การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
little wing
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 187
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 9:49 pm | 0 คอมเมนต์
โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กรกฎาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งในแวดวงของนักลงทุนที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ มีคนหนุ่ม (ที่เป็นสาวมีน้อยมาก) จำนวนไม่น้อย ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่หรือก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คนหนุ่มเหล่านี้ บางคนแทบจะไม่เคยทำงานเป็นพนักงานของหน่วยงานใด บางคนอาจจะทำงานกับธุรกิจ “ที่บ้าน” ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หลายคนก็ “ทำงานไปอย่างนั้นเอง” แต่ชีวิตจิตใจอาจจะอยู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่งก็คือ คนหนุ่มบางคนดังกล่าวนั้น หลังจากที่ผ่านการลงทุนมาไม่กี่ปี ด้วยเงินที่น้อยมาก บัดนี้ พวกเขาได้กลายเป็น “เศรษฐี” มีเงินหลายสิบล้าน หรือบางคนเป็นร้อยล้านบาทตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ปี ผมพยายามวิเคราะห์หาว่า พวกเขาทำอย่างไรจึงสามารถสร้างตนเองให้ร่ำรวยได้เร็วขนาดนั้น และต่อไปนี้คือเส้นทางของพวกเขาที่ผมจินตนาการขึ้น โดยอิงจากการที่ผมได้สัมผัสกับพวกเขาหลาย ๆ คน นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย “ร่วมสมัย”
คุณไว (มาจากภาษาอังกฤษว่า VI) เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 250,000 บาท ด้วยความทุ่มเทเขาศึกษาการลงทุนอย่างหนัก ทั้งในด้านของการลงทุนแบบพื้นฐานและความคิดแบบนักเท็คนิค นอกจากนั้น เขาเข้าร่วมอบรมและสัมมนาจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้รู้จักนักลงทุนร่วมอุดมการณ์จำนวนมากทั้งผ่านเวบไซ้ต์การลงทุนและการเข้าร่วมในกิจกรรมการลงทุนต่าง ๆ เช่นในงานแนะนำหรือเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน เขาเริ่มเห็นว่า มีบริษัทที่มี “คุณภาพดี” จำนวนไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็มีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นมาก หลายตัวมีราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน เขาเริ่ม “จับได้” ว่า หุ้นเหล่านี้มักมีคุณสมบัติและ “พฤติกรรม” อย่างไร และเมื่อเขาเห็น เขาก็ทุ่มเงินทั้งหมดซื้อหุ้นตัวนั้นพร้อม ๆ กับการใช้ มาร์จิน หรือกู้เงินจากโบรกเกอร์อีกเท่าตัวมาซื้อหุ้น ครั้งแรกด้วยเม็ดเงิน 500,000 แสนบาท
หุ้นที่ซื้อมีราคาเพิ่มขึ้นตามคาด จาก 500,000 บาทเป็น 750,000 บาทภายในเวลาเพียงเดือนเดียว เขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไรที่ได้ด้วยเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังเพิ่มขึ้นอีกและเขาก็สั่งซื้อหุ้นเพิ่มอีกตามวงเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้นอีก ในบางช่วงเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เขาก็ขายไปบ้างและก็กลับไปซื้อใหม่เมื่อหุ้นปรับตัวลง พอผ่านไป 3 เดือน เมื่อหุ้นเริ่ม “นิ่ง” นั่นคือ การวิ่งขึ้นลงของราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายเริ่มลดน้อยลง เขาก็ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เม็ดเงินที่เหลือของเขาก็คือ 1,000,000 บาท เขาทำกำไร 300 เปอร์เซ็นต์หรือ 3 เท่าภายในเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นหุ้นตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้าย ๆ กับหุ้นตัวเดิม ว่าที่จริงจะเรียกว่าเห็นก็ไม่ใช่ เพราะเขาได้รับรู้ผ่าน “เครือข่าย” เพื่อนนักลงทุนที่คบค้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเช่นเดิม เขาทุ่มเงิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่พร้อม ๆ กับการใช้มาร์จินเต็มอัตราอีก 1 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ และก็เช่นเคย หุ้นวิ่งตามคาด แต่เขาก็ใช้เวลายาวกว่าหุ้นตัวเดิมในการทำเงินจาก 2 ล้านบาทเป็น 3 ล้านบาท ซึ่งหลังจากหักเงินกู้มาร์จิน เขาเหลือเงิน 2 ล้านบาทเมื่อลงทุนมาครบปีแรก เงิน 250,000 บาท กลายเป็นเงิน 2 ล้านบาทหลังจากลงทุนเพียง 1 ปี ผลตอบแทนคือ 700% ในหนึ่งปี เงินโตขึ้นมาเป็น 8 เท่า เขาเห็นแล้วว่านี่คือ “มหัศจรรย์” ของการลงทุน ในแบบ “ของเขา”
