รุ้งกินน้ำ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5551
บทความนี้น่าอ่าน
เพราะไม่ได้พูดเอาแต่ความรู้สึก หรืออารมณ์
แต่มีตัวเลขมากางให้ดูว่าส่วนไหนที่เสียหาย
แล้วเสียหายกันขนาดไหน
“แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก
ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ปรากฏการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และค่าเงิน ทั่วโลกลดมูลค่าพร้อมๆกันและหลังจากนั้นเกิดการช้อนซื้อครั้งใหญ่ เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังจะต้องมาถึงอย่างแน่นอนแล้ว จนเรียกกันว่าเป็น “วันจันทร์สีดำ”หรือ “แบล็คมันเดย์”
และสิ่งที่เกิดขึ้นวันจันทร์ที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัย 2 ประการคือ
ประการแรก ธนาคารหลายแห่งทั้งในยุโรปและอเมริกา ทยอยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่า กรีซ อาจจะพักชำระหนี้หรือ “ชักดาบ” ลดหนี้อันมหาศาลของตัวเองและจะส่งผลเสียหายต่อธนาคารในยุโรป อันเป็นแหล่งเงินทุนของเฮดจ์ฟันด์ไปด้วย
เมื่อธนาคารในยุโรปและสหรัฐอเมริกาถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ จึงเกิดการสั่นคลอนอย่างหนัก และทำให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งปล่อยกู้ให้กับ เฮดจ์ฟันด์ ซึ่งได้ไปเข้าไปปั่นราคาในตลาด หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินแต่ละประเทศ จำเป็นต้องเรียกเงินคืนอย่างเร่งด่วน เพื่อสำรองเงินสดเอาไว้ในมือทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่ถอนเงินออกจากธนาคาร และเตรียมความพร้อมสำหรับการที่ต้องเพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน
ประการที่สอง เฮดจ์ฟันด์เมื่อถูกธนาคาร “เริ่ม” ทวงหนี้ระลอกแรก นอกจากจะต้องเทขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือเพื่อคืนหนี้ธนาคารแล้ว ยังถือโอกาสทำกำไรด้วยการผสมโรงเทขายมากกว่าเงินที่ต้องคืนให้กับธนาคารในยุโรป ด้านหนึ่งเพื่อทำกำไรสูบความมั่งคั่งในแต่ละประเทศ อีกด้านหนึ่งทุบเพื่อกดราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้ต่ำ ทั้งหุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงิน และเข้าช้อนซื้อเตรียมทำกำไรแบบนี้อีกหลายระลอก
ที่ว่าปรากฏการณ์แบบ “แบลคมันเดย์” ยังจะต้องเกิดขึ้นอีกหลายระลอกนั้น ก็เพราะเหตุว่าการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุโรป “จะต้องเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง” เพราะในขณะนี้แม้ยังไม่มีใครชักดาบจริงๆ แต่ก็เล็งเห็นได้แล้วว่าจะต้องเกิดการ "ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในยุโรปหลายแห่ง
4.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คือตัวเลขเบื้องต้นที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องเร่งเพิ่มทุนด้วยเม็ดเงินดังกล่าว ซึ่งถือว่าไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ในภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ปัญหาหลักสำคัญในเวลานี้ก็คือยุโรปและอเมริกากลายเป็นประเทศสูญเสียความสามารถการแข่งขันด้านการผลิตให้กับภูมิภาคเอเชีย จึงล้วนแล้วแต่เสียดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดทุกปีให้กับภูมิภาคเอเชีย จนเงินตราในทุนสำรองระหว่างประเทศได้หดหาย จึงแก้ปัญหาด้วยการที่รัฐบาลแต่ละประเทศออกพันธบัตรกู้เงินต่างประเทศจนกระทั่งหนี้สินล้นพ้นตัว
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง แสดนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (แปลว่า:บริษัทมาตรฐานและยากจน) และ มูดีส์ (แปลว่า:บริษัทขี้หงุดหงิด) ต่างเป็นตัวการสำคัญที่ปรนเปรอตราสารในยุโรปและอเมริกาจัดอันดับว่าน่าเชื่อถือมาก ทำให้กู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเมื่อโลกตื่นขึ้นมาพร้อมๆกันจึงทำให้ยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญหน้ากับชีวิตจริงว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านนี้จึงหนีไม่พ้นต้องมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ลดลงในภายหลัง
แต่วิกฤติของโลกครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2540 หลายเท่าตัวนัก และตัวเลขหนึ่งที่เห็นสัญญาณนี้ก็คือ ตัวเลขสัดส่วนระหว่าง “หนี้ต่างประเทศ” กับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ”
ประเทศไทยที่ระบุว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตต้มยำกุ้งลามไปทั้งภูมิภาคเอเชียในปี 2540 นั้น ก่อนหน้านั้น 1 ปี (พ.ศ.2539) ไทยมีหนี้ต่างประเทศทั้งของรัฐและเอกชนรวม 108,742 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 38,724 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศถึง 2.8 เท่า จึงถูกโจมตีค่าเงินถอนหนี้ระยะสั้นอย่างเร่งด่วน จนแทบหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ ยอมลอยค่าเงินบาท แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่างชาติมาสูบและปล้นสินทรัพย์ในประเทศไทย
ขนาดประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศ 1 แสนกว่าล้านเหรียญ และมีหนี้มากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.8 เท่าตัว ยังเกิดวิกฤติลามไปทั่วภูมิภาคได้ แต่คราวนี้ปัญหาใหญ่กว่าและเลวร้ายกว่าปี 2540 หลายสิบเท่าตัว
เมื่อเทียบตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่างประเทศกับทุนสำรองระหว่างประเทศของแต่ละประเทศในยุโรปรอบนี้ ก็จะพบตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้ กรีซมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 77 เท่าตัว, อังกฤษมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 79 เท่าตัว, สเปน มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 55 เท่าตัว, ไอร์แลนด์ มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 54 เท่าตัว, ฝรั่งเศส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 26 เท่าตัว, โปรตุเกส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 22 เท่าตัว, เยอรมนี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 20 เท่าตัว, อิตาลี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 13 เท่าตัว
หนี้ต่างประเทศของ 8 ประเทศข้างต้นนั้นรวมกันแล้วสูงถึง 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ!
8 ประเทศนี้มีอาการเหมือนกันคือ มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศนับหลายสิบเท่าตัว และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักทุกปี (ยกเว้นเยอรมนี) เปรียบเสมือนคนมีหนี้สินต่างประเทศล้นพ้นตัวแต่ไม่มีความสามารถในการค้าขายต่างประเทศที่จะไปชำระหนี้สินอันมหาศาลได้ทุกปี
ซ้ำร้ายกว่านั้นรัฐบาลในประเทศเหล่านี้ก็มีภาระค่าสวัสดิการที่ต้องดูแลประชาชนจำนวนมหาศาลขาดดุลงบประมาณและต้องกู้หนี้ยืมสินจนก่อให้เกิดหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และยังมีอัตราการว่างงานในประเทศอยู่ในระดับสูง ได้แก่ กรีซ มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 143% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่มีการว่างงานสูงถึง 16.30% , อิตาลี มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 119% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 8%, ไอร์แลนด์มีหนี้สาธารณะ 96.7% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 14.3% , โปรตุเกสมีหนี้สาธารณะ 93% ของGDP มีอัตราการว่างงาน 12.10%, เยอรมนีมีหนี้สาธารณะ 83% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7%, ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะ 82% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 9.60%, อังกฤษมีหนี้สาธารณะ 76% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7.90%, สเปนมีหนี้สาธารณะ 60%ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 20.89%
ปัจจัยชี้ขาดว่าจะพังวันไหนก็คือ “หนี้ระยะสั้น” ของแต่ละประเทศว่าจะถูกทวงคืนเร็วแค่ไหน และสามารถกู้หนี้ใหม่มาคืนหนี้เก่าได้ทันหรือไม่เท่านั้น และหากยังแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้ การปล่อยกู้ก้อนใหม่ก็เสมือนการสร้าง “แชร์ลูกโซ่”ให้ขยายใหญ่โตมากขึ้นรอวันระเบิดข้างหน้า
ยุโรปมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับระบบเงินยูโรโดยมีประเทศต่างๆได้ลงขันเป็นสมาชิกมีอยู่ทั้งสิ้น 8.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นเงินที่อยู่เป็นสินทรัพย์ของธนาคารกลางของยุโรปเพียง 7.914 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่มีเงินที่จะรับวิกฤตของโลกได้เพียงแค่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะไปรับมือกับวิกฤติหนี้ของยุโรปในเวลานี้
ทั่วโลกจึงประเมินและทำใจแล้วว่าจะต้องเกิดการ “ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” ทั้งในกรีซและอีกหลายแห่งในยุโรป เพียงแต่ว่าจะหาทางอย่างไรให้ธนาคารในยุโรปไม่ล้ม เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ที่ธุรกิจจะทยอยล้มไปด้วย (โดยหวังเอาเงินของประเทศและประชาชนในยุโรปไปอุ้ม)
การรีดภาษีจากประชาชน, ขายรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินของรัฐ, ลดตัดค่าใช้จ่ายและสวัสดิการของประชาชนและตัดงบประมาณภาครัฐ คือสูตรที่เจ้าหนี้จะต้องบังคับต่อไปเพื่อหาเงินมาคืนหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ใช้ชีวิตสบายและมีสวัสดิการในชีวิตมาอย่างยาวนาน ต่างจากคนในภูมิภาคเอเชียที่ปากกัดตีนถีบและมีความอดทนมากกว่า
และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ธนาคารในยุโรปและอเมริกาจะต้องเรียกเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์อีกหลายระลอก และทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์นั้นต้องเทขายสินทรัพย์ต่างประเทศแล้วช้อนซื้อเป็นวัฏจักรอีกไม่กี่รอบก่อนวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะระเบิดขึ้น เพียงแต่ช่วงเวลานี้สายชนวนระเบิดได้ถูกจุดและสั้นลงทุกที ทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องเร่งทำงานเข้าออกหลายระลอกวันต่อวัน นานทีต่อนาที เพื่อเร่งทำกำไร สร้างความผันผวนในราคา หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินไปทั่วโลก โดยมองแมลงเม่าทั่วโลกเป็นเหยื่อในการสูบความมั่งคั่งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
และที่แน่ๆ ก็คือค่าเงินยูโรจะต้องอ่อนค่าหนัก ธนาคารกลางในแต่ละประเทศก็คงไว้ใจถือพันธบัตรและทรัพย์สินดอลลาร์สหรัฐและยูโรไม่ได้ เพียงแต่ใครจะไวเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือได้เร็วและมากกว่ากัน
เอเชียในวันนี้มีความมั่งคั่งยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป เราอาจได้เห็นโอกาสกลับด้านที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียบางประเทศเข้าไปซื้อสินทรัพย์ ในยุโรปราคาถูกๆ (อย่างมียุทธศาสตร์) หลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตกแล้ว
สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 82,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.85 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศคิดเป็น 44% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ) เกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีที่แล้วถึง 12,290 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหนี้สาธารณะประมาณ 43% และมีอัตราการว่างงานเพียงแค่ 0.44% โดยภาพรวมยังถือว่าประเทศไทยยังอยู่ในสถานภาพที่ดีกว่าอีกหลายประเทศในโลก
แต่การล่มสลายของทุนนิยมสุดขั้วของอเมริกาและยุโรปย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคธนาคาร) รัฐบาลควรต้องพิจารณาบริหารจัดการกับ “ทุนเฮดจ์ฟันด์”ที่ฉวยโอกาสปั่นแล้วทุบ-ทุบแล้วปั่น ทำกำไรระยะสั้นเพื่อสูบความมั่งคั่งจากคนในชาติอย่างเร่งด่วน อีกทั้งรัฐบาลก็ถือว่ามาถูกทางแล้วในการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าภายนอกประเทศ แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นพึงต้องคำนึงในการกระตุ้นให้คนมีเงินและเศรษฐีต้องใช้จ่ายและลงทุนเพื่อสร้างให้มาก และกระตุ้นให้คนจนให้รู้จักการออม ประหยัดใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและระมัดระวังไม่ก่อหนี้เกินตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์กับภาวะวิกฤติของโลกที่กำลังจะมาในอีกไม่นานนี้
และสำคัญที่สุดก็คือกระตุ้นเตือนจิตสำนึกในปรัชญาพระราชทาน “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้คนไทยได้รู้จัก เข้าใจ และนำไปปฏิบัติ อันจะเป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ประเทศไทยได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000124735
เพราะไม่ได้พูดเอาแต่ความรู้สึก หรืออารมณ์
