อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 1
คืออยากถามว่า มีใครรักหุ้น หลงหุ้นตัวไหนกันบ้าง
คือว่าได้กำไรจากเค้ามากมาย(Unrealize Gain) แล้วจะทำงัยไม่ให้หลงถือไปเรื่อย จากกำไรไปเป็นขาดทุน
ผมเข้าเมื่อปี 2008 กำไรก็เยอะ แต่อย่างที่บอกคือเป็น Unrealize Gain ทั้งหมด จะขายก็เสียดายที่จะไม่ได้ต้นทุนขนาดนี้อีกแล้ว
ผมว่าทำไปทำมาคล้ายคนเก็บพระเครื่องเลย อิอิ พระราคาขึ้น คนอยากซื้อเยอะ ให้ราคาสูง แต่ตัดใจขายไม่ลง เพราะถ้าขายไปคงซื้อกลับไม่ไหว
(แต่หุ้น คงมีวันราคาลง เพียงแต่ไม่ลงถึงราคาที่เราเคยเก็บ(เดาตลาด))
มีใครเป็นแบบผมบ้าง หรือว่าเทคโปรฟิทกันไปหมดแล้ว? แชร์กันครับ
คือว่าได้กำไรจากเค้ามากมาย(Unrealize Gain) แล้วจะทำงัยไม่ให้หลงถือไปเรื่อย จากกำไรไปเป็นขาดทุน
ผมเข้าเมื่อปี 2008 กำไรก็เยอะ แต่อย่างที่บอกคือเป็น Unrealize Gain ทั้งหมด จะขายก็เสียดายที่จะไม่ได้ต้นทุนขนาดนี้อีกแล้ว
ผมว่าทำไปทำมาคล้ายคนเก็บพระเครื่องเลย อิอิ พระราคาขึ้น คนอยากซื้อเยอะ ให้ราคาสูง แต่ตัดใจขายไม่ลง เพราะถ้าขายไปคงซื้อกลับไม่ไหว
(แต่หุ้น คงมีวันราคาลง เพียงแต่ไม่ลงถึงราคาที่เราเคยเก็บ(เดาตลาด))
มีใครเป็นแบบผมบ้าง หรือว่าเทคโปรฟิทกันไปหมดแล้ว? แชร์กันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 2
ของผมคนละแบบครับ แต่แอบเคืองนิดนึง
สองเดือนนี้กระทิงเข้าสิงสุดๆ: สำหรับผม 62 trading days พอดี ผมดันมีหุ้นอยู่ 2 ตัวที่ไม่ "กระดิก" เลย
สองเดือนนี้กระทิงเข้าสิงสุดๆ: สำหรับผม 62 trading days พอดี ผมดันมีหุ้นอยู่ 2 ตัวที่ไม่ "กระดิก" เลย
value trap
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 3
ที่ว่าไปแบบนั้นเพราะ ผม "คาดเดา" จากการ "สังเกตการ" ว่าการที่มันไม่กระดิกมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากที่พื้นฐานสามารถอธิบายได้อยู่
กลัว ครับ
ปีที่ผ่านมาเจอสองตัวแล้วเรื่องธรรมภิบาล
อย่า jackpot อีกเลย
กลัว ครับ
ปีที่ผ่านมาเจอสองตัวแล้วเรื่องธรรมภิบาล
อย่า jackpot อีกเลย
value trap
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 229
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 4
ถ้าผมเจอพระเครื่องท่่ีดีกว่าและมีคนเสนอขายในราคาที่ถูกกว่า ผมจะแอบขายองค์เก่าแล้วรีบมาซื้อองค์ใหม่ ถ้ายังไม่เจอก็ไม่ขาย แต่รักโลภโกรธหลงเป็นธรรมดามนุษย์ ลดได้ก็ไม่หลงเองครับ ขอให้รำ่รวยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 147
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 5
เป็นเหมือนกัน ถือไปเรื่อยๆ กำไรสองสามเด้ง สุดท้าย กำไรหดมาเหลือไ่ม่ถึงห้าสิบเปอร์.....
ปัญหานี่ ต้องมาทบทวนตัวเอง เกียวกับการวางแผน เป้าหมาย และการคัดเลือกหุ้น ของเรา ว่าได้เลือกได้ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเราหรือยัง ..
ถามว่า เป็นความผิดพลาดไหม !
ส่วนตัวมองว่า เป็นแค่ประสบการณ์ ให้เรา ได้มีมุมมองและคัดเลือกหุ้นตัวใหม่ๆในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
....
หลักการคิดของผมก็คือ ดูที่ตัวเรา และ ดูที่ตัวหุ้น ให้มันมาmatch ตรงกันกับเราด้วย ..
ตัวเรา.....มองยังไง !
จุดบอดอย่างหนึ่งสำหรับคนถือหุ้นระยะยาว หวังผล ปันผลที่ดีขึ้นๆ นั้น ก็ืคือ
ต้องมีความเจ็บปวดจากการที่หุ้นมีความผันผวนอย่างหนัก ....
เสียโอกาสในการกระโดดไปยังหุ้นตัวอื่นที่มีอนาคตมีอัพไซด์ ....
้้เราพร้อมจะรับสถานการณ์แบบนั้นไหม ...
เราเหมาะที่จะเข้าถือหุ้นในเป้าหมายแบบไหน...เอาปันผล ขอกำไรมากกว่าเงินเฟ้อ !
เราไม่ชอบถือระยะสั้น ไม่ชอบวิ่งหาหุ้นไปเรือยๆ ไม่มีเวลาในการมาติดตามข่าว
ไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอทุกวัน
ดังนั้น เขียนมาคร่าวๆเพื่อจะบอกว่า ให้เราเขียนว่าตัวเราเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ว่า เราควรจะเลือกหุ้นกลุ่มไหน
มองที่ตัวหุ้น มองยังไง
ความยากของการดูลักษณะนิสัยหุ้น ก็คือ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป...
ดังนั้น ประสบการณ์ ของเราจะสอนได้ว่า หุ้นตัวนี้ เมื่อผ่านพ้นไประยะหนึ่ง อาจจะมีนิสัยทีเ่ปลียนแปลงจากภาวะธุรกิจของเค้าได้เช่นกัน...