เงิน 2 ล้านบาทของเขายังคงถูกใช้ในการลงทุนตาม “สูตรเดิม” แต่มีการปรับเปลี่ยนบ้าง เขาเริ่มมีหุ้นเล่น 2-3 ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้เงินมาร์จินก็มีการปรับลดลง จากเดิม 100% ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 80% เหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่เจอหุ้นตัวที่ “ใช่” ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างปีก่อน นอกจากนั้น เขาเริ่มกลัวบ้างว่า การเล่นหุ้นตัวเดียวและใช้มาร์จินเต็มที่นั้นอันตราย เขาอาจจะพลาดได้ ว่าที่จริง เขาก็เคยพลาดจากหุ้นบางตัวแต่โชคดีที่เขา “ออก” ได้ทัน ปีที่สองนี้ พอร์ตของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านบาท ผลตอบแทนเท่ากับ 100% แต่เขารู้สึกค่อนข้าง “ผิดหวัง” เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของปีก่อนแล้ว มันน้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลตอบแทนของเขาแพ้เพื่อนในกลุ่มอย่าง “ยับเยิน”
ปีที่สามของเขาผ่านไปอย่าง “ยากลำบาก” เนื่องจากเกิด “ภาวะวิกฤติ” ผลตอบแทนของเขาติดลบถึง 25% เงินในพอร์ตเหลือ 3 ล้านบาท สูตรที่เคยใช้การได้ดีกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หุ้นที่เขาเข้าลงทุนมีราคาลดลงอย่างมาก โชคยังดีที่เขาไม่ถูก “บังคับขาย” เพื่อรักษาอัตรามาร์จินไว้ อย่างไรก็ตาม พอขึ้นปีที่สี่ ทุกอย่างก็กลับมาสดใสดังเดิม เขามีความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาก ในบางครั้งเขาไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ตาม” แต่เขาเป็น “ผู้นำ” ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและ “ผลักดัน” ราคาหุ้นให้ขึ้นไปด้วย สิ้นปีที่สี่ พอร์ตของเขาก็ผ่านหลัก 10 ล้านไปได้เหมือน “ฝัน” เขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็น คนที่มีความสามารถสูงแม้ว่าอายุยังน้อย
ปีที่ห้าของคุณไวนั้น เขาเริ่มมีหุ้นหลายตัวมากขึ้น การใช้มาร์จินก็ลดลง เฉลี่ยแล้วเขาอาจจะใช้เพียง 50% เขาเริ่มเห็นว่าการรักษาเงินต้นไว้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การทำเงินมาก ๆ แต่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ยังสดใสและ “สูตร” การลงทุนของเขาก็ยังทำงานได้ดี ว่าที่จริง ในช่วงหลัง ๆ นี้ สื่อมวลชนโดยเฉพาะที่เป็นสื่อสมัยใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้น ได้ช่วยให้มีการเผยแพร่สูตรสำเร็จในการลงทุนรวมถึงตัวหุ้นที่น่าสนใจได้มากและเร็วขึ้น ทำให้พอร์ตการลงทุนของเขาโตขึ้นอีก 100% เขามีเงิน 20 ล้านและถือว่าเป็นเศรษฐีน้อย ๆ คนหนึ่ง พ่อแม่เขาภาคภูมิใจมากที่ลูกสามารถหาเงินได้มากและกลายเป็น “เศรษฐี” คนแรกของ “เครือญาติ” เพื่อนฝูงและคนรู้จักยอมรับในฝีมือและความสามารถของเขา บางคนถือว่าเขาเป็น “กูรู” คนหนึ่งของวงการหุ้น
ปีที่หกเริ่มต้นมาด้วยตลาดหุ้นที่ไม่สดใสนัก พอร์ตของคุณไวไม่ใคร่จะไปไหน ขณะนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าหุ้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด เงิน 20 ล้านของเขานั้น มันหมายถึงชีวิตที่ดี ๆ ที่เขาต้องรักษาไว้โดยให้มีความเสี่ยงน้อยลง แน่นอน เขาอยากได้ผลตอบแทนมาก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เขาก็ไม่อยากรับ มาร์จินที่เขาเคยใช้เต็มอัตรานั้น ขณะนี้ลดลงมาก บางช่วงเขาก็ไม่ได้ใช้เลย หุ้นที่เคยมีอยู่เพียง 2-3 ตัวก็กลายเป็น 7-8 ตัว จริงอยู่ เขายังใช้สูตรเดิมในการลงทุน แต่ผลกำไรที่ได้จากหุ้นแต่ละตัวนั้น เมื่อคิดเทียบกับพอร์ต 20 ล้านแล้วก็ไม่มากนัก นอกจากนั้น หุ้น 7-8 ตัวนั้น โอกาสที่เขาจะได้กำไรโดดเด่นทุกตัวก็ดูเหมือนจะยาก จบปีที่หก ผลตอบแทนของเขาลดลงเหลือ 20% ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีตแล้วลดลงมาก อย่างไรก็ตาม มันเป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลย
ปลายปีที่หก คุณไวได้แต่งงานกับสาวสวยที่มีดีกรีเป็นแพทย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา เพราะเพื่อน ๆ นักลงทุนของเขาที่ “ลงทุนเป็นอาชีพ” และไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ “มีหน้ามีตา” หลายคน ต่างก็ได้แต่งงานหรือมีแฟนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต่างหมายปอง บางที การเป็น “เศรษฐี” ได้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุน้อย อาจจะสามารถลบล้างค่านิยมเก่า ๆ ว่า คุณต้องมีงานการเป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอนได้
ความสำเร็จในแบบของคุณไวนั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายโดยเฉพาะถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นในช่วง “โอกาสทอง” ที่หุ้นบางประเภท มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้เจอแบบนั้น นอกจากนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไปก็เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป และอาจทำให้เรา “ติด” จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน
sarawut_p
Verified User
โพสต์: 304
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 9:54 pm | 0 คอมเมนต์
สนใจแต่ตรงได้สาวสวยดีกรีแพทย์นี่ ต้องทำยังไง
มีห้องไหนเปิดสอนบ้างไหมครับ
Go within, be at peace.
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 10:02 pm | 0 คอมเมนต์
โด้นๆๆ โดนๆ ใจเลยครับอาจารย์
แต่เสียดายว่า ผมยังไม่ได้แต่งงาน
**fun^-^
Verified User
โพสต์: 51
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 10:18 pm | 0 คอมเมนต์
Dekfaifah
Verified User
โพสต์: 1220
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 10:44 pm | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณครับ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 10:48 pm | 0 คอมเมนต์
เห็นหลายคนใช้วิธีนี้
ไม่เฉพาะหนุ่ม vi
เซียนเก็งกำไรก็เอาด้วย
วัดกันไปเลย
ซื้อหุ้นแค่ 1 ตัว
มาร์จินเต็มที่
ถ้ารอดก็รวย คนอื่นยกย่องเป็นเซียน
ที่ตายมีมากกว่า แต่คนตายพูดไม่ได้
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
12 ปีผ่านไป ผลออกมา...
ก็ถึงเหมือนกัน
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
Arpieaw
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 10:50 pm | 0 คอมเมนต์
555 คุณไวไม่กล้าลงทุนต่อแล้วอ่ะจิ
per
Verified User
โพสต์: 40
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 11:02 pm | 0 คอมเมนต์
little wing เขียน: โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กรกฎาคม 54
ดร. นิเวศน์ เชิรวรากร ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งในแวดวงของนักลงทุนที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ มีคนหนุ่ม (ที่เป็นสาวมีน้อยมาก) จำนวนไม่น้อย ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่หรือก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คนหนุ่มเหล่านี้ บางคนแทบจะไม่เคยทำงานเป็นพนักงานของหน่วยงานใด บางคนอาจจะทำงานกับธุรกิจ “ที่บ้าน” ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หลายคนก็ “ทำงานไปอย่างนั้นเอง” แต่ชีวิตจิตใจอาจจะอยู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่งก็คือ คนหนุ่มบางคนดังกล่าวนั้น หลังจากที่ผ่านการลงทุนมาไม่กี่ปี ด้วยเงินที่น้อยมาก บัดนี้ พวกเขาได้กลายเป็น “เศรษฐี” มีเงินหลายสิบล้าน หรือบางคนเป็นร้อยล้านบาทตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ปี ผมพยายามวิเคราะห์หาว่า พวกเขาทำอย่างไรจึงสามารถสร้างตนเองให้ร่ำรวยได้เร็วขนาดนั้น และต่อไปนี้คือเส้นทางของพวกเขาที่ผมจินตนาการขึ้น โดยอิงจากการที่ผมได้สัมผัสกับพวกเขาหลาย ๆ คน นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย “ร่วมสมัย”
คุณไว (มาจากภาษาอังกฤษว่า VI) เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 250,000 บาท ด้วยความทุ่มเทเขาศึกษาการลงทุนอย่างหนัก ทั้งในด้านของการลงทุนแบบพื้นฐานและความคิดแบบนักเท็คนิค นอกจากนั้น เขาเข้าร่วมอบรมและสัมมนาจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้รู้จักนักลงทุนร่วมอุดมการณ์จำนวนมากทั้งผ่านเวบไซ้ต์การลงทุนและการเข้าร่วมในกิจกรรมการลงทุนต่าง ๆ เช่นในงานแนะนำหรือเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน เขาเริ่มเห็นว่า มีบริษัทที่มี “คุณภาพดี” จำนวนไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็มีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นมาก หลายตัวมีราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน เขาเริ่ม “จับได้” ว่า หุ้นเหล่านี้มักมีคุณสมบัติและ “พฤติกรรม” อย่างไร และเมื่อเขาเห็น เขาก็ทุ่มเงินทั้งหมดซื้อหุ้นตัวนั้นพร้อม ๆ กับการใช้ มาร์จิน หรือกู้เงินจากโบรกเกอร์อีกเท่าตัวมาซื้อหุ้น ครั้งแรกด้วยเม็ดเงิน 500,000 แสนบาท
