่เคยปรากฏ” มาก่อน

หน้าที่ของ VI ก็คือ พิจารณาว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้กระทบกับธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่งเมื่อเหตุการณ์ชั่วคราวนั้นผ่านพ้นไปหรือบริษัทได้แก้ไขไปแล้ว และราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นจะทำให้การลงทุนของเราให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือ อย่างน้อยถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไว้ 5 ปี ราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากราคาที่เราซื้อ

หุ้นที่เราจะซื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เราต้องมั่นใจว่ามันจะต้อง “ฝ่าวิกฤติ” ไปได้ไม่ว่าจะด้วยอะไร เช่น เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีมีเงินสดมากและมีหนี้น้อย เป็นกิจการที่จำเป็นและมีผู้ให้บริการที่จำกัด เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งสนับสนุนอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง หรือแม้แต่เป็นกิจการที่ “ใหญ่เกินไปที่จะล้ม” นี่จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า เหตุร้ายแรงที่อาจจะดำเนินไปหลายปีนั้นไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลายไปก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัว

บางที สำหรับบางบริษัท ข่าวร้ายนั้นเกิดเป็นชุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น โอกาสที่บริษัทจะเจอ “2 เด้ง” คือภาวะตลาดแพนิคและภาวะอุตสาหกรรมตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกันมีสูง บางครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก บางบริษัทอาจจะเจอกับข่าวร้ายทั้งด้านของภาวะตลาดหุ้น ภาวะอุตสาหกรรม และบริษัทเองก็เจอกับข่าวร้ายเฉพาะตัวเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็คือ บริษัทประสบกับ “Perfect Storm” ความร้ายแรงประดังกันเข้ามาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญขนาดนั้น

หุ้นที่ประสบกับข่าวร้ายมากๆ หลายเรื่องหรือทุกเรื่องอย่างหุ้น Perfect Storm นั้น ราคาหุ้นจะตกลงไปมากจนแทบจะไม่เหลือค่าเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่น่าสนใจโดยเฉพาะถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะไปรอดหรือไม่ หรือรอดได้แต่ก็ไม่กลับมาเป็นอย่างเดิม หรือรอดและกลับมาทำกำไรได้แต่ก็ต้องมีการเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งทำลายมูลค่าหรือความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด ถ้าเป็นแบบนั้น การลงทุนในหุ้น Perfect Storm ก็จะเป็นความเสี่ยงมหาศาล

ตรงกันข้าม ถ้าเราเจอหุ้น Perfect Storm และราคาหุ้นสะท้อนข่าวนั้นแล้วโดยที่ราคาตกลงไปต่ำกว่าที่เคยเป็นในภาวะปกติมาก ในขณะเดียวกัน พื้นฐานของกิจการของบริษัทไม่เปลี่ยนและเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการตลาดมาก ประกอบกับความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะไม่ล้มละลายและไม่ต้องเพิ่มทุนมหาศาล และสุดท้าย เราเชื่อว่า ข่าวร้ายทุกอย่างจะต้องหมดไปเมื่อเวลาผ่านไป 3-5 ปี และเมื่อนั้นกิจการของบริษัทก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่ข่าวร้ายจะเกิดขึ้น

ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทุนในหุ้น Perfect Storm ก็อาจจะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติและหุ้นนั้นกลายเป็น “Perfect Stock” หรือเป็นโอกาสทองของการลงทุนในหุ้นตัวนั้น


แน่นอน การลงทุนในหุ้นที่มีข่าวร้ายมากๆย่อมมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในระยะสั้นเพียงปีหรือสองปี คนที่สามารถลงทุนในหุ้นแบบนี้จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงมาก นั่นคือ จะต้องทนดูหุ้นที่อาจจะตกลงไปต่ออีกมากได้ หรือต้องสามารถถือหุ้นที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเวลานานพร้อมๆกับผลการดำเนินงานที่อาจจะไม่น่าประทับใจของบริษัท และถ้าทนไม่ได้ขายหุ้นทิ้งก่อนที่หุ้นจะฟื้น การขาดทุนก็จะกลายเป็นเรื่อง “ฝันร้าย” ที่จะต้องจดจำไปอีกนาน แต่ถ้าคิดถูกต้องและมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ นี่คือ Perfect Stock ที่เราจะไม่ลืมเลย
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รูปภาพ

ในวงการบันเทิง
บ่อยครั้งผมจะเห็นผู้กำกับ invert โดยจะเลือกสาววีน ๆ มารับบทสาวไทยเรื่อนต้น เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนเอาเกย์มาเล่นเป็นพระเอก เวลาแสดงบทตรงข้ามกับตัวจริงก็จะระวังมากขึ้นเป็นพิเศษครับ เก็บอาการทุกเม็ดไม่ให้ออกอาการสาวแตก สาววีนๆ พอเข้าฉากสาวไทยโบราณ เธอก็จะมี "สติ" ที่จะรักษากริยาท่าทาง ไม่เผลอเรอไปฟาดหางฟาดงวง ทำให้ภาพออกมาดูดี โดดเด่นกว่าเอาคนเรียบร้อยมาเล่นซะอีก ถ้าเกย์และสาววีนไม่อกแตกตายซะก่อน (RISK) มีลุ้นเดิมพันรับตุ๊กตาทองละครับ (Opportunity)


