http://www.ryt9.com/s/tpd/982726
เส้นทางมหาบุรุษโลก
โดย ...ชัยวัฒน์ ดำรงกิจกุลชัย
ทิ้งท้ายไว้เมื่อตอนที่แล้วว่า ตอนนี้เราจะเจาะเวลาย้อนอดีตไปดูเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งของโลกที่นักปราชญ์จีนนิยมพูดกันว่า "วันที่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ของจีนโคจรมาพบกัน"
ซึ่งพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ วันที่นักปราชญ์อันเป็นตัวแทนแห่งแสงสว่างทางปัญญาของจีนสำคัญสองท่านมาพบกัน
นักปราชญ์สองท่านที่ว่านั้นก็คือ ท่านเล่าจื่อ ปราชญ์อาวุโสที่มีฐานะเป็นเสาหลักแห่งปราชญ์ของแผ่นดินจีนในขณะนั้น กับอีกท่านคือ "ขงจื้อ" ปราชญ์หนุ่มจากแคว้นหลู่เรื่องมันเริ่มขึ้นหลังจากที่ขงจื้อกับสองศิษย์คือ เมิ่งอี้จือ และ หนานกงจี้ ได้ทำธุระในการศึกษาและดูงานเมืองโลเอี่ยง หรือลกเอี่ยง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขงจื้อก็ได้โอกาสทำภารกิจส่วนตัวสำคัญที่ตั้งใจเดินทางไปเยือนเมืองโลเอี่ยงหรือลกเอี่ยง ราชธานีของจีนขณะนั้น คือเข้าเยี่ยมคารวะท่านเล่าจื่อ ปราชญ์อาวุโสที่นักปราชญ์ทั่วแผ่นดินจีนให้การยอมรับและยกย่อง
เมื่อได้เวลาขงจื้อก็นำสองศิษย์เข้าเยี่ยมคารวะท่านเล่าจื่อถึงที่พำนัก ประวัติศาสตร์หลายแห่งให้รายละเอียดกับเหตุการณ์ตอนนี้ว่า ท่านเล่าจื่อรู้ล่วงหน้าว่าขงจื้อจะไปเยี่ยม จึงได้สั่งให้ศิษย์ใกล้ชิดจัดการเตรียมที่ทางต้อนรับ ถึงกับกวาดขยะ กวาดใบไม้ทางเดินที่ขงจื้อจะเดินเข้าไปยังที่พำนักของท่าน
ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่า ท่านเล่าจื่อให้เกียรติและให้ความสำคัญกับการไปเยือนของท่านขงจื้อมากทีเดียว เนื่องจากว่า ที่พำนักของท่านเล่าจื่อได้มีโอกาสรับการเยี่ยมเยือนหรือเยี่ยมคารวะของบรรดานักปราชญ์จีนมากมายหลายหลากจากหลายถิ่นที่ทั่วแผ่นดินจีน แต่มีน้อยครั้งที่ท่านเล่าจื่อจะให้ความสำคัญถึงกับสั่งให้ศิษย์ใกล้ชิดดูแลเรื่องที่ทาง และเตรียมการต้อนรับล่วงหน้ากันข้ามวันข้ามคืนเช่นนั้น
เมื่อท่านขงจื้อนำศิษย์ใกล้ชิดทั้งสองไปถึงที่พำนักของท่านเล่าจื่อ ท่านเล่าจื่อก็ให้เกียรติลุกมาต้อนรับ และท่านขงจื้อได้มอบตำราพิธีกรรมแห่งแคว้นหลู่ให้กับท่านเล่าจื่อเพื่อเป็นของขวัญเยี่ยมคารวะ
เหตุการณ์ครั้งนี้กระมังที่ทำให้บรรดานักปราชญ์และผู้รู้ในรุ่นต่อมา นิยมมอบตำราให้เป็นของขวัญในการพบปะและเยี่ยมเยือนกันและกัน
ท่านขงจื้อได้อยู่สนทนากับท่านเล่าจื่อในเวลาพอสมควรก็ขอลากลับ เมื่อท่านลากลับนั่นเอง ท่านเล่าจื่อจึงได้ให้โอวาททิ้งท้ายในการจากลาประมาณว่า
"ข้าพเจ้าทราบว่า พวกเศรษฐีทั้งหลายมักให้เงินเป็นของตอบแทนแก่แขกผู้ไปเยี่ยมเยียน ส่วนคนมีเมตตาธรรมจะให้คำสั่งสอนแก่คนผู้ไปเยี่ยม ดังนั้น ตัวของข้าพเจ้าจะขอให้คำแนะนำสั่งสอนแก่ท่านดังนี้ คนมีสติปัญญาปราดเปรื่องและช่างคิด มักพบกับอันตรายแห่งชีวิตเพราะว่าเที่ยวไปชอบวิจารณ์คนอื่นเขา คนคงแก่เรียนและมีความฉลาดในการถกเถียง มักนำตัวเองไปพบกับอันตรายแห่งชีวิต เพราะว่ามักชอบไปเที่ยวเปิดเผยข้อบกพร่องของคนอื่นเขา ระวัง ขอจงอย่าได้นึกว่าตนเองดำรงฐานะดุจเสมือนหนึ่งเป็นลูกหรือเป็นเสนาบดีของรัฐ"