หุ้นที่ซื้อมีราคาเพิ่มขึ้นตามคาด จาก 500,000 บาทเป็น 750,000 บาทภายในเวลาเพียงเดือนเดียว เขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไรที่ได้ด้วยเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังเพิ่มขึ้นอีกและเขาก็สั่งซื้อหุ้นเพิ่มอีกตามวงเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้นอีก ในบางช่วงเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เขาก็ขายไปบ้างและก็กลับไปซื้อใหม่เมื่อหุ้นปรับตัวลง พอผ่านไป 3 เดือน เมื่อหุ้นเริ่ม “นิ่ง” นั่นคือ การวิ่งขึ้นลงของราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายเริ่มลดน้อยลง เขาก็ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เม็ดเงินที่เหลือของเขาก็คือ 1,000,000 บาท เขาทำกำไร 300 เปอร์เซ็นต์หรือ 3 เท่าภายในเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นหุ้นตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้าย ๆ กับหุ้นตัวเดิม ว่าที่จริงจะเรียกว่าเห็นก็ไม่ใช่ เพราะเขาได้รับรู้ผ่าน “เครือข่าย” เพื่อนนักลงทุนที่คบค้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเช่นเดิม เขาทุ่มเงิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่พร้อม ๆ กับการใช้มาร์จินเต็มอัตราอีก 1 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ และก็เช่นเคย หุ้นวิ่งตามคาด แต่เขาก็ใช้เวลายาวกว่าหุ้นตัวเดิมในการทำเงินจาก 2 ล้านบาทเป็น 3 ล้านบาท ซึ่งหลังจากหักเงินกู้มาร์จิน เขาเหลือเงิน 2 ล้านบาทเมื่อลงทุนมาครบปีแรก เงิน 250,000 บาท กลายเป็นเงิน 2 ล้านบาทหลังจากลงทุนเพียง 1 ปี ผลตอบแทนคือ 700% ในหนึ่งปี เงินโตขึ้นมาเป็น 8 เท่า เขาเห็นแล้วว่านี่คือ “มหัศจรรย์” ของการลงทุน ในแบบ “ของเขา”
เงิน 2 ล้านบาทของเขายังคงถูกใช้ในการลงทุนตาม “สูตรเดิม” แต่มีการปรับเปลี่ยนบ้าง เขาเริ่มมีหุ้นเล่น 2-3 ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้เงินมาร์จินก็มีการปรับลดลง จากเดิม 100% ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 80% เหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่เจอหุ้นตัวที่ “ใช่” ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างปีก่อน นอกจากนั้น เขาเริ่มกลัวบ้างว่า การเล่นหุ้นตัวเดียวและใช้มาร์จินเต็มที่นั้นอันตราย เขาอาจจะพลาดได้ ว่าที่จริง เขาก็เคยพลาดจากหุ้นบางตัวแต่โชคดีที่เขา “ออก” ได้ทัน ปีที่สองนี้ พอร์ตของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านบาท ผลตอบแทนเท่ากับ 100% แต่เขารู้สึกค่อนข้าง “ผิดหวัง” เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของปีก่อนแล้ว มันน้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลตอบแทนของเขาแพ้เพื่อนในกลุ่มอย่าง “ยับเยิน”
ปีที่สามของเขาผ่านไปอย่าง “ยากลำบาก” เนื่องจากเกิด “ภาวะวิกฤติ” ผลตอบแทนของเขาติดลบถึง 25% เงินในพอร์ตเหลือ 3 ล้านบาท สูตรที่เคยใช้การได้ดีกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หุ้นที่เขาเข้าลงทุนมีราคาลดลงอย่างมาก โชคยังดีที่เขาไม่ถูก “บังคับขาย” เพื่อรักษาอัตรามาร์จินไว้ อย่างไรก็ตาม พอขึ้นปีที่สี่ ทุกอย่างก็กลับมาสดใสดังเดิม เขามีความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาก ในบางครั้งเขาไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ตาม” แต่เขาเป็น “ผู้นำ” ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและ “ผลักดัน” ราคาหุ้นให้ขึ้นไปด้วย สิ้นปีที่สี่ พอร์ตของเขาก็ผ่านหลัก 10 ล้านไปได้เหมือน “ฝัน” เขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็น คนที่มีความสามารถสูงแม้ว่าอายุยังน้อย