ผมหวังว่า ผู้อ่านจะเข้าใจแล้วว่าการ invert ทำงานอย่างไร
การเดิมพันของเทคนิคนี้สูงแค่ไหน
ทำไมเทรดเดอร์ระดับโลกจึงพุดถึงกันมากครับ
ในความคิดผม Master of Invert Thinking คือท่านนี้ครับ


รูปภาพ

ดูออกไหมครับ

จัดไปอีกรูปครับ

รูปภาพ
ดูออกแล้วใช่ไหมครับ

คำตอบคือ Sir Richard Branson


แต่ธรรมชาติในตัว invert เองยังหนีไม่พ้นกฎของความสมดุลของธรรมชาติครับ
เทคนิค invert ในตัวมันเองก็มีทั้ง RISK and Opportunity
เหมือนน้ำละครับ จริงไหมครับ?
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

รูปภาพ

รูปภาพ

VIX หรือ Fear Index

วันนี้รัฐประกาศว่าทะเลจะหนุนสูงตอนประมาณ 4 โมง
ทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมบ้านเรื่อนมากขึ้นกว่าเดิม
ระดับน้ำทะเลที่หนุนสูง มันอยู๋แค่ไม่เกินสองชั่วโมง
เวลามันลง มันก็ลงแรงเช่นกัน

ดูจำนวน volume แล้ว คนกังวลมากขนาดว่าทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ระมัดระวังตัวกันมากครับ ถ้าเป้นอย่างนี้การลงทุนในหุ้นจะเป้นลักษณะค่อยๆ ซื้อโดยใช้พื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเป้นหลัก อารมณ์ของนักลงทุนในตลาดจะไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุและผล หรือ ตลาดปรับเข้าสู๋ความสมดุลแล้ว ถ้าเป้นอย่างที่คาดคิด ราคาที่ไต่ขึ้นระดับสูงเมื่อวานแต่ volume กลับน้อยในช่วงนี้จะอยู่ได้ไม่นานและจะค่อยๆ สะท้อนกลับตกลงไปเรื่อยๆ อย่างช้า ๆ ในสภาวะที่มันควรเป็นในที่สุด แต่ถ้า volume มันมากกว่าที่มันควรจะเป้นในช่วงอย่างนี้ ผมก็มองไม่ออกว่าจะเอา ความโลภ ประเภทไหน มาทำให้ตลาดมัน ขาดความสมดุลได้

เวลามันลง ก็เหมือนน้ำทะเลหนุน
ขึ้นเร็วแค่ไหน มันก็ลงแรงเช่นกัน
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 7

โพสต์



ผมชอบดูเรื่อง Classics มากครับ
เป็นหนังเกาหลีที่ผมประทับใจที่สุด
เรื่องนี้มีน้ำฝนเข้ามาเกี่ยว และฉากนี้สำคัญมากซะด้วย
เพราะเป้นฉากที่ทำให้นางเอกรู็ว่าพระเอกคิดอย่างไรกับเธอครับ
แต่พระเอกของผมกล้าวิ่งเข้าหาสาว
และใช้น้ำฝนในการสร้างโอกาสให้ได้อยู๋ใกล้ชิดนางเอก
พระเอกท่านนี้ไม่กลัวน้ำ
ผมหวังว่า ท่านผู้อ่านจะใช้น้ำในการดึงพระเอกในตัวท่านออกมา
ชื่อเพลงคือ nuh eh ge nan
ผมไม่ทราบว่าแปลว่าอะไรครับ
ดูทีไร บ้ายิ้มอยู๋คนเดียวทุกทีครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 8

โพสต์

รูปภาพ

Ed Seykota
credit: http://www.bigmoveclub.com/?p=223



Q: คุณเริ่มรู้จักกับการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคได้อย่างไร ? และคุณเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ ?

A: เท่าที่ผมจำได้ ผมเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 5ขวบ และผมเริ่มสนใจการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคตั้งแต่ยังเด็กเช่นกัน โดยเมื่อตอนนั้นผมอายุประมาณ 9 ขวบผมมีเครื่องเล่นวิทยุอยู่เต็มห้องไปหมด ผมมีเครื่องทดสอบวิทยุ และ เครื่องวัดปริมาณไฟฟ้าoscilloscopes อยู่หลายเครื่องเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ผมชอบเล่นมันให้มันสร้างภาพคลื่นกราฟขึ้นมา หลังจากนั้นเมื่อผมอายุ 13 ปี พ่อของผมเริ่มสอนให้ผมรู้จักกับวิธีการเล่นหุ้น โดยบอกผมว่า ผมควรที่จะเริ่มเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาของมันวิ่งออกจากกล่องและทะลุแนวต้านขึ้นไป และให้ขายเมื่อมันหลุดแนวรับลงมา นั่นคือจุดเริ่มต้นการเล่นหุ้นของผมครับ

Q: นี่คือสิ่งที่นำพาคุณมาสู้การเล่นหุ้นไช่ใหม และมันทำให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยรึปล่าว ?