แต่มีตัวเลขมากางให้ดูว่าส่วนไหนที่เสียหาย
แล้วเสียหายกันขนาดไหน
“แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก
ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ปรากฏการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และค่าเงิน ทั่วโลกลดมูลค่าพร้อมๆกันและหลังจากนั้นเกิดการช้อนซื้อครั้งใหญ่ เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังจะต้องมาถึงอย่างแน่นอนแล้ว จนเรียกกันว่าเป็น “วันจันทร์สีดำ”หรือ “แบล็คมันเดย์”
และสิ่งที่เกิดขึ้นวันจันทร์ที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัย 2 ประการคือ
ประการแรก ธนาคารหลายแห่งทั้งในยุโรปและอเมริกา ทยอยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่า กรีซ อาจจะพักชำระหนี้หรือ “ชักดาบ” ลดหนี้อันมหาศาลของตัวเองและจะส่งผลเสียหายต่อธนาคารในยุโรป อันเป็นแหล่งเงินทุนของเฮดจ์ฟันด์ไปด้วย
เมื่อธนาคารในยุโรปและสหรัฐอเมริกาถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ จึงเกิดการสั่นคลอนอย่างหนัก และทำให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งปล่อยกู้ให้กับ เฮดจ์ฟันด์ ซึ่งได้ไปเข้าไปปั่นราคาในตลาด หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินแต่ละประเทศ จำเป็นต้องเรียกเงินคืนอย่างเร่งด่วน เพื่อสำรองเงินสดเอาไว้ในมือทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่ถอนเงินออกจากธนาคาร และเตรียมความพร้อมสำหรับการที่ต้องเพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน
ประการที่สอง เฮดจ์ฟันด์เมื่อถูกธนาคาร “เริ่ม” ทวงหนี้ระลอกแรก นอกจากจะต้องเทขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือเพื่อคืนหนี้ธนาคารแล้ว ยังถือโอกาสทำกำไรด้วยการผสมโรงเทขายมากกว่าเงินที่ต้องคืนให้กับธนาคารในยุโรป ด้านหนึ่งเพื่อทำกำไรสูบความมั่งคั่งในแต่ละประเทศ อีกด้านหนึ่งทุบเพื่อกดราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้ต่ำ ทั้งหุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงิน และเข้าช้อนซื้อเตรียมทำกำไรแบบนี้อีกหลายระลอก
ที่ว่าปรากฏการณ์แบบ “แบลคมันเดย์” ยังจะต้องเกิดขึ้นอีกหลายระลอกนั้น ก็เพราะเหตุว่าการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุโรป “จะต้องเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง” เพราะในขณะนี้แม้ยังไม่มีใครชักดาบจริงๆ แต่ก็เล็งเห็นได้แล้วว่าจะต้องเกิดการ "ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในยุโรปหลายแห่ง
4.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คือตัวเลขเบื้องต้นที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องเร่งเพิ่มทุนด้วยเม็ดเงินดังกล่าว ซึ่งถือว่าไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ในภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ปัญหาหลักสำคัญในเวลานี้ก็คือยุโรปและอเมริกากลายเป็นประเทศสูญเสียความสามารถการแข่งขันด้านการผลิตให้กับภูมิภาคเอเชีย จึงล้วนแล้วแต่เสียดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดทุกปีให้กับภูมิภาคเอเชีย จนเงินตราในทุนสำรองระหว่างประเทศได้หดหาย จึงแก้ปัญหาด้วยการที่รัฐบาลแต่ละประเทศออกพันธบัตรกู้เงินต่างประเทศจนกระทั่งหนี้สินล้นพ้นตัว
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง แสดนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (แปลว่า:บริษัทมาตรฐานและยากจน) และ มูดีส์ (แปลว่า:บริษัทขี้หงุดหงิด) ต่างเป็นตัวการสำคัญที่ปรนเปรอตราสารในยุโรปและอเมริกาจัดอันดับว่าน่าเชื่อถือมาก ทำให้กู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเมื่อโลกตื่นขึ้นมาพร้อมๆกันจึงทำให้ยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญหน้ากับชีวิตจริงว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านนี้จึงหนีไม่พ้นต้องมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ลดลงในภายหลัง
แต่วิกฤติของโลกครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2540 หลายเท่าตัวนัก และตัวเลขหนึ่งที่เห็นสัญญาณนี้ก็คือ ตัวเลขสัดส่วนระหว่าง “หนี้ต่างประเทศ” กับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ”
ประเทศไทยที่ระบุว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตต้มยำกุ้งลามไปทั้งภูมิภาคเอเชียในปี 2540 นั้น ก่อนหน้านั้น 1 ปี (พ.ศ.2539) ไทยมีหนี้ต่างประเทศทั้งของรัฐและเอกชนรวม 108,742 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 38,724 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศถึง 2.8 เท่า จึงถูกโจมตีค่าเงินถอนหนี้ระยะสั้นอย่างเร่งด่วน จนแทบหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ ยอมลอยค่าเงินบาท แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่างชาติมาสูบและปล้นสินทรัพย์ในประเทศไทย
ขนาดประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศ 1 แสนกว่าล้านเหรียญ และมีหนี้มากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.8 เท่าตัว ยังเกิดวิกฤติลามไปทั่วภูมิภาคได้ แต่คราวนี้ปัญหาใหญ่กว่าและเลวร้ายกว่าปี 2540 หลายสิบเท่าตัว
เมื่อเทียบตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่างประเทศกับทุนสำรองระหว่างประเทศของแต่ละประเทศในยุโรปรอบนี้ ก็จะพบตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้ กรีซมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 77 เท่าตัว, อังกฤษมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 79 เท่าตัว, สเปน มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 55 เท่าตัว, ไอร์แลนด์ มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 54 เท่าตัว, ฝรั่งเศส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 26 เท่าตัว, โปรตุเกส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 22 เท่าตัว, เยอรมนี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 20 เท่าตัว, อิตาลี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 13 เท่าตัว
หนี้ต่างประเทศของ 8 ประเทศข้างต้นนั้นรวมกันแล้วสูงถึง 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ!
8 ประเทศนี้มีอาการเหมือนกันคือ มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศนับหลายสิบเท่าตัว และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักทุกปี (ยกเว้นเยอรมนี) เปรียบเสมือนคนมีหนี้สินต่างประเทศล้นพ้นตัวแต่ไม่มีความสามารถในการค้าขายต่างประเทศที่จะไปชำระหนี้สินอันมหาศาลได้ทุกปี
ซ้ำร้ายกว่านั้นรัฐบาลในประเทศเหล่านี้ก็มีภาระค่าสวัสดิการที่ต้องดูแลประชาชนจำนวนมหาศาลขาดดุลงบประมาณและต้องกู้หนี้ยืมสินจนก่อให้เกิดหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และยังมีอัตราการว่างงานในประเทศอยู่ในระดับสูง ได้แก่ กรีซ มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 143% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่มีการว่างงานสูงถึง 16.30% , อิตาลี มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 119% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 8%, ไอร์แลนด์มีหนี้สาธารณะ 96.7% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 14.3% , โปรตุเกสมีหนี้สาธารณะ 93% ของGDP มีอัตราการว่างงาน 12.10%, เยอรมนีมีหนี้สาธารณะ 83% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7%, ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะ 82% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 9.60%, อังกฤษมีหนี้สาธารณะ 76% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7.90%, สเปนมีหนี้สาธารณะ 60%ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 20.89%
ปัจจัยชี้ขาดว่าจะพังวันไหนก็คือ “หนี้ระยะสั้น” ของแต่ละประเทศว่าจะถูกทวงคืนเร็วแค่ไหน และสามารถกู้หนี้ใหม่มาคืนหนี้เก่าได้ทันหรือไม่เท่านั้น และหากยังแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้ การปล่อยกู้ก้อนใหม่ก็เสมือนการสร้าง “แชร์ลูกโซ่”ให้ขยายใหญ่โตมากขึ้นรอวันระเบิดข้างหน้า
ยุโรปมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับระบบเงินยูโรโดยมีประเทศต่างๆได้ลงขันเป็นสมาชิกมีอยู่ทั้งสิ้น 8.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นเงินที่อยู่เป็นสินทรัพย์ของธนาคารกลางของยุโรปเพียง 7.914 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่มีเงินที่จะรับวิกฤตของโลกได้เพียงแค่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะไปรับมือกับวิกฤติหนี้ของยุโรปในเวลานี้
ทั่วโลกจึงประเมินและทำใจแล้วว่าจะต้องเกิดการ “ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” ทั้งในกรีซและอีกหลายแห่งในยุโรป เพียงแต่ว่าจะหาทางอย่างไรให้ธนาคารในยุโรปไม่ล้ม เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ที่ธุรกิจจะทยอยล้มไปด้วย (โดยหวังเอาเงินของประเทศและประชาชนในยุโรปไปอุ้ม)
การรีดภาษีจากประชาชน, ขายรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินของรัฐ, ลดตัดค่าใช้จ่ายและสวัสดิการของประชาชนและตัดงบประมาณภาครัฐ คือสูตรที่เจ้าหนี้จะต้องบังคับต่อไปเพื่อหาเงินมาคืนหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ใช้ชีวิตสบายและมีสวัสดิการในชีวิตมาอย่างยาวนาน ต่างจากคนในภูมิภาคเอเชียที่ปากกัดตีนถีบและมีความอดทนมากกว่า
และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ธนาคารในยุโรปและอเมริกาจะต้องเรียกเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์อีกหลายระลอก และทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์นั้นต้องเทขายสินทรัพย์ต่างประเทศแล้วช้อนซื้อเป็นวัฏจักรอีกไม่กี่รอบก่อนวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะระเบิดขึ้น เพียงแต่ช่วงเวลานี้สายชนวนระเบิดได้ถูกจุดและสั้นลงทุกที ทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องเร่งทำงานเข้าออกหลายระลอกวันต่อวัน นานทีต่อนาที เพื่อเร่งทำกำไร สร้างความผันผวนในราคา หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินไปทั่วโลก โดยมองแมลงเม่าทั่วโลกเป็นเหยื่อในการสูบความมั่งคั่งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
และที่แน่ๆ ก็คือค่าเงินยูโรจะต้องอ่อนค่าหนัก ธนาคารกลางในแต่ละประเทศก็คงไว้ใจถือพันธบัตรและทรัพย์สินดอลลาร์สหรัฐและยูโรไม่ได้ เพียงแต่ใครจะไวเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือได้เร็วและมากกว่ากัน
เอเชียในวันนี้มีความมั่งคั่งยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป เราอาจได้เห็นโอกาสกลับด้านที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียบางประเทศเข้าไปซื้อสินทรัพย์ ในยุโรปราคาถูกๆ (อย่างมียุทธศาสตร์) หลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตกแล้ว
สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 82,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.85 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศคิดเป็น 44% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ) เกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีที่แล้วถึง 12,290 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหนี้สาธารณะประมาณ 43% และมีอัตราการว่างงานเพียงแค่ 0.44% โดยภาพรวมยังถือว่าประเทศไทยยังอยู่ในสถานภาพที่ดีกว่าอีกหลายประเทศในโลก
แต่การล่มสลายของทุนนิยมสุดขั้วของอเมริกาและยุโรปย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคธนาคาร) รัฐบาลควรต้องพิจารณาบริหารจัดการกับ “ทุนเฮดจ์ฟันด์”ที่ฉวยโอกาสปั่นแล้วทุบ-ทุบแล้วปั่น ทำกำไรระยะสั้นเพื่อสูบความมั่งคั่งจากคนในชาติอย่างเร่งด่วน อีกทั้งรัฐบาลก็ถือว่ามาถูกทางแล้วในการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าภายนอกประเทศ แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นพึงต้องคำนึงในการกระตุ้นให้คนมีเงินและเศรษฐีต้องใช้จ่ายและลงทุนเพื่อสร้างให้มาก และกระตุ้นให้คนจนให้รู้จักการออม ประหยัดใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและระมัดระวังไม่ก่อหนี้เกินตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์กับภาวะวิกฤติของโลกที่กำลังจะมาในอีกไม่นานนี้
และสำคัญที่สุดก็คือกระตุ้นเตือนจิตสำนึกในปรัชญาพระราชทาน “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้คนไทยได้รู้จัก เข้าใจ และนำไปปฏิบัติ อันจะเป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ประเทศไทยได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000124735
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5552
ส่วนลิ๊งนี้เอาไว้อ่านขยายความเรื่องกรีซแบบต่อเนื่อง
พี่อู๋ คนชอบแจกไอซ์ทีแนะนำไว้
เข้าไปอ่านดูแล้วดี๊ดี...
