รุ้งกินน้ำ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5491
ธรรมทางโลกุตตระนี่อ่านแล้ว...อือม...
ยอดสุดของการรู้จักตัวเอง คือการค้นพบว่าไม่มีตัวฉัน
จากที่ผ่านมาทั้งชีิวิต
เห็นว่าโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้นจริงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
แต่จะเข้าไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรนี่สิ...
ว่าแต่เราอยากเข้าไปหรือเปล่าหว่า
สุขๆทุกข์ๆอย่างทุกวันนี้ก็รับได้อยู่นี่นา
อีกหน่อยคงตกอบาย
ได้ฉายา "มิจฉาทิฐิแมน"เป็นรางวัล...ฮ่า...
กราบพี่ดังตฤณด้วยครับ
เพราะถ้าพี่ไม่เอาคำสอนของท่านมาcompileให้ง่ายเข้า
คงยิ่งยากสำหรับพวกกะโหลกหนาอย่างผมจะได้อ่านได้พอเข้าใจ
เครดิตคนโพสอยู่ใต้รูปครับ
ยอดสุดของการรู้จักตัวเอง คือการค้นพบว่าไม่มีตัวฉัน
จากที่ผ่านมาทั้งชีิวิต
เห็นว่าโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้นจริงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
แต่จะเข้าไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรนี่สิ...
ว่าแต่เราอยากเข้าไปหรือเปล่าหว่า
สุขๆทุกข์ๆอย่างทุกวันนี้ก็รับได้อยู่นี่นา
อีกหน่อยคงตกอบาย
ได้ฉายา "มิจฉาทิฐิแมน"เป็นรางวัล...ฮ่า...
กราบพี่ดังตฤณด้วยครับ
เพราะถ้าพี่ไม่เอาคำสอนของท่านมาcompileให้ง่ายเข้า
คงยิ่งยากสำหรับพวกกะโหลกหนาอย่างผมจะได้อ่านได้พอเข้าใจ
เครดิตคนโพสอยู่ใต้รูปครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5493
เสาร์สวัสดีครับพี่ป้อม .. นาน ๆ เข้ามาที่เวบที ต้องรีบเข้ามาอ่านกระทู้นี้ก่อนทุกครั้ง
ยังจำคำที่พี่ป้อมพูดไว้ที่ภัตตาคารจันทร์เพ็ญตั้งกะปีโน้นได้ดี
"พวกเรานี่โชคดีนะ ที่ผ่านวิกฤติมาแล้วรอดได้ คิดว่าโอกาสจะล้มหายตายจากไปคงจะยากขึ้น อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า วิกฤติมันเลวร้ายแค่ไหน จะทำอย่างไรให้ตัวเองรอดเมื่อวิกฤติมันมาถึงอีกหน"
ขอบคุณพี่ป้อมเด้อครับ
ยังจำคำที่พี่ป้อมพูดไว้ที่ภัตตาคารจันทร์เพ็ญตั้งกะปีโน้นได้ดี
"พวกเรานี่โชคดีนะ ที่ผ่านวิกฤติมาแล้วรอดได้ คิดว่าโอกาสจะล้มหายตายจากไปคงจะยากขึ้น อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า วิกฤติมันเลวร้ายแค่ไหน จะทำอย่างไรให้ตัวเองรอดเมื่อวิกฤติมันมาถึงอีกหน"
ขอบคุณพี่ป้อมเด้อครับ
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
------------------------
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5496
สำหรับคนที่ขายไปตั้งแต่เห็นฟ้าดำๆคล้ำๆ
พวกนี้รู้แล้วละครับว่าฝนกะลังจะตก
ไม่ต้องรอจนมันตกมาค่อยแน่ใจ....ฮ่า...
พวกนี้ก็อนุญาติให้ไปเที่ยวไปช๊อปปิ้ง
เอาเิงินที่ได้มาตลอดสองปีก่าๆไปใช้มั่งได้...
พวกนี้รู้แล้วละครับว่าฝนกะลังจะตก
ไม่ต้องรอจนมันตกมาค่อยแน่ใจ....ฮ่า...
พวกนี้ก็อนุญาติให้ไปเที่ยวไปช๊อปปิ้ง
เอาเิงินที่ได้มาตลอดสองปีก่าๆไปใช้มั่งได้...
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5498
555+por_jai เขียน: ตลาดช่วงนี้
ทำได้หลายวิธีครับอาจารย์
แบบแรก สำหรับคนที่ยังมีหุ้นอยู่
พี่ป้อมนี่ไอเดียและอารมณ์ขันไม่มีวันหมดจริงๆเลยครับ
(แฮ่...ว่าแต่ผมขอพกยาดมไปเที่ยวทะเลกับพวกพี่ๆด้วยได้ไม๊ครับ )
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5500
เมื่อเช้าผมดูทีวี เค้าพาเที่ยวภูฏานกันmprandy เขียน:ขอบคุณครับ .. ช่วงนี้หาที่เที่ยวอยู่เหมือนกัน ไปไหนดีหว่า
บรรยากาศไม่เลวเชียวครับ
(แฮ่...แต่คงสู้บรรยากาศริมทะเลของพี่เจ้าของกระทู้ไม่ได้ครับ ฮ่า...)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5501
เร้าใจ...อยากได้ภาพการซื้อ-ขาย หุ้นวัน อุ๋ย 108 จุด ใครมีบ้าง ขอหน่อยครับ...