แต่ก็ไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ มีหุ้นหลายๆตัวที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ยาวนานให้เราได้ลงทุนเพียงพอถึงสามสี่ห้าปีข้างหน้า ได้
ผมมีประสบการณ์หุ้นถือมาปีกว่าๆ จากกำไรเกือบสามเด้งลงมาเหลือไม่ถึงสามสิบเปอร์ แต่ก็ยังทนถือได้ ก็ต้องมาทบทวนตัวเองว่า ..
เราเลือกหุ้นได้ถูกตัวหรือไม่ ในกรณีที่เราหวังว่าจะให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นอยู่ในพอร์ทระยะยาวจริงๆ
หรือว่า ในแง่ของธุรกิจแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะถือยาวในอนาคต
เงินกำไรหายไป ไม่ได้เสียดาย แต่เราได้ประสบการณ์ กลับมาในการมองภาพของการลงทุนของเราได้ดีขึ้น..
และคัดเลือกหุ้นให้เหมาะกับจริตเราได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ปัญหานี่ ต้องมาทบทวนตัวเอง เกียวกับการวางแผน เป้าหมาย และการคัดเลือกหุ้น ของเรา ว่าได้เลือกได้ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเราหรือยัง ..
ถามว่า เป็นความผิดพลาดไหม !
ส่วนตัวมองว่า เป็นแค่ประสบการณ์ ให้เรา ได้มีมุมมองและคัดเลือกหุ้นตัวใหม่ๆในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
....
หลักการคิดของผมก็คือ ดูที่ตัวเรา และ ดูที่ตัวหุ้น ให้มันมาmatch ตรงกันกับเราด้วย ..
ตัวเรา.....มองยังไง !
จุดบอดอย่างหนึ่งสำหรับคนถือหุ้นระยะยาว หวังผล ปันผลที่ดีขึ้นๆ นั้น ก็ืคือ
ต้องมีความเจ็บปวดจากการที่หุ้นมีความผันผวนอย่างหนัก ....
เสียโอกาสในการกระโดดไปยังหุ้นตัวอื่นที่มีอนาคตมีอัพไซด์ ....
้้เราพร้อมจะรับสถานการณ์แบบนั้นไหม ...
เราเหมาะที่จะเข้าถือหุ้นในเป้าหมายแบบไหน...เอาปันผล ขอกำไรมากกว่าเงินเฟ้อ !
เราไม่ชอบถือระยะสั้น ไม่ชอบวิ่งหาหุ้นไปเรือยๆ ไม่มีเวลาในการมาติดตามข่าว
ไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอทุกวัน
ดังนั้น เขียนมาคร่าวๆเพื่อจะบอกว่า ให้เราเขียนว่าตัวเราเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ว่า เราควรจะเลือกหุ้นกลุ่มไหน
มองที่ตัวหุ้น มองยังไง
ความยากของการดูลักษณะนิสัยหุ้น ก็คือ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป...
ดังนั้น ประสบการณ์ ของเราจะสอนได้ว่า หุ้นตัวนี้ เมื่อผ่านพ้นไประยะหนึ่ง อาจจะมีนิสัยทีเ่ปลียนแปลงจากภาวะธุรกิจของเค้าได้เช่นกัน...
แต่ก็ไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ มีหุ้นหลายๆตัวที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ยาวนานให้เราได้ลงทุนเพียงพอถึงสามสี่ห้าปีข้างหน้า ได้
ผมมีประสบการณ์หุ้นถือมาปีกว่าๆ จากกำไรเกือบสามเด้งลงมาเหลือไม่ถึงสามสิบเปอร์ แต่ก็ยังทนถือได้ ก็ต้องมาทบทวนตัวเองว่า ..
เราเลือกหุ้นได้ถูกตัวหรือไม่ ในกรณีที่เราหวังว่าจะให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นอยู่ในพอร์ทระยะยาวจริงๆ
หรือว่า ในแง่ของธุรกิจแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะถือยาวในอนาคต
เงินกำไรหายไป ไม่ได้เสียดาย แต่เราได้ประสบการณ์ กลับมาในการมองภาพของการลงทุนของเราได้ดีขึ้น..
และคัดเลือกหุ้นให้เหมาะกับจริตเราได้ดีขึ้นกว่าเดิม
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2333
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 6
รักแบบไม่รู้ตัว หูหนวกตาบอดก็มีหวังเจ็บตัว
รักแบบรู้ตัว เข้าใจสิ่งที่เรารัก (ทั้งความดีและความเสี่ยง) ก็น่าจะไปรอดนะครับ
รักแบบรู้ตัว เข้าใจสิ่งที่เรารัก (ทั้งความดีและความเสี่ยง) ก็น่าจะไปรอดนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 7
ช่วยแชร์มุมมองหน่อยได้มั๊ยครับว่าตอนที่ราคาขึ้นเกือบสามเด้งและไม่ take profit นี่เป็นเพราะมองว่าปัจจัยพื้นฐานตอนนั้นมันยังไปต่อได้อยู่และเราคิดว่ามันจะเกิดเด้งที่สี่ที่ห้า หรือว่ายังไงครับ จะได้เก็บไว้เป็นกรณีศึกษา ขอบคุณล่วงหน้าครับkunjoja เขียน: ผมมีประสบการณ์หุ้นถือมาปีกว่าๆ จากกำไรเกือบสามเด้งลงมาเหลือไม่ถึงสามสิบเปอร์ แต่ก็ยังทนถือได้ ก็ต้องมาทบทวนตัวเองว่า ..