A: จริงแล้วก็ไม่นะครับ เมื่อผมเรียนมหาวิทยาลัยผมเข้าศึกษาที่ Massachusetts Institute of Technology (MIT) โดยที่ผมนั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่อง Servo Theory ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของระบบการควบคุมตนเอง อย่างเช่นระบบสารเคมีที่ทำหน้าที่ในการควบกลไกของร่างกาย โดยที่ศาสตราจารย์ Jay Forrester ได้แสดงให้ผมเห็นว่าเราสามารถนำ Servo Theory มาประยุกต์ใช้ในการสร้างแบบจำลอง Model ทางเศรษฐศาสตร์ได้เช่นกัน โดยที่เราต้องใช้การสังเกตุ และความคิดคำนวนอย่างลึกซึ่งเพื่อให้รู้ว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร

Q: ถ้าอย่างนั้นคุณเริ่มหันกลับมาสนใจในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคอีกครั้งได้อย่างไรครับ ?

A: หลังจากที่ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว ผมได้มีโอกาสอ่านบทความของ Richard Donchian ซึ่งได้จุดประกายให้ผม โดยการที่เขาได้แสดงให้เห็นว่า การเล่นหุ้นโดยรู้จักกระจายความเสี่ยงควบคู่ไปกับการใช้ระบบ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 25 วัน(25 days moving average) นั้นทำให้ได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจซื้อเวลาใช้เครื่องคอมกับร้านคอมพิวเตอร์ โดยผมใช้เวลาในช่วงหัวค่ำนำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Wallstreet Journal มาทดลองเลียนแบบระบบของ Richard Donchian อีกครั้งโดยที่ผมได้ลองเปลี่ยนค่าตัวแปรต่างๆและพบว่ามันได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน ซึ่งผมยังได้พบว่า การเล่นหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยใช้ Longer-Term Trend นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ โดยที่การเล่นหุ้นระยะสั้นเกินไปจะทำให้ค่าคอมมิสชั่นกินผลตอบแทนไปมาก

Q: แล้วหลังจากนั้นล่ะ คุณทำอย่างไรต่อ ?

A: หลังจากนั้นในช่วงต้นปี 1970 ผมได้เข้าทำงานกับบริษัทซึ่งเป็นสาขาย่อยของโบรคเกอร์แห่งหนึ่ง ช่วงนั้นผมได้ใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์ ใช้คอมพิวเตอร์ทดสอบแบบจำลองของผมอีกครั้ง โดยในคราวนี้ผมได้ลองทดสอบระบบถึง 4 ระบบโดยมีค่าตัวแปรต่างๆประมาณ 50 ตัวโดยทดสอบย้อนหลังไปเป็นเวลา สิบๆปีกับหุ้น 8 ตัว ซึ่งนั่นทำให้ผมใช้เวลาไปถึงปีครึ่งกว่าจะเสร็จ นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าคอมพิวเตอร์นั้นเปลี่ยนแปลงไปไวมาก โดยขณะนี้ผมอาจใช้เวลาแค่เพียงสองวันเท่านั้น (ถ้าเป็นตอนนี้ผมว่าชมเดียวก็เกินพอแล้วครับ หุหุ)

Q: แล้วคุณทำอย่างไรกับผลการทดลองนั้นต่อ ?

A: ครับ โดยในที่สุดบริษัทแม่ของผมก็นำผลการทดลองของผมไปเป็นส่วนหนึ่งของการขายบริการ ปัญหาก็คือ เจ้านายของผมไม่สามาถควบคุมตนเองให้ทำตามระบบนั้นได้ และเจ้านายของเจ้านายผมก็สนใจที่จะทำเงินกับมันจากการ ขายบริการข้อมูลเพื่อค่าคอมมิสชั่นมากกว่าที่จะใช้มันเล่นหุ้น ซึ่งผมได้บอกกับเขาว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการนำมันไปเล่นหุ้นเพื่อลูกค้าของพวกเขา ไม่ไช่การกินค่าคอมมิสชั่น แต่ยังไม่จบแค่นั้น เจ้านายของผมกลับเดินเข้ามาแสดงความยินดี แล้วบอกผมว่าผมจะได้เงิน 10% จากค่าคอมที่ระบบของผมสามารถทำเงินให้จากการขายบริการให้พวกเขาได้ ซึ่งมันทำให้ผมเซ็งมาก และตัดสินใจออกจากที่นั่น

เมื่อผมอายุ 23 ปี ผมหันมาเล่นหุ้นด้วยเงินของตนเองด้วยเงินเพียงเล็กน้อยประมาณ 10,000-25,000 เหรียญ หลายปีต่อมาผมได้กลับไปเยี่ยมบริษัทแห่งเดิมของผม และมันเต็มไปด้วยมาร์เก็ตติ้งหลายคนที่ทำเงินค่าคอมมิสชั่นได้จากการนำระบบของผมมาปรับปรุงอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผมกลับมีเงินมากกว่าที่บริษัทผมมีเสียอีก ซึ่งนั่นมาจากการเล่นหุ้นของผมเอง ผมรู้สึกดีเป็นอย่างมากที่ผมได้ออกมาจากบริษัทที่หวังแต่จะกินค่าคอมมิสชั่นแห่งนั้น

Q: หลังจากนั้นล่ะ ?