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 77253.html
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 77253.html
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5502
ขอบคุณค่ะพี่ป้อม
ของฝนเผ่นป่าราบ
ใช้วิทยายุทธ "วิชาเผ่นหลบกระสุน"จาก 3 จังหวัดได้เป็นประโยชน์งานนี้เลยค่ะ
แต่คงไม่หนีไปเที่ยว
ขอเป็นทางเลือกที่ 4.1 อายุยังน้อย ทำงานสะสมประสบการณ์และ Cash สำหรับโอกาสรอบต่อไปค่ะ เย่ๆ ^^
ของฝนเผ่นป่าราบ
ใช้วิทยายุทธ "วิชาเผ่นหลบกระสุน"จาก 3 จังหวัดได้เป็นประโยชน์งานนี้เลยค่ะ
แต่คงไม่หนีไปเที่ยว
ขอเป็นทางเลือกที่ 4.1 อายุยังน้อย ทำงานสะสมประสบการณ์และ Cash สำหรับโอกาสรอบต่อไปค่ะ เย่ๆ ^^
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5503
ปกติหุ้นที่ชาวไทยวิถือนั้นมักไม่ขาย
คือถ้าพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนก็ถือไปได้เรื่อยๆ
หุ้นตัวนี้เป็นตัวนึงที่ใครถือมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
มาจนปัจจุบันนอกจากยังไม่ได้กำไรเหมือนเพื่อนฝูงเขาเลย
จะมีขาดทุนเข้าให้ด้วยซ้ำ
หันไปดูพื้นฐานดูเหมือนจะดีขึ้นด้วยซ้ำไป
แต่ราคาไม่บอกอย่างนั้นเลย....ฮ่า....
คือถ้าพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนก็ถือไปได้เรื่อยๆ
หุ้นตัวนี้เป็นตัวนึงที่ใครถือมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
มาจนปัจจุบันนอกจากยังไม่ได้กำไรเหมือนเพื่อนฝูงเขาเลย
จะมีขาดทุนเข้าให้ด้วยซ้ำ
หันไปดูพื้นฐานดูเหมือนจะดีขึ้นด้วยซ้ำไป
แต่ราคาไม่บอกอย่างนั้นเลย....ฮ่า....
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5504
มีบทความเรื่องหุ้นวัฏจักรของอ.นิเวศน์
นานแล้วตั้งแต่ตค.48โน่น
พอดีกราฟหุ้นตัวนี้หาดูยาก
เวบทั่วไปที่ไม่เสียตัง หาดูไม่ได้แล้ว
แต่ผมเคยเซฟจากห้องสินธรมาไว้รูปนึง
ฝีมือจารย์ปลาไม่ก็พี่พินอบนี่แหละครับ ขอบคุณไว้ณ.ที่นี้ด้วย
ก็เลยทำรูปมาประกอบเ็ก็บไว้ดูเป็นcase study
ฮ่า...หุ้นวัฎจักรนี่มันยอดจริงๆนะ
2บาทกว่าไปเกือบ80...หุ้น40เด้ง
40เด้งครับ ไม่ได้ฟังผิด...ไม่ได้อ่านผิด
ผมมีเกร็ด...เกร็ดนะครับเกร็ด
เพิ่มเติมให้หนุกหนานหน่อย ไม่ยืนยันนะครับ ฟังเขามาอีกต่อนึง
เขาว่า...ตอนที่มัน3บาทเจ้าของเขาตังหมดต้องเพิ่มทุน
เอาหุ้นจำนวนมากเกือบๆสองร้อยล้านหุ้น
ไปขายเพิ่มทุนแบบเจาะจงให้ปูนใหญ่กับบ้านปู
ปูนใหญ่ปฏิเสธ
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าครับ
บ้านปูรับส่วนของปูนใหญ่ไว้ทั้งหมด
รวมทั้งสิทธิของตัวเองที่ATCมาเสนอด้วย
เกือบๆสองร้อยล้านหุ้น
ขายไปตอนปลายปี47 ที่75บาทหรือไงเนี่ยครับ...โฮะ...
อ่านบทความแล้วดูรูปไปนะครับ จินตนาการจะับังเิกิด
เพราะตอนนี้รูปนี้จะมีประโยชน์ในรอบหน้า
ตอนATCเดี่ยว เขาก็จับไปรวมกับ RRCที่ปตท.ได้มาจากเชลล์
เป็น PTTAR
ตอนนี้สตอรี่เดิมจะกลับมาอีกแล้ว
จะจับPTTARมารวมกับPTTCHอีกแหล่ว
ซินเน่อร์ยี่ ครับเขาว่างั้น
อะไรจะเิกิดขึ้นตามต่อมา ดูกราฟราคาแล้วค่อยๆจินตนาการตามไปได้...เตร่งเต่งตุ้ม..
นานแล้วตั้งแต่ตค.48โน่น
พอดีกราฟหุ้นตัวนี้หาดูยาก
เวบทั่วไปที่ไม่เสียตัง หาดูไม่ได้แล้ว
แต่ผมเคยเซฟจากห้องสินธรมาไว้รูปนึง
ฝีมือจารย์ปลาไม่ก็พี่พินอบนี่แหละครับ ขอบคุณไว้ณ.ที่นี้ด้วย
ก็เลยทำรูปมาประกอบเ็ก็บไว้ดูเป็นcase study
ฮ่า...หุ้นวัฎจักรนี่มันยอดจริงๆนะ
2บาทกว่าไปเกือบ80...หุ้น40เด้ง
40เด้งครับ ไม่ได้ฟังผิด...ไม่ได้อ่านผิด
ผมมีเกร็ด...เกร็ดนะครับเกร็ด
เพิ่มเติมให้หนุกหนานหน่อย ไม่ยืนยันนะครับ ฟังเขามาอีกต่อนึง
เขาว่า...ตอนที่มัน3บาทเจ้าของเขาตังหมดต้องเพิ่มทุน
เอาหุ้นจำนวนมากเกือบๆสองร้อยล้านหุ้น
ไปขายเพิ่มทุนแบบเจาะจงให้ปูนใหญ่กับบ้านปู
ปูนใหญ่ปฏิเสธ
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าครับ
บ้านปูรับส่วนของปูนใหญ่ไว้ทั้งหมด
รวมทั้งสิทธิของตัวเองที่ATCมาเสนอด้วย
เกือบๆสองร้อยล้านหุ้น
ขายไปตอนปลายปี47 ที่75บาทหรือไงเนี่ยครับ...โฮะ...
อ่านบทความแล้วดูรูปไปนะครับ จินตนาการจะับังเิกิด
เพราะตอนนี้รูปนี้จะมีประโยชน์ในรอบหน้า
ตอนATCเดี่ยว เขาก็จับไปรวมกับ RRCที่ปตท.ได้มาจากเชลล์
เป็น PTTAR
ตอนนี้สตอรี่เดิมจะกลับมาอีกแล้ว
จะจับPTTARมารวมกับPTTCHอีกแหล่ว
ซินเน่อร์ยี่ ครับเขาว่างั้น
อะไรจะเิกิดขึ้นตามต่อมา ดูกราฟราคาแล้วค่อยๆจินตนาการตามไปได้...เตร่งเต่งตุ้ม..
