เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 1
สมมุติว่า เราเลือกหุ้นมาดีแล้ว และซื้อแล้ว เราก็ดูพื้นฐานเป็นหลักใช่มั๊ย เพราะเป็น เว็บ vi
ที่นี้ ราคาหุ้นมันลดลง ก็ให้มันลดไป
เราก็ไปทำงานเก็บเงิน
เพราะพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน เราก็ไม่ต้องคิดไรมาก
ตั้งเป้าไว้
1. หุ้นลง 50 % ซื้อเพิ่ม
2. หุ้นลง 75 % ซื้อเพิ่ม
เตรียมเงินไว้สองก้อน
คือว่า กว่าจะถึง 50 % มันก็คงจะเด้งไปแล้ว
เราก็จะได้ไม่เครียดไง
และ บางคนบอกให้ทำ sap ทำอะไรนั่น ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ
คือ ขายไปก่อน แล้วไปซื้อต่ำๆ ใช่หรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง มันก็ทำยากมาก
ขายปั๊บ มันเด้งทำไง
เราลงทุนพื้นฐาน หุ้นก็ขึ้นได้ลงได้
วันนี้ 900 ต่อมาจะ 600 จะ 1200 ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
หน้าที่ของเราคือ ซื้อกิจการที่ดี และถือตราบเท่าที่กิจการยังดีอยู่
ติดตามมากๆเครียดนะครับ อ่านข่าวเยอะๆ จะรู้สึกเหมือนถูกกระทำ
.........................................................................................
พอร์ท vi ผมก็ยังถืออยู่ ก็น่าจะขาดทุนหมดเลย ทั้ง singer sis tks csl uec
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้ซื้อมาขายวันนี้ ถือไป 3 ปี 5 ปี
ก็ไม่เห็นเป็นไร
...........................................................................................
อย่างไรก็ตาม หากใครคิดว่า ขายไปก่อนดีกว่า หุ้นตกแน่นอน ผมก็ว่าไม่ผิดนะ
แล้วแต่ แต่ตอนเข้า เข้ามาแบบ vi พอหุ้นตก ราคาถูก แทนที่จะซื้อเพิ่ม กลับขาย (cut loss)
ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ
...........................................................................................
สมมุติเล่นๆนะครับ หุ้น abc ที่ผมถืออยู่ ราคาลดมา 50 % ผมซื้อเพิ่ม
ผ่านไป 1 - 3 ปี แล้ว ราคากลับมาที่เดิม ตัวล่างก็กำไร 100 % แล้วนะครับ
100 % ในระยะเวลา 1 - 3 ปี ก็ไม่น้อยนะครับ
.............................................................................................
ที่นี้คนบอกว่า ถ้ารู้ว่าลง ทำไมไม่ขายไปก่อน คำตอบ คือก็ไม่รู้ครับ ว่ามันจะลงแค่ไหน
เห็นตอนสมัยก่อน ตลาดแดงจัดๆ หุ้น vi ติด top gain อันดับหนึ่ง ก็เห็นอยู่เป็นประจำ
เรียกได้ว่า ในลง ดันมีขึ้น ก็มีให้เห็นนะครับ
ที่นี้ ราคาหุ้นมันลดลง ก็ให้มันลดไป
เราก็ไปทำงานเก็บเงิน
เพราะพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน เราก็ไม่ต้องคิดไรมาก
ตั้งเป้าไว้
1. หุ้นลง 50 % ซื้อเพิ่ม
2. หุ้นลง 75 % ซื้อเพิ่ม
เตรียมเงินไว้สองก้อน
คือว่า กว่าจะถึง 50 % มันก็คงจะเด้งไปแล้ว
เราก็จะได้ไม่เครียดไง
และ บางคนบอกให้ทำ sap ทำอะไรนั่น ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ
คือ ขายไปก่อน แล้วไปซื้อต่ำๆ ใช่หรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง มันก็ทำยากมาก
ขายปั๊บ มันเด้งทำไง
เราลงทุนพื้นฐาน หุ้นก็ขึ้นได้ลงได้
วันนี้ 900 ต่อมาจะ 600 จะ 1200 ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
หน้าที่ของเราคือ ซื้อกิจการที่ดี และถือตราบเท่าที่กิจการยังดีอยู่
ติดตามมากๆเครียดนะครับ อ่านข่าวเยอะๆ จะรู้สึกเหมือนถูกกระทำ
.........................................................................................
พอร์ท vi ผมก็ยังถืออยู่ ก็น่าจะขาดทุนหมดเลย ทั้ง singer sis tks csl uec
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้ซื้อมาขายวันนี้ ถือไป 3 ปี 5 ปี
ก็ไม่เห็นเป็นไร
...........................................................................................
อย่างไรก็ตาม หากใครคิดว่า ขายไปก่อนดีกว่า หุ้นตกแน่นอน ผมก็ว่าไม่ผิดนะ
แล้วแต่ แต่ตอนเข้า เข้ามาแบบ vi พอหุ้นตก ราคาถูก แทนที่จะซื้อเพิ่ม กลับขาย (cut loss)
ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ
...........................................................................................
สมมุติเล่นๆนะครับ หุ้น abc ที่ผมถืออยู่ ราคาลดมา 50 % ผมซื้อเพิ่ม
ผ่านไป 1 - 3 ปี แล้ว ราคากลับมาที่เดิม ตัวล่างก็กำไร 100 % แล้วนะครับ
100 % ในระยะเวลา 1 - 3 ปี ก็ไม่น้อยนะครับ
.............................................................................................