เราเลือกหุ้นได้ถูกตัวหรือไม่ ในกรณีที่เราหวังว่าจะให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นอยู่ในพอร์ทระยะยาวจริงๆ
หรือว่า ในแง่ของธุรกิจแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะถือยาวในอนาคต
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 8
อย่าไปรักหุ้นเดี๋ยวเจ็บตัว
ตามหัวข้อกระทู้ ผมว่ามันกว้างไป
ถ้าอย่าไปรักหุ้นปั่น ผมก็เห็นด้วย
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ยอดขายโต กำไรโต และมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปี ผมว่า รัก ก็ไม่เสียหาย
ส่วนราคาหุ้นก็ขึ้นๆลงๆ ว่ากันไป
ในส่วนที่บอกว่า ได้กำไรหลายท่วม แล้วถือจนไม่เหลือกำไร หรือกำไรลดไปมาก
ก็คงต้องดูอย่างอื่นประกอบ เช่น ทำไมราคาลงขนาดนั้น
แล้วย้อนกลับมาดูว่า ตอนราคาขึ้นไปนั้น อาจจะไม่ได้ขึ้นไปแบบมีพื้นฐานรองรับ
เช่น ยอดขาย ก็ไม่ได้โต กำไรก็ไม่ได้โต แล้วหุ้นขึ้นไป 3 ท่วม
แบบนี้ ก็ไม่น่าจะไปรักแล้ว ขายๆไปซื้อตัวอื่นที่ราคาถูก เมื่อเทียบกับพื้นฐานดีกว่า
ตามหัวข้อกระทู้ ผมว่ามันกว้างไป
ถ้าอย่าไปรักหุ้นปั่น ผมก็เห็นด้วย
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ยอดขายโต กำไรโต และมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปี ผมว่า รัก ก็ไม่เสียหาย
ส่วนราคาหุ้นก็ขึ้นๆลงๆ ว่ากันไป
ในส่วนที่บอกว่า ได้กำไรหลายท่วม แล้วถือจนไม่เหลือกำไร หรือกำไรลดไปมาก
ก็คงต้องดูอย่างอื่นประกอบ เช่น ทำไมราคาลงขนาดนั้น
แล้วย้อนกลับมาดูว่า ตอนราคาขึ้นไปนั้น อาจจะไม่ได้ขึ้นไปแบบมีพื้นฐานรองรับ
เช่น ยอดขาย ก็ไม่ได้โต กำไรก็ไม่ได้โต แล้วหุ้นขึ้นไป 3 ท่วม
แบบนี้ ก็ไม่น่าจะไปรักแล้ว ขายๆไปซื้อตัวอื่นที่ราคาถูก เมื่อเทียบกับพื้นฐานดีกว่า
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 9
อย่าไปผูกพันกับมันมาก อย่าให้ Capital gained จากอารมณ์ของตลาดมาหลอกตา...
เราควรจะมีราคาเป้าหมายที่เราประเมินอย่างละเอียดไว้แล้ว
ขายมันตอนที่มันถึงราคาที่เราประเมิน
เราควรจะพอใจกับสิ่งที่เราได้วิเคราะห์ไว้ และมั่นใจว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว
อย่าไปเสียดายว่ามันจะไปต่ออีก
ถ้ามันยังขึ้นต่อหลังจากที่เราขายไปแล้ว ก็ให้มาลองมองดูตัวเองว่า
เราประเมินอะไรผิดไป ละเลยอะไรไปรึปล่าว...เพื่อที่จะได้เป็นประสบการณ์
อย่าให้ความโลภมาบังตา จนทำให้เราสูญเสียแก่นแท้ของการลงทุนไป
เราควรจะมีราคาเป้าหมายที่เราประเมินอย่างละเอียดไว้แล้ว
ขายมันตอนที่มันถึงราคาที่เราประเมิน
เราควรจะพอใจกับสิ่งที่เราได้วิเคราะห์ไว้ และมั่นใจว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว
อย่าไปเสียดายว่ามันจะไปต่ออีก
ถ้ามันยังขึ้นต่อหลังจากที่เราขายไปแล้ว ก็ให้มาลองมองดูตัวเองว่า
เราประเมินอะไรผิดไป ละเลยอะไรไปรึปล่าว...เพื่อที่จะได้เป็นประสบการณ์
อย่าให้ความโลภมาบังตา จนทำให้เราสูญเสียแก่นแท้ของการลงทุนไป
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 11
การรักการหลงสิ่งใดหนึ่งๆ มากจนเกินไปเกิดจากการที่เราไม่ได้มองสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ถ้าหากว่าเรามองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงเห็นว่าสิ่งนั้นมีข้อดี ข้อเสีย ตามที่มันเป็น และสิ่งที่เราเห็นนั้นมีความไม่เที่ยงเสื่อมไปตามเหตุปัจจัย ประกอบกับสิ่งที่เราเห็นนั้นมีอคติส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะช่วยให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ คลายความรักความหลงที่มีมากจนเกินไปได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับในการลงทุน ผมจะมีหลักช่วยให้มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงดังนั้น
- ให้ความสำคัญกับกิจการและการทำ Valuation มากกว่าการเคลื่อนไหวของราคา
- ไม่มีกิจการอะไรที่ยั่งยืนจีรัง แม้แต่โลกวันนึงก็ต้องแตกสลาย ดังนั้นสิ่งดีๆ ที่เห็นในวันนี้ก็จะเสื่อมสลายลงในอนาคต ดังนั้นจึงควรกลับมาสนใจที่ตัวกิจการ ทั้งสถานะในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- รู้ชัดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้กิจการเป็นไปในทางที่เสื่อมลง และรู้ชัดว่าขณะนี้ราคาหุ้นเป็นไปด้วยความโลภหรือความกลัว ที่ราคา ณ ขณะนี้มี upside และ downside มากขนาดไหน
- ในเมื่อกิจการต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา ดังนั้นหุ้นทุกตัวต้องมีเอาไว้เพื่อขาย ก่อนซื้อต้องตอบตัวเองได้ว่าเราจะขายกิจการนี้ออกไปเพราะอะไร สัญญานอะไรบ้างที่บ่งชี้ว่ากิจการนี้ไม่น่าลงทุนต่อไปแล้ว ทั้งในแง่กลยุทธการลงทุน การบริหารความเสี่ยง การปรับพอร์ตตามโอกาสการลงทุนที่ผ่านเข้ามา รวมไปถึงพื้นฐานกิจการ และราคาหุ้น
- เมื่อลงทุนไปแล้ว ต้องมีกลยุทธในการติดตามผลการลงทุน ผลการดำเนินงาน รวมไปถึงรู้ชัดว่าเราต้องใช้เวลา และแรงงานที่ใส่เข้าไปในการทำการติดตามมากน้อยขนาดไหน รวมไปถึงมีการประเมินผลการลงทุน และปรับแผนระยะสั้นและระยะกลางไปเป็นระยะๆ (แผนระยะยาวไม่ควรปรับบ่อย ถ้าคุณปรับบ่อยแสดงว่าคุณวางกลยุทธผิดแล้ว)