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5505
หมดยุคหุ้นวัฎจักร by ดร.นิเวศน์
การลงทุนในหุ้นวัฎจักร นั่นคือหุ้นของกิจการที่มีผลการดำเนินงานที่ขึ้นลงเป็นรอบ ๆ รอบละหลายปีนั้นเป็นศิลปะที่ผมคิดว่าต้องอาศัยความสามารถและพลังของจิตใจแบบ สุดยอด คนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะประสบความสำเร็จสุดยอด ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลวก็จะเสียหายหนักไม่แพ้กัน ผมคิดว่าคนที่สำเร็จน่าจะต้องเป็นคนที่รู้จักธุรกิจเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับ การที่ต้องรู้จักเรื่องพฤติกรรมของหุ้นในกลุ่มนี้ ส่วนคนที่ล้มเหลวก็น่าจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยหรือรู้ไม่ครบทั้งเรื่องของ กิจการและพฤติกรรมของหุ้น
ลองมาดูกรณีของหุ้นอะโรเมติกส์หรือ ATC ซึ่งผมคิดว่าเป็นหุ้นวัฎจักรตัวหนึ่งที่สามารถที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นวัฎ จักรได้ค่อนข้างดี โดยบริษัทนี้ผลิตสินค้าปิโตรเคมีหลายชนิดที่มักมีราคาขึ้นลงเป็นวัฎจักร
ถ้า คุณติดตามบริษัทมานานพอคุณจะรู้ว่าบริษัทประสบกับความยากลำบากมานานหลายปี นับจากปีที่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจคือปี 2540 ซึ่งบริษัทขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาทซึ่งน่าจะเป็นผลจากการลดค่าเงินบาทที่ทำ ให้บริษัทขาดทุนมหาศาล หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะขาดทุนมาเกือบทุกปี ปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากลงทุนในหุ้นที่ประสบปัญหาผลการดำเนินงานอย่างนั้น แต่ถ้าพอถึงสิ้นปี 2544 คุณรู้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มปรับตัวดีขึ้นและผลการดำเนินงานของ บริษัทน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2545 คุณตัดสินใจซื้อหุ้น ATC ที่ราคาประมาณ 2.3 บาท
ปี 2545 ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นตามคาด ถึงสิ้นปีการขาดทุนของบริษัทลดลงเหลือเพียงประมาณ 200 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 5.2 บาท คุณสามารถทำกำไรได้ 126% ในเวลาเพียง 1 ปี นี่เป็นการใช้ความรู้ในเรื่องของธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่ขายหรือซื้อสินค้าของบริษัท หรือจะเป็นฝ่ายบัญชี หรืออาจจะเป็นเพราะคุณทราบมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของการวิเคราะห์เรื่องความถูกหรือแพงของหุ้นเลย ว่าที่จริงถ้าคุณใช้สูตรในการคิดคำนวณราคาหุ้นต่าง ๆ ผลก็จะออกมาว่าราคาหุ้นที่ 2.3 บาทนั้นเป็นราคาที่แพงเกินไป ค่า PE ยังติดลบ ปันผลก็ยังไม่จ่าย และอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้คุณสรุปว่าหุ้นยังไม่น่าซื้อ
ถ้าคุณไม่ได้เข้ามาซื้อหุ้น ในตอนสิ้นปี 2544 เพราะคุณดูงบกำไรขาดทุนของบริษัทและพบว่าบริษัทยังขาดทุนถึงกว่า 3,500 ล้านบาท และคุณก็ไม่รู้ว่าราคาปิโตรเคมีกำลังเพิ่มขึ้น แต่คุณมาเห็นว่าเมื่อสิ้นปี 2545 บริษัทมีขาดทุนเพียงประมาณ 200 ล้านบาทและคุณเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีน่าจะเป็น “ขาขึ้น” แล้ว คุณจึงตัดสินใจซื้อหุ้น ATC ที่ราคาหุ้นละ 5.2 และถือไว้จนถึงสิ้นปี 2546 คุณก็จะได้กำไรถึง 1,121 % หรือ 11.21 เท่าในเวลาเพียงปีเดียวเพราะราคาหุ้น ATC เพิ่มขึ้นเป็น 63.5 บาทต่อหุ้น และถ้าคุณเป็นคนเดียวกับคนที่รู้เรื่องปิโตรเคมีดีที่ซื้อหุ้นตั้งแต่สิ้นปี 2544 คุณก็ได้กำไรถึง 26.6 เท่าในเวลาเพียง 2 ปี
ผลการดำเนินงานของ ปี 2546 ของบริษัทดีกว่าที่ทุกคนคาด บริษัทมีกำไรถึงประมาณ 4,000 ล้านบาท และแนวโน้มของราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นทุกคนคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง นักวิเคราะห์เกือบทุกคนแนะนำให้ซื้อ สถาบันลงทุนต่างก็ต้องมีหุ้นตัวนี้เก็บเข้าพอร์ต หุ้นตัวนี้เป็น “ดาว” อย่างแท้จริง นักลงทุนทั่วไปต่างก็เข้ามาซื้อที่ราคา 63.5 บาทโดยหวังว่าจะได้กำไรอย่างรวดเร็ว เป้าหมายราคานั้น “100 บาทก็อาจจะไม่แพง” เมื่อคำนึงถึง “การเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดและอนาคตที่สดใส”
ผลการดำเนินงานใน ปี 2547 ของบริษัทเป็นไปตามคาดหรือน่าจะพูดว่าดีกว่าที่คาดไว้มาก เพราะบริษัททำกำไรถึงกว่า 10,000 ล้านบาท จากยอดขายกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหน สิ้นปี 2547 ราคาหุ้นอยู่ที่ 62.5 บาท ขาดทุนอยู่ 1-2% แต่หลาย ๆ แห่งก็ยังแนะนำให้ซื้อเพราะเมื่อดูตาม “พื้นฐาน” แล้ว หุ้นมีราคาถูกมาก ค่า PE เหลือเพียง 5.8 เท่า แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์จะอ่อนตัวลงบ้าง แต่กำไรก็ยังน่าจะสูงมากอยู่ดี คนที่ซื้อไว้ก็ยังไม่ถอย Value Investor หลายคนเข้ามาซื้อเพราะหุ้นทั้ง “ถูกสุดยอดและดี กำไรลดยังไงก็คุ้ม”
กำไรในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของบริษัทยังดีตามคาด และแม้ว่าจะลดลงจากปี 2547 แต่ก็ยังสูงถึง 4,544 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นถึง 4.71 บาท แต่ราคาหุ้นของบริษัทกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 33.5 บาท เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548 หรือลดลงไปจากสิ้นปีที่แล้วถึง 46.4% และนี่คือผลของการวิเคราะห์หุ้นวัฎจักรโดยใช้วิธีการวิเคราะห์หุ้นแบบปกติ และทำโดยคนที่ไม่รู้จักธุรกิจและพฤติกรรมของหุ้นกลุ่มนี้