ที่นี้คนบอกว่า ถ้ารู้ว่าลง ทำไมไม่ขายไปก่อน คำตอบ คือก็ไม่รู้ครับ ว่ามันจะลงแค่ไหน
เห็นตอนสมัยก่อน ตลาดแดงจัดๆ หุ้น vi ติด top gain อันดับหนึ่ง ก็เห็นอยู่เป็นประจำ
เรียกได้ว่า ในลง ดันมีขึ้น ก็มีให้เห็นนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 2
หมายเหตุ ใช้ได้กับ การซื้อหุ้นแนว vi นะครับ
หากไปซื้อตามใคร ที่ราคาสูงๆ แล้วราคาล 50 % ซื้อเพิ่ม แบบนี้ก็ไม่เวิกนะครับ
การซื้อแนว vi ถ้าจะพูดกว้างๆ ราคาที่คุณซื้อนั้น คุณมั่นใจแล้ัวว่า
โอเค เมื่อเทียบกับพื้ันฐานของหุ้นที่คุณซื้อ
ไม่ว่าคุณจะดู pe growth roa roe หนี้สิน คู่แข่ง และอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าราคาลงมา 50 % คุณต้องกระโดดดีใจ ว่าสถานการณ์แบบนี้ ทำให้คุณมีโอกาสทอง
ในการซื้อหุ้น ที่คุณศึกษามาอย่างดีแล้วว่าดีเยี่ยม แต่ซื้อได้ในราคาครึ่งเดียว
ถ้ามันลงไปอีก คือ ราคาลดลง 75 %
คุณก็ต้องว๊าว สุดยอดมาก แบบนี้ซื้อได้ในราคา หนึ่งในสี่
นั้นหมายความว่า เมื่อราคากลับมาที่เดิม คุณจะได้กำไร ตัวล่างสุด 3 ท่วมนะครับ
วิจารณ์ได้นะครับ หาทางออกให้เพื่อใครเห็นราคาลงแล้วเครียด
อย่าไปเครียดเลยครับ เพราะตอนที่ซื้อก็ซื้อเพราะกิจการมันดีไม่ใช่หรือ ไ่ม่ได้ซื้อมาขาย
ระยะสั้นๆ หากซื้อแล้วหุ้นขึ้น คุณจะซื้อเพิ่ม คุณก็ต้องซื้อแพง
vi น่าจะชอบที่จะซื้อหุ้นดี ราคาถูก นะครับ
หากไปซื้อตามใคร ที่ราคาสูงๆ แล้วราคาล 50 % ซื้อเพิ่ม แบบนี้ก็ไม่เวิกนะครับ
การซื้อแนว vi ถ้าจะพูดกว้างๆ ราคาที่คุณซื้อนั้น คุณมั่นใจแล้ัวว่า
โอเค เมื่อเทียบกับพื้ันฐานของหุ้นที่คุณซื้อ
ไม่ว่าคุณจะดู pe growth roa roe หนี้สิน คู่แข่ง และอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าราคาลงมา 50 % คุณต้องกระโดดดีใจ ว่าสถานการณ์แบบนี้ ทำให้คุณมีโอกาสทอง
ในการซื้อหุ้น ที่คุณศึกษามาอย่างดีแล้วว่าดีเยี่ยม แต่ซื้อได้ในราคาครึ่งเดียว
ถ้ามันลงไปอีก คือ ราคาลดลง 75 %
คุณก็ต้องว๊าว สุดยอดมาก แบบนี้ซื้อได้ในราคา หนึ่งในสี่
นั้นหมายความว่า เมื่อราคากลับมาที่เดิม คุณจะได้กำไร ตัวล่างสุด 3 ท่วมนะครับ
วิจารณ์ได้นะครับ หาทางออกให้เพื่อใครเห็นราคาลงแล้วเครียด
อย่าไปเครียดเลยครับ เพราะตอนที่ซื้อก็ซื้อเพราะกิจการมันดีไม่ใช่หรือ ไ่ม่ได้ซื้อมาขาย
ระยะสั้นๆ หากซื้อแล้วหุ้นขึ้น คุณจะซื้อเพิ่ม คุณก็ต้องซื้อแพง
vi น่าจะชอบที่จะซื้อหุ้นดี ราคาถูก นะครับ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 4
ถ้ามีบางตัวที่ตกใจเกินเหตุแล้วราคา ไปใกล้เคียงช่วงวิกฤตซับพามJeng เขียน:หมายเหตุ ใช้ได้กับ การซื้อหุ้นแนว vi นะครับ
หากไปซื้อตามใคร ที่ราคาสูงๆ แล้วราคาล 50 % ซื้อเพิ่ม แบบนี้ก็ไม่เวิกนะครับ
การซื้อแนว vi ถ้าจะพูดกว้างๆ ราคาที่คุณซื้อนั้น คุณมั่นใจแล้ัวว่า
โอเค เมื่อเทียบกับพื้ันฐานของหุ้นที่คุณซื้อ
ผมว่าอย่างนั้น น่าจะซื้อแล้วถือได้อย่างสบายใจกว่านะครับ
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน หากยังไม่เจอก็รอ ถ้าเจอแล้วก็ลุยโลด
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 5
tum_H เขียน:
ข้อมูลคร่าวๆ เอาไว้ดูแก้เซ็งคับ
3 วัน มหาโหดหรอครับ?
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 6
ก็ดีครับ แต่ก็ยังไม่เห็นตัวไหนที่ตกใจไปราคา subprime นะtum_H เขียน:ถ้ามีบางตัวที่ตกใจเกินเหตุแล้วราคา ไปใกล้เคียงช่วงวิกฤตซับพามJeng เขียน:หมายเหตุ ใช้ได้กับ การซื้อหุ้นแนว vi นะครับ
หากไปซื้อตามใคร ที่ราคาสูงๆ แล้วราคาล 50 % ซื้อเพิ่ม แบบนี้ก็ไม่เวิกนะครับ
การซื้อแนว vi ถ้าจะพูดกว้างๆ ราคาที่คุณซื้อนั้น คุณมั่นใจแล้ัวว่า
โอเค เมื่อเทียบกับพื้ันฐานของหุ้นที่คุณซื้อ
ผมว่าอย่างนั้น น่าจะซื้อแล้วถือได้อย่างสบายใจกว่านะครับ
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน หากยังไม่เจอก็รอ ถ้าเจอแล้วก็ลุยโลด
ไม่เอาหุ้นที่กำไรไม่โตนะ เพราะ vi ไม่น่าจะเล่นหุ้นที่กำไรไม่โต
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 7
โทดทีครับ ลืมอธิบายmultipleceilings เขียน:tum_H เขียน:
ข้อมูลคร่าวๆ เอาไว้ดูแก้เซ็งคับ
3 วัน มหาโหดหรอครับ?