ปีที่ห้าของคุณไวนั้น เขาเริ่มมีหุ้นหลายตัวมากขึ้น การใช้มาร์จินก็ลดลง เฉลี่ยแล้วเขาอาจจะใช้เพียง 50% เขาเริ่มเห็นว่าการรักษาเงินต้นไว้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การทำเงินมาก ๆ แต่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ยังสดใสและ “สูตร” การลงทุนของเขาก็ยังทำงานได้ดี ว่าที่จริง ในช่วงหลัง ๆ นี้ สื่อมวลชนโดยเฉพาะที่เป็นสื่อสมัยใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้น ได้ช่วยให้มีการเผยแพร่สูตรสำเร็จในการลงทุนรวมถึงตัวหุ้นที่น่าสนใจได้มากและเร็วขึ้น ทำให้พอร์ตการลงทุนของเขาโตขึ้นอีก 100% เขามีเงิน 20 ล้านและถือว่าเป็นเศรษฐีน้อย ๆ คนหนึ่ง พ่อแม่เขาภาคภูมิใจมากที่ลูกสามารถหาเงินได้มากและกลายเป็น “เศรษฐี” คนแรกของ “เครือญาติ” เพื่อนฝูงและคนรู้จักยอมรับในฝีมือและความสามารถของเขา บางคนถือว่าเขาเป็น “กูรู” คนหนึ่งของวงการหุ้น
ปีที่หกเริ่มต้นมาด้วยตลาดหุ้นที่ไม่สดใสนัก พอร์ตของคุณไวไม่ใคร่จะไปไหน ขณะนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าหุ้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด เงิน 20 ล้านของเขานั้น มันหมายถึงชีวิตที่ดี ๆ ที่เขาต้องรักษาไว้โดยให้มีความเสี่ยงน้อยลง แน่นอน เขาอยากได้ผลตอบแทนมาก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เขาก็ไม่อยากรับ มาร์จินที่เขาเคยใช้เต็มอัตรานั้น ขณะนี้ลดลงมาก บางช่วงเขาก็ไม่ได้ใช้เลย หุ้นที่เคยมีอยู่เพียง 2-3 ตัวก็กลายเป็น 7-8 ตัว จริงอยู่ เขายังใช้สูตรเดิมในการลงทุน แต่ผลกำไรที่ได้จากหุ้นแต่ละตัวนั้น เมื่อคิดเทียบกับพอร์ต 20 ล้านแล้วก็ไม่มากนัก นอกจากนั้น หุ้น 7-8 ตัวนั้น โอกาสที่เขาจะได้กำไรโดดเด่นทุกตัวก็ดูเหมือนจะยาก จบปีที่หก ผลตอบแทนของเขาลดลงเหลือ 20% ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีตแล้วลดลงมาก อย่างไรก็ตาม มันเป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลย
ปลายปีที่หก คุณไวได้แต่งงานกับสาวสวยที่มีดีกรีเป็นแพทย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา เพราะเพื่อน ๆ นักลงทุนของเขาที่ “ลงทุนเป็นอาชีพ” และไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ “มีหน้ามีตา” หลายคน ต่างก็ได้แต่งงานหรือมีแฟนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต่างหมายปอง บางที การเป็น “เศรษฐี” ได้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุน้อย อาจจะสามารถลบล้างค่านิยมเก่า ๆ ว่า คุณต้องมีงานการเป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอนได้
ความสำเร็จในแบบของคุณไวนั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายโดยเฉพาะถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นในช่วง “โอกาสทอง” ที่หุ้นบางประเภท มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้เจอแบบนั้น นอกจากนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไปก็เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป และอาจทำให้เรา “ติด” จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน
Arpieaw
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 11:09 pm | 0 คอมเมนต์
Arpieaw เขียน: 555 คุณไวไม่กล้าลงทุนต่อแล้วอ่ะจิ
ล้ำลึกมากเลยครับอาจารย์ vi = ไว
cookclick
Verified User
โพสต์: 220
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 11:10 pm | 0 คอมเมนต์
ไม่รู้ว่าแบบนี้จะเรียกว่า คุณ ไว ดีไหมหนอ ส่วนตัวอยากเรียก คุณ โครตไว
ปล. ผมหมายถึงความเร็วนะครับ
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0
เสาร์ ก.ค. 09, 2011 11:12 pm | 0 คอมเมนต์
ดร.พักหลังนี้ใช้ศิลปะการเขียนเหมือนกะซ้อเจ็ดอยู่บ่อยๆ
แต่ก็เตือนสติอยู่ในทีสมกับเป็นอาจารย์
อาบน้ำร้อน (โดนลวก) มาก่อน
MaiFuen
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 384
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 12:30 am | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณ อาจารย์ และพี่little wing อีกครั้งครับ
ที่คอยให้ความรู้ และ เตือนสติเป็นอย่างดีครับ
Ani
Verified User
โพสต์: 158
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 12:38 am | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณอาจารย์ครับ