ก้าวต่อไปของกรีซและนัย
คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร. กอบ
ณ จุดนี้ รัฐบาลกรีซมีทางเดินให้เลือก 3 เส้นทาง วันนี้จะได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า 3 เส้นทางนี้ มีอะไรบ้าง และนัยคืออะไร
เส้นทางแรก – สู้ต่อไปตามเส้นทางปัจจุบัน ไม่ยอมชักดาบ ไม่ยอมแพ้ พยายามดูแลปัญหาการขาดดุลการคลังและหนี้ภาครัฐที่มีอยู่มากตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สหภาพยุโรปได้ขีดเส้น ปักธงไว้ให้ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลกรีซจะต้องพยายามลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่ม รวมไปถึงการเร่งเอาสินทรัพย์ของประเทศมาขาย เพื่อเอาเงินที่ได้มาไปช่วยลดหนี้
ตรงนี้ ทุกๆ 3 เดือน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปก็จะมีการตรวจสอบกันว่า รัฐบาลกรีซสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ มีความตั้งใจพอหรือไม่ หากผ่านการตรวจสอบ ก็จะได้รับเงิน ไปใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเงินช่วยเหลือที่ได้มาแล้ว 2 รอบ รวมกัน 2.19 แสนล้านยูโร ก็จะพอที่กรีซจะนำไปคืนให้กับเจ้าหนี้ภาคเอกชนไปอีกหลายปี
แต่ต้องบอกว่า เส้นทางนี้ไม่หมู ไม่เรียบง่าย มีอุปสรรค หลุมบ่อ มากเช่นกัน เรียกว่า “ต้องเดินปีนเขาที่สูงชัน” เพราะว่ากรีซมีการส่งออกไม่มากนัก การที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้ ก็ต้องพึ่งพาการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสำคัญ แต่เมื่อต้องรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่ม ก็หมายความว่า เศรษฐกิจกรีซก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย (ปีนี้ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยขยายตัวติดลบ 5-6% เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว) ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจหดตัว หรือขยายตัวไม่ได้ ภาษีที่เก็บได้ก็จะน้อยลง การขาดดุลการคลังจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้
แต่การจะลดการใช้จ่าย ขึ้นภาษีเพิ่มเติม เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะประชาชนลำบากมามากแล้ว มีคนตกงานแล้วถึง 16.3% ทั้งยังต้องถูกลดสวัสดิการ ถูกเรียกภาษีเพิ่ม อีกทั้งความมั่งคั่งของทุกคนก็กำลังลดลง โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของกรีซ ชณะนี้อยู่ที่ 865 จุด ตกลงจาก ประมาณ 3,000 จุด เมื่อปลายปี 2009 (ก่อนวิกฤตอยู่ที่ 5,350 จุด) ราคาบ้านตกมาแล้ว 20% เรียกว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ด้วยเหตุนี้ คาดว่า อีกไม่นาน กรีซก็จะเข้าสู่ยุคเงินฝืด ที่ค่าจ้างแรงงาน สินทรัพย์ปรับลดลง เพื่อให้กรีซสามารถแข่งขันกับทุกคนได้อีกครั้งหนึ่ง
ท้ายสุด เสถียรภาพของรัฐบาลกรีซก็เริ่มสั่นคลอน จากความไม่พึงพอใจของประชาชน ที่ได้ออกมาประท้วง แสดงความไม่พอใจรัฐบาลบ่อยครั้ง ซึ่งนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทำให้การจะออกมาตรการต่างๆ มาเพื่อดูแลปัญหา รัดเข็มขัดเพิ่มเติมตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปต้องการยากขึ้น ก็เรียกว่าเส้นทางนี้ นับวันจะลำบาก ยากแค้นมาก ยากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องเอาใจช่วยให้กรีซสามารถกัดฟันเดินกันต่อไป ไม่ยอมแพ้
เส้นทางที่สอง – การขอลดหนี้ ไม่ว่าจะมาจากการที่รัฐบาลกรีซไม่ยอมจ่าย หยุดจ่าย หรือเจ้าหนี้เห็นความจริงแล้วว่า ยังไงก็ไม่สามารถที่จะจ่ายหนี้คืนได้ ยอมที่จะยืดอายุ ลดดอก หรือลดต้นให้เอง ซึ่งล่าสุดก็มีความพยายามของกลุ่มเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินในยุโรปที่จะมาร่วมกันเจรจายอมความ ยืดอายุการชำระหนี้ให้กับรัฐบาลกรีซออกไป 30 ปี โดยรัฐบาลกรีซต้องการให้ 90% ของเจ้าหนี้ภาคเอกชนที่ถือพันธบัตรรัฐบาลของกรีซที่จะครบกำหนดอายุระหว่างปี 2014-2020 (หรือประมาณ 1.35 แสนล้านยูโร) เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะทำให้กรีซไม่ต้องจ่ายเงินคืนไประยะหนึ่ง และมีภาระหนี้ลดลงไปประมาณ 37 พันล้านยูโร
แต่คำถามสำคัญของการขอลดหนี้อยู่ที่ว่า “จะลดเท่าไร” โครงการที่กำลังตกลงกันอยู่ข้างต้น จะช่วยลดหนี้ไปประมาณ 20% (บนหนี้ประมาณ 1.35 แสนล้านยูโร จากยอดหนี้ทั้งหมดประมาณ 3.5 แสนล้านยูโร) ซึ่งตลาดคิดว่ายังน้อยไป เพราะตัวเลขที่พูดกันคือ ลดหนี้ 40-50% บนยอดหนี้ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยทำให้สัดส่วนหนี้ภาครัฐกรีซ/GDP กลับมาเหลือประมาณ 80% อยู่ในระดับที่รับได้อีกครั้งหนึ่ง
โอกาสที่กรีซจะต้องหวนกลับมาเดินตามเส้นทางที่สองนี้ จะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพบว่า “การเดินไปตามเส้นทางที่หนึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก” เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง ปัญหาลุกลาม ถูกเพื่อนบ้านบังคับให้ออกนโยบายลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่มเติม ในขณะที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งนับวันก็จะเป็นไปได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงประท้วงของประชาชน ซึ่งความโกธรแค้นของประชาชนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนรัฐบาล และการไม่พอใจในตัวของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป ที่มาบังคับให้รัฐบาลกรีซทำในสิ่งที่ประชาชนไม่เห็นชอบ
นักวิเคราะห์และตลาดตอนนี้มองว่า ท้ายสุดกรีซก็ต้องยอมรับความจริงว่า หนี้ที่มีอยู่นั้นท่วมตัว จ่ายคืนไม่ได้ ทางออกคือ เบี่ยงเส้นทางหันมาเดินตามทางสายที่สองนี้ โดยขอลดหนี้ให้มากพอ ซึ่งจะเป็นการแบ่งภาระไปให้เจ้าหนี้ และลดภาระในการปรับตัวของเศรษฐกิจลงบางส่วน
เส้นทางสุดท้าย – การไม่จ่ายหนี้ และขอออกจากยูโร ตรงนี้จะช่วยลดโอกาสที่กรีซจะต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนาน (ที่เป็นผลจากการเดินตามเส้นทางแรก) ซึ่งการออกจากยูโรจะช่วยให้กรีซสามารถลดค่าเงินของตนเองได้ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมของกรีซสามารถแข่งขันได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรีซส่งออกแค่ 20% ของ GDP เท่านั้น ประโยชน์ที่จะได้จากการออกจากยูโรมีไม่มาก และยังต้องกลับมาคิดเรื่องผลพวงที่จะตามมาหลังจากออกจากยูโรแล้ว รวมทั้งนัยในระยะยาวที่ไม่อยู่ในกลุ่มยูโร
สำหรับทางสายนี้ แม้คนจะเริ่มพูดถึงกันมากขึ้น แต่พอทำจริง ปัญหาก็จะตามมามากมายเช่นกัน และความปั่นป่วน โกลาหนต่างๆ ที่จะตามมา อีกทั้งสถาบันการเงินของกรีซคงโดนโจมตี คนแห่ถอนเงินรอบใหม่ และล้มลง
ท้ายสุดการจะเลือกเดินทางไหน รัฐบาลกรีซก็ต้องค่อยๆ พิจารณา เลือกหาทางออกที่ดีที่สุดให้กรีซและคนกรีซ ซึ่ง (1) ต้องเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจ (2) ต้องเป็นไปได้ในเชิงการเมือง และ (3) ไม่ทำให้สถานการณ์ปั่นป่วน โกลาหนจนเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟันธงว่า แม้ตอนแรกกรีซจะยังคงพยายามเดินไปตามทางสายแรก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง คงบังคับให้หันไปเดินตามทางสายที่สอง ส่วนทางสายที่สาม แม้มีคนพูดถึงกันมากขึ้น จะยังไม่ใช่ทางเลือกหลักของกรีซ ก็ขอเอาใจช่วยครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำวันที่ 21 ก.ย. 54
คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร.กอบ
http://www.kobsak.com/
พี่อู๋ คนชอบแจกไอซ์ทีแนะนำไว้
เข้าไปอ่านดูแล้วดี๊ดี...
ก้าวต่อไปของกรีซและนัย
คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร. กอบ
ณ จุดนี้ รัฐบาลกรีซมีทางเดินให้เลือก 3 เส้นทาง วันนี้จะได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า 3 เส้นทางนี้ มีอะไรบ้าง และนัยคืออะไร
เส้นทางแรก – สู้ต่อไปตามเส้นทางปัจจุบัน ไม่ยอมชักดาบ ไม่ยอมแพ้ พยายามดูแลปัญหาการขาดดุลการคลังและหนี้ภาครัฐที่มีอยู่มากตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สหภาพยุโรปได้ขีดเส้น ปักธงไว้ให้ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลกรีซจะต้องพยายามลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่ม รวมไปถึงการเร่งเอาสินทรัพย์ของประเทศมาขาย เพื่อเอาเงินที่ได้มาไปช่วยลดหนี้
ตรงนี้ ทุกๆ 3 เดือน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปก็จะมีการตรวจสอบกันว่า รัฐบาลกรีซสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ มีความตั้งใจพอหรือไม่ หากผ่านการตรวจสอบ ก็จะได้รับเงิน ไปใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเงินช่วยเหลือที่ได้มาแล้ว 2 รอบ รวมกัน 2.19 แสนล้านยูโร ก็จะพอที่กรีซจะนำไปคืนให้กับเจ้าหนี้ภาคเอกชนไปอีกหลายปี
แต่ต้องบอกว่า เส้นทางนี้ไม่หมู ไม่เรียบง่าย มีอุปสรรค หลุมบ่อ มากเช่นกัน เรียกว่า “ต้องเดินปีนเขาที่สูงชัน” เพราะว่ากรีซมีการส่งออกไม่มากนัก การที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้ ก็ต้องพึ่งพาการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสำคัญ แต่เมื่อต้องรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่ม ก็หมายความว่า เศรษฐกิจกรีซก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย (ปีนี้ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยขยายตัวติดลบ 5-6% เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว) ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจหดตัว หรือขยายตัวไม่ได้ ภาษีที่เก็บได้ก็จะน้อยลง การขาดดุลการคลังจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้
แต่การจะลดการใช้จ่าย ขึ้นภาษีเพิ่มเติม เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะประชาชนลำบากมามากแล้ว มีคนตกงานแล้วถึง 16.3% ทั้งยังต้องถูกลดสวัสดิการ ถูกเรียกภาษีเพิ่ม อีกทั้งความมั่งคั่งของทุกคนก็กำลังลดลง โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของกรีซ ชณะนี้อยู่ที่ 865 จุด ตกลงจาก ประมาณ 3,000 จุด เมื่อปลายปี 2009 (ก่อนวิกฤตอยู่ที่ 5,350 จุด) ราคาบ้านตกมาแล้ว 20% เรียกว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ด้วยเหตุนี้ คาดว่า อีกไม่นาน กรีซก็จะเข้าสู่ยุคเงินฝืด ที่ค่าจ้างแรงงาน สินทรัพย์ปรับลดลง เพื่อให้กรีซสามารถแข่งขันกับทุกคนได้อีกครั้งหนึ่ง
ท้ายสุด เสถียรภาพของรัฐบาลกรีซก็เริ่มสั่นคลอน จากความไม่พึงพอใจของประชาชน ที่ได้ออกมาประท้วง แสดงความไม่พอใจรัฐบาลบ่อยครั้ง ซึ่งนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทำให้การจะออกมาตรการต่างๆ มาเพื่อดูแลปัญหา รัดเข็มขัดเพิ่มเติมตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปต้องการยากขึ้น ก็เรียกว่าเส้นทางนี้ นับวันจะลำบาก ยากแค้นมาก ยากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องเอาใจช่วยให้กรีซสามารถกัดฟันเดินกันต่อไป ไม่ยอมแพ้
เส้นทางที่สอง – การขอลดหนี้ ไม่ว่าจะมาจากการที่รัฐบาลกรีซไม่ยอมจ่าย หยุดจ่าย หรือเจ้าหนี้เห็นความจริงแล้วว่า ยังไงก็ไม่สามารถที่จะจ่ายหนี้คืนได้ ยอมที่จะยืดอายุ ลดดอก หรือลดต้นให้เอง ซึ่งล่าสุดก็มีความพยายามของกลุ่มเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินในยุโรปที่จะมาร่วมกันเจรจายอมความ ยืดอายุการชำระหนี้ให้กับรัฐบาลกรีซออกไป 30 ปี โดยรัฐบาลกรีซต้องการให้ 90% ของเจ้าหนี้ภาคเอกชนที่ถือพันธบัตรรัฐบาลของกรีซที่จะครบกำหนดอายุระหว่างปี 2014-2020 (หรือประมาณ 1.35 แสนล้านยูโร) เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะทำให้กรีซไม่ต้องจ่ายเงินคืนไประยะหนึ่ง และมีภาระหนี้ลดลงไปประมาณ 37 พันล้านยูโร
แต่คำถามสำคัญของการขอลดหนี้อยู่ที่ว่า “จะลดเท่าไร” โครงการที่กำลังตกลงกันอยู่ข้างต้น จะช่วยลดหนี้ไปประมาณ 20% (บนหนี้ประมาณ 1.35 แสนล้านยูโร จากยอดหนี้ทั้งหมดประมาณ 3.5 แสนล้านยูโร) ซึ่งตลาดคิดว่ายังน้อยไป เพราะตัวเลขที่พูดกันคือ ลดหนี้ 40-50% บนยอดหนี้ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยทำให้สัดส่วนหนี้ภาครัฐกรีซ/GDP กลับมาเหลือประมาณ 80% อยู่ในระดับที่รับได้อีกครั้งหนึ่ง
