ผมชอบประโยคนี้จังเลยครับเพราะผมก็เพิ่งเข้ามาในตลาดตอนต้นปีนี้เองครับ จะพยายามครับผมเชื่อในคำว่า คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกนะ
เพียงแต่ใครจะทนได้มากกว่ากัน
ถ้าใครเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นใหม่ๆแล้วรู้สึกท้อแท้หรือยังจับทางไม่ถูกก็อย่าคิดมากเลยครับ ผมว่าใช้เวลาไปซักพักเดี่ยวก็เล่นได้แหละ ขอเพียงอึดเข้าไว้รอจนกว่าจะถึงเวลาที่ความทุ่มเทของเราออกดอกออกผลดีกว่าครับ ถ้าคนเราพยายามจริงๆยังไงก็ต้องมีวันของเราครับ
เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
- babyboom
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 61
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 62
zephyr เขียน:อ่านคำสัมภาษณ์ของคุณฮงแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ
นั่นเพราะว่า จริงๆแล้วพอร์ทเราอาจจะโตได้มากๆเพียงการลงทุนที่ถูกจังหวะและถูกตัวเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น
แต่การที่จะลงทุนได้ถูกนั้นก็ต้องผ่านภาวะที่เรียกว่าอดทนอดกลั้น และความพยายามศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณครับผม
ผมตาม blog คุณ ฮง แล้วรู้ว่า เซียน กับ คนธรรมดา คิดต่างกันยังไง
ผมไม่รู้ว่า ตามงานเขาไปจริงอาจจะ หมดกำลังใจก็ได้คับ
คนบางคน บางที มัน born to be ไม่ใช่ขยัน อย่างเดียว
คุณฮง ขยัน มากกกกก อ่านหนังสือ เยอะ หาข้อมูลเยอะ มากกกกกก
แค่คุณสมบัติแค่นี้ ผมก็ไม่ผ่านแล้ว
ไหนจะ ความเป็น อัจฉริยะ ส่วนตัว กับ การมีกลุ่มเพื่อนพ้อง ช่วยลงทุนอีก
ล้ม แต่ไม่เลิก แต่เลิกหวังเหมือนกันคับ ตอนนี้ แค่ 15 % ต่อปีทบต้นสำหรับผม คงหวังได้แค่นั้นจริงๆ
show me money.
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 63
มหามิตรของผมที่ช่วยผลักดันผมมาตลอด ช่วยสนับสนุนผมทุกเรื่องคือหมอเคครับnut776 เขียน: การมีกลุ่มเพื่อนพ้อง ช่วยลงทุนอีก
ขอฝากบทความล่าสุดของหมอเคให้เพื่อนๆอ่านกันครับ
http://crazyrisk.wordpress.com/2011/06/ ... omment-341
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าเป็นหมอป่าเดียวดายมันเท่ดีไม่เห็นต้องรวมกลุ่มกับใคร แต่จริงๆแล้วการมีเพื่อนพ้องสำคัญมากเลยครับ การรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- anatarsia
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 64
ยินดีด้วยกับคุณฮง ผมได้อ่านบทความบทหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว
รูปบนหนังสือพิมพ์เท่จริงๆ
ผมชอบประโยคที่ว่า
"ผมเชื่อในคำว่า คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกนะ
เพียงแต่ใครจะทนได้มากกว่ากัน
ถ้าใครเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นใหม่ๆแล้วรู้สึกท้อแท้หรือยังจับทางไม่ถูกก็อย่าคิดมากเลยครับ ผมว่าใช้เวลาไปซักพักเดี่ยวก็เล่นได้แหละ ขอเพียงอึดเข้าไว้รอจนกว่าจะถึงเวลาที่ความทุ่มเทของเราออกดอกออกผลดีกว่าครับ ถ้าคนเราพยายามจริงๆยังไงก็ต้องมีวันของเราครับ"
คนเรามีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ใครจะได้มันนั้นขึ้นอยู่กับความอดทน ว่าใครมีมากกว่ากัน ใครอึดกว่ากัน
ขอบคุณที่แชร์ประวัติส่วนตัวและประสบการณ์ดีๆให้อ่านครับ
รูปบนหนังสือพิมพ์เท่จริงๆ
ผมชอบประโยคที่ว่า
"ผมเชื่อในคำว่า คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกนะ
เพียงแต่ใครจะทนได้มากกว่ากัน