A: ผมก็ยังทำการทดลองใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ ยังคงศึกษาตลาดอยู่เช่นเคย และยังคงเล่นหุ้นด้วยเงินของผมเอง

Q: อะไรคือความลับแห่งความสำเร็จของคุณ ? อะไรคือปัจจัยทางจิตวิทยาที่สำคัญสำหรับการเล่นหุ้น ?

A: ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ มันไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น หรือถ้ามันจริงผมก็คงยังไม่พบมันเช่นกัน ผมคิดว่าความคิดของการที่จะพยายามหาสูตรสำเร็จในการเล่นหุ้นนั้นเป็นความคิดที่ผิดทางไป มันเหมือนกับการเล่นกอล์ฟนั่นแหละ นักกอล์ฟบางคนเล่นเพื่อแค่ค่าเวลานอกบอก พวกเขาชวนเพื่อนๆไปเล่นกัน ไปสัมผัสธรรมชาติ ไปชมวิว ไปออกกำลังกาย และหวังว่าจะได้เบอร์ดี้ สักครั้งสองครั้ง และสำหรับอีกหลายๆคน มันคือการพยายามจะหาสูตรสำเร็จในการตีกอล์ฟไป ต่างคนก็ต่างเล่นไป

Q: ถ้าอย่างนี้ อะไรที่คุณคิดว่าจะทำให้นักเล่นหุ้นทั่วๆไปสามารถประสบความสำเร็จได้ ?

A: การเล่นหุ้นนั้นง่าย คุณแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและสั่งซื้อขายไป แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเล่นหุ้นนั้นสิที่ยากกว่า มันเหมือนกับการจะเป็นนักกีฬา คุณต้องตั้งใจและทุ่มเทเพื่อเป้าหมายของคุณ เมื่อคุณทุ่มให้มันสิ่งต่างๆจะเข้ามาช่วยคุณเอง สิ่งต่างๆที่คุณเห็นและไม่สามารถเห็นได้จะช่วยผลักดันให้คุณไปถึงความฝัน

Q: นักเล่นหุ้นรายย่อยทั่วไปนั้น ควรที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อการพัฒนาทักษะการเล่นหุ้นอย่างเป็นระบบ หรือ ใช้เวลาพัฒนาการเล่นหุ้นด้วยสัญชาติญาณของพวกเขา ?

A: ผมคิดว่าวิธีการเล่นหุ้นด้วยสัญชาติญาณ นั้นมีส่วนสำพันธ์กับการเล่นหุ้นอย่างเป็นระบบ นักเล่นหุ้นที่เล่นหุ้นด้วยสัญชาติญาณนั้นเล่นหุ้น ก็เล่นหุ้นด้วยกฎหรือระบบ และความคิดที่อยู่ภายในใจของเขา แต่ผมก็เห็นว่าการเล่นหุ้นด้วยระบบนั้นก็มีส่วนสัมพันธ์กับการเล่นหุ้นด้วยสัญชาติญาณด้วยเช่นกัน นักเล่นหุ้นด้วยระบบนั้น ต้องใช้สัญชาติญาณในการที่จะเลือกหนทางในการเดินไปข้างหน้า การลด-เพิ่มหน้าตัก หรือแม้กระทั่งการเลือกถือหรือขายหุ้นตัวใดออกไป

ที่ผมกำลังจะบอกก็คือ จริงๆแล้วมันไม่มีข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้หรอก นักเล่นหุ้นที่มีเหตุผลคือคนที่เล่นหุ้นอย่างมีสติในการบริหารความเสี่ยง รู้จักใช้ Money Management พวกเขาจะสนใจระบบเศรษฐกิจทั้งมหาภาคและจุลภาคอยู่ในใจ พวกเขาคือคนที่รู้จักตัวของตัวเอง และรู้จักสร้างสภาพจิตใจที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวพวกเขา

Q: ถ้าหากคุณไม่ได้ใช้วิธีการเล่นหุ้นด้วยระบบ คุณจะมีกฏการเล่นหุ้นของคุณเองใหม และมันจะเป็นอย่างไร ?

A: ผมมีกฎของผม และกฏเบื้องบนไว้ใช้ในใจของผมอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เล่นหุ้นแนวโน้มใหญ่ ตัดขาดทุนให้เร็ว ปล่อยให้หุ้นวิ่งทำกำไร และเสี่ยงเท่าที่คุณจะทนใหวแล้วรู้จักพอ !

Q: กฏเบื้องบน หมายความว่าอย่างไรครับ ?