โอกาสที่กรีซจะต้องหวนกลับมาเดินตามเส้นทางที่สองนี้ จะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพบว่า “การเดินไปตามเส้นทางที่หนึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก” เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง ปัญหาลุกลาม ถูกเพื่อนบ้านบังคับให้ออกนโยบายลดการใช้จ่าย เก็บภาษีเพิ่มเติม ในขณะที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งนับวันก็จะเป็นไปได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงประท้วงของประชาชน ซึ่งความโกธรแค้นของประชาชนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนรัฐบาล และการไม่พอใจในตัวของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป ที่มาบังคับให้รัฐบาลกรีซทำในสิ่งที่ประชาชนไม่เห็นชอบ
นักวิเคราะห์และตลาดตอนนี้มองว่า ท้ายสุดกรีซก็ต้องยอมรับความจริงว่า หนี้ที่มีอยู่นั้นท่วมตัว จ่ายคืนไม่ได้ ทางออกคือ เบี่ยงเส้นทางหันมาเดินตามทางสายที่สองนี้ โดยขอลดหนี้ให้มากพอ ซึ่งจะเป็นการแบ่งภาระไปให้เจ้าหนี้ และลดภาระในการปรับตัวของเศรษฐกิจลงบางส่วน
เส้นทางสุดท้าย – การไม่จ่ายหนี้ และขอออกจากยูโร ตรงนี้จะช่วยลดโอกาสที่กรีซจะต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนาน (ที่เป็นผลจากการเดินตามเส้นทางแรก) ซึ่งการออกจากยูโรจะช่วยให้กรีซสามารถลดค่าเงินของตนเองได้ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมของกรีซสามารถแข่งขันได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรีซส่งออกแค่ 20% ของ GDP เท่านั้น ประโยชน์ที่จะได้จากการออกจากยูโรมีไม่มาก และยังต้องกลับมาคิดเรื่องผลพวงที่จะตามมาหลังจากออกจากยูโรแล้ว รวมทั้งนัยในระยะยาวที่ไม่อยู่ในกลุ่มยูโร
สำหรับทางสายนี้ แม้คนจะเริ่มพูดถึงกันมากขึ้น แต่พอทำจริง ปัญหาก็จะตามมามากมายเช่นกัน และความปั่นป่วน โกลาหนต่างๆ ที่จะตามมา อีกทั้งสถาบันการเงินของกรีซคงโดนโจมตี คนแห่ถอนเงินรอบใหม่ และล้มลง
ท้ายสุดการจะเลือกเดินทางไหน รัฐบาลกรีซก็ต้องค่อยๆ พิจารณา เลือกหาทางออกที่ดีที่สุดให้กรีซและคนกรีซ ซึ่ง (1) ต้องเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจ (2) ต้องเป็นไปได้ในเชิงการเมือง และ (3) ไม่ทำให้สถานการณ์ปั่นป่วน โกลาหนจนเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟันธงว่า แม้ตอนแรกกรีซจะยังคงพยายามเดินไปตามทางสายแรก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง คงบังคับให้หันไปเดินตามทางสายที่สอง ส่วนทางสายที่สาม แม้มีคนพูดถึงกันมากขึ้น จะยังไม่ใช่ทางเลือกหลักของกรีซ ก็ขอเอาใจช่วยครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำวันที่ 21 ก.ย. 54
คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร.กอบ
http://www.kobsak.com/
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5553
อ่านแล้วก็ดูน่าจะเหนื่อยหน่อยนะ
อันนี้ฝั่งคนจะช่วย
ยุโรปมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับระบบเงินยูโรโดยมีประเทศต่างๆได้ลงขันเป็นสมาชิกมีอยู่ทั้งสิ้น 8.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นเงินที่อยู่เป็นสินทรัพย์ของธนาคารกลางของยุโรปเพียง 7.914 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่มีเงินที่จะรับวิกฤตของโลกได้เพียงแค่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะไปรับมือกับวิกฤติหนี้ของยุโรปในเวลานี้
อันนี้หนี้ของผู้จะถูกช่วย(หมูกรีซประเทศเดียวนะยังไม่ีรวมหมูในpigsตัวอื่น)
ตรงนี้ ทุกๆ 3 เดือน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปก็จะมีการตรวจสอบกันว่า รัฐบาลกรีซสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ มีความตั้งใจพอหรือไม่ หากผ่านการตรวจสอบ ก็จะได้รับเงิน ไปใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเงินช่วยเหลือที่ได้มาแล้ว 2 รอบ รวมกัน 2.19 แสนล้านยูโร ก็จะพอที่กรีซจะนำไปคืนให้กับเจ้าหนี้ภาคเอกชนไปอีกหลายปี
อันนี้ฝั่งคนจะช่วย
ยุโรปมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับระบบเงินยูโรโดยมีประเทศต่างๆได้ลงขันเป็นสมาชิกมีอยู่ทั้งสิ้น 8.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นเงินที่อยู่เป็นสินทรัพย์ของธนาคารกลางของยุโรปเพียง 7.914 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่มีเงินที่จะรับวิกฤตของโลกได้เพียงแค่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะไปรับมือกับวิกฤติหนี้ของยุโรปในเวลานี้
อันนี้หนี้ของผู้จะถูกช่วย(หมูกรีซประเทศเดียวนะยังไม่ีรวมหมูในpigsตัวอื่น)
ตรงนี้ ทุกๆ 3 เดือน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรปก็จะมีการตรวจสอบกันว่า รัฐบาลกรีซสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ มีความตั้งใจพอหรือไม่ หากผ่านการตรวจสอบ ก็จะได้รับเงิน ไปใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเงินช่วยเหลือที่ได้มาแล้ว 2 รอบ รวมกัน 2.19 แสนล้านยูโร ก็จะพอที่กรีซจะนำไปคืนให้กับเจ้าหนี้ภาคเอกชนไปอีกหลายปี
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5555
อันนี้พี่ไทย
ปัญหาทุนสำรองระหว่างประเทศ
คอลัมน์ เศรษฐกิจต้องรู้ โดย ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 15 กันยายน 2554
ในช่วงที่ผ่านมีความพยายาม ของรัฐบาลที่จะจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง คือการนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาซื้อสินทรัพย์ที่เป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ก็มีกระแสต่อต้านจากหลายฝ่ายทำให้รัฐบาลออกมาบอกว่า การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่ข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมากมาย ในขณะที่คำตอบที่ปรากฎตามหน้าหนังสือพิมพ์นั้นไปกันคนละทิศคนละทาง
ผมมีความเห็นว่า ระดับทุนสำรองปัจจุบันมากเกินพอ และน่าจะนำเงินมาใช้ประโยชน์
ทุนสำรองปัจจุบันมีมูลค่า 190,000 ล้านเหรียญ บวกกับฐานะซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิของ ธปท. อีก 26,000 ล้านเหรียญ รวมเป็น 216,000 ล้านเหรียญ หรือกว่า 60% ของจีดีพีประเทศไทย
กล่าวคือ ประเทศไทยมีรายได้ปีละ 10 ล้านล้านบาท และมีทุนสำรองคิดเป็นเงินบาท 6.5 ล้านล้านบาท โดยทุนสำรองที่พูดถึงนี้จะเก็บเป็นเงินตราต่างประเทศ ทองคำ และตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวหนึ่งมีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท คงยากที่ครอบครัวนั้นจะตั้งใจเก็บเงินสดเอาไว้ที่บ้าน 650,000 เพราะจะเป็นการเก็บเงินสดเอาไว้มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้จะต้องมีการตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ทำไมจึงต้องมีทุนสำรองมากมายเช่นนี้
ในหลักการนั้น ทุนสำรองจำเป็นจะต้องเพียงพอกับการนำเข้าสินค้า และบริการประมาณ 3 เดือน ซึ่งในกรณีของประเทศไทยเกินดุลการค้าเกือบทุกเดือน
ดังนั้น เงินตรงนี้คงจะเก็บเอาไว้เฉยๆ นอกจากนั้นก็จะต้องกันเงินเอาไว้สำหรับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่เจ้าหนี้อาจขอคืนภายใน 1 ปีได้ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านเหรียญ
แปลว่าทุนสำรองที่อาจต้องใช้ในยามฉุกเฉินน่าจะต้องมีประมาณ 1.1 แสนล้านเหรียญก็เพียงพอแล้ว แปลว่ามีทุนสำรองเกินกว่าจำเป็นถึง 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 3 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ ภาษีที่รัฐบาลเก็บจากประชาชน 18 เดือน
บางคนจะแย้งว่า ตามกฎหมายทุนสำรองต้องนำมาหนุนหลังธนบัตร (เงินบาทที่หมุนเวียนในระบบ) อีก 1 ล้านล้านบาท
ตรงนี้ต้องบอกว่า กฎหมายล้าหลัง และสมควรแก้ไขยกเลิกเสีย
เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้ในสมัยที่เราต้องการสร้างความมั่นใจในค่าเงินบาท โดยการบอกว่าเงินทุกบาทนั้นมีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง เช่น หากพิมพ์เงินบาทออกมา 1 ล้านล้านบาท ก็จะต้องมีทุนสำรอง (เป็นเงินดอลลาร์) มาหนุนหลังเท่ากับ 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากไม่ต้องการจะถือเงินบาทก็จะสามารถนำเงินทุกบาทในประเทศไทยมาแลกเป็นเงินดอลลาร์ได้ที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์
หลักการของการมีเงินทุนสำรองหนุนหลังเงินบาทนั้นมีอยู่ 2 หลักการคือ 1.การขาดความมั่นใจใน ธปท. และประเทศไทยว่า จะมีวินัยทางการเงิน คือ กลัวว่าจะพิมพ์เงินบาทออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เงินเสื่อมค่า ดังนั้นจึงต้องเอาเงินดอลลาร์ซึ่งมีความมั่นคง น่าเชื่อถือมาหนุนหลัง ซึ่งแนวคิดนี้คงถูกต้องเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แต่วันนี้คนส่วนใหญ่มองว่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพราะนายเบอร์นันเก้ คิดว่าแต่จะพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ซ้ำร้ายยุโรป และญี่ปุ่น ก็มีปัญหาต้องพิมพ์เงินของตนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
คำถามคือ ประเทศไทยจะต้องเอาเงินดอลลาร์ ( หรือเงินเยน หรือเงินยูโร ) มาหนุนหลังเงินบาททำไม ในเมื่อไทยมีวินัยทางการเงินมากกว่าทั้ง 3 ประเทศ ดังนั้น จึงควรแก้กฎหมายยกเลิกการหนุนหลังเงินบาท เพราะ ธปท. สร้างวินัยทางการเงิน และทำให้เงินบาท มีความน่าเชื่อถือ และยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสกุลใดมาหนุนหลัง
2.การใช้สินทรัพย์อื่นหนุนหลังเงินบาทนั้น มีสมมติฐานว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะต้องคงที่เช่น ตัวอย่างที่กล่าวถึงข้างต้นว่า ตัวเลขทุนสำรองที่ 30,000 ล้านเหรียญนั้นมาจาการกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันนโยบายของ ธปท. ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และปัจจัยทางเศรษฐกิจใน 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ จาก 40 บาทเป็น 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ทำให้ต้องใช้ทุนสำรองหนุนหลังเงินบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น สมมติว่าหากปัจจัยพื้นฐานของไทยดีมาก ทำให้เงินบาทแข็งค่าเป็น 1 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ก็จะต้องมีทุนสำรองหนุนหลังมากขึ้น เป็น 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นภาระอย่างมากทั้งๆ ที่การแข็งค่าของเงินบาทนั้น น่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ทำให้ต้องพึ่งพอเงินสกุลต่างชาติมาหนุนหลังเงินบาทน้อยลง หรือไม่ต้องมีเงินต่างชาติหนุนหลังเงินบาทเลยก็ได้
เมื่อไม่ต้องมีหนุนหลังเงินบาทแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องมีทุนสำรองเป็นจำนวนมาก ยิ่งหมดลงอย่างชัดเจน
ในกรณีที่ ธปท. ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามกลไกตลาด เพราะหากประเทศไทยเกิดปัญหาการขาดดุลการค้า เพราะนำเข้ามากกว่าส่งออก สิ่งที่จะตามมาคือ เงินบาทจะอ่อนค่า ทำให้ความต้องการสินค้านำเข้าลดลง และการส่งออกเพิ่มขึ้น เป็นการแก้ปัญหาการขาดดุลโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องเอาทุนสำรองออกมาใช้แต่อย่างใด
ในส่วนของหนี้ต่างประเทศนั้นก็จะอาศัยกลไกเดียวกันคือ หากลูกหนี้ไทยทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเงินต้นที่ต้องจ่ายคืนจะเท่าเดิม ( แต่เจ้าหนี้ต่างชาติ จะเสียหายเพราะได้รับเงินคืนน้อยลง ) ไม่จำเป็นต้องควักเงินทุนสำรองออกมาใช้แต่อย่างใด หากผู้กู้รู้จักประกันความเสี่ยง
ผมคิดว่าประเด็นที่เป็นปัญหานั้น ไม่ใช่ทุนสำรองไม่เพียงพอ แต่ปัญหาคือ ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากใน 10 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากนโยบายของ ธปท.ที่จะพยายามกดเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็ว เพื่อช่วยการส่งออกให้ขยายตัว เป็นหลักในการขับเคลื่นอเศรษฐกิจของไทย