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 7:06 am | 0 คอมเมนต์
การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน
ตัวอย่างของ
Specutation การเก็งกำไร ไว้ดังนี้
1. Quote: "an inexperienced member of the public, who does not even own what
he is selling, and has some largely emotional conviction that he
will be able to buy them back at a much lower price."
ซึ่งได้แก่ใน ปัจจุบัน กลุ่มนักค้าหุ้น ที่ทำการ Short Sell ทั้งหลาย
ตัวอย่าง ของ Unintelligent Speculation ซึ่งได้แ่ก่
Quote:"But there are many ways in which speculation may be unintelligent.
Of these the foremost are:
(1)speculating when you think you are investing;
(2) speculating seriously instead of as a pastime, when you lack proper knowledge and skill for it;
and (3)
risking more money in speculation than you can afford to lose. " (อันสุดท้ายนี้คือพวกใช้Marginซื้อหุ้น)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=43938
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 7:11 am | 0 คอมเมนต์
http://history1900s.about.com/od/1920s/ ... sh1929.htm
Overview of the Stock Market Crash of 1929:
The end of World War I heralded a new era in the United States. It was an era of enthusiasm, confidence, and optimism. A time when inventions such as the airplane and radio made anything seem possible. A time when 19th century morals were set aside and flappers became the model of the new woman. A time when Prohibition renewed confidence in the productivity of the common man. It is in such times of optimism that people take their savings out from under their mattresses and out of banks and invest it. In the 1920s, many invested in the stock market.
The Stock Market Boom
Although the stock market has the reputation of being a risky investment, it did not appear that way in the 1920s. With the mood of the country exuberant, the stock market seemed an infallible investment in the future.
As more people invested in the stock market, stock prices began to rise. This was first noticeable in 1925. Stock prices then bobbed up and down throughout 1925 and 1926, followed by a strong upward trend in 1927 . The strong bull market (when prices are rising in the stock market) enticed even more people to invest. And by 1928, a stock market boom had begun.
The stock market boom changed the way investors viewed the stock market. No longer was the stock market for long-term investment. Rather, in 1928, the stock market had become a place where everyday people truly believed that they could become rich. Interest in the stock market reached a fevered pitch. Stocks had become the talk of every town. Discussions about stocks could be heard everywhere, from parties to barber shops. As newspapers reported stories of ordinary people - like chauffeurs, maids, and teachers - making millions off the stock market, the fervor to buy stocks grew exponentially.
Although an increasing number of people wanted to buy stocks, not everyone had the money to do so.
Buying on Margin
When someone did not have the money to pay the full price of stocks, they could buy stocks "on margin." Buying stocks on margin means that the buyer would put down some of his own money, but the rest he would borrow from a broker . In the 1920s, the buyer only had to put down 10 to 20 percent of his own money and thus borrowed 80 to 90 percent of the cost of the stock.
Buying on margin could be very risky. If the price of stock fell lower than the loan amount, the broker would likely issue a "margin call," which means that the buyer must come up with the cash to pay back his loan immediately.