ถ้าใครเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นใหม่ๆแล้วรู้สึกท้อแท้หรือยังจับทางไม่ถูกก็อย่าคิดมากเลยครับ ผมว่าใช้เวลาไปซักพักเดี่ยวก็เล่นได้แหละ ขอเพียงอึดเข้าไว้รอจนกว่าจะถึงเวลาที่ความทุ่มเทของเราออกดอกออกผลดีกว่าครับ ถ้าคนเราพยายามจริงๆยังไงก็ต้องมีวันของเราครับ"
คนเรามีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ใครจะได้มันนั้นขึ้นอยู่กับความอดทน ว่าใครมีมากกว่ากัน ใครอึดกว่ากัน
ขอบคุณที่แชร์ประวัติส่วนตัวและประสบการณ์ดีๆให้อ่านครับ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 65
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B5.html
http://bit.ly/lVcn9M
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 14 มิถุนายน 2554 01:00
ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง 'สถาพร งามเรืองพงศ์' เซียนหุ้นวัย 25 ปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เจาะลึกเทคนิคลงทุน 'เซียนหุ้นวัยเบญจเพส' เจ้าของพอร์ตหลายสิบล้านบาท 'ฮง' สถาพร งามเรืองพงศ์ เล่นหุ้นให้ 'รวย' ต้องดูพื้นฐาน 70% เทคนิค 30%
เริ่มเล่นหุ้นตอนเรียนปี 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ "แอบพ่อ-โอ๋แม่" ทุบกระปุกเงินเก็บแตะเอีย 100,000 บาท หว่านล้อมให้แม่ไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นให้ที่ บล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เวลาสั่งซื้อขายหุ้นก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพราะกลัวพ่อรู้ พ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้น มองว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างอะไรกับ "เล่นการพนัน"
เด็กหนุ่มฮงในวัยเพียง 19-20 ปี ใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ออกตระเวนไปแสวงหาความรู้ตามตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์ต่างๆ รู้ว่าที่ไหนมี "สัมมนาฟรี" เด็กหนุ่มเป็นต้องขวนขวายไปฟัง บางครั้งต้องหาวิธีหลอกล่อเจ้าหน้าที่สารพัดเพราะไม่ใช่ลูกค้าของโบรกเกอร์นั้น
ครั้นระหว่างพักทานอาหารว่างและหลังงานสัมมนาเลิก เด็กฮงก็จะวิ่งไปเกาะติดวิทยากรขุดคุ้ยถามประเด็นที่ตนสงสัย แต่บ่อยครั้งที่เด็กฮง "ถูกมองข้าม" วิทยากรบางคนเห็นหน้าละอ่อนยังเป็นเด็กก็ไม่ยอมตอบคำถามไม่ให้ความสำคัญ จนเขาพูดกับตัวเองว่า "โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม" แม้จะทรมานกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับไอ้ตี๋จอมเซ้าซี้ แต่ฮงก็พยายามหาความรู้จากหนังสือ และเว็บไซต์ต่างๆ เพิ่มเติมจนแม่เห็นความตั้งใจจริง
จากเงิน "หลักแสน" พอร์ตของเด็กฮงก็ค่อยๆ งอกเงยอย่างรวดเร็ว แม่จึงเติมทุนให้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี (อายุ 19-25 ปี) "ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ กลายเป็น "เซียนหุ้นวัยรุ่น" ชื่อดังมีพอร์ตใหญ่ "หลายสิบล้านบาท" พ่อของฮงที่มีอาชีพค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 วันนี้ยอมรับในตัว "ลูกชายคนเล็ก" ของครอบครัวคนนี้ ครอบครัวของเขาเพิ่งเปลี่ยนอาชีพไปปลูกต้นลีลาวดีขายบนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียนชื่อสวน "ลีลาวดีภิรมย์"
ฮงคุยว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553) หลังประสบความสำเร็จอย่างแรงฮงพัฒนาตัวเองไปเป็น "วิทยากร" เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุน มีนักลงทุน "รุ่นพี่-รุ่นอา" จองที่นั่งเข้าฟังจำนวนมาก อีกทั้งนามแฝง Hongvalue ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน "เว็บบอร์ด" แวลูอินเวสเตอร์