(ที่ยกมานี้เป็นสำนวนแปลของอาจารย์นวม สงวนทรัพย์)
แต่ในภาพยนตร์ให้รายละเอียดของที่มาของโอวาทจากลาในครั้งนั้นเพิ่มเติมพอสมควร แต่เนื้อหาสรุปก็ใกล้เคียงกัน มีวัตถุประสงค์แห่งการให้โอวาทแบบเดียวกัน คือต้องการให้ท่านขงจื้อระมัดระวังในการใช้ปัญญา และต้องการ ให้ท่าน ขงจื้อลดความแข็ง ความเป็นตัวของตัวเองลงบ้าง บางครั้งก็ให้ทำตัวลื่นไหลไปตามสถานการณ์ เหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามความคดเคี้ยวของตลิ่งหรือเป็นรูปร่างกับภาชนะที่รองรับ
จะว่าไปแล้ว บทสนทนาระหว่างท่านเล่าจื่อกับ ท่านขงจื้อในครั้งนั้น คงจะไม่มีใครยืนยันคำพูดได้ตรงทุกคำพูดหรอก ทำได้ก็เพียงแต่ประมาณว่ากันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม บทสนทนาระหว่างปราชญ์ต่างวัยที่ต่อมาต่างก็กลายเป็นปราชญ์ยิ่งใหญ่ของจีน และเป็นบุคคลสำคัญของโลก ก็เป็นบทสนทนาที่มีความหมาย และมีค่าต่อการนำไปเล่าสู่กันฟัง ถือว่าเป็นมงคลทั้งแก่ผู้เล่าและผู้ฟัง ท้ายสุดเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างยิ่ง เพราะบทสนทนาระหว่างปราชญ์ต่างวัยในครั้งนั้น ถือเป็นการเปิดเผยความจริงของชีวิตและสิ่งที่มีอยู่ก่อน ที่ต่อมามหาปราชญ์เอกแห่งอินเดียนาม "สิทธัตถะ" หรือ "พระพุทธเจ้า" ค้นพบและนำมาเผยแพร่ ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า "ธรรมะ" ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เป็นเอง (ไม่มีใครสร้างขึ้นมา)
ความจริงที่ถือเป็นธรรมะในครั้งนั้น เป็นทั้งความจริงในเรื่องธรรมชาติ (หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเอง เพราะว่า "ธรรมะ" แปลได้ประมาณว่า เป็นเอง "ชาติ" แปลได้ประมาณ เกิดหรือเกิดขึ้น) และเป็นความจริงในชีวิต ด้วยเหตุนี้ผมจึงรู้สึกประทับใจในบทสนทนาที่นำมาเสนอในภาพยนตร์ เนื่องจากเห็น ว่าเป็นบทสนทนาที่ทรงคุณค่า จึงขอนำมาถ่ายทอดต่ออีกทีก็แล้วกัน
ในภาพยนตร์ตอนที่ท่านขงจื้อเข้าตาจน เพราะเหตุไปสนับสนุนหลู่ติงกง เจ้าแคว้นหลู่ในขณะนั้น จนกระทั่งท่านก้าวหน้ามาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแห่งแคว้นหลู่ แต่ในที่สุดเพียงไม่นานก็ทราบความจริงว่า ความก้าวหน้านั้นเป็นเพียงการถูกหลอกใช้ ผู้ที่หลอกใช้ก็คือสามตระกูลใหญ่ที่ครองอำนาจในแคว้นหลู่ขณะนั้น อันประกอบด้วย ตระกูลจี้ ตระกูลเมิ่ง ตระกูลเจิ้ง เมื่อท่านขงจื้อพัฒนาแคว้นหลู่ได้ดังประสงค์แล้ว สันดานนักการเมืองของตระกูลจี้ก็แสดงออกมา โดยหาทางเสือกไสไล่ส่งท่านขงจื้อ แล้วเข้าไปรับผลประโยชน์อันเพิ่งจะเกิดจากการทุ่มเทการพัฒนาของท่านขงจื้อ ใช้อำนาจลับบีบบังคับผ่านเจ้าแคว้นหลู่ติงกง หลู่ติงกงเห็นพิษภัยจะพึงมีพึงเกิดกับท่านขงจื้อแล้วก็รู้ว่าอาจพาดพิงมาถึงตน จึงได้เรียกท่าน ขงจื้อมาปรึกษาหารือและตักเตือนให้ลดบทบาทตัวเองลงบ้าง แต่ท่านขงจื้อก็คือขงจื้อ ยึดมั่นในแนวคิด เป็นตัวของตัวเองสูงมาก จึงได้โต้ตอบกัน เมื่อจนทางออก หลู่ติงกงอ้างถึงคำสอนของเล่าจื่อ ทำให้ท่านขงจื้อระลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ได้สนทนากับท่านเล่าจื่อขึ้นมาได้ ในบทสนทนานั้นมีดังนี้