- แผนที่วางต้องมี action ที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนหรือคลุมเคลือจนเกินไป
เมื่อเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง มีการวางแผนการลงทุนที่ถูกต้อง มีการควบคุมจิตใจที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยให้กิเลสนำพาเราให้เขวออกไปจากแผน ก็คงจะทำให้เรายึดมั่นถือมั่นในกิจการๆ หนึ่ง ราคาหุ้นๆ หนึ่งน้อยลง และทำให้รักหลงหุ้นน้อยลงมั้งครับ
สำหรับในการลงทุน ผมจะมีหลักช่วยให้มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงดังนั้น
- ให้ความสำคัญกับกิจการและการทำ Valuation มากกว่าการเคลื่อนไหวของราคา
- ไม่มีกิจการอะไรที่ยั่งยืนจีรัง แม้แต่โลกวันนึงก็ต้องแตกสลาย ดังนั้นสิ่งดีๆ ที่เห็นในวันนี้ก็จะเสื่อมสลายลงในอนาคต ดังนั้นจึงควรกลับมาสนใจที่ตัวกิจการ ทั้งสถานะในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- รู้ชัดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้กิจการเป็นไปในทางที่เสื่อมลง และรู้ชัดว่าขณะนี้ราคาหุ้นเป็นไปด้วยความโลภหรือความกลัว ที่ราคา ณ ขณะนี้มี upside และ downside มากขนาดไหน
- ในเมื่อกิจการต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา ดังนั้นหุ้นทุกตัวต้องมีเอาไว้เพื่อขาย ก่อนซื้อต้องตอบตัวเองได้ว่าเราจะขายกิจการนี้ออกไปเพราะอะไร สัญญานอะไรบ้างที่บ่งชี้ว่ากิจการนี้ไม่น่าลงทุนต่อไปแล้ว ทั้งในแง่กลยุทธการลงทุน การบริหารความเสี่ยง การปรับพอร์ตตามโอกาสการลงทุนที่ผ่านเข้ามา รวมไปถึงพื้นฐานกิจการ และราคาหุ้น
- เมื่อลงทุนไปแล้ว ต้องมีกลยุทธในการติดตามผลการลงทุน ผลการดำเนินงาน รวมไปถึงรู้ชัดว่าเราต้องใช้เวลา และแรงงานที่ใส่เข้าไปในการทำการติดตามมากน้อยขนาดไหน รวมไปถึงมีการประเมินผลการลงทุน และปรับแผนระยะสั้นและระยะกลางไปเป็นระยะๆ (แผนระยะยาวไม่ควรปรับบ่อย ถ้าคุณปรับบ่อยแสดงว่าคุณวางกลยุทธผิดแล้ว)
- แผนที่วางต้องมี action ที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนหรือคลุมเคลือจนเกินไป
เมื่อเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง มีการวางแผนการลงทุนที่ถูกต้อง มีการควบคุมจิตใจที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยให้กิเลสนำพาเราให้เขวออกไปจากแผน ก็คงจะทำให้เรายึดมั่นถือมั่นในกิจการๆ หนึ่ง ราคาหุ้นๆ หนึ่งน้อยลง และทำให้รักหลงหุ้นน้อยลงมั้งครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 12
ชื่นชอบแนวคิดคุณ picatos ครับ ขอคารวะ และอยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องกลยุทธ์ที่คุณ picatos ใช้ทั้งในการขายออกและปัจจัยในการสับเปลี่ยนหุ้น ระยะเวลาการถือครองที่สั้นที่สุด และนานที่สุด พร้อมทั้งเหตุผลในการถือสั้นและถือยาวที่สุดนั้น จะเป็นประโยชน์มากครับpicatos เขียน: สำหรับในการลงทุน ผมจะมีหลักช่วยให้มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงดังนั้น
- ให้ความสำคัญกับกิจการและการทำ Valuation มากกว่าการเคลื่อนไหวของราคา
- ไม่มีกิจการอะไรที่ยั่งยืนจีรัง แม้แต่โลกวันนึงก็ต้องแตกสลาย ดังนั้นสิ่งดีๆ ที่เห็นในวันนี้ก็จะเสื่อมสลายลงในอนาคต ดังนั้นจึงควรกลับมาสนใจที่ตัวกิจการ ทั้งสถานะในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- รู้ชัดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้กิจการเป็นไปในทางที่เสื่อมลง และรู้ชัดว่าขณะนี้ราคาหุ้นเป็นไปด้วยความโลภหรือความกลัว ที่ราคา ณ ขณะนี้มี upside และ downside มากขนาดไหน
- ในเมื่อกิจการต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา ดังนั้นหุ้นทุกตัวต้องมีเอาไว้เพื่อขาย ก่อนซื้อต้องตอบตัวเองได้ว่าเราจะขายกิจการนี้ออกไปเพราะอะไร สัญญานอะไรบ้างที่บ่งชี้ว่ากิจการนี้ไม่น่าลงทุนต่อไปแล้ว ทั้งในแง่กลยุทธการลงทุน การบริหารความเสี่ยง การปรับพอร์ตตามโอกาสการลงทุนที่ผ่านเข้ามา รวมไปถึงพื้นฐานกิจการ และราคาหุ้น
- เมื่อลงทุนไปแล้ว ต้องมีกลยุทธในการติดตามผลการลงทุน ผลการดำเนินงาน รวมไปถึงรู้ชัดว่าเราต้องใช้เวลา และแรงงานที่ใส่เข้าไปในการทำการติดตามมากน้อยขนาดไหน รวมไปถึงมีการประเมินผลการลงทุน และปรับแผนระยะสั้นและระยะกลางไปเป็นระยะๆ (แผนระยะยาวไม่ควรปรับบ่อย ถ้าคุณปรับบ่อยแสดงว่าคุณวางกลยุทธผิดแล้ว)
- แผนที่วางต้องมี action ที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนหรือคลุมเคลือจนเกินไป
เมื่อเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง มีการวางแผนการลงทุนที่ถูกต้อง มีการควบคุมจิตใจที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยให้กิเลสนำพาเราให้เขวออกไปจากแผน ก็คงจะทำให้เรายึดมั่นถือมั่นในกิจการๆ หนึ่ง ราคาหุ้นๆ หนึ่งน้อยลง และทำให้รักหลงหุ้นน้อยลงมั้งครับ
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 14
น้องตี๋ +1 ครับ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 15
ผมว่ากลยุทธการลงทุนแต่ละคนก็น่าจะแตกต่างกันออกไป ผมคิดว่าการเลือกกลยุทธในการลงทุนน่าขึ้นอยู่กับviim เขียน:...
อยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องกลยุทธ์ที่คุณ picatos ใช้ทั้งในการขายออกและปัจจัยในการสับเปลี่ยนหุ้น ระยะเวลาการถือครองที่สั้นที่สุด และนานที่สุด พร้อมทั้งเหตุผลในการถือสั้นและถือยาวที่สุดนั้น จะเป็นประโยชน์มากครับ
- ความรู้ความเข้าใจในกิจการและการลงทุน
- จริต นิสัย
- ขนาดของพอร์ต
- ผลตอบแทนที่คาดหวัง
- เวลาที่ให้กับการลงทุนได้
ซึ่งภาพใหญ่ในเชิงกลยุทธการลงทุนจะเป็นตัวกำหนดภาพย่อยในการขาย สับเปลี่ยนหุ้น และระยะเวลาในการถือครอง
โดยส่วนตัวขณะนี้ผมกำลังอยู่ระหว่างค่อยๆ ถอย ค่อยถอนตัวออกจากการลงทุนไปเรื่อยๆ ขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น ความสำเร็จในการลงทุนที่รู้สึกว่าพอเพียง และพอใจแล้ว ทำให้เป้าต่างๆ จะค่อยๆ ปรับลดลงไปตามความต้องการที่ลดลง ในขณะที่ช่วงลงทุนแรกๆ เป็นช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวที่ต้องกล้ารับความเสี่ยงเยอะ กลยุทธการขายการถือของทั้ง 2 ช่วงก็จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ตอบค่อนข้างยาก และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
แต่โดยสรุปแล้วกลยุทธในการขายของผมมีดังนี้
- เมื่อราคาอยู่ที่ช่วงที่ไม่มี MOS ผมจะมี indicator ขั้นต้นในการที่จะเตรียมขาย ที่ต่างกันของหุ้นแต่ละตัว หุ้น growth ผมจะดูที่สถานะการแข่งขัน ไปจนถึงการเติบโตที่ลดลง หุ้นโรงงานผมจะดูที่ Relative Value เมื่อเทียบกับโรงงานที่ใกล้เคียงกัน เป็นต้น
- เมื่อมีสัญญานขั้นต้นผมจะเริ่มให้น้ำหนักกับเทคนิคมากขึ้น เพราะ ผมถือว่าหุ้นจะอยู่ในช่วงที่มูลค่าตึงๆ อาจจะมีการ Sell off เมื่อไหร่ก็ได้
- ถ้าสัดส่วนหุ้นตัวนั้นมีอยู่เยอะ สภาพคล่องไม่เยอะ หรือมีการลงทุนอื่นที่ Upside เยอะกว่า ผมจะทะยอยขายระหว่างทางไปเข้าตัวอื่น
- ถ้าสัญญานทางเทคนิคของตลาดภาพใหญ่เริ่มดูมีปัญหา และพอร์ตมีมาร์จิ้น ก็จะทะยอยขายหุ้นที่มูลค่าตึงๆ กิจการที่มีภาพลบบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น หรือไม่มี MOS ออกไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการเล่นมาร์จิ้น
- ถ้าวันดีคืนดีเกิดเจอหุ้นเทพ upside มโหฬารก็ขายไปเข้าเช่นกัน
- ถ้าเป็นหุ้นเทพที่สามารถถือได้ตลอดชีวิตราคา undervalue มากๆ มี catalyst ชัด ก็จะมีการแบ่งสัดส่วนขาย ส่วนหนึ่งตอนหุ้นหาย under ส่วนหนึ่งตอนที่ catalyst drive ราคาขึ้นไปแล้วต้อง trim out อีกส่วนหนึ่งตอน technical เสีย และอีกส่วนหนึ่งถือยาว
- แต่ถ้าหุ้นคุณภาพไม่ดีมากนัก ก็จะไม่มีส่วนถือยาว
ระยะเวลาการถือนี่ไม่แน่ไม่นอนครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เยอะ บางช่วงบางตัวผมถือหลายปี บางช่วง บางตัวผมถือเป็นเดือน แต่ส่วนใหญ่อย่างต่ำผมมี 3 เดือน เพราะ กลยุทธการลงทุนของผม คือ เราต้องอ่านความโลภความกลัวในอนาคตให้ออก ผ่านการประเมินกิจการที่จะเกิดขึ้น และ Story ที่คาดว่าจะเกิด อนาคตที่สั้นๆ ไม่ค่อยทำกำไรสักเท่าไหร่ ต้องไกลออกไป 6 เดือน ถึง 1 ปี และหลายๆ ครั้งตลาดจะรับรู้อนาคตล่วงหน้าสัก 3-6 เดือน ดังนั้นอยากชนะตลาดต้องอ่าน 6 เดือน ถึง 1 ปี
คิดออกเท่านี้ มั้ง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 16
แหะๆ พอดีกำลังอ่านหนังสือเรื่อง "หัวใจกรรมฐาน" อยู่ และได้อ่านความหมาย และการตีความของคำว่า "สัมปชัญญะ" ที่อธิบายโดยพระญาณโปนิกเถระ ที่แสนจะจับใจ เลยเขียนออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ชัดมั้งครับ 555janont เขียน:ผมชอบคำว่า รู้ชัดว่าขณะนี้ ของคุณ picatos จริงๆ เข้าใจว่าคงมองเห็นความเคลื่อนไหวของจิตใจภายในอยู่ตลอดเวลา
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณครับ picatos ในเบื้องต้นขอผมทำความเข้าใจที่เขียนข้างต้นก่อน เพราะมีอะไรหลายอย่างแฝงในนั้น ถ้ามีอะไรจะขอคำแนะนำอีก ผมทำความเข้าใจเพื่อทราบแนวคิด แต่ไม่ลอกนะครับ เพราะแต่ละคนก็คงต้องเรียนรู้ ปรับปรุงเพื่อให้เข้ากับจริตของตนเอง และการอ่านวิธีคิดของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็เป็นอะไรที่ดีครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 475
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 19
หุยรักหุ้นนะ คือแบบขายไปแล้วก็ยังดูอยู่ห่างๆ ไม่ทิ้งไปเลย
แต่รักหุ้น กับหวงหุ้นมันไม่เหมือนกัน ถ้าเค้าเจอคนที่ offer สิ่งที่ดีกว่า (ราคาแพงกว่า) เราก็ต้องปล่อยเค้าไป
รอเค้า undervalue อีกครั้งถ้าเรายังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็กลับมารับเค้าใหม่อีกที
แต่รักหุ้น กับหวงหุ้นมันไม่เหมือนกัน ถ้าเค้าเจอคนที่ offer สิ่งที่ดีกว่า (ราคาแพงกว่า) เราก็ต้องปล่อยเค้าไป
รอเค้า undervalue อีกครั้งถ้าเรายังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็กลับมารับเค้าใหม่อีกที
HOPE FAITH LOVE
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 20
อืม... โพสต์ได้สมกะเป็นคนที่คนกะลังอินกับความรัก... อ่านแล้วเห็นภาพเลย...pdGrff เขียน:หุยรักหุ้นนะ คือแบบขายไปแล้วก็ยังดูอยู่ห่างๆ ไม่ทิ้งไปเลย
แต่รักหุ้น กับหวงหุ้นมันไม่เหมือนกัน ถ้าเค้าเจอคนที่ offer สิ่งที่ดีกว่า (ราคาแพงกว่า) เราก็ต้องปล่อยเค้าไป
รอเค้า undervalue อีกครั้งถ้าเรายังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็กลับมารับเค้าใหม่อีกที
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 22
บทความเรื่อง : ความเชื่อ ความหวัง ความฝัน และ ความจริง
By pak
"อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว"
ประโยคที่ผมอ่าน และเก็บมานั่งขบคิดถึงประโยคนี้อยู่หลายวันทีเดียว
สำหรับบางบริษัทฯ...