แม้ฮงแฝงตัวกลมกลืนกับแวลูอินเวสเตอร์ (VI) แต่เขาก็นิยามตัวเองเป็น "ลูกครึ่ง Value Investor"
"ผมจะลงทุนกึ่งแวลู จะผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งต่างจากนักลงทุน Value ทั่วไป แต่วันนี้มีนักลงทุน VI รุ่นใหม่ยึดแนวทางนี้เพิ่มขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาก"
ฮงกล่าวว่า การจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัว นักลงทุนควรต้องดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิคควบคู่กันไป เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด "นิวไฮ" ของหุ้นด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เหมือนนักลงทุนหุ้นคุณค่าทั่วไปคือ ผมยอมรับการขาดทุนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นนักลงทุน VI แท้ๆ ต้องไม่มีคำว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) แต่ผมคิดแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังชื่นชอบการเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) ที่สำคัญนักลงทุน VI จะไม่ดูกราฟดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว เขามองว่าดูกราฟเหมือนมองกระจกหลัง มันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถสะท้อนธุรกิจในปัจจุบันหรือในอนาคตได้"
สำหรับเทคนิคการลงทุนฮงจะเน้นดูปัจจัยพื้นฐาน 70% อีก 30% จะดูเทคนิเคิล และกราฟหุ้นย้อนหลัง หลายครั้งเขาบอกว่ากราฟหุ้น "ช่วยชีวิต" ไว้ ทำให้ไม่ต้อง "ขายหมู" (ขายถูก) ให้คนอื่น โดยเขายอมลงทุนเสียเงินปีละ 20,000 บาท ติดตั้งโปรแกรม APEX เพื่อดูกราฟราคาหุ้นโดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป 10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง "ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที" บางครั้งฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี "วอลุ่มผิดสังเกต" จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ "สวย" (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเลือกหุ้นที่ "เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร" และต้องอ่านเกมต่อไปว่า "ไตรมาสที่เหลือ" ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้ (ดี) ได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนจากนั้น ต้องเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 6-7% ต่อปี และข้อสุดท้าย ต้องเลือกหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า P/E ของกลุ่ม...เหล่านี้คือคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการลงทุน
เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และค่า P/E ไม่สูง (ราคาหุ้นยังไม่แพง) ได้แล้ว ฮงก็จะเริ่มปฏิบัติการวิเคราะห์เจาะลึก "งบการเงิน" ทันที โดยเน้นหนักไปที่ "กระแสเงินสด" ของกิจการ พยายามดูย้อนหลังให้ได้มากที่สุด
โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย
เท่านั้นยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฮงจะทำการวิเคราะห์ "โครงสร้างธุรกิจ" ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรให้บริษัท รวมทั้งอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ รวมทั้งค้นหาบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารมาอ่านเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่จะวางเดิมพันราคาต้อง "วิ่ง" ชัวร์!
"ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ส่งมาในอีเมล์ทุกเช้า รวมถึงอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อให้เห็นทิศทางของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพียง 2 วัน"
เมื่อหาข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะเริ่มทำ "ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า" เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ "สเต็ปที่สอง" "สเต็ปที่สาม" และ "สเต็ปที่สี่"
หมายความว่าซื้อครั้งแรก 30% สเต็ปที่สอง (อีก 30%) จะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้น 7-8% ถ้าซื้อ 30% แรกแล้วราคาไม่ขึ้นก็จะรอไปก่อน "ยังไม่ซื้อ" ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยว "ออก(ของ)ไม่ได้"
เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) เวลาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ "กระทิง" หรือ "ขาขึ้นใหญ่" และมั่นใจหุ้นสุดๆ เขาจะใช้ "เงินกู้มาร์จิน" เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต
ทุกวันนี้ศูนย์บัญชาการของฮงอยู่ที่บ้านแล้วสั่งซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ที่บ้านย่านพระราม 2 จะกั้นห้องไว้สำหรับนั่งดูหุ้นโดยเฉพาะภายในมีทีวี LCD 60 นิ้วตั้งอยู่กลางห้อง กิจวัตรประจำวันฮงจะตื่นนอนมานั่งในห้องนี้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้วอ่านข้อมูลทุกอย่างเริ่มตั้งแต่บทวิเคราะห์ หนังสือพิมพ์ เข้าเว็บบอร์ด Thaivi.org เหตุที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.1% ถ้าโทรศัพท์สั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งต้องจ่าย 0.15% (รายย่อยต้องจ่าย 0.25%)
"โดยปกติผมจะปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก ผมจะนำข้อมูลที่ผู้บริหารบอกผ่านสื่อกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มานั่งคำนวณตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสถัดไป"
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จฮงจะ "เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม" ประมาณ 7-8 คน เทคนิคการเล่นจะคล้ายๆ กัน พวกเขานัดเจอกันที่ "สโมสรทหารบก" ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เว้นว่าช่วงไหนตลาดหุ้นดีๆ ก็จะเจอกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมที่ทำจะเช่าห้องฉายโปรเจ็คเตอร์เพื่อแชร์ข้อมูลกัน คนไหนถนัดดูกราฟก็จะมาบอกว่าเส้นกราฟเทคนิคหุ้นตัวไหนสวย ใครถนัดพื้นฐานก็จะนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง
ส่วนการซื้อขายแต่ละคนจะตัดสินใจเอาเองไม่ค่อยบอกกัน ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าตาฮงชอบสั่งซื้อหุ้นวันจันทร์ ซื้อเสร็จไม่เคยกำหนดว่าต้องถือยาวหรือสั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะเป็นตัวบอก แต่เขาจะเตือนตัวเองเสมอว่า "เล่นหุ้นต้องเล่นแบบ "ไร้ใจ" ถ้าใช้อารมณ์เล่นหุ้น (รัก-โลภ-โกรธ-หลง) มีโอกาสขาดทุนสูง ผมจะพยายามคิดเสมอว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ญาติเรา ไม่รัก ไม่เกลียด"
ในยามที่ตลาดหุ้นไม่น่าไว้วางใจฮงจะเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด ปัจจุบันซื้อขายประจำอยู่ที่ บล.เคทีซีมิโก้ ตามมาร์เก็ตติ้งคู่ใจย้ายมาจาก บล.พัฒนสิน
ล่าสุดในพอร์ตมีหุ้นอยู่ 3 ตัว ได้แก่ BCP ต้นทุน 21 บาท มองว่าหุ้นบางจากราคายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ถ้าผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาสวยเหมือนไตรมาสแรก ก็อาจปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปอีก บางจากถือเป็นหุ้นโรงกลั่นตัวเดียวที่มีค่า P/BV ต่ำที่สุด
อีกตัวที่ลงทุนอยู่คือหุ้น HEMRAJ ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ต้นทุนแถว 2.10 บาท ชอบเพราะปี 2555 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น และหลังเกิดสึนามิทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย เหมราชก็จะได้ประโยชน์
