ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จรัมพร เผย H1/54 บจ.สร้างสถิติจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงสุดแตะแสนลบ.
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554 15:25:07 น.

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากยอดขายและกำไรสุทธิของ บริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 และ 2 ของปีที่เติบโตอย่างโดดเด่น ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง 2 ไตรมาส ส่งผลให้จำนวนบริษัทที่จ่ายเงินปันผลและมูลค่าการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวด 6 เดือนแรกของปี สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่ประกาศจ่ายเงินปันผลแล้ว 126 แห่ง มูลค่ารวม 110,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นครั้งแรกที่มูลค่าการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงถึงระดับแสนล้านบาท

หากพิจารณาสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับว่ามูลค่าการจ่ายเงินปันผลเติบโตขึ้นกว่า 14 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2545 ซึ่งมีมูลค่ารวม 7,604 ล้านบาท และจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จาก 40 แห่งในปี 2545 ซึ่งเป็นการยืนยันได้อย่างดีถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและความแข็งแกร่งของ บริษัทจดทะเบียนไทย

จากข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนรายงานตลาดหลักทรัพย์ ฯ ณ 2 ก.ย. 2554 พบว่า บริษัทจดทะเบียน126 แห่งที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล(ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) เป็นบริษัทใน SET 107 แห่ง มูลค่าเงินปันผลรวม 109,577 ล้านบาท และบริษัทใน mai 19 แห่ง มูลค่าเงินปันผลรวม 473 ล้านบาท โดยรวมคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ของงวดครึ่งปีที่ 37.84%

บริษัทจดทะเบียนใน SET ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) โดยเงินปันผลของทั้ง 5 บริษัทมีมูลค่ารวมมี 54,911 ล้านบาท หรือ 50.11% ของมูลค่าเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดใน SET

ส่วนบริษัทใน mai ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. เกียรติธนาขนส่ง (KIAT) บมจ. สาลี่อุตสาหกรรม (SALEE) บมจ. ถิรไทย (TRT) บมจ. ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง (UEC) และ บมจ. ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) โดยมีมูลค่าเงินปันผลรวม 221 ล้านบาทหรือ 46.74% ของมูลค่าเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดใน mai

สำหรับหมวดธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดธุรกิจธนาคาร หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่าเงินปันผลรวม 90,432 ล้านบาท หรือ 82.17% ของมูลค่าเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมด
--อินโฟเควสท์ โดย รัชดา คงขุนเทียน/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
มูลค่าเงินปันผลรวม 109,577 ล้านบาท
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ตลท. เผยกำไร บจ. H1/54 โต 34.61% จากปีก่อน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2554 17:57:28 น.

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) จำนวน 472 บริษัท หรือ 92.73% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 509 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 34 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 รวมกำไรสุทธิงวด 6 เดือน จำนวน 385,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 286,727 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.61% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6 กลุ่ม

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 172,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.46 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมียอดขายรวมเติบโตเป็นสถิติสูงสุด ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดครึ่งปี 2554 มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 402 บริษัท หรือ 85.17%

“ผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรกของปี 2554 ยังคงสะท้อนถึงแนวโน้มและอัตราการเติบโตของทั้งยอดขายและกำไรรวมที่ปรับตัว เพิ่ม และสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยมีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มชัดเจนมาตั้งแต่งวด ปี 2553 และงวดไตรมาส 1 ของปี 2554 ที่ผ่านมา ด้วยผลจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น และด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจซึ่งมีเสถียรภาพ รวมถึงศักยภาพของผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนในการบริหารค่าใช้จ่ายและการ บริหารจัดการเพื่อสร้างกำไรแก่ธุรกิจภายใต้ภาวะต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ขึ้น ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างโดดเด่น ถึงแม้จะมีผลกระทบจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกาก็ตาม โดยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) โดยเฉพาะหุ้นในหมวดพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปีนี้ " นายจรัมพรกล่าว

สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิงวด 6 เดือนของปี 2554 รวม 330,769 ล้านบาท คิดเป็น 85.28% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งหมด คิดเป็นกำไรเพิ่มขึ้น 35.93% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายรวม 3,788,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 327 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 18.32% และต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 24.41 % ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 19.20% เป็น 19.22%

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
--อินโฟเควสท์ โดย รัชดา คงขุนเทียน โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]
งวดไตรมาส 2 ปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 172,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.46 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 3

โพสต์

6 เดือน จำนวน 385,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 286,727 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.61%
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ลองค้นข่าวปี 45 ดู

http://www.ryt9.com/s/prg/123210
ข่าวทั่วไป ThaiPR.net -- พุธที่ 21 สิงหาคม 2545 07:52:11 น.
กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--ตลาดหลักทรัพย์ฯ

บริษัทจดทะเบียนประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 เพิ่มจากงวดไตรมาส 1 ถึงกว่าร้อยละ 65 ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนปี 2545 มีกำไรสุทธิรวม 119,477 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำกำไรงวด 6 เดือน สูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพาณิชย์ ทำกำไรรวมกันถึงร้อยละ 70 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ด้านบริษัทหลักทรัพย์รายได้เพิ่มหลังการกำหนดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ ได้กำไรรวมงวด 6 เดือนกว่า 500 ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 6 เดือนปี 2545 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2545 ว่า ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2545 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) แล้วจำนวน 371 บริษัท จากบริษัททั้งสิ้น 384 บริษัท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ปรากฏว่ามีบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิ 299 บริษัท (ร้อยละ 81) ในขณะที่มีบริษัทขาดทุนสุทธิ 72 บริษัท(ร้อยละ 19) โดยมีผลกำไรสุทธิรวม 119,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิรวม 92,351 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29

"บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ที่ดีขึ้นกว่าร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2545 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 44,990 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนนั้น มีบริษัทจดทะเบียนถึงร้อยละ 81 (299 บริษัท จากจำนวน 371 บริษัท) มีผลกำไรสุทธิ 119,477 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 92,351 ล้านบาท) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิ 5 อันดับแรก ทำกำไรรวมกันถึง 59,801 ล้านบาท หรือร้อยละ 70 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุ ก่อสร้างและตกแต่ง กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพาณิชย์ ในขณะที่เพียงร้อยละ 19 มีผลขาดทุนสุทธิ (72 บริษัท)" กรรมการและผู้จัดการกล่าว

ผลการดำเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการซึ่งเป็นบริษัทส่วนใหญ่ในตลาด หลักทรัพย์ (ไม่รวมสถาบันการเงินและบริษัทในหมวด REHABCO) จำนวน 292 บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 85,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 2544 ที่มีกำไรสุทธิ 57,154 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมาก ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทในปีนี้ลดลง นอกจากนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าเงินบาททำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรจากอัตราแลก เปลี่ยน 12,509 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 4,921 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลขาดทุนมีจำนวน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ และกลุ่มเครื่องมือเครื่องจักร มีผลขาดทุนสุทธิรวม 36 ล้านบาท

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน 8 บริษัท มีผลกำไรสุทธิจำนวน 6 บริษัท ในขณะที่อีก 2 บริษัทมีผลขาดทุน ซึ่งผลประกอบการโดยรวมมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 61 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 88 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 31

นายกิตติรัตน์กล่าวต่อว่า "สำหรับงวด 6 เดือนแรก ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 13 แห่ง และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีกำไรสุทธิรวม 13,170 ล้านบาท ลดลง 19,895 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากในปีก่อนธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) มีรายได้จากการโอนสำรองกลับเป็นรายได้จำนวน 45,229 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นำรายการดังกล่าวของ SCIB มาพิจารณาในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 ธนาคารพาณิชย์จะมีผลกำไรดีขึ้นร้อยละ 208 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 12,164 ล้านบาท (ภายหลังหักรายการพิเศษของ SCIB แล้ว) ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิก่อน สำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องมาจากการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นของธนาคารพาณิชย์และการบริหารส่วนต่าง อัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ของ ธนาคาร นอกจากนี้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 49"