In the 1920s, many speculators (people who hoped to make a lot of money on the stock market) bought stocks on margin. Confident in what seemed a never-ending rise in prices, many of these speculators neglected to seriously consider the risk they were taking.
generalman
Verified User
โพสต์: 81
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 8:18 am | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
เป็นธรรมดาใครๆก็อยากรวยเร็วๆ กันทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่า "คนตายไม่ได้พูด" กันนะครับ
"Investing is not a game where the guy with 160 IQ beats the guy with 130 IQ. What is needed is a sound intellectual framework for making decisions and the ability to keep emotions from corroding the framework. "
Warren Buffett
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4740
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 8:38 am | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณครับอาจารย์
หลักการการลงทุนของอาจารย์รวยแบบพอเพียง ไปอย่างเต่า
แต่...........ยั่งยืน ครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง "
sylph
Verified User
โพสต์: 353
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 8:50 am | 0 คอมเมนต์
ลูกอิสาน เขียน: เห็นหลายคนใช้วิธีนี้
ไม่เฉพาะหนุ่ม vi
เซียนเก็งกำไรก็เอาด้วย
วัดกันไปเลย
ซื้อหุ้นแค่ 1 ตัว
มาร์จินเต็มที่
ถ้ารอดก็รวย คนอื่นยกย่องเป็นเซียน
ที่ตายมีมากกว่า แต่คนตายพูดไม่ได้
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
12 ปีผ่านไป ผลออกมา...
ก็ถึงเหมือนกัน
พี่เดิน ผมก้อคลาน แล้ว ดูซิ ถ้าคลาน 15 ปีมันจะถึงมั้ย
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 8:59 am | 0 คอมเมนต์
ลูกอิสาน เขียน: เห็นหลายคนใช้วิธีนี้
ไม่เฉพาะหนุ่ม vi
เซียนเก็งกำไรก็เอาด้วย
วัดกันไปเลย
ซื้อหุ้นแค่ 1 ตัว
มาร์จินเต็มที่
ถ้ารอดก็รวย คนอื่นยกย่องเป็นเซียน
ที่ตายมีมากกว่า แต่คนตายพูดไม่ได้
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
12 ปีผ่านไป ผลออกมา...
ก็ถึงเหมือนกัน
+1 เห็นด้วย กับโจ ลูกอิสานครับ
จริงๆ ประเด็นที่คนล้มเหลวไม่ได้ออกมาพูด มีทุกวงการครับ
เราอยู่ในวงการหุ้น เราก็จะเห็นคนที่เคยล้มเหลวในหุ้นที่
เล่นหุ้น จนโดนหุ้นเล่น แล้วตายจากวงการ
แค่ได้ยินคำว่า หุ้น ยังฟังไม่ได้เลย มันเจ็บแปล๊บ ผมมีเพื่อนแบบนี้ก็ตั้งหลายคน
ที่ผ่านๆมาเห็นหลายคนตั้งเป้าหมายสูงลิบลิ่ว อยากประสบความสำเร็จรวดเร็ว โดยวิธีการที่เสี่ยงแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หวังว่าบทความของอาจารย์จะช่วยสะกิดเตือนได้บ้างนะครับ
ขอบคุณ คุณ Littlewing ที่เอาบทความมาลง
ขอบคุณ ดร.นิเวศน์ ที่ออกบทความมาเตือนรุ่นหลังให้ได้สติ
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3227
ผู้ติดตาม: 4
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 9:15 am | 0 คอมเมนต์
ลูกอิสาน เขียน: ...
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
12 ปีผ่านไป ผลออกมา...
ก็ถึงเหมือนกัน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
Tibular
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 522
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 9:56 am | 0 คอมเมนต์
Warren Buffett : It’s only when the tide goes out that you discover who’s been swimming naked.
jek ae
Verified User
โพสต์: 899
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 9:57 am | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณครับ
เหลือขุนเขาแมกไม้ มิต้องวิตกไร้ฟืนไฟ
pot_c
Verified User
โพสต์: 766
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 10:32 am | 0 คอมเมนต์
ท่านอาจารย์น่าจะกำลังแนะนำว่าแนวทางอื่นๆที่ทำให้รวยขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น มีความเสี่ยงมาก และ น้อยคนที่จะโชคดีประสบความสำเร็จครับ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีตัวอย่างแบบนี้มาก เนื่องจากจังหวะโอกาสหรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าจะยึดแนวทางนี้ตามต้องอย่าลืมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในทางตรงกันข้ามด้วยครับ ส่วนตัวยังคงยึดแนวอาจารย์นิเวศน์ที่จะชนะอย่างเต่า ไปทีละก้าวด้วยความไม่ประมาทครับ ..
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 11:55 am | 0 คอมเมนต์
ฟังแล้วเหมือรน้องชายมากกว่า แจกการ์ดด้วยนะคับ
show me money.