เป็นข้อมูลดัชนี ของแต่ละตลาดในเอเชีย ตอนเดือน มกราคม เปรียบเทียบกับดัชนีวันนี้ครับ
ดูเหมือนว่า กลุ่ม TIP เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน(รวม จีน) จะยังลงน้อยกว่า
(ลืม ข้อมูลของ P --> ฟิลิปปินส์ไป)
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 9
โห รอรับทุกๆ 5 % สงสัย ว่าจะทนรู้สึกพอร์ทแดงไหวหรือเปล่านี่tt เขียน:ระหว่างรอรับเมื่อมันลงทุกๆ 5% กับ รอรับเมื่อมันลง 50% อย่างไหนดีกว่ากันครับ
ผมว่าจะซื้อเมื่อมันลงมาทุกๆ 5% เพราะไม่รู่ว่ามันจะเด้งตอนไหน
ส่วนใหญ่ตอนเด้ง ก็มักจะเด้งตอนที่หุ้นตัวนั้นๆ ลงจนกระทั่ง ไม่มีคนขายแล้ว
คือ อยากลงก็ลงไป ไม่ขายแล้ว
สุดท้ายก็เด้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วยเลยครับ ยิ่งถูกยิ่งชอบครับ
หาก บริษัทที่เราถือ
มีการเติบโตต่อเนื่อง โตกว่า GDP สามเท่า
มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Low Cost หรือ Brand ที่ลูกค้าไม่เปลี่ยนใจ
ยิ่งโตยิ่งมีกระแสเงินสดมาก ไม่เอาเงินไปจม หรือไปเสี่ยงกับสต๊อกวัตถุดิบ หรือ โตแบบให้ลูกค้าติดหนี้มากกว่า เราติดหนี้ซับพลายเออร์
บริษัทมีกำไรที่ คาดการได้ง่าย คือโตจาก ปริมาณ ไม่ใช่โตจาก ความผิดปกติชั่วคราวของราคาสินค้าและต้นทุน
ขยายกิจการโดยใช้เงินสดที่หามาได้ ไม่เพิ่มความเสี่ยงในการก่อหนี้เกินตัว
มี ผู้บริหารที่หลักแหลม เชื่อถือได้และคำนึงถึงผู้ถือหุ้น
แบบนี้ ยิ่งลงยิ่งซื้อครับ
แต่จะทำแบบนี้ได้ ก็ต้องมี ตังค์ ก่อนครับ
เหมือนที่ วอร์เรนต์ จะเก็บกระแสเงินสดไว้ ส่วนหนึ่งเสมอ เวลาหุ้นร่วง อย่างไร้เหตุผล เค้าถือมาซื้อได้ ทีละเยอะๆ ไงครับ ต่อให้ เค้ามี Float จากบริษัทประกัน มันก็เหมือนกับเรา ที่ยังมีเงินสดจากเงิน เดือนมา เค้าไม่ได้ ซื้อหุ้น ทุกวัน ทุกเดือนเวลาที่มีเงินนะครับ เค้า ซื้อหนักๆ เฉพาะ ช่วงของดีราคาถูกเท่านั้น หากเค้าว่า ไม่คุ้มที่จะซื้อ เค้าก็จะถือ Float นั้นให้เพิ่มไปเรื่อยๆ ๆๆ ซักวันมันก็จะมีจังหวะซื้อเอง
ลองอดใจไม่ซื้อ หากเราไม่ได้ MOS จริงๆ ในยามหุ้นขึ้น ไม่ต้องกลัวตกรถ เพียงเพราะหุ้นมันวิ่งขึ้นทุกวัน บางทีเราอาจจะต้องรอ ที่จะซื้อหลายๆ ปี
และอดใจไม่ขาย หากพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ไม่ต้องกลัว ขาดทุนชั่วครู่ เพียงเพราะหุ้นมันวิ่งลงทุกวัน บางทีเราจะต้องถือไป หลายๆ ปี เพราะบริษัทมันไม่แย่ลงอย่างถาวรซักที
มีปีนึง GEICO ลดลงจาก 60 เหรียญ ต่อหุ้น เหลือ 2 เหรียญต่อหุ้น ลุงบัพ แกซื้อแหลก เลยครับ อิอิ
หาก บริษัทที่เราถือ
มีการเติบโตต่อเนื่อง โตกว่า GDP สามเท่า
มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Low Cost หรือ Brand ที่ลูกค้าไม่เปลี่ยนใจ
ยิ่งโตยิ่งมีกระแสเงินสดมาก ไม่เอาเงินไปจม หรือไปเสี่ยงกับสต๊อกวัตถุดิบ หรือ โตแบบให้ลูกค้าติดหนี้มากกว่า เราติดหนี้ซับพลายเออร์
บริษัทมีกำไรที่ คาดการได้ง่าย คือโตจาก ปริมาณ ไม่ใช่โตจาก ความผิดปกติชั่วคราวของราคาสินค้าและต้นทุน
ขยายกิจการโดยใช้เงินสดที่หามาได้ ไม่เพิ่มความเสี่ยงในการก่อหนี้เกินตัว
มี ผู้บริหารที่หลักแหลม เชื่อถือได้และคำนึงถึงผู้ถือหุ้น
แบบนี้ ยิ่งลงยิ่งซื้อครับ
แต่จะทำแบบนี้ได้ ก็ต้องมี ตังค์ ก่อนครับ
เหมือนที่ วอร์เรนต์ จะเก็บกระแสเงินสดไว้ ส่วนหนึ่งเสมอ เวลาหุ้นร่วง อย่างไร้เหตุผล เค้าถือมาซื้อได้ ทีละเยอะๆ ไงครับ ต่อให้ เค้ามี Float จากบริษัทประกัน มันก็เหมือนกับเรา ที่ยังมีเงินสดจากเงิน เดือนมา เค้าไม่ได้ ซื้อหุ้น ทุกวัน ทุกเดือนเวลาที่มีเงินนะครับ เค้า ซื้อหนักๆ เฉพาะ ช่วงของดีราคาถูกเท่านั้น หากเค้าว่า ไม่คุ้มที่จะซื้อ เค้าก็จะถือ Float นั้นให้เพิ่มไปเรื่อยๆ ๆๆ ซักวันมันก็จะมีจังหวะซื้อเอง
ลองอดใจไม่ซื้อ หากเราไม่ได้ MOS จริงๆ ในยามหุ้นขึ้น ไม่ต้องกลัวตกรถ เพียงเพราะหุ้นมันวิ่งขึ้นทุกวัน บางทีเราอาจจะต้องรอ ที่จะซื้อหลายๆ ปี