ที่พูดมา ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าหุ้น ATC ในขณะนี้ถูก หรือแพง หรือแนะนำให้ซื้อหรือขาย แต่ประการใดทั้งสิ้น เพราะผมเองไม่มีความสามารถจะบอกได้เนื่องจากไม่รู้จักธุรกิจนี้ดีพอ แต่ในแง่ของพฤติกรรมหุ้นนั้น ผมคิดว่า เราไม่สามารถหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปรุนแรงอย่างที่มันเคยเป็นในช่วงดีดตัวขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนวัฎจักร แต่ถ้าถามว่า “ขาลง” ของหุ้นสิ้นสุดหรือยัง คำตอบก็แบบเดิมนั่นคือ บอกไม่ได้ เพราะราคาของหุ้นวัฎจักรนั้น มันไม่ได้ตามวัฎจักรของราคาผลิตภัณฑ์ในเวลาที่ตรงกัน เกมของหุ้นวัฎจักรนั้นเป็นเกมที่ ความเสี่ยงสูง – ผลตอบแทนสูง ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในฐานะไหนของเกม
การลงทุนในหุ้นวัฎจักร นั่นคือหุ้นของกิจการที่มีผลการดำเนินงานที่ขึ้นลงเป็นรอบ ๆ รอบละหลายปีนั้นเป็นศิลปะที่ผมคิดว่าต้องอาศัยความสามารถและพลังของจิตใจแบบ สุดยอด คนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะประสบความสำเร็จสุดยอด ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลวก็จะเสียหายหนักไม่แพ้กัน ผมคิดว่าคนที่สำเร็จน่าจะต้องเป็นคนที่รู้จักธุรกิจเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับ การที่ต้องรู้จักเรื่องพฤติกรรมของหุ้นในกลุ่มนี้ ส่วนคนที่ล้มเหลวก็น่าจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยหรือรู้ไม่ครบทั้งเรื่องของ กิจการและพฤติกรรมของหุ้น
ลองมาดูกรณีของหุ้นอะโรเมติกส์หรือ ATC ซึ่งผมคิดว่าเป็นหุ้นวัฎจักรตัวหนึ่งที่สามารถที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นวัฎ จักรได้ค่อนข้างดี โดยบริษัทนี้ผลิตสินค้าปิโตรเคมีหลายชนิดที่มักมีราคาขึ้นลงเป็นวัฎจักร
ถ้า คุณติดตามบริษัทมานานพอคุณจะรู้ว่าบริษัทประสบกับความยากลำบากมานานหลายปี นับจากปีที่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจคือปี 2540 ซึ่งบริษัทขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาทซึ่งน่าจะเป็นผลจากการลดค่าเงินบาทที่ทำ ให้บริษัทขาดทุนมหาศาล หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะขาดทุนมาเกือบทุกปี ปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากลงทุนในหุ้นที่ประสบปัญหาผลการดำเนินงานอย่างนั้น แต่ถ้าพอถึงสิ้นปี 2544 คุณรู้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มปรับตัวดีขึ้นและผลการดำเนินงานของ บริษัทน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2545 คุณตัดสินใจซื้อหุ้น ATC ที่ราคาประมาณ 2.3 บาท
ปี 2545 ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นตามคาด ถึงสิ้นปีการขาดทุนของบริษัทลดลงเหลือเพียงประมาณ 200 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 5.2 บาท คุณสามารถทำกำไรได้ 126% ในเวลาเพียง 1 ปี นี่เป็นการใช้ความรู้ในเรื่องของธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่ขายหรือซื้อสินค้าของบริษัท หรือจะเป็นฝ่ายบัญชี หรืออาจจะเป็นเพราะคุณทราบมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของการวิเคราะห์เรื่องความถูกหรือแพงของหุ้นเลย ว่าที่จริงถ้าคุณใช้สูตรในการคิดคำนวณราคาหุ้นต่าง ๆ ผลก็จะออกมาว่าราคาหุ้นที่ 2.3 บาทนั้นเป็นราคาที่แพงเกินไป ค่า PE ยังติดลบ ปันผลก็ยังไม่จ่าย และอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้คุณสรุปว่าหุ้นยังไม่น่าซื้อ
ถ้าคุณไม่ได้เข้ามาซื้อหุ้น ในตอนสิ้นปี 2544 เพราะคุณดูงบกำไรขาดทุนของบริษัทและพบว่าบริษัทยังขาดทุนถึงกว่า 3,500 ล้านบาท และคุณก็ไม่รู้ว่าราคาปิโตรเคมีกำลังเพิ่มขึ้น แต่คุณมาเห็นว่าเมื่อสิ้นปี 2545 บริษัทมีขาดทุนเพียงประมาณ 200 ล้านบาทและคุณเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีน่าจะเป็น “ขาขึ้น” แล้ว คุณจึงตัดสินใจซื้อหุ้น ATC ที่ราคาหุ้นละ 5.2 และถือไว้จนถึงสิ้นปี 2546 คุณก็จะได้กำไรถึง 1,121 % หรือ 11.21 เท่าในเวลาเพียงปีเดียวเพราะราคาหุ้น ATC เพิ่มขึ้นเป็น 63.5 บาทต่อหุ้น และถ้าคุณเป็นคนเดียวกับคนที่รู้เรื่องปิโตรเคมีดีที่ซื้อหุ้นตั้งแต่สิ้นปี 2544 คุณก็ได้กำไรถึง 26.6 เท่าในเวลาเพียง 2 ปี
ผลการดำเนินงานของ ปี 2546 ของบริษัทดีกว่าที่ทุกคนคาด บริษัทมีกำไรถึงประมาณ 4,000 ล้านบาท และแนวโน้มของราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นทุกคนคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง นักวิเคราะห์เกือบทุกคนแนะนำให้ซื้อ สถาบันลงทุนต่างก็ต้องมีหุ้นตัวนี้เก็บเข้าพอร์ต หุ้นตัวนี้เป็น “ดาว” อย่างแท้จริง นักลงทุนทั่วไปต่างก็เข้ามาซื้อที่ราคา 63.5 บาทโดยหวังว่าจะได้กำไรอย่างรวดเร็ว เป้าหมายราคานั้น “100 บาทก็อาจจะไม่แพง” เมื่อคำนึงถึง “การเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดและอนาคตที่สดใส”