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 12:56 pm | 0 คอมเมนต์
ฝนไม่เคยใช้มาร์จิ้นเลยซักครั้ง บางครั้งก็รู้สึกว่าเสียโอกาสเหมือนกันนะคะ
การใช้มาร์จิ้นใน "ช่วงเวลา" และ "สัดส่วน" ที่เหมาะสม
บางครั้งก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนและจำกัดความเสี่ยงได้พอสมควร
แต่คงไม่ใช่เวลาที่ตลาดพันจุด ^^
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
jo7393
Verified User
โพสต์: 2486
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 1:47 pm | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณครับสำหรับบทความเตือนใจ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
Green
Verified User
โพสต์: 2606
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 2:42 pm | 0 คอมเมนต์
little wing เขียน: โค้ด: เลือกทั้งหมด
ความสำเร็จในแบบของคุณไวนั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายโดยเฉพาะถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นในช่วง “โอกาสทอง” ที่หุ้นบางประเภท มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้เจอแบบนั้น นอกจากนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไปก็เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป [color=#FF0000]และอาจทำให้เรา “ติด” จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน[/color]
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ อาการ ติด นั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เลิกติด เพราะเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวว่าติด หรือ คิดว่าที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้วนี่นา จะเลิกทำไม หรือ ทั้งรู้ว่าเสี่ยงแต่มันเคยได้แบบนี้มาก่อนนี้นา ลองดูอีกสักครั้งจะเป็นอะไร (เหมือนว่าจะพยายามเลิกแต่เลิกไม่ได้)
ลูกอิสาน เขียน: เห็นหลายคนใช้วิธีนี้
ไม่เฉพาะหนุ่ม vi
เซียนเก็งกำไรก็เอาด้วย
วัดกันไปเลย
ซื้อหุ้นแค่ 1 ตัว
มาร์จินเต็มที่
ถ้ารอดก็รวย คนอื่นยกย่องเป็นเซียน
ที่ตายมีมากกว่า แต่คนตายพูดไม่ได้
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
12 ปีผ่านไป ผลออกมา...
ก็ถึงเหมือนกัน
+ Like Like krub 12 ปีผ่านไป ก็ถึงเหมือนกัน แสดงว่าถ้า อีก 20 ปี 30 ปี 40 ปี จะทิ้งขาดเลยนะครับ
หากเรารู้ว่าหนทางนี้ยังยาวไกล เริ่มลงทุนตอน 20 ทำไปจนสติเลอะเลือนที่ 80 ช่วงเวลา 60 ปี ที่ลงทุนนี้ เดินไปเรื่อยๆ อย่าให้ตาย สูตรสำเร็จในลงทุนมันมีครับ ทำแบบ ปู่ Buffet ไง ปู่เค้าเอาวิชาจากไปไหน ก็อาจารย์ เกรมแฮมไง และอาจารย์ Phip Fisher ด้วย
ไม่ขอรวยเร็ว แต่ขอรวยนาน คร้าบบบ
comrade
Verified User
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 3:21 pm | 0 คอมเมนต์
ขอบคุณพี่ลูกอีสานครับ
เหมือนที่เขาว่า คนตายไม่ได้พูด คนชนะเขียนประวัติศาสตร์
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
MarcoPolo
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 3:27 pm | 0 คอมเมนต์
Fon^^ เขียน: ฝนไม่เคยใช้มาร์จิ้นเลยซักครั้ง บางครั้งก็รู้สึกว่าเสียโอกาสเหมือนกันนะคะ
การใช้มาร์จิ้นใน "ช่วงเวลา" และ "สัดส่วน" ที่เหมาะสม
บางครั้งก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนและจำกัดความเสี่ยงได้พอสมควร
แต่คงไม่ใช่เวลาที่ตลาดพันจุด ^^
แต่คนส่วนใหญ่อาจจะใช้มาร์จิ้นที่ตลาดพันห้าหรือสองพันครับ
ขอบคุณ ดร ครับ
ming1714
Verified User
โพสต์: 1246
ผู้ติดตาม: 0
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 4:18 pm | 0 คอมเมนต์
ลูกอิสาน เขียน:
เคยแนะนำเพื่อนที่อยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีนี้แหละ
ตัวเองบางครั้งเห็นคนอื่นได้มากๆ ยังอยากทำเลย
แต่คิดดูแล้วเสี่ยงเกินไป ถ้ารู้ว่าอาจจะตาย จะทำทำไม
ขอเป็นแบบเดินทีละก้าว แต่เดินทุกวัน ดูซิจะถึงเป้าหมายไหม
ผมเคยคิดอยากจะลองดูเหมือนกัน แต่ใจไม่กล้า เพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าความสามารถการมองหุ้นยังไม่แตกฉานพอ...
เด๋วจะเค้าเคสโลภเกินความสามารถของตัวเอง
ปล.ขอบคุณ คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"
ร้อยลี้ ต้องมีก้าวแรก....