หากดูสถิติ จะเห็นว่าสัดส่วนการส่งออก ( สินค้า และบริการ ) ต่อจีดีพีนั้น เพิ่มจาก 64 % ในปี 2000 มาเป็น 70% ในขณะนี้ แปลว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัวสูงกว่าจีดีพี ( หรือโตกว่าสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ ของประเทศไทย ) โดยตลอด
ทั้งนี้ การทำให้เกิดสภาวการณ์ดังกล่าว ธปท. ต้องเข้าไปซื้อเงินดอลลาร์ โดยการขายเงินบาทออกมา แต่ปริมาณเงินบาทที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ปริมาณเงินบาทท่วมระบบจนเกิดปัญหาเงินเฟ้อ
ดังนั้น ธปท. จึงต้องดูดซับปริมาณเงินบาทออกจากระบบโดยขายพันธบัตร (กู้เงินบาทจากประชาชน ) เมื่อทำไปนานวัน ก็ทำให้หนี้ที่เงินบาทของ ธปท. เพิ่มขึ้นจาก 3 แสนล้านบาทมาเป็น 3 ล้านล้านบาท ผลที่ตามมาคือการขาดทุน เพราะเงินบาท ( ที่เป็นหนี้สินของ ธปท. ) แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ทุนสำรอง ( ที่เป็นเงินดอลลาร์ ยูโร เยน ฯลฯ ) เสื่อค่าลงมาโดยตลอด
นอกจากนั้น รายได้จากดอกเบี้ยที่ได้จากทุนสำรองก็ต่ำอย่างมาก เพราะดอกเบี้ยต่างประเทศอยู่ใกล้ศูนย์ ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตร ธปท.เท่ากับ 3-4% ทำให้ขาดทุนจากส่วนต่างของดอกเบี้ย และจะขาดทุนต่อไปในอนาคต ถ้าดอกเบี้ยไทยสูงกว่าดอกเบี้ยต่างประเทศมาก ดังนั้นในมุมมองของ ธปท. นั้น เงินทุนสำรองจึงไม่มีเหลือเมื่อเทียบกับการขาดทุนสะสมของ ธปท. 4 แสนล้านบาท
ถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงต้องมาพูดถึงการนำทุนสำรองออกมาทำประโยชน์ คำตอบคือ เงินตรงนี้เป็นจำนวนมากจริงๆ และน่าเสียดายหากทิ้งเอาไว้เฉยๆ
แต่คนส่วนใหญ่ จะไม่เชื่อถือความสุจริตของนักการเมือง จึงมีกระแสคัดค้านอย่างรุนแรง
แต่การทิ้งเงินเอาไว้เฉยๆ จะเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก เช่นที่ผมเคยเสนอว่าควรนำทุนสำรองสัก 10,000 ล้านเหรียญ ( ไม่ถึง 5% ของทุนสำรองทั้งหมด ) มาแบ่งเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งน่าจะเปิดโอกาสให้เด็กไทย 30,000 คน ได้รับการศึกษาอย่างดีมาช่วยพัฒนาประเทศน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทยอย่างมาก
แต่กระแสการคัดค้านคงจะทำให้ปัญหานี้ถูก "ดอง" ต่อไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2011q ... r_15p4.htm
ปัญหาทุนสำรองระหว่างประเทศ
คอลัมน์ เศรษฐกิจต้องรู้ โดย ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 15 กันยายน 2554
ในช่วงที่ผ่านมีความพยายาม ของรัฐบาลที่จะจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง คือการนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาซื้อสินทรัพย์ที่เป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ก็มีกระแสต่อต้านจากหลายฝ่ายทำให้รัฐบาลออกมาบอกว่า การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่ข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมากมาย ในขณะที่คำตอบที่ปรากฎตามหน้าหนังสือพิมพ์นั้นไปกันคนละทิศคนละทาง
ผมมีความเห็นว่า ระดับทุนสำรองปัจจุบันมากเกินพอ และน่าจะนำเงินมาใช้ประโยชน์
ทุนสำรองปัจจุบันมีมูลค่า 190,000 ล้านเหรียญ บวกกับฐานะซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิของ ธปท. อีก 26,000 ล้านเหรียญ รวมเป็น 216,000 ล้านเหรียญ หรือกว่า 60% ของจีดีพีประเทศไทย
กล่าวคือ ประเทศไทยมีรายได้ปีละ 10 ล้านล้านบาท และมีทุนสำรองคิดเป็นเงินบาท 6.5 ล้านล้านบาท โดยทุนสำรองที่พูดถึงนี้จะเก็บเป็นเงินตราต่างประเทศ ทองคำ และตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวหนึ่งมีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท คงยากที่ครอบครัวนั้นจะตั้งใจเก็บเงินสดเอาไว้ที่บ้าน 650,000 เพราะจะเป็นการเก็บเงินสดเอาไว้มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้จะต้องมีการตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ทำไมจึงต้องมีทุนสำรองมากมายเช่นนี้
ในหลักการนั้น ทุนสำรองจำเป็นจะต้องเพียงพอกับการนำเข้าสินค้า และบริการประมาณ 3 เดือน ซึ่งในกรณีของประเทศไทยเกินดุลการค้าเกือบทุกเดือน
ดังนั้น เงินตรงนี้คงจะเก็บเอาไว้เฉยๆ นอกจากนั้นก็จะต้องกันเงินเอาไว้สำหรับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่เจ้าหนี้อาจขอคืนภายใน 1 ปีได้ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านเหรียญ
แปลว่าทุนสำรองที่อาจต้องใช้ในยามฉุกเฉินน่าจะต้องมีประมาณ 1.1 แสนล้านเหรียญก็เพียงพอแล้ว แปลว่ามีทุนสำรองเกินกว่าจำเป็นถึง 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 3 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ ภาษีที่รัฐบาลเก็บจากประชาชน 18 เดือน
บางคนจะแย้งว่า ตามกฎหมายทุนสำรองต้องนำมาหนุนหลังธนบัตร (เงินบาทที่หมุนเวียนในระบบ) อีก 1 ล้านล้านบาท
ตรงนี้ต้องบอกว่า กฎหมายล้าหลัง และสมควรแก้ไขยกเลิกเสีย
เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้ในสมัยที่เราต้องการสร้างความมั่นใจในค่าเงินบาท โดยการบอกว่าเงินทุกบาทนั้นมีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง เช่น หากพิมพ์เงินบาทออกมา 1 ล้านล้านบาท ก็จะต้องมีทุนสำรอง (เป็นเงินดอลลาร์) มาหนุนหลังเท่ากับ 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากไม่ต้องการจะถือเงินบาทก็จะสามารถนำเงินทุกบาทในประเทศไทยมาแลกเป็นเงินดอลลาร์ได้ที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์
หลักการของการมีเงินทุนสำรองหนุนหลังเงินบาทนั้นมีอยู่ 2 หลักการคือ 1.การขาดความมั่นใจใน ธปท. และประเทศไทยว่า จะมีวินัยทางการเงิน คือ กลัวว่าจะพิมพ์เงินบาทออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เงินเสื่อมค่า ดังนั้นจึงต้องเอาเงินดอลลาร์ซึ่งมีความมั่นคง น่าเชื่อถือมาหนุนหลัง ซึ่งแนวคิดนี้คงถูกต้องเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แต่วันนี้คนส่วนใหญ่มองว่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพราะนายเบอร์นันเก้ คิดว่าแต่จะพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ซ้ำร้ายยุโรป และญี่ปุ่น ก็มีปัญหาต้องพิมพ์เงินของตนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
คำถามคือ ประเทศไทยจะต้องเอาเงินดอลลาร์ ( หรือเงินเยน หรือเงินยูโร ) มาหนุนหลังเงินบาททำไม ในเมื่อไทยมีวินัยทางการเงินมากกว่าทั้ง 3 ประเทศ ดังนั้น จึงควรแก้กฎหมายยกเลิกการหนุนหลังเงินบาท เพราะ ธปท. สร้างวินัยทางการเงิน และทำให้เงินบาท มีความน่าเชื่อถือ และยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสกุลใดมาหนุนหลัง
2.การใช้สินทรัพย์อื่นหนุนหลังเงินบาทนั้น มีสมมติฐานว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะต้องคงที่เช่น ตัวอย่างที่กล่าวถึงข้างต้นว่า ตัวเลขทุนสำรองที่ 30,000 ล้านเหรียญนั้นมาจาการกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันนโยบายของ ธปท. ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และปัจจัยทางเศรษฐกิจใน 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ จาก 40 บาทเป็น 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ทำให้ต้องใช้ทุนสำรองหนุนหลังเงินบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น สมมติว่าหากปัจจัยพื้นฐานของไทยดีมาก ทำให้เงินบาทแข็งค่าเป็น 1 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ก็จะต้องมีทุนสำรองหนุนหลังมากขึ้น เป็น 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นภาระอย่างมากทั้งๆ ที่การแข็งค่าของเงินบาทนั้น น่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ทำให้ต้องพึ่งพอเงินสกุลต่างชาติมาหนุนหลังเงินบาทน้อยลง หรือไม่ต้องมีเงินต่างชาติหนุนหลังเงินบาทเลยก็ได้
เมื่อไม่ต้องมีหนุนหลังเงินบาทแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องมีทุนสำรองเป็นจำนวนมาก ยิ่งหมดลงอย่างชัดเจน
ในกรณีที่ ธปท. ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามกลไกตลาด เพราะหากประเทศไทยเกิดปัญหาการขาดดุลการค้า เพราะนำเข้ามากกว่าส่งออก สิ่งที่จะตามมาคือ เงินบาทจะอ่อนค่า ทำให้ความต้องการสินค้านำเข้าลดลง และการส่งออกเพิ่มขึ้น เป็นการแก้ปัญหาการขาดดุลโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องเอาทุนสำรองออกมาใช้แต่อย่างใด
ในส่วนของหนี้ต่างประเทศนั้นก็จะอาศัยกลไกเดียวกันคือ หากลูกหนี้ไทยทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเงินต้นที่ต้องจ่ายคืนจะเท่าเดิม ( แต่เจ้าหนี้ต่างชาติ จะเสียหายเพราะได้รับเงินคืนน้อยลง ) ไม่จำเป็นต้องควักเงินทุนสำรองออกมาใช้แต่อย่างใด หากผู้กู้รู้จักประกันความเสี่ยง
ผมคิดว่าประเด็นที่เป็นปัญหานั้น ไม่ใช่ทุนสำรองไม่เพียงพอ แต่ปัญหาคือ ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากใน 10 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากนโยบายของ ธปท.ที่จะพยายามกดเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็ว เพื่อช่วยการส่งออกให้ขยายตัว เป็นหลักในการขับเคลื่นอเศรษฐกิจของไทย
หากดูสถิติ จะเห็นว่าสัดส่วนการส่งออก ( สินค้า และบริการ ) ต่อจีดีพีนั้น เพิ่มจาก 64 % ในปี 2000 มาเป็น 70% ในขณะนี้ แปลว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัวสูงกว่าจีดีพี ( หรือโตกว่าสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ ของประเทศไทย ) โดยตลอด
ทั้งนี้ การทำให้เกิดสภาวการณ์ดังกล่าว ธปท. ต้องเข้าไปซื้อเงินดอลลาร์ โดยการขายเงินบาทออกมา แต่ปริมาณเงินบาทที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ปริมาณเงินบาทท่วมระบบจนเกิดปัญหาเงินเฟ้อ
ดังนั้น ธปท. จึงต้องดูดซับปริมาณเงินบาทออกจากระบบโดยขายพันธบัตร (กู้เงินบาทจากประชาชน ) เมื่อทำไปนานวัน ก็ทำให้หนี้ที่เงินบาทของ ธปท. เพิ่มขึ้นจาก 3 แสนล้านบาทมาเป็น 3 ล้านล้านบาท ผลที่ตามมาคือการขาดทุน เพราะเงินบาท ( ที่เป็นหนี้สินของ ธปท. ) แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ทุนสำรอง ( ที่เป็นเงินดอลลาร์ ยูโร เยน ฯลฯ ) เสื่อค่าลงมาโดยตลอด
นอกจากนั้น รายได้จากดอกเบี้ยที่ได้จากทุนสำรองก็ต่ำอย่างมาก เพราะดอกเบี้ยต่างประเทศอยู่ใกล้ศูนย์ ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตร ธปท.เท่ากับ 3-4% ทำให้ขาดทุนจากส่วนต่างของดอกเบี้ย และจะขาดทุนต่อไปในอนาคต ถ้าดอกเบี้ยไทยสูงกว่าดอกเบี้ยต่างประเทศมาก ดังนั้นในมุมมองของ ธปท. นั้น เงินทุนสำรองจึงไม่มีเหลือเมื่อเทียบกับการขาดทุนสะสมของ ธปท. 4 แสนล้านบาท
ถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงต้องมาพูดถึงการนำทุนสำรองออกมาทำประโยชน์ คำตอบคือ เงินตรงนี้เป็นจำนวนมากจริงๆ และน่าเสียดายหากทิ้งเอาไว้เฉยๆ
แต่คนส่วนใหญ่ จะไม่เชื่อถือความสุจริตของนักการเมือง จึงมีกระแสคัดค้านอย่างรุนแรง
แต่การทิ้งเงินเอาไว้เฉยๆ จะเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก เช่นที่ผมเคยเสนอว่าควรนำทุนสำรองสัก 10,000 ล้านเหรียญ ( ไม่ถึง 5% ของทุนสำรองทั้งหมด ) มาแบ่งเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งน่าจะเปิดโอกาสให้เด็กไทย 30,000 คน ได้รับการศึกษาอย่างดีมาช่วยพัฒนาประเทศน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทยอย่างมาก
แต่กระแสการคัดค้านคงจะทำให้ปัญหานี้ถูก "ดอง" ต่อไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2011q ... r_15p4.htm
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5560
หุ้นที่มีศักดิ์ศรีตัวนี้
ตอนซับไพรม์ อาจารย์เล่าให้ฟัง
ว่าซื้อไปตอน10บาท
ซื้อตามอาจารย์ไป อูยย...มันหล่นไป7บาทโน่น
คัทมั๊ยคัทดีหว่า
เจออาจารย์อีกรอบ อาจารย์บอกยังอยู่ ขายไปสิบห้าบาทเฟ้ย...