ท่านเล่าจื่อกล่าวชมเชยขงจื้อว่า "ขงชิวเอ๋ย นี่เป็นยุคแห่งความขัดแย้ง ทุกๆ แห่งมีแต่ความวุ่นวาย แต่เจ้าก็ยังสามารถรักษาแนวทางจริยะ ดนตรี มนุษยธรรม และสันติสุขเอาไว้ได้"
ขงจื้อตอบว่า "แต่น่าละอายยิ่งที่ข้าไม่ประสบผล"เล่าจื่อบอกว่า "งั้นเจ้าก็ลองหยุดพยายามดู อันชื่อเสียงหรือยศศักดิ์ล้วนไม่จีรังยั่งยืน"
ขงจื้อตอบว่า "อะไรที่ศิษย์อย่างข้าทำได้อีกเล่า ผลน้ำเต้าย่อมไม่คู่ควรถูกใช้แค่แขวนไว้เหนือประตูอย่างไร้ประโยชน์"
เล่าจื่อกล่าวต่อไปว่า "ไร้ประโยชน์ก็อาจกลายเป็นประโยชน์ยิ่ง อ่อนแอจึงรอด อ่อนโยนดำรงอยู่ ไม่มีอะไรอ่อนกว่าน้ำ แต่ก็ไม่มีความเข้มแข็งใดทำลายน้ำได้ จงเป็นอย่างน้ำเถอะ"ขงจื้อตอบว่า "คำพูดของท่านลึกซึ้งนัก แต่ข้าจำเป็นต้องยึดแนวทางแห่งข้า แนวทางแห่งท่านยิ่งใหญ่เหนือขอบเขต อยู่เหนือสถานที่และเวลา พ้นจากทางโลก แต่เส้นทางแห่งข้าคือทางโลก"
เล่าจื่อสรุปว่า "งั้นเจ้าก็จงอดทนต่อเส้นทางโลกต่อไปเถอะ คนรวยมอบของขวัญด้วยทอง แต่ข้าไม่มีทอง มีก็แต่คำพูดเพียงเล็กน้อย"
ในภาพยนตร์นำเสนอบทสนทนาระหว่างสองปราชญ์ต่างวัยเพียงแค่นี้ แต่เข้าใจว่าคำพูดต่อไปของท่านเล่าจื่อก็คือ โอวาทจากลาที่ได้ยกมาอ้างในเบื้องต้นแล้ว
ในเรื่องของโอวาทจากลา แม้ว่าทั้งสองที่มานี้จะแตกต่างในเนื้อหา แต่ก็สามารถสรุปความตามวัตถุประสงค์ได้คล้ายเคียงกัน นั่นคือ ท่านเล่าจื่อได้เตือนท่านขงจื้อเป็นนัยๆ ว่า ให้หัดไหลไปตามน้ำบ้าง หรือให้ทำตัวอ่อนไหว อย่าแข็งกระด้างจนเกินไป อันจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งกับผู้อื่น แล้วจะนำมาซึ่งความยากลำบาก
การพบปะกันในครั้งนั้นเป็นที่ทราบกันว่า ท่านขงจื้อ กับท่านเล่าจื่อได้มีเวลาสนทนากันไม่นานนัก อย่างน้อยก็คงจะไม่เป็นวันเป็นคืน คงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการต้อนรับแขกเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกใจที่ท่านเล่าจื่อได้กล่าวโอวาทในการจากลา อันเป็นเสมือนคำเตือนที่เป็นผลมาจากอุปนิสัยของท่าน ขงจื้อ และเวลาต่อมาก็พิสูจน์ได้ว่าอุปนิสัยท่านขงจื้อเป็นเช่นนั้นจริงๆ "ข้าพเจ้าทราบว่า พวกเศรษฐีทั้งหลาย
มักให้เงินเป็นของตอบแทนแก่แขกผู้ไปเยี่ยมเยียน ส่วนคนมีเมตตาธรรมจะให้
คำสั่งสอนแก่คนผู้ไปเยี่ยม ดังนั้น ตัวของข้าพเจ้าจะขอให้คำแนะนำสั่งสอน
แก่ท่านดังนี้ คนมีสติปัญญาปราดเปรื่องและช่างคิด มักพบกับอันตรายแห่งชีวิตเพราะว่าเที่ยวไปชอบวิจารณ์
คนอื่นเขา คนคงแก่เรียนและมีความฉลาดในการถกเถียง มักนำตัวเองไปพบกับอันตรายแห่งชีวิต เพราะว่ามักชอบไปเที่ยวเปิดเผยข้อบกพร่องของ
คนอื่นเขา ระวัง ขอจงอย่าได้นึกว่าตนเองดำรงฐานะดุจเสมือนหนึ่งเป็นลูก
หรือเป็นเสนาบดีของรัฐ"
อ่านต่อฉบับหน้า