ผลการดำเนินงานใน ปี 2547 ของบริษัทเป็นไปตามคาดหรือน่าจะพูดว่าดีกว่าที่คาดไว้มาก เพราะบริษัททำกำไรถึงกว่า 10,000 ล้านบาท จากยอดขายกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหน สิ้นปี 2547 ราคาหุ้นอยู่ที่ 62.5 บาท ขาดทุนอยู่ 1-2% แต่หลาย ๆ แห่งก็ยังแนะนำให้ซื้อเพราะเมื่อดูตาม “พื้นฐาน” แล้ว หุ้นมีราคาถูกมาก ค่า PE เหลือเพียง 5.8 เท่า แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์จะอ่อนตัวลงบ้าง แต่กำไรก็ยังน่าจะสูงมากอยู่ดี คนที่ซื้อไว้ก็ยังไม่ถอย Value Investor หลายคนเข้ามาซื้อเพราะหุ้นทั้ง “ถูกสุดยอดและดี กำไรลดยังไงก็คุ้ม”
กำไรในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของบริษัทยังดีตามคาด และแม้ว่าจะลดลงจากปี 2547 แต่ก็ยังสูงถึง 4,544 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นถึง 4.71 บาท แต่ราคาหุ้นของบริษัทกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 33.5 บาท เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548 หรือลดลงไปจากสิ้นปีที่แล้วถึง 46.4% และนี่คือผลของการวิเคราะห์หุ้นวัฎจักรโดยใช้วิธีการวิเคราะห์หุ้นแบบปกติ และทำโดยคนที่ไม่รู้จักธุรกิจและพฤติกรรมของหุ้นกลุ่มนี้
ที่พูดมา ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าหุ้น ATC ในขณะนี้ถูก หรือแพง หรือแนะนำให้ซื้อหรือขาย แต่ประการใดทั้งสิ้น เพราะผมเองไม่มีความสามารถจะบอกได้เนื่องจากไม่รู้จักธุรกิจนี้ดีพอ แต่ในแง่ของพฤติกรรมหุ้นนั้น ผมคิดว่า เราไม่สามารถหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปรุนแรงอย่างที่มันเคยเป็นในช่วงดีดตัวขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนวัฎจักร แต่ถ้าถามว่า “ขาลง” ของหุ้นสิ้นสุดหรือยัง คำตอบก็แบบเดิมนั่นคือ บอกไม่ได้ เพราะราคาของหุ้นวัฎจักรนั้น มันไม่ได้ตามวัฎจักรของราคาผลิตภัณฑ์ในเวลาที่ตรงกัน เกมของหุ้นวัฎจักรนั้นเป็นเกมที่ ความเสี่ยงสูง – ผลตอบแทนสูง ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในฐานะไหนของเกม
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5508
มาได้ถูกจังหวะจริง หนังเรื่องนี้
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5510
สมัยนี้ภัยทางเน็ตมันหลอกกันขนาดนี้เลยนะ
ใครอย่าพลาดไปเสียท่ามันละ
วันก่อนอาซ้อก็โดนทำนองนี้
ไอ้โจรานุโจรมันห่วยแตกครับ ไปหลอกใครไม่หลอก
ไปหลอกอาซ้อผมให้กรอกlogin password
ระดับผมที่สับขาหลอกเก่งพอๆกับเจ้าโด้จอมสับ
ยังไม่เคยบอกlogin passwordผมซักแอะ
วันๆก็ให้ใช้สองร้อย เท่าเดิมมาตั้งแต่ตอนออกmoneychannelแล้ว
ตอนนั้นไปบ่นดังๆออกทีวีคิดว่าจะได้เพิ่ม
ฮ่า....โดนลดเหลือร้อยนึงอยู่เป็นเดือน
กว่าจะกลับมาได้สองร้อยดัังเดิม
++กระทู้เตือนภัยผู้ใช้ SCB EasyNet โปรดระวัง
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/t ... 05496.html
ใครอย่าพลาดไปเสียท่ามันละ
วันก่อนอาซ้อก็โดนทำนองนี้
ไอ้โจรานุโจรมันห่วยแตกครับ ไปหลอกใครไม่หลอก
ไปหลอกอาซ้อผมให้กรอกlogin password
ระดับผมที่สับขาหลอกเก่งพอๆกับเจ้าโด้จอมสับ
ยังไม่เคยบอกlogin passwordผมซักแอะ
วันๆก็ให้ใช้สองร้อย เท่าเดิมมาตั้งแต่ตอนออกmoneychannelแล้ว
ตอนนั้นไปบ่นดังๆออกทีวีคิดว่าจะได้เพิ่ม
ฮ่า....โดนลดเหลือร้อยนึงอยู่เป็นเดือน
กว่าจะกลับมาได้สองร้อยดัังเดิม
++กระทู้เตือนภัยผู้ใช้ SCB EasyNet โปรดระวัง
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/t ... 05496.html
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5512
ลองฟังอาจารย์ว่าไ้ว้ตอนหุ้นตกรอบที่แล้ว
อาจมีประโยชน์สำหรับวีไอพันธ์แท้พันธ์เต่า
อย่างที่อาจารย์ว่าไว้ในบทความนี้
Monday, 28 January 2008
ทำอย่างไรเมื่อหุ้นตก
ตั้งแต่ต้นปีมาดูเหมือนว่านักลงทุนในตลาดหุ้นจะเจ็บตัวกันหนักและเป็นการเปลี่ยนภาพที่สดใสของตลาดหุ้นจากปีที่ผ่านมา ตัวเลขคร่าว ๆ ก็คือ ปีที่แล้วดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 26% ยังไม่นับรวมปันผลอีกประมาณ 3 – 4 % ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมทั้ง ๆ ที่ประเทศไทย “มีปัญหา” มาตลอดทั้งปี ปี 2551 นี้ นักวิเคราะห์ต่างก็ตั้งเป้าหมายว่าดัชนีหุ้นจะดีขึ้นไปอีกมาก บางคนบอกว่าจะไปถึง 1,000 จุด เพราะ สถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการเมืองจะดีขึ้น แต่แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของซับไพร์มที่สหรัฐอเมริกาก็ทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำกันทั่วโลก ผลก็คือ เพียงแค่ประมาณเดือนเดียวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของเราก็ตกลงมาแล้วประมาณ 11% คือตกจากประมาณ 858 จุดเหลือเพียง 760 จุดในวันที่ 25 มกราคม 2551 และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นบทเรียนให้เรารู้ว่า ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ “คาดไม่ได้” และความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เรารู้สึกดีและสบายใจในการลงทุน