และอดใจไม่ขาย หากพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ไม่ต้องกลัว ขาดทุนชั่วครู่ เพียงเพราะหุ้นมันวิ่งลงทุกวัน บางทีเราจะต้องถือไป หลายๆ ปี เพราะบริษัทมันไม่แย่ลงอย่างถาวรซักที
มีปีนึง GEICO ลดลงจาก 60 เหรียญ ต่อหุ้น เหลือ 2 เหรียญต่อหุ้น ลุงบัพ แกซื้อแหลก เลยครับ อิอิ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 11
หุ้นที่พี่เจ๋งถือ ผมก็ถือด้วยตัวหนึ่ง น่าจะซื้อก่อนหน้าพี่เจ๋งไม่กี่เดือน (คงราว 1-2 เดือน) ก่อนที่มันจะ hot สักพัก ก่อน opp day ก่อน md ไปออกรายการ money talk
ตอนซื้อ ซื้อยากเย็น ต้องยอมซื้อที่ราคาสูงกว่าตลาด ด้วยความที่เป็นหุ้นตัวเล็ก volume น้อย ถ้าไม่งั้นได้แค่น้ำจิ้ม
ตอนนี้จะขายก็เสียดาย เพราะคิดว่าถ้าจะขายแล้วซื้อกลับ เล่นแบบทำนายตลาด ก็ไม่ใช่ แนว VI อย่างพี่เจ๋งว่า
เลยยอมให้มันตกไปต่อหน้าต่อตา บางวันตลาดลงไป "แค่" 2-3% (คนอื่นอาจเรียกว่า "ตั้ง" 3%) แต่ท่าน "นักร้อง" ลงไป 10 กว่า %
เข้าใจสาเหตุที่ัตก เพราะหุ้นตัวเล็ก volume น้อย อย่างที่ว่า แค่มีคนทิ้งแค่ไม่กี่หมื่นหุ้น มันก็ร่วงไปได้หลายช่องแล้ว
แล้วคิดว่า ซักระยะ พอมันนิ่ง ส่วนใหญ่เหลือแต่คนที่คิดถือยาวแล้ว ในช่วงวิกฤติ มันคงจะเลิกตกหนักเองตามธรรมชาติ มันจะเข้าสู่แบบสภาพการซื้อขาย สภาพคล่องต่ำเหมือนก่อนหน้านี้ พอผลประกอบการมันโชว์มา มันจะปรับตัวคงที่เอง อาจตกบ้าง ตาม Mr. Market บางช่วง
แต่ก็ไม่คิดตำหนิคนที่ทิ้งหุ้น ว่า vi หรือไม่ vi เพราะแต่ละคน ก็มีวิธีการลงทุนต่างกัน... vi ก็มีวิธีหลายแบบ
ผมเองความสามารถ ยังไม่สามารถเรียกตัวเองว่า vi ได้ แค่อาจ fundamentalist คนหนึ่ง
ผมลงหุ้นเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ เงินสดในมือแทบเรียกได้ว่าแค่พอใช้จ่ายชีวิตประจำวันเท่านั้น จึงถือว่า 100% เต็มพอร์ตเสมอ
แต่ด้วยความยังเป็นมนุษย์เงินเดือน... เลยมีโอกาส "เพิ่ม equity" ส่วนตัว คิดว่าถ้าอีกสักระยะ เกิด "โอกาสโลภ" จะทำแนวอย่างว่าเหมือนกัน
เมื่อวิกฤติ 2008-09 ผมขาดทุนแค่ไม่ถึงแสนจาก PTT 50% กว่าๆ รู้สึกเสียหายหนัก แต่หนนี้ กำไรหดหายไปหลายล้านมาตั้งแต่ อาทิตย์ที่แล้ว แต่ผมรู้สึกยังกะว่า ยังไม่อยากขายหุ้นทิ้ง ... เหมือนกับว่าถูกตัดต่อมความรู้สึกทิ้งไปยังงั้น
เพราะยังมั่นใจว่ากิจการนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากวิกฤตินอก แถมยังรอผลพลอยได้จากประชานิยม รอผลประกอบการไตรมาสใกล้เข้ามา ผมเลยกอดแน่น ไม่ทิ้งแม้แต่หุ้นเดียว และ ตอนนี้ ก็จะตุนทุนไว้ซื้อเพิ่ม สักพักอาจจะซื้อหุ้นตัวนี้ หรือตัวอื่นอีกใน port ถ้าตลาดลงไปมากๆ (มีหุ้นร้านเพชรใน mai อีกตัว ที่ได้เกือบ 2 เด้ง แล้ว แต่เป็นหุ้นเล็กเหมือนกัน แต่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือร่วงหนักกว่าตลาดในบางวัน จนตอนนี้ พ้นเด้งลงมาแล้ว)
สรุปแค่สั้นๆว่า เห็นด้วยครับ บังเอิญผมคิดจะทำคล้ายแบบนั้นพอดี
ตอนซื้อ ซื้อยากเย็น ต้องยอมซื้อที่ราคาสูงกว่าตลาด ด้วยความที่เป็นหุ้นตัวเล็ก volume น้อย ถ้าไม่งั้นได้แค่น้ำจิ้ม
ตอนนี้จะขายก็เสียดาย เพราะคิดว่าถ้าจะขายแล้วซื้อกลับ เล่นแบบทำนายตลาด ก็ไม่ใช่ แนว VI อย่างพี่เจ๋งว่า
เลยยอมให้มันตกไปต่อหน้าต่อตา บางวันตลาดลงไป "แค่" 2-3% (คนอื่นอาจเรียกว่า "ตั้ง" 3%) แต่ท่าน "นักร้อง" ลงไป 10 กว่า %
เข้าใจสาเหตุที่ัตก เพราะหุ้นตัวเล็ก volume น้อย อย่างที่ว่า แค่มีคนทิ้งแค่ไม่กี่หมื่นหุ้น มันก็ร่วงไปได้หลายช่องแล้ว
แล้วคิดว่า ซักระยะ พอมันนิ่ง ส่วนใหญ่เหลือแต่คนที่คิดถือยาวแล้ว ในช่วงวิกฤติ มันคงจะเลิกตกหนักเองตามธรรมชาติ มันจะเข้าสู่แบบสภาพการซื้อขาย สภาพคล่องต่ำเหมือนก่อนหน้านี้ พอผลประกอบการมันโชว์มา มันจะปรับตัวคงที่เอง อาจตกบ้าง ตาม Mr. Market บางช่วง