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์จำนวนทั้งสิ้น 13 บริษัท ต่างก็มีผลกำไรสุทธิทุกบริษัท โดยงวด 6 เดือนแรกปี 2545 มีกำไรสุทธิ 3,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,416 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 144 ทั้งนี้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ตั้งสำรองครบถ้วนแล้ว

"สำหรับบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวมีผลการดำเนินงาน ที่ดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 จากที่มีขาดทุนสุทธิ 37 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น หลังจากมีการกำหนดอัตราขั้นต่ำค่าธรรมเนียมการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แทนการเปิดเสรี" นายกิตติรัตน์กล่าว

นางภัทรียา เบญจพลชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงานหรือ กลุ่ม REHABCO ว่า "มีบริษัทที่ส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 จำนวน 45 บริษัท จาก 52 บริษัท เป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 22 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 23 บริษัท โดยกำไรสุทธิรวม 16,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 141 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้น 119 เท่า เนื่องจากการที่บริษัทมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับในปีนี้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ในขณะที่กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงร้อยละ 27"

"ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ณ 31 กรกฎาคม 2545 มีถึงร้อยละ 80 โดยมีบริษัทจดทะเบียน แจ้งความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งสิ้น 149 บริษัท มียอดหนี้รวม 1,159,786 ล้านบาท โดยหนี้ที่มีการปรับโครงสร้างได้แล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 41,227 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.39 จากไตรมาสที่ 1

เมื่อรวมหนี้ที่ปรับได้ทั้งสิ้น ณ 31 กรกฎาคม 2545 มีจำนวน 979,448 ล้านบาท ในจำนวนหนี้ที่ปรับแล้วดังกล่าวเป็นของบริษัทที่ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ และฟื้นฟูกิจการโดยกระบวนการศาลล้มละลาย 38 บริษัท ซึ่งปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้วเสร็จ 477,581 ล้านบาท (ร้อยละ49) โดยรวมแล้ววิธีการปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่เป็นการขยายอายุหนี้ร้อยละ 52 การแปลงหนี้เป็นทุน/หุ้นกู้ร้อยละ 16 เพิ่มทุนร้อยละ 8 ส่วนที่เหลือร้อยละ 24 เป็นการลดเงินต้นและดอกเบี้ย โอนขายทรัพย์สิน และอื่นๆ " นางภัทรียากล่าว


ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229-2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229-2037 / จิวัสสา ติปยานนท์ โทร. 0-2229-2039--จบ-
งวด 6 เดือนปี 2545 มีกำไรสุทธิรวม 119,477 ล้านบาท
ภาพประจำตัวสมาชิก
OutOfMyMind
Verified User
โพสต์: 1232
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ถ้าเรามองตลาดหุ้น เป็นแหล่งซื้อขายหุ้นส่วนธุรกิจ ไม่ใช่ซื้อขายตัวเลขที่วิ่งขึ้นลงใน ticker เราจะรู้ได้เลยว่า บริษัทดีดี ยอดขายเค้าเติบโต กำไรเค้าเติบโต SET index วิ่งจากฐาน 100 มาเป็น 1000 ในวันนี้ ลงทุนในบริษัทดีดี ในระยะยาว ยังไงก็บวก
แชทบอทสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.chathoon.com/
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเป็น positive sum game

โพสต์ที่ 6

โพสต์

q2 s&p 500 โต เฉลี่ย 12% ..ข้อมูลไว้เปรียบเทียบกับ ตลาดไทย..
http://www.marketwatch.com/story/sp-500 ... 2011-08-19

Market Pulse Archives

Aug. 19, 2011, 12:57 p.m. EDT
S&P 500 earnings growth pegged at 12%
***
CHICAGO (MarketWatch) -- With 485 of its components having reported second quarter earnings thus far, the S&P 500 has an estimated profit growth rate of 12%,


..
Materials and energy were the strongest sectors, with growth rates of 48.7% and 38.4%, respectively, while financials are in the cellar at negative 28.5%
โพสต์โพสต์