A: สำหรับผม กฏเบื้องบน และกฏของผมมีส่วนช่วยในการเล่นหุ้นเป็นอย่างมาก กฏเบื้องบนนั้นก็คือ ความทุ่มเทและความใส่ใจจะทำให้ประสบความสำเร็จ มันยังมีกฏเบื้องบนที่ทำให้ความโลภและความเห็นแก่ตัวไม่อาจต้านทานได้ ผมจะรู้สึกว่าผมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกฏเบื้องบนเหล่านี้ได้เองเมื่อสิ่งต่างๆดำเนินไปอย่างเข้าที และเมื่อผมทำตามกฏเบื้องบนแล้ว กฏการเล่นหุ้นของผมมันกลายเป็นสิ่งที่แทบไม่มีความหมายเลย

Q: คุณคิดว่าราคาหุ้นวิ่งไปอย่างไม่อาจคาดเดาได้หรือไม่ ? มีอะไรเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแนวโน้มต่างๆหรือไม่ ? อะไรทำให้ราคาเคลื่อนใหวออกไป ?

A: ผมคิดว่า เมื่อเราอุทานว่า AHAAA! นั่นแหละคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงของราคา ยกตัวอย่างเช่น คุณลองสังเกตุอักษรพวกนี้ หหสสหหปป อะไรคือตัวต่อไป ? (คุณผู้อ่านคงจะงง ไช่ใหมครับ ผมก็งงเช่นกันตอนอ่านครั้งแรก กว่าจะรู้ก็ อ๋อออ แล้วแต่ถ้าทีนี้ลองคิดว่ามันเป็นอักษรแรกของตัวเลขสิครับ หนึ่ง ,สอง, ห้า เริ่มอ๋อออ แล้วไช่ใหมครับ ) และเมื่อคุณเริ่ม Ahaaa หรือร้อง อ๋อ แล้วสิ่งต่างๆ ที่เป็นปริศนา และความงุนงงจะเริ่มหายไป
เมื่อเรารู้สึกว่า Ahaa หรือ อ๋ออ นี่แหละที่ผลักดันให้ราคาเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างที่หุ้นเริ่มกลายเป็นขาขึ้น จะยังไม่มีใครเข้าใจว่าทำไม มันจะมีความสับสันเต็มไปหมด หลังจากนั้นเมื่อหุ้นเริ่มเคลื่อนที่ไป บางคนจะเริ่มเข้าใจถึงเหตุผล เมื่อถึงจุดจบ ทุกคนจะร้องอ๋อเข้าใจเหตุผลแล้ว และนั่นทำให้ความสงสัยต่างๆหายไปเป็นผลทำให้มาถึงจุดจบของหุ้นขาขึ้นนั่นเอง

Q: Ahaa เหรอ ผมจะลองเอากลับไปคิดดูครับ ทีนี้คุณลองบอกได้ใหมว่าคำกำหนดจุดตัดขาดทุนอย่างไร ?

A: ผมจะกำหนดมันก่อนซื้อหุ้น ผมจะตั้งไว้ในจุดที่กราฟเสียรูปไป

Q: หนังสือหุ้นเล่มใหนคือหนังสือหุ้นที่คุณชอบ และคิดว่านักเล่นหุ้นทุกคนควรอ่านมัน ?

A: จากประสบการณ์การเล่นหุ้นที่ผ่านมาหลายปี ผมได้สั่งสมความรู้ มุมมอง ทักษะ และแรงบันดาลใจต่างๆจากหนังสือหลายๆเล่ม สำหรับหนังสือหุ้นไม่กี่เล่มที่ผมชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ Extraordinary Popular Delusions ของ Charles McKay, หนังสือหุ้น Reminiscences of Stock Operator โดย Edwin LeFever และหนังสือหุ้น The Crowd ของ Gustare Le Bon ครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 9

โพสต์



H2O
น้ำมีคุณสมบัติที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งครับ
พอมันเป้นของแข็งแล้วมันกลับลอยได้
ทำให้มันกลายเป้นน้ำแข็งให้หมด แล้วก็เอาไปทิ้ง

คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครับ

what temperature does water freeze? That's easy: 0°C (32°F). Did you know that water can sometimes be cooled below the freezing point and still remain liquid? This is called supercooling.

All matter is made of atoms. The atoms are constantly moving: whizzing around in gases, tumbling around in liquids—even in solid material the atoms are vibrating. The temperature of a piece of matter is a measure of the average motion of the molecules that make up that piece of matter. The lower the temperature, the less molecular motion there is. As the temperature increases, the energy of the molecules increase. When the temperature increases sufficiently, matter can change from solid to liquid or from liquid to gas or from gas to plasma. Each of these states of matter (solid, liquid, gas, plasma) is called a phase of matter. It takes energy to change from one phase to another, energy which is used to alter the chemical bonds between the molecules.

When water freezes, the molecules of liquid become locked in a crystalline array. The molecules in the crystal have less energy than molecules in liquid water. They move less. So in order to go from liquid water to solid ice, water must lose energy.

When water is cooled to its freezing point, ice crystals begin to form and grow in the water. It is thought that these initial crystals often form around impurities in the water. If you start with a sample of pure water, and cool it slowly, you can produce supercooled liquid water. When ice is added to supercooled water, it acts to catalyze the crystallization of the liquid. The water instantly freezes solid. This is sometimes called "snap freezing."