(เอ็งยังอ่อนนัก...ฮ่า...อาจารย์ไม่ได้พูด ผมพูดเอง)
แต่อาจารย์ก็ขายเร็วไปเหมือนกัน
เพราะมันขึ้นไปพีคที่ห้าสิบกว่าบาท
ตอนนี้มันแลนดิ้งแล้วครับ
เหลือไม่ถึงยี่จิบแล้ว...ไว้เจ็ดบาทเจอกันหว่า...
ตอนซับไพรม์ อาจารย์เล่าให้ฟัง
ว่าซื้อไปตอน10บาท
ซื้อตามอาจารย์ไป อูยย...มันหล่นไป7บาทโน่น
คัทมั๊ยคัทดีหว่า
เจออาจารย์อีกรอบ อาจารย์บอกยังอยู่ ขายไปสิบห้าบาทเฟ้ย...
(เอ็งยังอ่อนนัก...ฮ่า...อาจารย์ไม่ได้พูด ผมพูดเอง)
แต่อาจารย์ก็ขายเร็วไปเหมือนกัน
เพราะมันขึ้นไปพีคที่ห้าสิบกว่าบาท
ตอนนี้มันแลนดิ้งแล้วครับ
เหลือไม่ถึงยี่จิบแล้ว...ไว้เจ็ดบาทเจอกันหว่า...
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5568
ถามว่า :วงเขียวๆที่ซื้อแล้วจะชนะ จะรู้ได้ไงว่ามันเข้าวงแล้ว
ตอบ : ....ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะชื่อพอใจ
เห็นเฮียวิเขาว่าคนที่รู้จะต้องชื่อปานเทพอ่ะครับ
วันไหนเจอพี่ปานเทพก็ลองถามๆกันดูเองนะครับ
ตอบ : ....ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะชื่อพอใจ
เห็นเฮียวิเขาว่าคนที่รู้จะต้องชื่อปานเทพอ่ะครับ
วันไหนเจอพี่ปานเทพก็ลองถามๆกันดูเองนะครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5571
ดี๊ดีครับ
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 14388.html
หมากรุกบนกระดานชีวิต.....
.................เช้าวันอาทิตย์ที่สบายๆวันหนึ่ง หลังจากอาหารเช้าแล้ว
เล้ง..ตั้งใจจะจัดตู้หนังสือ เพื่อวางแผนในการอ่านอย่างจริงจังเสียที
หลังจากที่เขาได้ซื้อหา สะสม ตลอดจน อ่านทิ้ง อ่านขว้าง จบบ้างไม่จบบ้างเล่มแล้วเล่มเล่า
เท่าที่เวลาจะมีและโอกาสจะอำนวย............... มาหลายปี
หมายเหตุ : (เล้ง แปลว่า มังกร ชาวจีนนิยมตั้งชื่อให้กับบุตรชาย)
เล้งกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก
แม่เขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบ
ทำให้เขาเป็นลูกโทนและอาศัยอยู่กับพ่อคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก
..... หลังจากค่อยๆ รื้อหนังสือ จากชั้นวางในตู้ออกมากองบนโต๊ะและตามพื้น
สักพัก........สาย ตาของเขาก็สะดุดกับกล่องหมากรุกจีนสภาพเก่าเก็บ
ในซอกด้านในของตู้ปะปนกับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของเขา
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 14388.html
หมากรุกบนกระดานชีวิต.....
.................เช้าวันอาทิตย์ที่สบายๆวันหนึ่ง หลังจากอาหารเช้าแล้ว
เล้ง..ตั้งใจจะจัดตู้หนังสือ เพื่อวางแผนในการอ่านอย่างจริงจังเสียที
หลังจากที่เขาได้ซื้อหา สะสม ตลอดจน อ่านทิ้ง อ่านขว้าง จบบ้างไม่จบบ้างเล่มแล้วเล่มเล่า
เท่าที่เวลาจะมีและโอกาสจะอำนวย............... มาหลายปี
หมายเหตุ : (เล้ง แปลว่า มังกร ชาวจีนนิยมตั้งชื่อให้กับบุตรชาย)
เล้งกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก
แม่เขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบ
ทำให้เขาเป็นลูกโทนและอาศัยอยู่กับพ่อคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก
..... หลังจากค่อยๆ รื้อหนังสือ จากชั้นวางในตู้ออกมากองบนโต๊ะและตามพื้น
สักพัก........สาย ตาของเขาก็สะดุดกับกล่องหมากรุกจีนสภาพเก่าเก็บ
ในซอกด้านในของตู้ปะปนกับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของเขา
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5572
เขาเพ่งมองอยู่นานด้วยความผูกพัน.... จากนั้น... ก็ค่อยๆดึงฝากล่องออก
แล้วก็พบกับกระดาษแผ่นพับสีขาวหม่นที่ตามขอบมีรอยวิ่น
พอหยิบกระดาษแผ่นพับนั้นออกมา ก็มองเห็นตัวหมากที่แกะจากไม้สีน้ำตาลอ่อนที่ ถูกคว้านผิวหน้าเป็นร่องลึกลงไป
กลายเป็นตัวอักษรจีน ...... ในรูปลักษณ์ต่างๆ มากมาย
ตัวหมากครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย......................สีแดง
ตัวหมากอีกครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย................สีเขียว
ขณะที่สายตาเขาเพ่งมองตัวหมากที่มีสภาพคล้ำหม่นนั้น................. และแล้ว
เขาก็ตกอยู่ในภวังค์
เหตุการณ์ในอดีตและภาพในปัจจุบันเกิดการทับซ้อนสลับไปสลับมา
ในห้วงความคิดคำนึงของเล้ง
ภาพความทรงจำ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงตรุษจีนเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว
กลับเฉิดฉายอีกครั้งเหมือนหนังกลางแปลง
เขาเห็นภาพเด็กคนหนึ่ง
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็ก.......................แต่ในปัจจุบันนี้กำลังเข้าสู่วัยกลางคน
มองเห็นสายตาคู่หนึ่ง................ ซึ่งขณะนั้นกำลังไตร่ตรองกระดานหมากรุก
แต่ปัจจุบันนี้.................................กำลังตรวจตรากระดานหุ้นอิเลคทรอนิคส์
แล้วก็พบกับกระดาษแผ่นพับสีขาวหม่นที่ตามขอบมีรอยวิ่น
พอหยิบกระดาษแผ่นพับนั้นออกมา ก็มองเห็นตัวหมากที่แกะจากไม้สีน้ำตาลอ่อนที่ ถูกคว้านผิวหน้าเป็นร่องลึกลงไป
กลายเป็นตัวอักษรจีน ...... ในรูปลักษณ์ต่างๆ มากมาย
ตัวหมากครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย......................สีแดง
ตัวหมากอีกครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย................สีเขียว
ขณะที่สายตาเขาเพ่งมองตัวหมากที่มีสภาพคล้ำหม่นนั้น................. และแล้ว
เขาก็ตกอยู่ในภวังค์
เหตุการณ์ในอดีตและภาพในปัจจุบันเกิดการทับซ้อนสลับไปสลับมา
ในห้วงความคิดคำนึงของเล้ง
ภาพความทรงจำ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงตรุษจีนเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว
กลับเฉิดฉายอีกครั้งเหมือนหนังกลางแปลง
เขาเห็นภาพเด็กคนหนึ่ง
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็ก.......................แต่ในปัจจุบันนี้กำลังเข้าสู่วัยกลางคน
มองเห็นสายตาคู่หนึ่ง................ ซึ่งขณะนั้นกำลังไตร่ตรองกระดานหมากรุก
แต่ปัจจุบันนี้.................................กำลังตรวจตรากระดานหุ้นอิเลคทรอนิคส์
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5574
ตรุษจีนปีนั้นเป็นช่วงที่เล้งปิดเทอมแล้ว และพ่อก็หยุดทำงานเนื่องจากเทศกาลดังกล่าว
ตอนนั้นเล้งอายุได้ประมาณ 10 ขวบ
ตอนบ่าย อยู่ๆ พ่อของเล้งก็หยิบเอากล่องหมากรุกจีนมาวางบนโต๊ะ
แล้วเรียกเล้งเข้าไปหา
/ เล้ง........ อยู่ว่างๆ มาเล่นหมากรุกจีนกับป๊าหน่อย
+ เล่นไม่เป็น อั๊วเล่นเป็นแต่หมากฮอส......... ป๊าเล่นหมากฮอสกับอั๊วละกัน
/ หมากฮอสมันไม่สนุก
+ หมากรุกจีนอั๊วไม่เคยเล่นอ่ะ
/ เดี๋ยวป๊าสอนให้ .....แป๊บเดียวก็เล่นเป็น
+ ก็ได้
เล้งตอบไปแบบแกนๆ โดยภายในใจเขารู้ดีว่า เขาไม่ได้อยากเล่น
เพราะ ลำพังหมากรุกไทยก็ยังไม่เคยเล่นและก็ไม่เคยเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันเล่นด้วย
เห็นแต่ผู้ใหญ่เขาเล่นกัน
นี่หมากรุกจีน มีตัวหมากเป็นภาษาจีน ที่เขาเองก็ อ่านไม่ออกสักตัว
คงจะยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ก็ตอบรับพ่อไปด้วยความเกรงใจ
ตอนนั้นเล้งอายุได้ประมาณ 10 ขวบ
ตอนบ่าย อยู่ๆ พ่อของเล้งก็หยิบเอากล่องหมากรุกจีนมาวางบนโต๊ะ
แล้วเรียกเล้งเข้าไปหา
/ เล้ง........ อยู่ว่างๆ มาเล่นหมากรุกจีนกับป๊าหน่อย
+ เล่นไม่เป็น อั๊วเล่นเป็นแต่หมากฮอส......... ป๊าเล่นหมากฮอสกับอั๊วละกัน
/ หมากฮอสมันไม่สนุก
+ หมากรุกจีนอั๊วไม่เคยเล่นอ่ะ
/ เดี๋ยวป๊าสอนให้ .....แป๊บเดียวก็เล่นเป็น
+ ก็ได้
เล้งตอบไปแบบแกนๆ โดยภายในใจเขารู้ดีว่า เขาไม่ได้อยากเล่น
เพราะ ลำพังหมากรุกไทยก็ยังไม่เคยเล่นและก็ไม่เคยเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันเล่นด้วย
เห็นแต่ผู้ใหญ่เขาเล่นกัน
นี่หมากรุกจีน มีตัวหมากเป็นภาษาจีน ที่เขาเองก็ อ่านไม่ออกสักตัว
คงจะยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ก็ตอบรับพ่อไปด้วยความเกรงใจ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5575
/..... ตี่... เหมือนกับฮ่องเต้ ถูกกินเมื่อไหร่ ถือว่า แพ้ทันที
สือ... รูปเหมือน เครื่องบิน เดินทะแยงได้เฉพาะในกรอบนี้
เฉีย... หรือช้าง เดินได้เฉพาะจุดเหล่านี้
กือ... เหมือนเรือ ในหมากรุกไทย เดินตรง กินตรง
เบ้.... หรือ ม้า เหมือนในหมากรุกไทย เดินโขยกรอบตัว
เผ่า... ทำหน้าที่คล้ายปืนใหญ่ เดินตรง แต่ต้อง กินข้าม หมายถึง ต้องมีตัวคั่น 1 ตัว
จุก... เหมือนพลทหาร เดินทีละก้าวห้ามถอยหลัง ข้ามฝั่งแล้วถึงเลี้ยวซ้ายขวาได้
พ่ออธิบายตัวหมากและกติกาคร่าวๆให้เล้งฟัง
+ จำยากอ่ะ....