เมื่อตลาดตกอย่างหนักก็มักจะมีคนถามผมเสมอว่าเขาควรทำอย่างไร? ขายทิ้งก่อนดีไหม? บางคนก็ถามว่า ควรจะ “เข้า” หรือยัง? ส่วนใหญ่ผมก็มักจะตอบว่าควร “อยู่เฉย ๆ” เพราะเราไม่รู้ว่าตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแม้ว่าที่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์แทบจะเรียกว่าเลวร้ายเกือบทุกวันและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิในตลาดเกือบทุกวัน เหตุผลของผมก็คือ พื้นฐานของเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ ทุกอย่างยังเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราค่อนข้างจะโตช้ากว่าเพื่อนบ้านบ้างในช่วงปีที่ผ่านมาและอนาคตคือในปีนี้ก็ยังดูเหมือนว่าจะมีอุปสรรคอยู่โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่อาจจะโตช้าลงจากความถดถอยของเศรษฐกิจโลกที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้น แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้คงไม่ทำให้เราเกิดวิกฤติ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงมาพอสมควรแล้ว ดังนั้น ถ้าเราขายหุ้นในวันนี้อาจจะเป็นว่าเราได้ขายไปในราคาถูก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเข้าไปซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นได้ตกลงมามากแล้ว เราก็อาจจะผิดหวัง เพราะราคาหุ้นอาจจะลงต่อไปอีกเพราะความผันผวนของตลาดหุ้นโลกยังไม่สงบลงก็ได้
ส่วนตัวผมเองนั้น ในภาวะที่ดัชนีตลาดตกต่ำลงมาก ๆ ผมมักจะเฝ้าดูราคาหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมทั้งที่ผมถือหุ้นอยู่และที่ผมอาจจะยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ดูว่าราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำลงมามากน้อยแค่ไหน ถึงจุดที่น่าสนใจพอหรือยัง ถ้ายังไม่ต่ำพอผมก็จะอยู่เฉย ๆ แต่ถ้าราคาต่ำลงจนถึงจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ผมก็จะเริ่มคิดที่จะหาเงินมาลงทุน ซึ่งน่าเสียดายว่าผมมักจะไม่มีเงินสดเหลือเพราะผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าผมต้องการเงินมาลงทุนผมก็ต้องขายหุ้นตัวอื่นที่ผมถืออยู่ ซึ่งก็มักจะน่าเสียดายอีกว่าผมไม่อยากขาย เพราะราคามันลงมามาก การขายในเวลาที่เลวร้ายอย่างนั้นผมรู้สึกว่าจะทำใจได้ยาก ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ช่วงที่ดัชนีตลาดตกต่ำอย่างหนัก ผมมักจะไม่ค่อยทำอะไร ผมชอบเปรียบตัวเองเหมือนเต่า นั่นก็คือ ในยามที่เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองรุนแรง เต่าจะอยู่นิ่ง ๆ หลบฝนอยู่ในที่กำบัง และถ้าจะให้ดีก็คือ หดหัวไม่มองดูสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ว่าที่จริง เวลาหุ้นตกหนักผมชอบที่จะหนีไปเล่นกอล์ฟเพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับการตกลงของราคาหุ้นมากนัก
เมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเรา “กอดหุ้น” ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่าจะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไร บางคนบอกว่า เขาไม่ได้กลัวเรื่องของธุรกิจของบริษัทที่เขาลงทุน แต่เขาคิดว่าหุ้นกำลังตกด้วยอิทธิพลของกระแสเงินหรือเดี๋ยวนี้ชอบเรียกว่า “Fund Flow” ดังนั้นเขาคิดว่าอย่างไรหุ้นก็จะต้องตกต่อ เพราะในยามที่นักลงทุนกำลังขายหุ้นเพราะต้องการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่มีความหมาย เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น “นิ่ง” แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า “เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง” ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้” และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนผม ผมคิดว่าการที่หุ้นตกลงมามากนั้น เป็นโอกาสที่เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดีที่เดิมเราไม่อยากซื้อเพราะราคาหุ้นแพงเกินไป ดัชนีหุ้นที่ตกลงมามากนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะดึงราคาของหุ้นตัวอื่น ๆ ลงมาด้วยทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลง ถ้าเรากล้าที่จะเข้าไปเก็บหุ้นเหล่านั้นและพร้อมที่จะถือยาวโดยไม่สนใจกับราคาหุ้นที่อาจจะปรับตัวลงต่อ โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไปก็มักจะสูงกว่าปกติ และความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มักจะน้อยกว่าปกติ การขายหุ้นไปก่อนเมื่อดัชนีกำลังอยู่ในช่วงตกหนักนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะบ่อยครั้งก็ทำให้นักลงทุนหลายคน “เอาตัวรอดไปได้” และก็มาเล่าให้คนทั้งหลายฟัง แต่หลายคนก็เสียหายหนัก เพราะ “หุ้นฟื้นอย่างไม่คาดฝัน” และคนเหล่านั้นไม่ได้มาพูด ข้อสรุปที่แท้จริงก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เอาตัวรอดไปได้กับคนที่เสียหายเนื่องจากการขายหุ้น ฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน
ผมเชื่อว่า สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว การที่ดัชนีตลาดปรับตัวผันผวนรุนแรง พวกเขาจะต้องเฝ้ากระดานและมักจะมี Action นั่นคือ ไม่ซื้อก็ขายกันมากขึ้นมาก แต่สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor ผมคิดว่าเขาควรจะซื้อมากกว่าขาย ส่วนตัวผมเองนั้น ผมยึดภาษิตที่ว่า Stay Calm, Stay Invest นั่นก็คือ ทำใจให้สงบและลงทุนต่อไป
อาจมีประโยชน์สำหรับวีไอพันธ์แท้พันธ์เต่า
อย่างที่อาจารย์ว่าไว้ในบทความนี้
Monday, 28 January 2008
ทำอย่างไรเมื่อหุ้นตก
ตั้งแต่ต้นปีมาดูเหมือนว่านักลงทุนในตลาดหุ้นจะเจ็บตัวกันหนักและเป็นการเปลี่ยนภาพที่สดใสของตลาดหุ้นจากปีที่ผ่านมา ตัวเลขคร่าว ๆ ก็คือ ปีที่แล้วดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 26% ยังไม่นับรวมปันผลอีกประมาณ 3 – 4 % ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมทั้ง ๆ ที่ประเทศไทย “มีปัญหา” มาตลอดทั้งปี ปี 2551 นี้ นักวิเคราะห์ต่างก็ตั้งเป้าหมายว่าดัชนีหุ้นจะดีขึ้นไปอีกมาก บางคนบอกว่าจะไปถึง 1,000 จุด เพราะ สถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการเมืองจะดีขึ้น แต่แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของซับไพร์มที่สหรัฐอเมริกาก็ทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำกันทั่วโลก ผลก็คือ เพียงแค่ประมาณเดือนเดียวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของเราก็ตกลงมาแล้วประมาณ 11% คือตกจากประมาณ 858 จุดเหลือเพียง 760 จุดในวันที่ 25 มกราคม 2551 และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นบทเรียนให้เรารู้ว่า ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ “คาดไม่ได้” และความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เรารู้สึกดีและสบายใจในการลงทุน
เมื่อตลาดตกอย่างหนักก็มักจะมีคนถามผมเสมอว่าเขาควรทำอย่างไร? ขายทิ้งก่อนดีไหม? บางคนก็ถามว่า ควรจะ “เข้า” หรือยัง? ส่วนใหญ่ผมก็มักจะตอบว่าควร “อยู่เฉย ๆ” เพราะเราไม่รู้ว่าตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแม้ว่าที่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์แทบจะเรียกว่าเลวร้ายเกือบทุกวันและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิในตลาดเกือบทุกวัน เหตุผลของผมก็คือ พื้นฐานของเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ ทุกอย่างยังเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราค่อนข้างจะโตช้ากว่าเพื่อนบ้านบ้างในช่วงปีที่ผ่านมาและอนาคตคือในปีนี้ก็ยังดูเหมือนว่าจะมีอุปสรรคอยู่โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่อาจจะโตช้าลงจากความถดถอยของเศรษฐกิจโลกที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้น แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้คงไม่ทำให้เราเกิดวิกฤติ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงมาพอสมควรแล้ว ดังนั้น ถ้าเราขายหุ้นในวันนี้อาจจะเป็นว่าเราได้ขายไปในราคาถูก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเข้าไปซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นได้ตกลงมามากแล้ว เราก็อาจจะผิดหวัง เพราะราคาหุ้นอาจจะลงต่อไปอีกเพราะความผันผวนของตลาดหุ้นโลกยังไม่สงบลงก็ได้
ส่วนตัวผมเองนั้น ในภาวะที่ดัชนีตลาดตกต่ำลงมาก ๆ ผมมักจะเฝ้าดูราคาหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมทั้งที่ผมถือหุ้นอยู่และที่ผมอาจจะยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ดูว่าราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำลงมามากน้อยแค่ไหน ถึงจุดที่น่าสนใจพอหรือยัง ถ้ายังไม่ต่ำพอผมก็จะอยู่เฉย ๆ แต่ถ้าราคาต่ำลงจนถึงจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ผมก็จะเริ่มคิดที่จะหาเงินมาลงทุน ซึ่งน่าเสียดายว่าผมมักจะไม่มีเงินสดเหลือเพราะผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าผมต้องการเงินมาลงทุนผมก็ต้องขายหุ้นตัวอื่นที่ผมถืออยู่ ซึ่งก็มักจะน่าเสียดายอีกว่าผมไม่อยากขาย เพราะราคามันลงมามาก การขายในเวลาที่เลวร้ายอย่างนั้นผมรู้สึกว่าจะทำใจได้ยาก ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ช่วงที่ดัชนีตลาดตกต่ำอย่างหนัก ผมมักจะไม่ค่อยทำอะไร ผมชอบเปรียบตัวเองเหมือนเต่า นั่นก็คือ ในยามที่เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองรุนแรง เต่าจะอยู่นิ่ง ๆ หลบฝนอยู่ในที่กำบัง และถ้าจะให้ดีก็คือ หดหัวไม่มองดูสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ว่าที่จริง เวลาหุ้นตกหนักผมชอบที่จะหนีไปเล่นกอล์ฟเพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับการตกลงของราคาหุ้นมากนัก
เมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเรา “กอดหุ้น” ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่าจะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไร บางคนบอกว่า เขาไม่ได้กลัวเรื่องของธุรกิจของบริษัทที่เขาลงทุน แต่เขาคิดว่าหุ้นกำลังตกด้วยอิทธิพลของกระแสเงินหรือเดี๋ยวนี้ชอบเรียกว่า “Fund Flow” ดังนั้นเขาคิดว่าอย่างไรหุ้นก็จะต้องตกต่อ เพราะในยามที่นักลงทุนกำลังขายหุ้นเพราะต้องการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่มีความหมาย เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น “นิ่ง” แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า “เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง” ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้” และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนผม ผมคิดว่าการที่หุ้นตกลงมามากนั้น เป็นโอกาสที่เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดีที่เดิมเราไม่อยากซื้อเพราะราคาหุ้นแพงเกินไป ดัชนีหุ้นที่ตกลงมามากนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะดึงราคาของหุ้นตัวอื่น ๆ ลงมาด้วยทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลง ถ้าเรากล้าที่จะเข้าไปเก็บหุ้นเหล่านั้นและพร้อมที่จะถือยาวโดยไม่สนใจกับราคาหุ้นที่อาจจะปรับตัวลงต่อ โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไปก็มักจะสูงกว่าปกติ และความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มักจะน้อยกว่าปกติ การขายหุ้นไปก่อนเมื่อดัชนีกำลังอยู่ในช่วงตกหนักนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะบ่อยครั้งก็ทำให้นักลงทุนหลายคน “เอาตัวรอดไปได้” และก็มาเล่าให้คนทั้งหลายฟัง แต่หลายคนก็เสียหายหนัก เพราะ “หุ้นฟื้นอย่างไม่คาดฝัน” และคนเหล่านั้นไม่ได้มาพูด ข้อสรุปที่แท้จริงก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เอาตัวรอดไปได้กับคนที่เสียหายเนื่องจากการขายหุ้น ฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน
ผมเชื่อว่า สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว การที่ดัชนีตลาดปรับตัวผันผวนรุนแรง พวกเขาจะต้องเฝ้ากระดานและมักจะมี Action นั่นคือ ไม่ซื้อก็ขายกันมากขึ้นมาก แต่สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor ผมคิดว่าเขาควรจะซื้อมากกว่าขาย ส่วนตัวผมเองนั้น ผมยึดภาษิตที่ว่า Stay Calm, Stay Invest นั่นก็คือ ทำใจให้สงบและลงทุนต่อไป
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5516
คุณเล็กครับมองให้บวกครับคิดซะว่า
ที่ได้ๆผ่านมาสองปีก็เอาคืนเขาไปบ้าง
เอามาฝากครับ
Circuit Breaker จะทำงานเมื่อไหร่ ?
เมื่อดัชนีราคาหลักทรัพย์ (SET Index) ในวันนั้น ลดลงในอัตราร้อยละ 10 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบจะทำการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 30 นาที
เมื่อดัชนีราคาหลักทรัพย์ (SET Index) ในวันนั้น ลดลงในอัตราร้อยละ 20 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบจะทำการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ในกรณีที่ระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลาเหลือน้อยกว่าระยะเวลา ตามข้อ 1 หรือ ข้อ 2 แล้วแต่กรณี ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขาย หลักทรัพย์ตามระยะเวลาที่เหลือในช่วงเวลาการซื้อขายนั้น และจะเริ่มการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาการซื้อขายถัดไปตามปกติ
ที่ได้ๆผ่านมาสองปีก็เอาคืนเขาไปบ้าง
เอามาฝากครับ
Circuit Breaker จะทำงานเมื่อไหร่ ?
เมื่อดัชนีราคาหลักทรัพย์ (SET Index) ในวันนั้น ลดลงในอัตราร้อยละ 10 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบจะทำการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 30 นาที
เมื่อดัชนีราคาหลักทรัพย์ (SET Index) ในวันนั้น ลดลงในอัตราร้อยละ 20 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบจะทำการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ในกรณีที่ระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลาเหลือน้อยกว่าระยะเวลา ตามข้อ 1 หรือ ข้อ 2 แล้วแต่กรณี ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขาย หลักทรัพย์ตามระยะเวลาที่เหลือในช่วงเวลาการซื้อขายนั้น และจะเริ่มการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาการซื้อขายถัดไปตามปกติ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5520
อาจารย์ครับ
โทรศัพท์มานี่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโทรมาแล้วครับ
สมัยก่อน
โทรมาผมก็จะว่าถ้าไม่สบายใจขายไปครึ่งนึงละกัน
เห็นเขาก็พอใจคำตอบกัน
แต่พอนานเข้า เขาก็รู้ครับ
ว่าผมไม่ไ้ด้ตอบอะไรเขาเลย
สำหรับผมไม่มีคนโทรมาก็ดีนะ ไม่มีภาระทางใจดี
ผมคิดอ่านอะไร ผมก็โพสให้อ่านเป็นประจำอยู่แล้ว
จะว่าไปผมก็คิดเพียงโพสเก็บไว้ว่าตัวเองคิดอะไร ทำอะไรลงไปบ้าง
เอาไว้มาดูทบทวน
เราได้ประโยชน์อยู่แล้ว
ถ้าคนอื่นจะได้ประโยชน์ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
โทรศัพท์มานี่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโทรมาแล้วครับ
สมัยก่อน
โทรมาผมก็จะว่าถ้าไม่สบายใจขายไปครึ่งนึงละกัน
เห็นเขาก็พอใจคำตอบกัน
แต่พอนานเข้า เขาก็รู้ครับ
ว่าผมไม่ไ้ด้ตอบอะไรเขาเลย
สำหรับผมไม่มีคนโทรมาก็ดีนะ ไม่มีภาระทางใจดี
ผมคิดอ่านอะไร ผมก็โพสให้อ่านเป็นประจำอยู่แล้ว
จะว่าไปผมก็คิดเพียงโพสเก็บไว้ว่าตัวเองคิดอะไร ทำอะไรลงไปบ้าง
เอาไว้มาดูทบทวน
เราได้ประโยชน์อยู่แล้ว
ถ้าคนอื่นจะได้ประโยชน์ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า