In this project you will use salt and ice to make a "bath" that is below the normal freezing point of water. The dissolved salt causes the bath to have a temperature below the normal freezing point of water. This pheonomenon is called freezing point depression. You can use your salt/ice bath to cool various water samples to investigate which samples can be supercooled, and which samples freeze at the normal freezing point. It's fun to see water suddenly freeze solid. Can you figure out conditions for reliably producing supercooled
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ลองเท่าไหร่ก็ไม่เป้นครับ
สงสัยผมโดนฝรั่ง tricked เข้าให้แล้วครับ
ต้องไปค้นคว้าให้มากกว่านี้ครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 11

โพสต์



flood barriers ถุงยักษ์ต้านน้ำท่วม

วันนี้เราพาเพื่อนๆมาดู การป้องกันน้ำท่วมของต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัย Michigan กันที่นั้นเค้าไม่ได้ใช้ถุงทรายหรือ flood stop แต่อย่างใดเค้าใช้ flood barriers ถุงขนาดใหญ่ มันจะถูกใช้งานได้ดีขนาดไหนเพื่อนๆลองดูกันนะคะ

มันดีกว่าถุงทรายตรงที่เราไม่ต้องเสียเวลามาตักทรายและยกกระสอบทราย แต่ flood barriers เพียงใช้น้ำเติมเข้าไปในถุง หรือจะสูบน้ำที่ท่วมอยู่เข้าไปและหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่เพื่อป้องกันน้ำ


credit : http://www.iurban.in.th/design/flood-barriers/
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 12

โพสต์

รูปภาพ

นช่วงน้ำท่วมนี้ ได้โปรดวอนขอ ... คิดซักนิดก่อนจะหนีน้ำท่วมนะครับ
จากคุณ : Knock_vip [FriendFlock] [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 54 22:08:26 [แก้ไข]
สำหรับใครที่เลี้ยงสุนัข
เมื่อประสบภัยแบบนี้ ได้โปรดวอนขออย่าทิ้งมันไว้
เอามันไปด้วย สุนัขมันก็รักชีวิตมัน
ถ้าน้ำท่วม แล้วคุณอพยพไปข้างนอก เอาสัตว์เลี้ยง ออกไปด้วยนะครับ
ขอร้องล่ะ อย่าปล่อยมันไว้ อย่าให้เป็นแบบนี้เลย
" หมา มันว่ายน้ำได้ แต่มันแกะเชือกเองไม่ได้ "
เพียงแค่ความละเลยก็ทำให้ชีวิตหนึ่งชีวิตหมดลูมไป
โดยที่เค้าไม่รู้ว่าเค้าผิดอะไรเลย!!!

http://pantip.com/cafe/jatujak/topic/J1 ... 46061.html

ผมรักหมาคนหนึ่งละครับ
เจ้าของกลับมา คงทำใจยากเหมือนกันนะครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 13

โพสต์



The world's most funny dog video

ช่วงน้ำท่วม ใครไม่มีที่ให้หมาอยู่
เอามาฝากผมเลี้ยงที่บ้านได้ครับ
หรือ เห้นหมาที่ไหน มันหนีน้ำท่วมมา
มาเถอะครับ รับเลี้ยงให้หมดครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ได้เวลาปรับความคิดต่างๆ ให้สมดุลแล้วครับ
บ้านไหนน้ำท่วม ระวังงูเข้าบ้านนะครับ
สวัสดีทุกท่านครับ

รูปภาพ

ข่าวร้าย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมไม่ทราบว่ามีใครเคยทำวิจัยหรือไม่ ว่าข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะแนวธุรกิจมีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีมากน้อยแค่ไหน แต่ผมพนันได้ว่า “ข่าวร้าย” มีมากกว่าหลายเท่า

คำว่า “ข่าวร้าย” นั้น ในความหมายของผมก็คือ ข่าวที่คนอ่านแล้วคิดว่ามันจะมีผลที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง กำไรของธุรกิจต่างๆลดลง ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลง และหุ้นบางตัวจะมีราคาลดลง ทำให้คนรู้สึกวิตกกังวล และอาจจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อคลายความวิตกกังวลนั้น เช่น ลดการบริโภค หรือขายหุ้นทิ้ง

แต่ในความเป็นจริง “ข่าวร้าย” ที่ปรากฏนั้นอาจจะไม่เป็นจริง หรือถ้าเป็นจริงก็อาจจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ ต่อยอดขายหรือกำไรของกิจการต่างๆ ดังนั้น พื้นฐานของเศรษฐกิจและกิจการต่างๆอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจิตใจของคนรับข่าวอาจเปลี่ยนและราคาหุ้นอาจปรับตัวลงเนื่องจากปฎิกริยาของคนอ่านที่บังเอิญซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

ลองมาดูสิครับว่ามันน่าเป็นอย่างนั้นไหม?