ตัวสุดท้ายที่ลงทุนคือหุ้น CENTEL ตัวนี้ต้นทุน 7.30 บาท เก็บเพราะเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้พลิกจากปี 2553 ขาดทุน 51 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮในรอบ 5 ปี เพราะธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็ยังขยายตัวได้ดีอัตราการเข้าพักเพิ่มจาก 50-60% เป็น 70%
นอกจากหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว หุ้นตัวอื่นๆ ฮงบอกว่า ตอบตรงๆ ตอนนี้ยังหาตัวที่ถูกใจไม่เจอเลย วันนี้ยอมรับว่าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ยัง "เล่นยาก" เคยถามคนที่ลงทุน "หุ้นจีน" เขาบอกว่า "น่ากลัวมาก" บริษัทจีนมีการลงบัญชีไม่ค่อยโปร่งใสถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังขาดทุน ถ้ามีประสบการณ์แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ถามว่าเคยคิดอยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ เด็กหนุ่ม ตอบว่า แม้การซื้อหุ้นคือ "การซื้อธุรกิจ" แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเข้ามาบริหาร "ผมไม่คิดที่จะ “ผูกพัน” กับหุ้นตัวไหน แค่ต้องการเข้ามา “เสพสุข” (จากกำไร) เท่านั้น ได้ตามเป้าหมายแล้วก็จะไป"
ฮงเล่าว่า ตลาดหุ้นสมัยนี้คนอายุ 22-23 ปีขึ้นไป เข้ามาเล่นหุ้นกันค่อนข้างมาก จบปริญญาโทมาเล่นหุ้นก็มีเยอะ ส่วนตัวอยากแนะนำ "มือใหม่ที่เพิ่งหัดคลาน" ว่า ควรเริ่มลงทุนด้วยเงิน "ก้อนเล็กๆ" ก่อนสัก 100,000 บาท หากยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหุ้นที่ใช้ "ฝึกมือ" ควรเป็นพวกหุ้น "โรงไฟฟ้า-ค้าปลีก" เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็ค่อยขยับมาเล่นหุ้นยากๆ อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหุ้นพวกนี้ถ้าจับจังหวะถูกจะได้กำไรเยอะ (รวยเร็ว)
"หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมจะถนัดกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทแผ่นฟิล์ม สินค้าเกษตร กลุ่มอื่นๆ ยอมรับว่ายังไม่ค่อยชำนาญ"
ฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น
"ผมโชคดีที่เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ม.กรุงเทพ กว่าจะจับจุดได้ (รู้ความลับตลาดหุ้น) ใช้เวลานาน 2-3 ปี ผมจะยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานบริษัท ทุกวันนี้ผมมีเงินทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างที่เพื่อนๆ ไม่มี" เซียนหุ้นวัยเบญจเพส กล่าวทิ้งท้าย
http://bit.ly/lVcn9M
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 14 มิถุนายน 2554 01:00
ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง 'สถาพร งามเรืองพงศ์' เซียนหุ้นวัย 25 ปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เจาะลึกเทคนิคลงทุน 'เซียนหุ้นวัยเบญจเพส' เจ้าของพอร์ตหลายสิบล้านบาท 'ฮง' สถาพร งามเรืองพงศ์ เล่นหุ้นให้ 'รวย' ต้องดูพื้นฐาน 70% เทคนิค 30%
เริ่มเล่นหุ้นตอนเรียนปี 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ "แอบพ่อ-โอ๋แม่" ทุบกระปุกเงินเก็บแตะเอีย 100,000 บาท หว่านล้อมให้แม่ไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นให้ที่ บล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เวลาสั่งซื้อขายหุ้นก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพราะกลัวพ่อรู้ พ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้น มองว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างอะไรกับ "เล่นการพนัน"
เด็กหนุ่มฮงในวัยเพียง 19-20 ปี ใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ออกตระเวนไปแสวงหาความรู้ตามตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์ต่างๆ รู้ว่าที่ไหนมี "สัมมนาฟรี" เด็กหนุ่มเป็นต้องขวนขวายไปฟัง บางครั้งต้องหาวิธีหลอกล่อเจ้าหน้าที่สารพัดเพราะไม่ใช่ลูกค้าของโบรกเกอร์นั้น
