"ตัวผมซื่อบรื้อซะไม่มีครับ"
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
"ตัวผมซื่อบรื้อซะไม่มีครับ"
โพสต์ที่ 1
เมื่อคนส่วนใหญ่พูดถึงน้ำเกิน
ผมก็คง invert ซินะ
ผมกลัวน้ำขาดครับ
คิดถึงไมเคิล จอแดน แกกลัวน้ำมาก
ขนาดลงอ่างในห้องน้ำก็กลัวมาก
เด็ก ๆ แกเคยเห้นเพื่อนแกจมน้ำ น้ำสูงเท่าเขาเอง
แต่กระแสน้ำมันแรง
ตั้งแต่นั้นมาเลยฝังใจครับ
ในเมื่องไทยข่าวคนจมน้ำมีตลอดทั้งปี
ผมไปหาข้อมูลมาครับ
"จมน้ำ..สาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กไทย"
จมน้ำเป็นเหตุนำการตายในเด็กไทย เด็กไทย 0-17 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำปีละ 1624 ราย คิดเป็นอัตราการตาย 8.7/100000 ต่อปี หรือร้อยละ 27 ของการตายจากการบาดเจ็บ กลุ่มทารกและกลุ่มวัยรุ่น (อายุมากกว่า 10 ปี) เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่ม 1-10 ปี พบว่ากลุ่มเด็ก 1-4 ปี มีอัตราการตายจากการจมน้ำสูงถึง 12.9/100000 ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 53 ของการตายจากการบาดเจ็บ และกลุ่มเด็ก 5-9 ปี มีอัตราการตายจากการจมน้ำ12/100000 ต่อปี หรือร้อยละ 56 ของการตายจากการบาดเจ็บทั้งหมด
credit : http://www.thaihealth.or.th/node/5090
โห น่ากลัวครับ
ผมรู็สึกกลัวน้ำท่วมมากกว่าขาดน้ำแล้วครับ
ลึกๆ แล้วผมคงกลัวจมน้ำเหมือนกันละครับ
หรือไม่ก็กลัวไฟดูด ไม่มีโอกาสรู็ตัวเลย
ไม่ก็กลัวจรเข้ กลัวงู
กลัวเหมือนกันครับ
ความตายเป็นความกลัวที่มีเหตุและผล
แต่เจอข่าวอย่างนี้เจอบ่อยๆ
เป้นระยะเวลานานมันก็ทำให้สามัญสำนึกผมผิดเพี้ยนได้เหมือนกันครับ
ผมจึงควร invert ข่าวปรับสมดุลให้กับความคิดผมบ้าง
ไปเจอมาข่าวหนึ่งครับ
ชี้คนตายเพราะขาดน้ำมากกว่าสู้รบ
ยูเอ็นเผยยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากน้ำที่ไม่สะอาดสูงกว่าความรุนแรงทุกประเภทรวมถึงสงคราม ระบุพลเมืองโลก 291 ล้านคน ในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางขาดโอกาสในการเข้าถึงสุขอนามัย ขณะที่ทุก 20 วินาที เด็ก 1 คน ที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องตายเพราะโรคที่เกิดจากน้ำ
credit : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/14746
ผมเคยผ่านช่วงเหตุการณ์วิกฤตทางธรรมชาติมาบ้างครับ
มันมากพอที่จะดึงการใช้สัญชาติญานเอาตัวรอดออกมาให้มากขึ้นกว่าปกติได้
แต่การใช้มันมาก ๆ จนมันกลายเป้นสามัญสำนึกของผม
นั่นเป้นสิ่งที่อันตรายมาก
เพราะสามัญสำนึกผมเริ่มขัดแย้งกับความเป็นจริง
หรือ ผมโดนสามัญสำนึกตัวเองหลอกนั่นเองครับ
สำหรับผมนี่คือ สามัญสำนึกของผม คือความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด
ผมรับมื่อกับมันอย่างไร
ผมวิ่งเข้าหามันครับ
ถือศีลครับ
จริงๆ ครับ นั่นคือวิธีรับมื่อกับมันที่ดีที่สุดเท่าที่ผมหาวิธีเจอตอนนี้
ผมจะอธิบายให้ฟังครับ
ไม่ว่าคความเสี่ยงมันคืออะไร
มันอยู๋ที่มุมมองของคนที่มองมัน
สำหรับผม ผมมองว่า
ความเสี่ยงคือ "ข้อจำกัด" ที่ผมไม่อาจหลีกเหลี่ยงได้
ผมชอบมองความเสี่ยงว่ามันเป้น "ข้อจำกัดเสมอ"
หนามหยอกเอาหนามบ่งครับ
จัดไป การถือศีล เป็นข้อจำกัดเหมือนกันครับ
การถือศีลจึงเป้นการฝึกรับมือกับความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
ผมถือแค่แปดข้อเองครับ
เทียบกับคนยิวไม่ได้เลย
สำหรับคนทั่วไปที่เคร่งในศาสนาแล้ว
เขาถือกัน 613 ข้อครับ
ตอนนี้ผมทราบแล้วว่า ทำไมคนยิวถึงอยู๋ในตลาดการเงินมากกว่าชาติอื่น
การถือศีลก็เป้นการบังคับตัวเองให้เจอความเสี่ยงทุกวัน
อันที่จริง ผมอยู่เฉยๆ ยังเสี่ยงเลย
เสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ เพราะดูข่าวน้ำท่วมทุกวัน
ในช่วงวิกฤต
การมองสิ่งต่างๆจะ จากความจริงทางสถิติที่ถูกต้อง
มีสำคัญกับการรับมือกับความเสี่ียงอย่างมาก
ผมทราบแล้วว่า ทำไมประเทศที่เจอภัยต่างๆ ทุกปี เหมือนอเมริกา
จึงเป้นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสถิติมากกว่าประเทศอื่น
ผมทราบแล้วว่า ทำไมพระอาจารย์ที่สอนผมเรื่องสมาธิ
จึงต้องสอนให้ผม "บันทึกสถิติ" เกี่ยวกับการขึ้น/ลง ของอารมณ์ของตัวเอง
ความไม่แน่นอนที่แท้จริงมันคือ "ตัวมรึงละไอ้คุณพี่โหน่งเอ้ย"
ยังจะไปมองที่อื่นอีก "ตัวผมซื่อบรื้อซะไม่มีครับ"
ข้อมูลเรื่องน้ำที่ผมน้ำมาแปะไว้
สามัญสำนึกผมบอกว่า คนไทยตายเพราะน้ำมากกว่าขาดน้ำ
แต่ตอนนี้ผมทราบแล้วครับ
ผมอาจกำลังเจอกับเหตุการณ์การขาดน้ำมากกว่าน้ำท่วม
ผมไม่อยากให้มันเกิดเลย
เพราะผลกระทบของการขาดน้ำมันรุนแรงกว่ามาก
เมื่อวานการประปาประกาศให้ประชาชนเตรียมกักน้ำแล้ว
"น้ำมามากกว่าที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้"
ผมขอว่าคนอื่นทำอย่างไร
ดูรอบหมู๋บ้าน ไม่มีใครสนใจข่าวนี้เลย
ข่าวอะไรมันก็ไม่น่าสนใจเท่าตลาดตอบรับมันขนาดไหน
ซื่อบรื้ออย่างผมขอไปกักน้ำไว้ใช้ละครับ!