ก่อนหน้านี้เพียงปีสองปี เราวิตกกันว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ราคาข้าวของไม่ขึ้นเลยเพราะเงินเฟ้อต่ำมาก เรากลัวว่าคนจะไม่ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งจะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

เดี๋ยวนี้อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มขึ้น ราคาสินค้ากำลังเริ่มปรับตัวขึ้น ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เงินเฟ้อกำลังมา นี่เป็นข่าวร้ายที่น่าวิตกว่าจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

ผมไม่รู้ว่าข่าวดอกเบี้ยลง หรือข่าวดอกเบี้ยขึ้นเป็นข่าวร้ายที่แท้จริงกันแน่ หรือทั้งสองข่าวต่างก็ไม่ใช่ข่าวร้ายทั้งคู่ รู้แต่ว่าคนอ่านข่าวโดยเฉพาะที่เป็นนักเล่นหุ้นจำนวนมากต่างก็วิตกกังวลทั้ง 2 เรื่อง เห็นได้จากการซื้อขายหุ้นมหาศาลในแต่ละวันโดยเฉพาะในวันที่มีข่าวพาดหัวตัวใหญ่และดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นลงเหมือนลูกดิ่ง

ค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากไม่แพ้กัน เพราะในช่วงเกิดวิกฤติใหม่ๆที่ค่าเงินบาทอ่อนมาก คนต่างก็วิตกกันว่าเราคงต้องล้มละลายกันทั้งประเทศ เพราะบริษัทต่างก็ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมหาศาล นี่เป็นข่าวร้ายแน่นอนในช่วงนั้น แต่พอตอนหลัง ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ คนก็เริ่มบ่นและเริ่มวิตกกันว่า ค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถส่งออกสินค้าได้เนื่องจากสินค้าของเราจะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะฉะนั้น ข่าวค่าเงินบาทก็สามารถเป็นข่าวร้ายได้ในทุกกรณี

บางช่วงที่ค่าเงินบาทนิ่งและอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ขยับ เราก็มีข่าวร้ายเรื่องสงครามและการก่อการร้ายในต่างประเทศ ไล่ตั้งแต่สงครามในตะวันออกกลางซึ่งที่จริงเกิดขึ้นเกือบทุกวันอยู่แล้ว ไปจนถึงการถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ การโจมตีในบาหลี ยุโรป และรัสเซีย และสุดท้ายก็คือ การก่อการร้ายในภาคใต้ของเราเอง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

แต่ถ้าถามว่า การก่อการร้ายกระทบอะไรกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คำอธิบายอาจจะมีได้เป็นสิบๆหน้า แต่เกือบทั้งหมดเป็นการกระทบ “ทางอ้อม” ที่ไม่รู้ว่าจะมีผลแค่ไหน แต่สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมแล้วละก็ เขาบอกว่าน่าจะมีผลโดยตรง เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นจะดีกว่า แต่ผมก็ยังเห็นเครื่องบินมีผู้โดยสารเต็มแน่นกันทุกเที่ยว นักท่องเที่ยวก็ยังคงมากันตามปกติ แม้แต่บาหลีผมก็ได้ข่าวว่าคนกลับไปอย่างเดิมแล้ว ดูที่ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เกี่ยวกับโรงแรมและการขนส่งก็ดูดีเป็นปกติ เพียงแต่หุ้นยังไม่ไปไหนเพราะคนอาจจะยังวิตกกับการก่อการร้ายอยู่

ข่าวร้ายที่เกี่ยวกับคนบางทีก็ยังพอคาดการณ์ได้บ้าง แต่เรื่องของธรรมชาตินั้นก็ทำให้คนช็อคได้ไม่แพ้กัน เริ่มตั้งแต่โรคซาร์เมื่อปีสองปีก่อนซึ่งช็อคคนทั้งโลก โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางทำธุระหรือท่องเที่ยว คนต่างกลัวกันว่านี่อาจจะเป็นหายนะของมนุษย์ถ้าควบคุมไม่ได้ และก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง และแน่นอน คนเล่นหุ้นก็ต้องทิ้งหุ้นก่อนเพื่อความปลอดภัย

เรื่องของโรคซาร์จบไป ก็ตามด้วยโรคไข้หวัดนก ซึ่งผลกระทบหรือเป็นข่าวร้ายน้อยกว่า แต่ก็กระทบโดยตรงกับผู้ผลิตไก่เต็มๆและก็แน่นอน หุ้นในกลุ่มนี้ก็ถูกเทขายเพื่อความปลอดภัย

น้ำมันแพง ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้ายที่รุนแรงและอาจ “ทำลายเศรษฐกิจโลก” และโดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไทย เศรษฐกิจของประเทศจะถูกกระทบ ดุลการค้าอาจจะขาดดุล บริษัทที่ต้องใช้น้ำมันมาก เช่น ซีเมนต์ การขนส่ง หรือแม้แต่ธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนจะถูกกระทบอย่างหนัก โดยรวมแล้ว นี่เป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นการถือหุ้นยาวในช่วงนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก

“ข่าวร้าย” ที่กระทบกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเฉพาะอย่างนั้น ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่นักลงทุนปริวิตกกันเกินเหตุซึ่งเป็นผลจาก “แนวโน้มเล็กๆ” หรือ “แฟชั่น” ที่เกิดขึ้นและมี “นักอนาคตศาสตร์” ช่วย”รับรอง” ว่าเป็นจริง

หลายปีก่อนที่วิดีโอกำลังเฟื่อง คนก็พูดกันว่าโรงภาพยนต์จะต้องเจ๊งกันหมดเพราะวิดีโอจะถูกกว่า สะดวกกว่า และมีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีใครอยากเข้าโรงหนัง