ไม่ว่าจะปี 2538 , ปี 2540 จนถึงปีปัจจุบัน นั้น
ไม่ว่า Set หรือราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังเป็นคนเดิมอยู่!!!
บ้างถือหุ้นในจำนวนและสัดส่วนที่เท่าเดิม ,บ้างเพิ่มมากขึ้น และบ้างก็ลดลง
ผมถามตัวเองว่า "หัวใจของเค้า...รู้สึกเช่นไร?"
และผมพยายามเรียนรู้ที่จะรู้สึกให้คล้ายเช่นนั้น
หุ้น...บางคนเรียกว่า "Share" หรือ "Stock"
แต่สำหรับผมแล้ว
หุ้น...มันหมายถึง "หุ้นส่วน" และผมเรียกมันว่า "Partnership"
ดังนั้น ผมจึงไม่เคย "เล่นหุ้น"
แต่ผมคิดเสมอว่า...
ผมกำลังตัดสินใจ เป็น Partnership กับบริษัทฯที่ผมมองเห็นโอกาสในการเติบโตในอนาคต
"ความเชื่อ"...คือ สิ่งที่อยู่ในใจ เป็นผลมาจากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
"ความหวัง"...คือ อนาคตที่เราวาดไว้ อันเนื่องมาจากความเชื่อ
"ความฝัน"...คือ สิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า โดยใช้ความเชื่อและความฝัน
และ "ความจริง"....คือ การเฉลยข้อสอบของ "ความเชื่อ" ของเรา ว่ามันเป็นความเชื่อที่ถูก หรือ ความเชื่อที่ผิดกันแน่?
ในกระดานการซื้อขายของหุ้น
มี 361 วัน...ที่เราเทรดกันด้วยความเชื่อ ความหวัง และความฝัน
แต่จะมีเพียง 4 วันเท่านั้น...ที่เราจะเทรดกันด้วยความจริง นั่นก็คือวันที่ประกาศผลประกอบการออกมานั่นเอง!!!
ไม่เกิน 5 วันทำการแล้วนะครับ...."ความจริง" ทั้งหมดจะประกาศออกมา
การเฉลยข้อสอบครั้งนี้ คงจะต้องมีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง
ท้ายที่สุด นี้...
เวลามีคนถามผมว่า "ถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง?"
ผมมักจะตอบว่า
ผมมีหุ้นของบริษัท A อยู่จำนวน XXX หุ้น ติดเป็นสัดส่วน YYY% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยไม่คำนึงถึง "ราคาบนกระดาน" และ "ต้นทุนของตัวเอง" เพราะมันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
วันและเวลาที่ผ่านไป ผมค่อยๆเรียนรู้และสร้างวิธีคิดของตัวเอง
จนทำให้...
"ราคาที่เปลี่ยนแปลง(บนกระดาน)"...ไม่(ค่อย)สามารถสร้างความหวั่นไหวให้จิตใจของผมได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ "ผลประกอบการ" ต่างหาก...ที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหว จนแทบเกินห้ามใจ ^ ^
ม้าทั้ง 3 ตัว...ที่ผมเลือกไว้
ผู้บริหาร(มือฉมัง)ทั้ง 3 คน...ที่ผมเลือกที่จะไว้ใจและเชื่อมั่น
บริษัททั้ง 3 แห่ง...ที่ผมเลือกที่จะรัก และลงเรือลำเดียวกันในรูปแบบของ Partnership
ถ้าผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ...ผมคงไม่ขายความเป็นเจ้าของของตัวเอง
ถ้าผมไม่มีบริษัทฯที่เย้ายวนมากกว่า ราคาถูกกว่า และผมอยากเป็นเจ้าของมากกว่า...ผมก็คงไม่ขายความเป็นเจ้าของในบริษัทฯเดิมของผมทั้ง 3 แห่งเช่นกัน
เขียนวกไป วนมา ก็ทำให้คิดถึงเพลงอยู่ 2 เพลง คือ
เพลงแรกของบิ๊กแอส ที่ร้องว่า "รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง(Long)"
และเพลงที่สองของชรินทร์ ที่ร้องเริ่มต้นว่า...
"ฉันรักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น"
และร้องจบท้ายด้วยว่า "ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา..."
เพราะผมมีแนวคิดว่า...
ถ้าเราเป็น Partnetship ร่วมกันแล้ว...ถ้าโตเราก็โตด้วยกัน ถ้าเจ็บเราก็เจ็บด้วยกัน
เลือกภรรยา เหมือน ซื้อล็อตเตอรี่
เลือกบริษัทฯที่จะลงทุน...มันก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน
สรุปว่า ผมขอเลือกที่จะ "รัก" บริษัทฯที่ผมจะลงทุนนะขอรับ
(^_^)
By pak
"อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว"
ประโยคที่ผมอ่าน และเก็บมานั่งขบคิดถึงประโยคนี้อยู่หลายวันทีเดียว
สำหรับบางบริษัทฯ...