แต่ก็ไม่คิดตำหนิคนที่ทิ้งหุ้น ว่า vi หรือไม่ vi เพราะแต่ละคน ก็มีวิธีการลงทุนต่างกัน... vi ก็มีวิธีหลายแบบ
ผมเองความสามารถ ยังไม่สามารถเรียกตัวเองว่า vi ได้ แค่อาจ fundamentalist คนหนึ่ง
ผมลงหุ้นเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ เงินสดในมือแทบเรียกได้ว่าแค่พอใช้จ่ายชีวิตประจำวันเท่านั้น จึงถือว่า 100% เต็มพอร์ตเสมอ
แต่ด้วยความยังเป็นมนุษย์เงินเดือน... เลยมีโอกาส "เพิ่ม equity" ส่วนตัว คิดว่าถ้าอีกสักระยะ เกิด "โอกาสโลภ" จะทำแนวอย่างว่าเหมือนกัน
เมื่อวิกฤติ 2008-09 ผมขาดทุนแค่ไม่ถึงแสนจาก PTT 50% กว่าๆ รู้สึกเสียหายหนัก แต่หนนี้ กำไรหดหายไปหลายล้านมาตั้งแต่ อาทิตย์ที่แล้ว แต่ผมรู้สึกยังกะว่า ยังไม่อยากขายหุ้นทิ้ง ... เหมือนกับว่าถูกตัดต่อมความรู้สึกทิ้งไปยังงั้น
เพราะยังมั่นใจว่ากิจการนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากวิกฤตินอก แถมยังรอผลพลอยได้จากประชานิยม รอผลประกอบการไตรมาสใกล้เข้ามา ผมเลยกอดแน่น ไม่ทิ้งแม้แต่หุ้นเดียว และ ตอนนี้ ก็จะตุนทุนไว้ซื้อเพิ่ม สักพักอาจจะซื้อหุ้นตัวนี้ หรือตัวอื่นอีกใน port ถ้าตลาดลงไปมากๆ (มีหุ้นร้านเพชรใน mai อีกตัว ที่ได้เกือบ 2 เด้ง แล้ว แต่เป็นหุ้นเล็กเหมือนกัน แต่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือร่วงหนักกว่าตลาดในบางวัน จนตอนนี้ พ้นเด้งลงมาแล้ว)
สรุปแค่สั้นๆว่า เห็นด้วยครับ บังเอิญผมคิดจะทำคล้ายแบบนั้นพอดี
-
- Verified User
- โพสต์: 678
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 12
เห็นแล้วเข้าว่า น่าจะลงได้อีกนะเนี้ยtum_H เขียน:โทดทีครับ ลืมอธิบายmultipleceilings เขียน:tum_H เขียน:
ข้อมูลคร่าวๆ เอาไว้ดูแก้เซ็งคับ
3 วัน มหาโหดหรอครับ?
เป็นข้อมูลดัชนี ของแต่ละตลาดในเอเชีย ตอนเดือน มกราคม เปรียบเทียบกับดัชนีวันนี้ครับ
ดูเหมือนว่า กลุ่ม TIP เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน(รวม จีน) จะยังลงน้อยกว่า
(ลืม ข้อมูลของ P --> ฟิลิปปินส์ไป)
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 14
Quotes เด็ดๆ
SETTALK (for long-term investors)
http://settalk.blogspot.com/2011/09/quotes.html
Sep 26, 2011
เขียนโดย Risk Taker
เราหวังว่า คำพูดของนักลงทุนชั้นเซียน ที่เรากำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยในการชี้นำการลงทุนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดหุ้น
และช่วยสร้างความมั่งคั่งของนักลงทุนในระยะยาว
"Individuals who cannot master thier emotions are ill-suited to profit from the investment process."
Benjamin Graham, Father of Value Investing
"History provides a crucial insight regarding market crises: they are inevitable, painful, and ultimately surmountable."
Shelyby M.C. Davis, Advisor and Founder, Davis Advisors
"Far more money has been lost by investors preparing for corrections or trying to anticipate corrections than has been lost in the corrections themselves."
Peter Lynch, Legendary Investor and Author
"Despite inevitable periods of uncertainty, stocks have rewarded patient, long-term investors."
Christopher C. Davis, Portfolio Manager, Davis Advisors
"Be fearful when others are greedy. Be greedy when others are fearful."
Warren Buffett, Chairman, Berkshire Hathaway
"The basic question facing us is whether it's possible for a superior investment manager to underperform... The assumptioin widely held is 'no.' And yet if you look at the records. it's not only possible, it's inevitable."