/ ค่อยๆเล่นเดี๋ยวก็จำได้หมด
พอเริ่มเดินหมากไปไม่กี่ก้าว
/ อ้าว...ทำไมเล้งเดินกือมาตรงนี้ล่ะ.......เผ่าป๊าอยู่ตรงนี้ กือจะโดนกินฟรีนะ
+ ก็อั๊วลืมไปอ่ะ..... ว่าเผ่ามันกินข้ามตัวได้ เห็นว่ามีจุกขวางอยู่แล้ว
/ เล้ง.......เอากลับไปเดินใหม่ ลื้อต้องเรียนรู้กฏ และจดจำให้ขึ้นใจ
อีกสักพัก
/ อ้าว แล้วเดินเบ้มาเฉยๆ ทำไมตรงนี้
+ ก็ไม่รู้จะเดินตัวไหนอ่ะ
/ ลื๊อรู้ไม๊ เซียนหมากรุกที่เค้าเก่งๆน่ะ เขานับก้าวเดินกันเลยนะ
บางทีแพ้หรือชนะ เพราะเดินช้าหรือเร็วกว่ากันในหมากตัวสำคัญแค่ก้าวเดียว
เพราะฉะนั้น ลื้ออย่าเดินหมากอย่างไม่มีจุดหมาย
เล้งต้องคิดให้ดีๆ ในทุกตาที่เล้งเดิน ว่าจะเดินตัวไหน แล้วเดินเพื่ออะไร
+ ก็อั๊วไม่ใช่เซียนอ่ะ ... เล่นไม่เป็น...... ไม่เคยเล่นด้วย
สือ... รูปเหมือน เครื่องบิน เดินทะแยงได้เฉพาะในกรอบนี้
เฉีย... หรือช้าง เดินได้เฉพาะจุดเหล่านี้
กือ... เหมือนเรือ ในหมากรุกไทย เดินตรง กินตรง
เบ้.... หรือ ม้า เหมือนในหมากรุกไทย เดินโขยกรอบตัว
เผ่า... ทำหน้าที่คล้ายปืนใหญ่ เดินตรง แต่ต้อง กินข้าม หมายถึง ต้องมีตัวคั่น 1 ตัว
จุก... เหมือนพลทหาร เดินทีละก้าวห้ามถอยหลัง ข้ามฝั่งแล้วถึงเลี้ยวซ้ายขวาได้
พ่ออธิบายตัวหมากและกติกาคร่าวๆให้เล้งฟัง
+ จำยากอ่ะ....
/ ค่อยๆเล่นเดี๋ยวก็จำได้หมด
พอเริ่มเดินหมากไปไม่กี่ก้าว
/ อ้าว...ทำไมเล้งเดินกือมาตรงนี้ล่ะ.......เผ่าป๊าอยู่ตรงนี้ กือจะโดนกินฟรีนะ
+ ก็อั๊วลืมไปอ่ะ..... ว่าเผ่ามันกินข้ามตัวได้ เห็นว่ามีจุกขวางอยู่แล้ว
/ เล้ง.......เอากลับไปเดินใหม่ ลื้อต้องเรียนรู้กฏ และจดจำให้ขึ้นใจ
อีกสักพัก
/ อ้าว แล้วเดินเบ้มาเฉยๆ ทำไมตรงนี้
+ ก็ไม่รู้จะเดินตัวไหนอ่ะ
/ ลื๊อรู้ไม๊ เซียนหมากรุกที่เค้าเก่งๆน่ะ เขานับก้าวเดินกันเลยนะ
บางทีแพ้หรือชนะ เพราะเดินช้าหรือเร็วกว่ากันในหมากตัวสำคัญแค่ก้าวเดียว
เพราะฉะนั้น ลื้ออย่าเดินหมากอย่างไม่มีจุดหมาย
เล้งต้องคิดให้ดีๆ ในทุกตาที่เล้งเดิน ว่าจะเดินตัวไหน แล้วเดินเพื่ออะไร
+ ก็อั๊วไม่ใช่เซียนอ่ะ ... เล่นไม่เป็น...... ไม่เคยเล่นด้วย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5576
แล้วสักพัก
/ ........กุน......
+ อะไรอ่ะ......ป๊า
/ กุน หมายถึง รุก.......... เล้งแพ้แล้ว.............. เล่นใหม่ ๆ
วันนั้นเล้งเล่นแพ้ติดต่อกันอีกหลายกระดาน
จู่ๆ......... น้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลออกมา
/ เฮ้ย เล้งร้องไห้ทำไม ตรุษจีน เขาไม่ให้โศกเศร้า
+ ไม่เห็นสนุกเลย เล่นยังไงก็แพ้ตลอด...... อั๊วไม่เล่นแล้ว
พ่อของเล้งร้องเสียงหลง กับเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิด
แล้วเล้งก็ลุกหนีไป
ต่อมาอีกหลายสัปดาห์ พ่อก็ชวนเล้งเล่นหมากรุกจีนอีก
/ ป๊าเล่นมายี่สิบปี ก่อนที่จะหยุดเล่นไป ลื๊อเพิ่งเล่นหัดเล่นไม่กี่วัน เล่นไปเรื่อยๆ
อีกหน่อยก็เก่งกว่าป๊า
พ่อพูดให้กำลังใจเล้ง แต่เล้งตอบไปตามประสาเด็กแก่น ที่เรียนเลขเก่ง
+ ป๊าไม่ต้องมาโกหกอั๊วหรอก ต่อให้อั๊วเล่นอีกสิบปี ป๊าก็เล่นไปอีกสิบปีเหมือนกัน
กลายเป็นอั๊วเล่นทั้งหมดสิบปี ป๊าเล่นทั้งหมดสามสิบปี ยังไงป๊าก็ต้องเก่งกว่าอั๊ว
แล้วพ่อก็หัวเราะในลำคอเบาๆ
/.........ลื๊อนี่........เถียงเก่งจริงๆ......
/ ........กุน......
+ อะไรอ่ะ......ป๊า
/ กุน หมายถึง รุก.......... เล้งแพ้แล้ว.............. เล่นใหม่ ๆ
วันนั้นเล้งเล่นแพ้ติดต่อกันอีกหลายกระดาน
จู่ๆ......... น้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลออกมา
/ เฮ้ย เล้งร้องไห้ทำไม ตรุษจีน เขาไม่ให้โศกเศร้า
+ ไม่เห็นสนุกเลย เล่นยังไงก็แพ้ตลอด...... อั๊วไม่เล่นแล้ว
พ่อของเล้งร้องเสียงหลง กับเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิด
แล้วเล้งก็ลุกหนีไป
ต่อมาอีกหลายสัปดาห์ พ่อก็ชวนเล้งเล่นหมากรุกจีนอีก
/ ป๊าเล่นมายี่สิบปี ก่อนที่จะหยุดเล่นไป ลื๊อเพิ่งเล่นหัดเล่นไม่กี่วัน เล่นไปเรื่อยๆ
อีกหน่อยก็เก่งกว่าป๊า
พ่อพูดให้กำลังใจเล้ง แต่เล้งตอบไปตามประสาเด็กแก่น ที่เรียนเลขเก่ง
+ ป๊าไม่ต้องมาโกหกอั๊วหรอก ต่อให้อั๊วเล่นอีกสิบปี ป๊าก็เล่นไปอีกสิบปีเหมือนกัน
กลายเป็นอั๊วเล่นทั้งหมดสิบปี ป๊าเล่นทั้งหมดสามสิบปี ยังไงป๊าก็ต้องเก่งกว่าอั๊ว
แล้วพ่อก็หัวเราะในลำคอเบาๆ
/.........ลื๊อนี่........เถียงเก่งจริงๆ......
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5577
หลังจากวันนั้น พ่อของเล้งก็เอ่ยปากชวนเล้งเล่นหมากรุกจีน ทุกครั้งที่เห็นว่าเล้งอยู่ว่างๆ
เขาเริ่มรู้สึกสนุกเพิ่มขึ้นบ้าง เดินหมากได้คล่องขึ้น และแพ้ช้าลง
แต่ด้วยความเป็นเด็ก เล้งจะจดจำหมากที่เดินแพ้ได้อย่างฝังใจ
แล้วเขาจะไม่เดินหมากรูปแบบเดิม.........ในสถานการณ์เดิมๆอีก
ซึ่งก็ได้ผล เพราะเขาไม่แพ้พ่อในรูปหมากแบบเดิม
แต่เขาก็ยังแพ้พ่อในรูปแบบอื่นๆ อีก................. ไม่รู้จักจบจักสิ้น
แล้วเขาก็เริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
+ อั๊วเดินไม่ชนะป๊าซักที
/ เล้งต้องใจเย็นๆ ค่อยๆเรียนรู้ ทำอะไรก็ตาม เล้งต้องมองคนที่ทำมาก่อน แล้วให้นึกถึงคนที่จะมาทีหลังเล้งด้วย
เล้งเพิ่งหัดเล่น แล้วถ้าวันนี้เล้งเก่งเหมือนเซียนหมากรุกที่เขาเล่นมา 20-30 ปี มันจะเป็นไปได้เหรอ แล้วเล้งคิดดู
ถ้าวันหน้าเล้งเล่นไป20 ปี แล้วมีเด็ก 10 ขวบเพิ่งหัดเล่น มาเล่นชนะเล้งในตอนนั้น เล้งจะรู้สึกยังไง
/ จำเอาไว้ คนที่เรียนรู้มาก่อนย่อมต้องมีอะไรที่เหนือกว่า และคนที่ตามมาทีหลังก็ต้องบางอย่างที่ด้อยกว่า
อย่างน้อยก็คือ........................ประสบการณ์
คืนนั้นเขานอนหลับไม่สนิท ด้วยความขุ่นมัวและกระวนกระวายในจิตใจ
จากกระดานหมากรุก
เขาเริ่มรู้สึกสนุกเพิ่มขึ้นบ้าง เดินหมากได้คล่องขึ้น และแพ้ช้าลง
แต่ด้วยความเป็นเด็ก เล้งจะจดจำหมากที่เดินแพ้ได้อย่างฝังใจ
แล้วเขาจะไม่เดินหมากรูปแบบเดิม.........ในสถานการณ์เดิมๆอีก
ซึ่งก็ได้ผล เพราะเขาไม่แพ้พ่อในรูปหมากแบบเดิม
แต่เขาก็ยังแพ้พ่อในรูปแบบอื่นๆ อีก................. ไม่รู้จักจบจักสิ้น
แล้วเขาก็เริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
+ อั๊วเดินไม่ชนะป๊าซักที
/ เล้งต้องใจเย็นๆ ค่อยๆเรียนรู้ ทำอะไรก็ตาม เล้งต้องมองคนที่ทำมาก่อน แล้วให้นึกถึงคนที่จะมาทีหลังเล้งด้วย
เล้งเพิ่งหัดเล่น แล้วถ้าวันนี้เล้งเก่งเหมือนเซียนหมากรุกที่เขาเล่นมา 20-30 ปี มันจะเป็นไปได้เหรอ แล้วเล้งคิดดู
ถ้าวันหน้าเล้งเล่นไป20 ปี แล้วมีเด็ก 10 ขวบเพิ่งหัดเล่น มาเล่นชนะเล้งในตอนนั้น เล้งจะรู้สึกยังไง
/ จำเอาไว้ คนที่เรียนรู้มาก่อนย่อมต้องมีอะไรที่เหนือกว่า และคนที่ตามมาทีหลังก็ต้องบางอย่างที่ด้อยกว่า
อย่างน้อยก็คือ........................ประสบการณ์
คืนนั้นเขานอนหลับไม่สนิท ด้วยความขุ่นมัวและกระวนกระวายในจิตใจ
จากกระดานหมากรุก
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5578
เช้าวันต่อมาที่โต๊ะอาหาร
+ อั๊วว่า ที่ป๊าไม่ไปเล่นกับคนอื่น เพราะป๊ากลัวแพ้
ชอบมาเล่นกับอั๊วเพราะเห็นอั๊วเล่นไม่ค่อยเป็น ป๊าจะได้ชนะทุกกระดาน
/ ชนะเล้ง แล้วป๊าได้อะไร
+ ได้แกล้งอั๊ว ไม่งั้นทำไมไม่เห็นป๊าไปเล่นกับคนอื่นเลย
/ ........กินข้าวเถอะ......... เดี๋ยวกับข้าวเย็นแล้วจะไม่อร่อย
อีกสักพักหนึ่ง ซึ่งจวนจะจบมื้อเช้านี้แล้ว
+ ป๊า......อั๊วเคยอ่านหนังสือมา เขาบอกว่าคนจีนงกวิชา
ชอบเก็บความรู้ไว้คนเดียวจนบางทีตายไปกับตัว
/ ......ยังไงอีก......