ไม่ว่าจะปี 2538 , ปี 2540 จนถึงปีปัจจุบัน นั้น
ไม่ว่า Set หรือราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังเป็นคนเดิมอยู่!!!
บ้างถือหุ้นในจำนวนและสัดส่วนที่เท่าเดิม ,บ้างเพิ่มมากขึ้น และบ้างก็ลดลง
ผมถามตัวเองว่า "หัวใจของเค้า...รู้สึกเช่นไร?"
และผมพยายามเรียนรู้ที่จะรู้สึกให้คล้ายเช่นนั้น
หุ้น...บางคนเรียกว่า "Share" หรือ "Stock"
แต่สำหรับผมแล้ว
หุ้น...มันหมายถึง "หุ้นส่วน" และผมเรียกมันว่า "Partnership"
ดังนั้น ผมจึงไม่เคย "เล่นหุ้น"
แต่ผมคิดเสมอว่า...
ผมกำลังตัดสินใจ เป็น Partnership กับบริษัทฯที่ผมมองเห็นโอกาสในการเติบโตในอนาคต
"ความเชื่อ"...คือ สิ่งที่อยู่ในใจ เป็นผลมาจากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
"ความหวัง"...คือ อนาคตที่เราวาดไว้ อันเนื่องมาจากความเชื่อ
"ความฝัน"...คือ สิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า โดยใช้ความเชื่อและความฝัน
และ "ความจริง"....คือ การเฉลยข้อสอบของ "ความเชื่อ" ของเรา ว่ามันเป็นความเชื่อที่ถูก หรือ ความเชื่อที่ผิดกันแน่?
ในกระดานการซื้อขายของหุ้น
มี 361 วัน...ที่เราเทรดกันด้วยความเชื่อ ความหวัง และความฝัน
แต่จะมีเพียง 4 วันเท่านั้น...ที่เราจะเทรดกันด้วยความจริง นั่นก็คือวันที่ประกาศผลประกอบการออกมานั่นเอง!!!
ไม่เกิน 5 วันทำการแล้วนะครับ...."ความจริง" ทั้งหมดจะประกาศออกมา
การเฉลยข้อสอบครั้งนี้ คงจะต้องมีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง
ท้ายที่สุด นี้...
เวลามีคนถามผมว่า "ถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง?"
ผมมักจะตอบว่า
ผมมีหุ้นของบริษัท A อยู่จำนวน XXX หุ้น ติดเป็นสัดส่วน YYY% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยไม่คำนึงถึง "ราคาบนกระดาน" และ "ต้นทุนของตัวเอง" เพราะมันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
วันและเวลาที่ผ่านไป ผมค่อยๆเรียนรู้และสร้างวิธีคิดของตัวเอง
จนทำให้...
"ราคาที่เปลี่ยนแปลง(บนกระดาน)"...ไม่(ค่อย)สามารถสร้างความหวั่นไหวให้จิตใจของผมได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ "ผลประกอบการ" ต่างหาก...ที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหว จนแทบเกินห้ามใจ ^ ^
ม้าทั้ง 3 ตัว...ที่ผมเลือกไว้
ผู้บริหาร(มือฉมัง)ทั้ง 3 คน...ที่ผมเลือกที่จะไว้ใจและเชื่อมั่น
บริษัททั้ง 3 แห่ง...ที่ผมเลือกที่จะรัก และลงเรือลำเดียวกันในรูปแบบของ Partnership
ถ้าผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ...ผมคงไม่ขายความเป็นเจ้าของของตัวเอง
ถ้าผมไม่มีบริษัทฯที่เย้ายวนมากกว่า ราคาถูกกว่า และผมอยากเป็นเจ้าของมากกว่า...ผมก็คงไม่ขายความเป็นเจ้าของในบริษัทฯเดิมของผมทั้ง 3 แห่งเช่นกัน
เขียนวกไป วนมา ก็ทำให้คิดถึงเพลงอยู่ 2 เพลง คือ
เพลงแรกของบิ๊กแอส ที่ร้องว่า "รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง(Long)"
และเพลงที่สองของชรินทร์ ที่ร้องเริ่มต้นว่า...
"ฉันรักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น"
และร้องจบท้ายด้วยว่า "ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา..."
เพราะผมมีแนวคิดว่า...
ถ้าเราเป็น Partnetship ร่วมกันแล้ว...ถ้าโตเราก็โตด้วยกัน ถ้าเจ็บเราก็เจ็บด้วยกัน
เลือกภรรยา เหมือน ซื้อล็อตเตอรี่
เลือกบริษัทฯที่จะลงทุน...มันก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน
สรุปว่า ผมขอเลือกที่จะ "รัก" บริษัทฯที่ผมจะลงทุนนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 23
ผมชอบแนวคิดพี่ปั๊ก แต่ขออนุญาตเสริมนิดหน่อย
รักธุรกิจที่ดีได้ แต่อย่ามีอคติจนเกินไป
หมั่นดูสติ ตรวจสอบอารมณ์ตัวเองไปด้วย
รักธุรกิจที่ดีได้ แต่อย่ามีอคติจนเกินไป
หมั่นดูสติ ตรวจสอบอารมณ์ตัวเองไปด้วย
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 24
ผมก็เลือกที่จะรัก บ. ดีๆ นะครับ
เพราะ ผมเองไม่ใช้ full time investor ที่ต้องพึ่ง capital gain
ผมพอใจที่จะรับปันผล และเติบโตพร้อม บ. ไปเรื่อย
และก็ไม่รีบที่จะรวย
ชอบคำว่า partnership ของคุณ PAK
และชอบแนวคิดของ ดร ที่เลือกหุ้นเหมือนเลือกภรรยา
แต่บางตัวก็ยอมรับว่าซื้อ เพราะเก็งกำไร
ก็ต้องใช้หลักของ คุณ Picatos
สรุปก็มีทั้ง 2 แบบ ครับ
เพราะ ผมเองไม่ใช้ full time investor ที่ต้องพึ่ง capital gain
ผมพอใจที่จะรับปันผล และเติบโตพร้อม บ. ไปเรื่อย
และก็ไม่รีบที่จะรวย
ชอบคำว่า partnership ของคุณ PAK
และชอบแนวคิดของ ดร ที่เลือกหุ้นเหมือนเลือกภรรยา
แต่บางตัวก็ยอมรับว่าซื้อ เพราะเก็งกำไร
ก็ต้องใช้หลักของ คุณ Picatos
สรุปก็มีทั้ง 2 แบบ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 25
เปนแนวคิดการลงทุนที่ทำให้ผมสบายใจ สามารถทำงานพร้อมลงทุนไปด้วยkawee019 เขียน:น่าจะลองเทคนิค ตกแต่งสวนของคุณเทพนะครับ ขายบางส่วนเมื่อราคาพอใจ..