Robert Kirby. Founder. Capital Guardian Trust Company
"The function of economic forecasting is to make astrology look respectable."
John Kennenth Galbralth, Economist and Author
"You make most of your money in a bear market, you just don't realize it at the time."
Shelby Cullom Davis, Diplomat, Legendary Investor and Founder of the Davis Investment Discipline
จบแล้วครับ
ผมชอบประโยคของ Benjamin Graham กับ Peter Lynch ที่สุดครับตอนนี้
SETTALK (for long-term investors)
http://settalk.blogspot.com/2011/09/quotes.html
Sep 26, 2011
เขียนโดย Risk Taker
เราหวังว่า คำพูดของนักลงทุนชั้นเซียน ที่เรากำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยในการชี้นำการลงทุนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดหุ้น
และช่วยสร้างความมั่งคั่งของนักลงทุนในระยะยาว
"Individuals who cannot master thier emotions are ill-suited to profit from the investment process."
Benjamin Graham, Father of Value Investing
"History provides a crucial insight regarding market crises: they are inevitable, painful, and ultimately surmountable."
Shelyby M.C. Davis, Advisor and Founder, Davis Advisors
"Far more money has been lost by investors preparing for corrections or trying to anticipate corrections than has been lost in the corrections themselves."
Peter Lynch, Legendary Investor and Author
"Despite inevitable periods of uncertainty, stocks have rewarded patient, long-term investors."
Christopher C. Davis, Portfolio Manager, Davis Advisors
"Be fearful when others are greedy. Be greedy when others are fearful."
Warren Buffett, Chairman, Berkshire Hathaway
"The basic question facing us is whether it's possible for a superior investment manager to underperform... The assumptioin widely held is 'no.' And yet if you look at the records. it's not only possible, it's inevitable."
Robert Kirby. Founder. Capital Guardian Trust Company
"The function of economic forecasting is to make astrology look respectable."
John Kennenth Galbralth, Economist and Author
"You make most of your money in a bear market, you just don't realize it at the time."
Shelby Cullom Davis, Diplomat, Legendary Investor and Founder of the Davis Investment Discipline
จบแล้วครับ
ผมชอบประโยคของ Benjamin Graham กับ Peter Lynch ที่สุดครับตอนนี้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 19
เอาเป็นว่า
ผมจะปรับพอร์ตให้เป็นเชิงรุกขึ้นอีกนิด
...........................................
บ้านอยู่หลังเขา อาชีพทำสวน
ผมจะปรับพอร์ตให้เป็นเชิงรุกขึ้นอีกนิด
...........................................
บ้านอยู่หลังเขา อาชีพทำสวน
- izicado
- Verified User
- โพสต์: 102
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 20
เหมาะสมมากครับ สมมุติว่าเราทำธุรกิจเอง ธุรกิจง่าย ๆ หลายอย่างยังต้องใช้เวลาคืนทุนเป็น ปี ๆ ตลาดหลักทรัพย์ให้เรามีโอกาสได้ซื้อกิจการดี ๆ ในราคาถูก ทำไมจะไม่ซื้อล่ะ แต่ต้องใจเย็นหน่อยใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุดนะครับ
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 21
ผมกลัวไม่จริงครับที่ว่าจะไม่ดูตลาดหุ้น2ปี (แซวเล่นครับ) เพราะมันทำยากมากเลยtt เขียน:ยังมีเงินครับเพิ่งลง 50 % ของ Port เอง แต่ 50% ที่มีหุ้นนั้น 3 วัน กำไรหายเกลี้ยงเลย
ก็เลยวางแผนว่าจะซื้อจนหมดไม้สุดท้ายที่ตลาดลงไปอีก 50% กรณีเลวร้ายสุด
แล้วก็เลิกดูตลาดไปอีก 2 ปี
- kin
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 23
ผมว่าถ้าวิเคราะห์ไว้ดีแล้ว หุ้นลงคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือถือหุ้น 100% แล้วพอหุ้นลงหนักๆ ไม่มีเงินซื้อเพิ่มนี่เท่ากับพลาดโอกาสทองไปเลย
ถ้าว่าจะมีหุ้น 100% ก้อน่าจะต้องมีแผนสำรองไว้อยู่ก่อน ต้องรู้ว่าจะทำยังไงหากวิกฤติเกิดขึ้นจริง ผมว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเซียนและถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอด เค้าย่อมมีแผนสำรองไว้ในใจอยู่แล้ว
ถ้าว่าจะมีหุ้น 100% ก้อน่าจะต้องมีแผนสำรองไว้อยู่ก่อน ต้องรู้ว่าจะทำยังไงหากวิกฤติเกิดขึ้นจริง ผมว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเซียนและถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอด เค้าย่อมมีแผนสำรองไว้ในใจอยู่แล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 24
ดร.นิเวศน์ได้ให้ความรู้แนวทาง VI ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับภาวะการณ์ขณะนี้ ใน settradeblog เอาไว้ว่า..