หนังสือพิมพ์ นิตยสารเองก็จะต้องเจ๊ง เพราะว่าอินเตอร์เน็ทจะเข้ามาแทนที่ คนไม่ต้องเสียเงินซื้อหนังสือพิมพ์เพราะสามารถอ่านได้จากคอมพิวเตอร์

เช่นเดียวกัน ธุรกิจเพลงจะตกต่ำลงเพราะวัยรุ่นหรือคนซื้อเทปเดี๋ยวนี้สามารถดาวโหลดเพลงเฉพาะที่ตนเองชอบทางอินเตอร์เน็ท เพราะฉะนั้นใครจะซื้อซีดีเพลง

คนรุ่นใหม่ดูแลรักษาสุขภาพกันมาก และนี่เป็นแนวโน้มใหญ่ เพราะฉะนั้นธุรกิจเหล้า บุหรี่ และแม้แต่น้ำอัดลมจะค่อยๆหดตัวลง และธุรกิจอย่างชาเขียวและน้ำผลไม้จะรุ่งเรือง เออ แต่เรื่องชีวจิตที่เคยดังระเบิดคงไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่กระมัง จึงเงียบๆไป

ไม่ว่า “ข่าวร้าย” จะเป็นจริงหรือไม่ หรือจะมีผลหรือไม่มีผล แต่ “ข่าวร้าย” ในอนาคตก็คงจะมีมากเหมือนเดิม ถ้าไม่มากขึ้น นักเล่นหุ้นเองก็จะยังคงวิตกกังวลกันทุกวัน และก็ซื้อและเทขายหุ้นตามข่าวอย่างไร้เหตุผลเหมือนเดิม

Value Investor ที่ดีนั้น ต้องวิเคราะห์ข่าวอย่างใจเย็น ส่วนใหญ่แล้ว “ข่าวร้าย” ไม่ใช่เรื่องอันตรายที่จะต้องทำอะไร แต่มันคือโอกาสที่จะเก็บหุ้นดีที่มีราคาถูกลงมากเพราะเป็นข่าวร้ายที่ไม่ร้ายนักในระยะยาว
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้น : บังเอิญ ป่วนปั่น และ บันเทิง

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมเคยอยู๋ในประเทศที่ีเหตุการณ์ภัยธรรมชาติทุกปี
ช่วงฤดูร้อนนั้น ทุกวันพุธ ทั้งเมืองจะเปิดไซเรน
สิ่งที่เราต้องทำ คือ วิ่งไปอยู่ basement ให้เร็วที่สุด
เป้นการซ้อมหนีโทเนโดนั่นเองครับ

ภัยภิบัตินั้นทำให้คนอเมริกันมีจิตใจที่แข็งแกร็งมากขึ้นก็จริง
แต่มันก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน

นี่เป้นมุมมองส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีข้อมูลทางสถิติอ้างอิงครับ
ในใจเราทุกคนมีสิ่งที่เราอยากให้เป็น แต่ความจริงมันเป้นอีกอย่าง
เมื่อความต้องการไม่เป็นดั่งที่ตัวเองอยากให้เป็น เจตนารมณ์เกิดขัดข้อง
พวกเขาจึงหาอย่างอื่นทำมาตอบสนองความต้องการของตัวเองเป้นการชดเชย
โดยเฉพาะบางท่านไปลงเรื่องเพศ
บางท่านไปลงเสพติด
และบางท่านมุ่งหาเงินให้มากขึ้นเป็นการชดเชยสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นปกติในตอนนี้

ภัยน้ำท่วมในครั้งนี้
ได้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ช่้าๆ นีั่ละผมว่าน่ากลัว
มันสะสมทุกวัน ผมนึกไม่ออกว่ามันกระทบไปอย่างไรบ้าง
ผมเคยเห้นที่อเมริกามาแล้ว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเหมือนเมื่องไทยไหม
ฆ่าตัวตายมากขึ้น ยาเสพติดจะมากขึ้น
เบสิกที่สุด เครียดกันมากๆ ก็ไปลงที่เรืองเพศ
ถ้านับตอนนี้ ก็เดือนมิถุนายน กรกฎาคม ปีหน้าจะมีเด็กเกิดมากกว่าปกติ

ต้อสู้กับน้ำท่วมก็ทำไปครับ
ตลกบ้านเราหลายท่านออกไปเล่นตลกให้ชาวบ้านดู
นั่นสุดยอดเลยครับ

ผมอยากเห้นพระหลายท่านออกมาให้กำลังใจคนไทยมากขึ้น
มากขึ้นจนออกทีวีตอนเย็นทุกวัน
สวดมน ให้พร เพิ่มกำลังใจให้กับประชาชน

ทุกวันอาทิตย์ ไม่ว่าหนักหนาแค่ไหน ผมก็เห็นคนอเมริกันพากันเข้าโบส
ปรับสมดุลให้กับความทุกข์ของตัวเองในช่วงภัยภิบัติ

นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องการในช่วงอย่างนี้ครับ
เพราะพวกเรายังมี หัวใจ อยู๋ครับ
โพสต์โพสต์