ทยอยซื้อเมื่อราคาต่ำกว่าที่คาดไว้..
โดยที่เราไม่ต้องเร่งทำให port เราเติบโต จนไม่สบายใจในการลงทุนไป
ผมชอบที่จะเอาเวลาว่าง มาทำสิ่งที่มีความสุข ในการศึกษาการลงทุนไปเรื่อยๆ
แต่หากต้องมานั่งลงทุนอย่างเครียด เพื่อผลตอบแทนสูงสุด เพื่อการยอมรับของสังคม
บางครั้ง มันไม่ทำให้เกิดความสุขขึ้น กลับกลายเป็นสิ่งที่มากดดันในชีวิต
ทำให้เกิดความโลภมากเกินไป จนมองเห็นแต่ด้านดี ทำให้มีการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ผมพอใจกับ port เล็กๆ ที่ค่อยๆ โตครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 26
ขอโทษครับจะกดlike ดันไปโดนunlike แง แง แก้ไม่ได้chiraponge เขียน:เปนแนวคิดการลงทุนที่ทำให้ผมสบายใจ สามารถทำงานพร้อมลงทุนไปด้วยkawee019 เขียน:น่าจะลองเทคนิค ตกแต่งสวนของคุณเทพนะครับ ขายบางส่วนเมื่อราคาพอใจ..
ทยอยซื้อเมื่อราคาต่ำกว่าที่คาดไว้..
โดยที่เราไม่ต้องเร่งทำให port เราเติบโต จนไม่สบายใจในการลงทุนไป
ผมชอบที่จะเอาเวลาว่าง มาทำสิ่งที่มีความสุข ในการศึกษาการลงทุนไปเรื่อยๆ
แต่หากต้องมานั่งลงทุนอย่างเครียด เพื่อผลตอบแทนสูงสุด เพื่อการยอมรับของสังคม
บางครั้ง มันไม่ทำให้เกิดความสุขขึ้น กลับกลายเป็นสิ่งที่มากดดันในชีวิต
ทำให้เกิดความโลภมากเกินไป จนมองเห็นแต่ด้านดี ทำให้มีการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ผมพอใจกับ port เล็กๆ ที่ค่อยๆ โตครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 27
เยี่ยมครับ ทุกความเห็น
ผมคงต้องขอลอง(Long) บ้างครับ เคยใช้คลายเครียดเรโชเอาทุนกลับมาแล้ว แต่เค้ายังคงวิ่งต่อ
สาขาก็ยังขยายต่อไปเรื่อยๆ ไว้จำนวนสาขาอิ่มตัว ยอดขายไม่กระเตื้อง ค่อยพิจรณาอีกที
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
ผมคงต้องขอลอง(Long) บ้างครับ เคยใช้คลายเครียดเรโชเอาทุนกลับมาแล้ว แต่เค้ายังคงวิ่งต่อ
สาขาก็ยังขยายต่อไปเรื่อยๆ ไว้จำนวนสาขาอิ่มตัว ยอดขายไม่กระเตื้อง ค่อยพิจรณาอีกที
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
- Luty97
- Verified User
- โพสต์: 1520
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว
โพสต์ที่ 28
ในแนวทางของผม ผมว่าค่อนข้างจะแตกต่างไป...
ผมมองหุ้นเป็นเหมือนสิ่งของชิ้นหนึ่ง เรื่องรักหุ้นคงไม่ค่อยมีมากนัก มีแต่ติดหุ้น เนื่องจากสภาคล่องมากกว่า คือขายไม่ได้เมื่อคิดผิด
โดยผมจะสแกนหุ้นในขอบเขตความรู้ของผมอยู่เสมอ และหาหุ้นที่มีอัพไซด์สูงๆ เนื่องจากผลการดำเนินงานได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
โดยให้ความสำคัญกับ upside vs ความแน่นอน
ไม่มีสูตรสำเร็จในการให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่า
เมื่อเลือกหุ้นได้ ผมก็ถือจนกว่าจะหุ้นจนกว่าจะขึ้นถึงเป้าหมาย หรือเจอตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่าครับ
แต่ผมว่าจุดยากอยู่ตรงที่ ความแน่นอนที่จะเป็นไปตามที่เราคาดเนี้ยแหละครับ
ผมทำตามนี้ เท่าที่ผ่านมา ผลตอบแทนก็น่าพอใจในระดับหนึ่งครับ
ผมมองหุ้นเป็นเหมือนสิ่งของชิ้นหนึ่ง เรื่องรักหุ้นคงไม่ค่อยมีมากนัก มีแต่ติดหุ้น เนื่องจากสภาคล่องมากกว่า คือขายไม่ได้เมื่อคิดผิด
โดยผมจะสแกนหุ้นในขอบเขตความรู้ของผมอยู่เสมอ และหาหุ้นที่มีอัพไซด์สูงๆ เนื่องจากผลการดำเนินงานได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
โดยให้ความสำคัญกับ upside vs ความแน่นอน
ไม่มีสูตรสำเร็จในการให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่า
เมื่อเลือกหุ้นได้ ผมก็ถือจนกว่าจะหุ้นจนกว่าจะขึ้นถึงเป้าหมาย หรือเจอตัวใหม่ที่น่าสนใจกว่าครับ
แต่ผมว่าจุดยากอยู่ตรงที่ ความแน่นอนที่จะเป็นไปตามที่เราคาดเนี้ยแหละครับ
ผมทำตามนี้ เท่าที่ผ่านมา ผลตอบแทนก็น่าพอใจในระดับหนึ่งครับ
หลักของความสมดุล