ส่วนตัวผมเองนั้น ในภาวะที่ดัชนีตลาดตกต่ำลงมาก ๆ ผมมักจะเฝ้าดูราคาหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมทั้งที่ผมถือหุ้นอยู่และที่ผมอาจจะยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ดูว่าราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำลงมามากน้อยแค่ไหน ถึงจุดที่น่าสนใจพอหรือยัง ถ้ายังไม่ต่ำพอผมก็จะอยู่เฉย ๆ แต่ถ้าราคาต่ำลงจนถึงจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ผมก็จะเริ่มคิดที่จะหาเงินมาลงทุน ซึ่งน่าเสียดายว่าผมมักจะไม่มีเงินสดเหลือเพราะผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าผมต้องการเงินมาลงทุนผมก็ต้องขายหุ้นตัวอื่นที่ผมถืออยู่ ซึ่งก็มักจะน่าเสียดายอีกว่าผมไม่อยากขาย เพราะราคามันลงมามาก การขายในเวลาที่เลวร้ายอย่างนั้นผมรู้สึกว่าจะทำใจได้ยาก ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ช่วงที่ดัชนีตลาดตกต่ำอย่างหนัก ผมมักจะไม่ค่อยทำอะไร ผมชอบเปรียบตัวเองเหมือนเต่า นั่นก็คือ ในยามที่เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองรุนแรง เต่าจะอยู่นิ่ง ๆ หลบฝนอยู่ในที่กำบัง และถ้าจะให้ดีก็คือ หดหัวไม่มองดูสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ว่าที่จริง เวลาหุ้นตกหนักผมชอบที่จะหนีไปเล่นกอล์ฟเพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับการตกลงของราคาหุ้นมากนัก
เมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเรา “กอดหุ้น” ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่าจะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไร บางคนบอกว่า เขาไม่ได้กลัวเรื่องของธุรกิจของบริษัทที่เขาลงทุน แต่เขาคิดว่าหุ้นกำลังตกด้วยอิทธิพลของกระแสเงินหรือเดี๋ยวนี้ชอบเรียกว่า “Fund Flow” ดังนั้นเขาคิดว่าอย่างไรหุ้นก็จะต้องตกต่อ เพราะในยามที่นักลงทุนกำลังขายหุ้นเพราะต้องการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่มีความหมาย เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น “นิ่ง” แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า “เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง” ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้” และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนผม ผมคิดว่าการที่หุ้นตกลงมามากนั้น เป็นโอกาสที่เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดีที่เดิมเราไม่อยากซื้อเพราะราคาหุ้นแพงเกินไป ดัชนีหุ้นที่ตกลงมามากนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะดึงราคาของหุ้นตัวอื่น ๆ ลงมาด้วยทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลง ถ้าเรากล้าที่จะเข้าไปเก็บหุ้นเหล่านั้นและพร้อมที่จะถือยาวโดยไม่สนใจกับราคาหุ้นที่อาจจะปรับตัวลงต่อ โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไปก็มักจะสูงกว่าปกติ และความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มักจะน้อยกว่าปกติ การขายหุ้นไปก่อนเมื่อดัชนีกำลังอยู่ในช่วงตกหนักนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะบ่อยครั้งก็ทำให้นักลงทุนหลายคน “เอาตัวรอดไปได้” และก็มาเล่าให้คนทั้งหลายฟัง แต่หลายคนก็เสียหายหนัก เพราะ “หุ้นฟื้นอย่างไม่คาดฝัน” และคนเหล่านั้นไม่ได้มาพูด ข้อสรุปที่แท้จริงก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เอาตัวรอดไปได้กับคนที่เสียหายเนื่องจากการขายหุ้น ฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน
ผมเชื่อว่า สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว การที่ดัชนีตลาดปรับตัวผันผวนรุนแรง พวกเขาจะต้องเฝ้ากระดานและมักจะมี Action นั่นคือ ไม่ซื้อก็ขายกันมากขึ้นมาก แต่สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor ผมคิดว่าเขาควรจะซื้อมากกว่าขาย ส่วนตัวผมเองนั้น ผมยึดภาษิตที่ว่า Stay Calm, Stay Invest นั่นก็คือ ทำใจให้สงบและลงทุนต่อไป
ส่วนตัวผมเองนั้น ในภาวะที่ดัชนีตลาดตกต่ำลงมาก ๆ ผมมักจะเฝ้าดูราคาหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมทั้งที่ผมถือหุ้นอยู่และที่ผมอาจจะยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ดูว่าราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำลงมามากน้อยแค่ไหน ถึงจุดที่น่าสนใจพอหรือยัง ถ้ายังไม่ต่ำพอผมก็จะอยู่เฉย ๆ แต่ถ้าราคาต่ำลงจนถึงจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ผมก็จะเริ่มคิดที่จะหาเงินมาลงทุน ซึ่งน่าเสียดายว่าผมมักจะไม่มีเงินสดเหลือเพราะผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าผมต้องการเงินมาลงทุนผมก็ต้องขายหุ้นตัวอื่นที่ผมถืออยู่ ซึ่งก็มักจะน่าเสียดายอีกว่าผมไม่อยากขาย เพราะราคามันลงมามาก การขายในเวลาที่เลวร้ายอย่างนั้นผมรู้สึกว่าจะทำใจได้ยาก ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ช่วงที่ดัชนีตลาดตกต่ำอย่างหนัก ผมมักจะไม่ค่อยทำอะไร ผมชอบเปรียบตัวเองเหมือนเต่า นั่นก็คือ ในยามที่เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองรุนแรง เต่าจะอยู่นิ่ง ๆ หลบฝนอยู่ในที่กำบัง และถ้าจะให้ดีก็คือ หดหัวไม่มองดูสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ว่าที่จริง เวลาหุ้นตกหนักผมชอบที่จะหนีไปเล่นกอล์ฟเพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับการตกลงของราคาหุ้นมากนัก
เมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเรา “กอดหุ้น” ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่าจะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไร บางคนบอกว่า เขาไม่ได้กลัวเรื่องของธุรกิจของบริษัทที่เขาลงทุน แต่เขาคิดว่าหุ้นกำลังตกด้วยอิทธิพลของกระแสเงินหรือเดี๋ยวนี้ชอบเรียกว่า “Fund Flow” ดังนั้นเขาคิดว่าอย่างไรหุ้นก็จะต้องตกต่อ เพราะในยามที่นักลงทุนกำลังขายหุ้นเพราะต้องการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่มีความหมาย เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น “นิ่ง” แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า “เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง” ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้” และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนผม ผมคิดว่าการที่หุ้นตกลงมามากนั้น เป็นโอกาสที่เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดีที่เดิมเราไม่อยากซื้อเพราะราคาหุ้นแพงเกินไป ดัชนีหุ้นที่ตกลงมามากนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะดึงราคาของหุ้นตัวอื่น ๆ ลงมาด้วยทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลง ถ้าเรากล้าที่จะเข้าไปเก็บหุ้นเหล่านั้นและพร้อมที่จะถือยาวโดยไม่สนใจกับราคาหุ้นที่อาจจะปรับตัวลงต่อ โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไปก็มักจะสูงกว่าปกติ และความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มักจะน้อยกว่าปกติ การขายหุ้นไปก่อนเมื่อดัชนีกำลังอยู่ในช่วงตกหนักนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะบ่อยครั้งก็ทำให้นักลงทุนหลายคน “เอาตัวรอดไปได้” และก็มาเล่าให้คนทั้งหลายฟัง แต่หลายคนก็เสียหายหนัก เพราะ “หุ้นฟื้นอย่างไม่คาดฝัน” และคนเหล่านั้นไม่ได้มาพูด ข้อสรุปที่แท้จริงก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เอาตัวรอดไปได้กับคนที่เสียหายเนื่องจากการขายหุ้น ฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน
ผมเชื่อว่า สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว การที่ดัชนีตลาดปรับตัวผันผวนรุนแรง พวกเขาจะต้องเฝ้ากระดานและมักจะมี Action นั่นคือ ไม่ซื้อก็ขายกันมากขึ้นมาก แต่สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor ผมคิดว่าเขาควรจะซื้อมากกว่าขาย ส่วนตัวผมเองนั้น ผมยึดภาษิตที่ว่า Stay Calm, Stay Invest นั่นก็คือ ทำใจให้สงบและลงทุนต่อไป
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 25
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้” และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
ซึ่งผมไม่ได้อยากเรียกว่า ลงเพราะ subprime แต่เป็นการลงเพราะวิกฤติการน้ำมัน มากกว่า
อย่างไรก็ตามสรุปว่า ดร.นิเวศน์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การถือหุ้นผ่านวิกฤติ เป็นอย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 27
สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักไว้คือ เมื่อหุ้นลงมากๆเช่น 50% หรือมากกว่า เราต้องมีกระสุนไว้
เพื่อเก็บตัวที่เราสนใจ (แน่นอนพื้นฐานกิจการต้องดี อันนั้นรู้ๆกันแล้วตามหลักการ)
แล่วถามว่า หากถือหุ้น 100% จะเอาเงินจากไหนมาซื้อ
1 ใช้บัญชี margin
2 เงินปันผล
3 เงินออมจากรายได้ประจำเดือน
แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่ผมว่า คนที่คิดแนว vi จะไปยึดติดมากเกินไปคือ การถือหุ้นแล้วไม่ขายเลย อันนี้ใช้หลักการ vi จริงหรือ ?? อย่าลืมว่าราคาหุ้นทุกตัวสามารถมัน overpriced ได้ในบางเวลา ดังนั้นการทำการบ้านดูอัตรากำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับอัตราราคาที่ขึ้นมา จะสามารถบ่งบอกว่า ถึงเวลาขายหุ้นออกไปได้หรือยัง
อย่างช่วงที่ set 1050-1150 หุ้นมากกว่า 80% overpriced
ตามมุมมองของผมนะครับ ดังนั้นการที่เราได้เห็น set ปรับลงมาแถวนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากหุ้นตัวไหน ยังคงทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ใน q3 54 q4 54 q1 55 ที่จะมาถึง
อันนั้นจะเป็นของจริง ถึงแม้set จะตกลงไปแค่ไหน หุ้นประเภทนี้จะเป็นตัวที่น่าสนใจครับ
เพื่อเก็บตัวที่เราสนใจ (แน่นอนพื้นฐานกิจการต้องดี อันนั้นรู้ๆกันแล้วตามหลักการ)
แล่วถามว่า หากถือหุ้น 100% จะเอาเงินจากไหนมาซื้อ
1 ใช้บัญชี margin
2 เงินปันผล
3 เงินออมจากรายได้ประจำเดือน
แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่ผมว่า คนที่คิดแนว vi จะไปยึดติดมากเกินไปคือ การถือหุ้นแล้วไม่ขายเลย อันนี้ใช้หลักการ vi จริงหรือ ?? อย่าลืมว่าราคาหุ้นทุกตัวสามารถมัน overpriced ได้ในบางเวลา ดังนั้นการทำการบ้านดูอัตรากำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับอัตราราคาที่ขึ้นมา จะสามารถบ่งบอกว่า ถึงเวลาขายหุ้นออกไปได้หรือยัง
อย่างช่วงที่ set 1050-1150 หุ้นมากกว่า 80% overpriced
ตามมุมมองของผมนะครับ ดังนั้นการที่เราได้เห็น set ปรับลงมาแถวนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากหุ้นตัวไหน ยังคงทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ใน q3 54 q4 54 q1 55 ที่จะมาถึง
อันนั้นจะเป็นของจริง ถึงแม้set จะตกลงไปแค่ไหน หุ้นประเภทนี้จะเป็นตัวที่น่าสนใจครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 29
ดร.สุดยอดจริงๆครับJeng เขียน:เมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง....
....เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น “นิ่ง” แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า “เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง” ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่รู้”
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอางี้ดีมั๊ย เพื่อนๆ
โพสต์ที่ 30
http://www.dcs-digital.com/moneychannel ... p?listid=5
ดร. พูดแบบข้างบนเลย
รายการตอนนี้ น่าสนใจคือ .... ดร.นิเวศน์ ออกรายการกับคุณภาววิทย์
ครึ่งหลัง มีท่านประธาน boo กับ คุณ shine-rise
credit: คุณมิ่ง post ลงไว้ใน pantip
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 28537.html
ดร. พูดแบบข้างบนเลย
รายการตอนนี้ น่าสนใจคือ .... ดร.นิเวศน์ ออกรายการกับคุณภาววิทย์
ครึ่งหลัง มีท่านประธาน boo กับ คุณ shine-rise
credit: คุณมิ่ง post ลงไว้ใน pantip
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 28537.html