+ ลูกตัวเองบางทียังไม่สอนเลย บางคนก็สอนลูกรักแค่คนเดียว ลูกที่เหลือไม่สนใจ
เลือกที่รักมักที่ชัง วิชาหลายๆอย่างก็เลยตายไปพร้อมกับคนที่รู้....
ทั้งเรื่องอาหาร....เรื่องยา..... แล้วก็อีกเยอะแยะ จริงหรือเปล่าป๊า
/ เล้ง.......สิ่งที่เล้งรับรู้มาน่ะไม่ผิด...... แต่มันไม่ถูกทั้งหมดหรอก....
บางที.......มันก็มีเหตุผลเหมือนกัน
/ คนจีนน่ะ เขาจะไม่ถ่ายทอดวิชากันง่ายๆ
เพราะถ้ามันถ่ายทอดกันได้ง่ายๆ คนที่ได้รับก็อาจไม่รู้คุณค่า
/ อีกอย่าง สมัยก่อนเมืองจีน บ้านเมืองยังไม่เป็นปึกแผ่น
ผู้คนแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่ละชนเผ่าก็มีความรู้หรือวิชาในกลุ่มของตัวเอง
เขาจะไม่ให้วิชาความรู้ของชนเผ่าตัวเองรั่วไหลไปให้คนอื่นหรอก....
เพราะบางทีมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้
+ อั๊วว่า ที่ป๊าไม่ไปเล่นกับคนอื่น เพราะป๊ากลัวแพ้
ชอบมาเล่นกับอั๊วเพราะเห็นอั๊วเล่นไม่ค่อยเป็น ป๊าจะได้ชนะทุกกระดาน
/ ชนะเล้ง แล้วป๊าได้อะไร
+ ได้แกล้งอั๊ว ไม่งั้นทำไมไม่เห็นป๊าไปเล่นกับคนอื่นเลย
/ ........กินข้าวเถอะ......... เดี๋ยวกับข้าวเย็นแล้วจะไม่อร่อย
อีกสักพักหนึ่ง ซึ่งจวนจะจบมื้อเช้านี้แล้ว
+ ป๊า......อั๊วเคยอ่านหนังสือมา เขาบอกว่าคนจีนงกวิชา
ชอบเก็บความรู้ไว้คนเดียวจนบางทีตายไปกับตัว
/ ......ยังไงอีก......
+ ลูกตัวเองบางทียังไม่สอนเลย บางคนก็สอนลูกรักแค่คนเดียว ลูกที่เหลือไม่สนใจ
เลือกที่รักมักที่ชัง วิชาหลายๆอย่างก็เลยตายไปพร้อมกับคนที่รู้....
ทั้งเรื่องอาหาร....เรื่องยา..... แล้วก็อีกเยอะแยะ จริงหรือเปล่าป๊า
/ เล้ง.......สิ่งที่เล้งรับรู้มาน่ะไม่ผิด...... แต่มันไม่ถูกทั้งหมดหรอก....
บางที.......มันก็มีเหตุผลเหมือนกัน
/ คนจีนน่ะ เขาจะไม่ถ่ายทอดวิชากันง่ายๆ
เพราะถ้ามันถ่ายทอดกันได้ง่ายๆ คนที่ได้รับก็อาจไม่รู้คุณค่า
/ อีกอย่าง สมัยก่อนเมืองจีน บ้านเมืองยังไม่เป็นปึกแผ่น
ผู้คนแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่ละชนเผ่าก็มีความรู้หรือวิชาในกลุ่มของตัวเอง
เขาจะไม่ให้วิชาความรู้ของชนเผ่าตัวเองรั่วไหลไปให้คนอื่นหรอก....
เพราะบางทีมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5579
/ และเขาถือว่า......วิชาอะไรก็ตามที่มีคุณอนันต์ ในทางกลับกัน มันจะมีโทษมหันต์
เพราะประโยชน์หรือโทษมันไม่ได้อยู่ที่ตัววิชา.......... มันอยู่ที่ตัวคน
/ พูดง่ายๆว่า วิชาความรู้น่ะมีค่า แต่คนที่จะได้รับถ่ายทอดนั้น มีคุณค่าเพียงพอต่อความรู้นั้นหรือเปล่า
แล้วถ้าคนได้รับการถ่ายทอดเอาไปใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือไม่รู้คุณค่า
เจ้าของวิชานั่นแหละ...............จะมัวหมองและมีมลทิน
เล้งได้รับคำตอบ........แต่ยังไม่สบอารมณ์
+ป๊าก็เหมือนกันแหละ
/ เหมือนยังไง
+...........งกวิชา......... อั๊วเป็นลูกป๊ายังไม่ยอมสอนเลย
/ สอนอะไร
+ สอนเดินหมากรุก....... ให้อั๊วเก่งเหมือนป๊า......เป็นเซียนหมากรุก
/ ใครบอกเล้ง........ว่าป๊าเป็นเซียนหมากรุก
+ อาเจ็ก...........แต่บอกว่าป๊าเลิกเล่นมาเกือบสิบปีแล้ว........
/ ........แล้วบอกอะไรอีก
+ บอกแค่นี้แหละ.......แล้วทำไมป๊าเลิกเล่นอ่ะ
/ ......รีบกินเถอะ....... เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย
พ่อของเล้งเลี่ยงการตอบคำถามของเขา
หลังจากที่เล้งเคยเลียบๆเคียงๆถามอยู่ 2-3 หน
จากนั้น เล้งก็ไม่ได้สนใจจะถามอีก
เขาคิดแค่ว่า........มันคงไม่มีอะไรมาก......แต่คงไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย
เพราะประโยชน์หรือโทษมันไม่ได้อยู่ที่ตัววิชา.......... มันอยู่ที่ตัวคน
/ พูดง่ายๆว่า วิชาความรู้น่ะมีค่า แต่คนที่จะได้รับถ่ายทอดนั้น มีคุณค่าเพียงพอต่อความรู้นั้นหรือเปล่า
แล้วถ้าคนได้รับการถ่ายทอดเอาไปใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือไม่รู้คุณค่า
เจ้าของวิชานั่นแหละ...............จะมัวหมองและมีมลทิน
เล้งได้รับคำตอบ........แต่ยังไม่สบอารมณ์
+ป๊าก็เหมือนกันแหละ
/ เหมือนยังไง
+...........งกวิชา......... อั๊วเป็นลูกป๊ายังไม่ยอมสอนเลย
/ สอนอะไร
+ สอนเดินหมากรุก....... ให้อั๊วเก่งเหมือนป๊า......เป็นเซียนหมากรุก
/ ใครบอกเล้ง........ว่าป๊าเป็นเซียนหมากรุก
+ อาเจ็ก...........แต่บอกว่าป๊าเลิกเล่นมาเกือบสิบปีแล้ว........
/ ........แล้วบอกอะไรอีก
+ บอกแค่นี้แหละ.......แล้วทำไมป๊าเลิกเล่นอ่ะ
/ ......รีบกินเถอะ....... เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย
พ่อของเล้งเลี่ยงการตอบคำถามของเขา
หลังจากที่เล้งเคยเลียบๆเคียงๆถามอยู่ 2-3 หน
จากนั้น เล้งก็ไม่ได้สนใจจะถามอีก
เขาคิดแค่ว่า........มันคงไม่มีอะไรมาก......แต่คงไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5580
แล้ว.........คืนวันก็ผันผ่าน วันแล้ว วันเล่า กระดานแล้ว กระดานเล่า
+ ทำไมอั๊วไม่เคยเดินชนะป๊าสักทีอ่ะ
/ ก็ป๊ารู้ว่าลื๊อคิดยังไง แต่เล้งรู้หรือเปล่า ว่าป๊าเดินแต่ละหมากป๊าคิดยังไง
ลื๊อจะชนะป๊าได้ จะไม่ใช่เพราะเดินหมากเก่งกว่า
แต่นั่นหมายถึงเล้งต้องอ่านเกมป๊าออก แล้วเดินในหมากที่ป๊าอ่านลื๊อไม่ออก
และอย่าลืม......ในการแข่งขัน...........ต่างคนต่างอ่านใจและหมากซึ่งกันและกัน
+ แต่ อั๊วคิดง่ายๆว่า ถ้าหมากอั๊วกินหมากป๊าได้เยอะๆ อั๊วก็น่าจะชนะได้เหมือนกัน
/ เล้งมองตื้นๆ ป๊าเดินให้เล้งกินตั้งหลายตัว เล้งก็เห็น สุดท้ายเล้งก็แพ้อยู่ดี
+ อั๊วคิดว่าป๊าสอนอั๊วไม่หมด....... ป๊ากลัวอั๊วเก่งกว่าป๊า
แล้วชอบเดินหมากมาหลอกให้อั๊วกิน
/ ป๊าไม่ได้หลอก เล้งเดินมากินเอง เพราะเล้งคิดอย่างที่เล้งเข้าใจ..... ไม่กินก็ไม่ชนะ
/ เล้งค่อยๆคิดดู.......จะกินหมากคู่ต่อสู้ เล้งวางแผนไว้ก่อนหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้วางแผนไว้แล้วเล้งไปกิน มันก็มีแค่ 2 อย่าง
เล่นกับหมู ก็คือ เค้าเผลอ เล่นกับเซียน ก็คือ เค้าหลอกให้กิน มีแค่นี้แหละ
/ อั๊วสอนเล้งให้เล่นหมากรุกเป็นได้ แต่สอนให้เป็นเซียนไม่ได้ อันนั้น เล้งต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
/ แล้วเล้งจำไว้อย่าง. ....
คำว่า.... เซียน... ไม่ใช่ให้ใครเอามาใช้เรียกตัวเอง
แล้วไม่ใช่ให้คนทั่วๆไปมายกย่องแล้วก็เป็นได้
จะได้เป็นเซียนในด้านไหน.......ต้องได้รับการยอมรับจากเซียนในวงการนั้นเท่านั้น.........
+ ทำไมอั๊วไม่เคยเดินชนะป๊าสักทีอ่ะ
/ ก็ป๊ารู้ว่าลื๊อคิดยังไง แต่เล้งรู้หรือเปล่า ว่าป๊าเดินแต่ละหมากป๊าคิดยังไง
ลื๊อจะชนะป๊าได้ จะไม่ใช่เพราะเดินหมากเก่งกว่า
แต่นั่นหมายถึงเล้งต้องอ่านเกมป๊าออก แล้วเดินในหมากที่ป๊าอ่านลื๊อไม่ออก
และอย่าลืม......ในการแข่งขัน...........ต่างคนต่างอ่านใจและหมากซึ่งกันและกัน
+ แต่ อั๊วคิดง่ายๆว่า ถ้าหมากอั๊วกินหมากป๊าได้เยอะๆ อั๊วก็น่าจะชนะได้เหมือนกัน
/ เล้งมองตื้นๆ ป๊าเดินให้เล้งกินตั้งหลายตัว เล้งก็เห็น สุดท้ายเล้งก็แพ้อยู่ดี
+ อั๊วคิดว่าป๊าสอนอั๊วไม่หมด....... ป๊ากลัวอั๊วเก่งกว่าป๊า
แล้วชอบเดินหมากมาหลอกให้อั๊วกิน
/ ป๊าไม่ได้หลอก เล้งเดินมากินเอง เพราะเล้งคิดอย่างที่เล้งเข้าใจ..... ไม่กินก็ไม่ชนะ
/ เล้งค่อยๆคิดดู.......จะกินหมากคู่ต่อสู้ เล้งวางแผนไว้ก่อนหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้วางแผนไว้แล้วเล้งไปกิน มันก็มีแค่ 2 อย่าง
เล่นกับหมู ก็คือ เค้าเผลอ เล่นกับเซียน ก็คือ เค้าหลอกให้กิน มีแค่นี้แหละ
/ อั๊วสอนเล้งให้เล่นหมากรุกเป็นได้ แต่สอนให้เป็นเซียนไม่ได้ อันนั้น เล้งต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
/ แล้วเล้งจำไว้อย่าง. ....
คำว่า.... เซียน... ไม่ใช่ให้ใครเอามาใช้เรียกตัวเอง
แล้วไม่ใช่ให้คนทั่วๆไปมายกย่องแล้วก็เป็นได้
จะได้เป็นเซียนในด้านไหน.......ต้องได้รับการยอมรับจากเซียนในวงการนั้นเท่านั้น.........
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า