ครั้นระหว่างพักทานอาหารว่างและหลังงานสัมมนาเลิก เด็กฮงก็จะวิ่งไปเกาะติดวิทยากรขุดคุ้ยถามประเด็นที่ตนสงสัย แต่บ่อยครั้งที่เด็กฮง "ถูกมองข้าม" วิทยากรบางคนเห็นหน้าละอ่อนยังเป็นเด็กก็ไม่ยอมตอบคำถามไม่ให้ความสำคัญ จนเขาพูดกับตัวเองว่า "โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม" แม้จะทรมานกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับไอ้ตี๋จอมเซ้าซี้ แต่ฮงก็พยายามหาความรู้จากหนังสือ และเว็บไซต์ต่างๆ เพิ่มเติมจนแม่เห็นความตั้งใจจริง
จากเงิน "หลักแสน" พอร์ตของเด็กฮงก็ค่อยๆ งอกเงยอย่างรวดเร็ว แม่จึงเติมทุนให้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี (อายุ 19-25 ปี) "ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ กลายเป็น "เซียนหุ้นวัยรุ่น" ชื่อดังมีพอร์ตใหญ่ "หลายสิบล้านบาท" พ่อของฮงที่มีอาชีพค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 วันนี้ยอมรับในตัว "ลูกชายคนเล็ก" ของครอบครัวคนนี้ ครอบครัวของเขาเพิ่งเปลี่ยนอาชีพไปปลูกต้นลีลาวดีขายบนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียนชื่อสวน "ลีลาวดีภิรมย์"
ฮงคุยว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553) หลังประสบความสำเร็จอย่างแรงฮงพัฒนาตัวเองไปเป็น "วิทยากร" เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุน มีนักลงทุน "รุ่นพี่-รุ่นอา" จองที่นั่งเข้าฟังจำนวนมาก อีกทั้งนามแฝง Hongvalue ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน "เว็บบอร์ด" แวลูอินเวสเตอร์
แม้ฮงแฝงตัวกลมกลืนกับแวลูอินเวสเตอร์ (VI) แต่เขาก็นิยามตัวเองเป็น "ลูกครึ่ง Value Investor"
"ผมจะลงทุนกึ่งแวลู จะผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งต่างจากนักลงทุน Value ทั่วไป แต่วันนี้มีนักลงทุน VI รุ่นใหม่ยึดแนวทางนี้เพิ่มขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาก"
ฮงกล่าวว่า การจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัว นักลงทุนควรต้องดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิคควบคู่กันไป เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด "นิวไฮ" ของหุ้นด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เหมือนนักลงทุนหุ้นคุณค่าทั่วไปคือ ผมยอมรับการขาดทุนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นนักลงทุน VI แท้ๆ ต้องไม่มีคำว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) แต่ผมคิดแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังชื่นชอบการเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) ที่สำคัญนักลงทุน VI จะไม่ดูกราฟดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว เขามองว่าดูกราฟเหมือนมองกระจกหลัง มันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถสะท้อนธุรกิจในปัจจุบันหรือในอนาคตได้"
สำหรับเทคนิคการลงทุนฮงจะเน้นดูปัจจัยพื้นฐาน 70% อีก 30% จะดูเทคนิเคิล และกราฟหุ้นย้อนหลัง หลายครั้งเขาบอกว่ากราฟหุ้น "ช่วยชีวิต" ไว้ ทำให้ไม่ต้อง "ขายหมู" (ขายถูก) ให้คนอื่น โดยเขายอมลงทุนเสียเงินปีละ 20,000 บาท ติดตั้งโปรแกรม APEX เพื่อดูกราฟราคาหุ้นโดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป 10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง "ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที" บางครั้งฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี "วอลุ่มผิดสังเกต" จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ "สวย" (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเลือกหุ้นที่ "เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร" และต้องอ่านเกมต่อไปว่า "ไตรมาสที่เหลือ" ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้ (ดี) ได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนจากนั้น ต้องเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 6-7% ต่อปี และข้อสุดท้าย ต้องเลือกหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า P/E ของกลุ่ม...เหล่านี้คือคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการลงทุน
เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และค่า P/E ไม่สูง (ราคาหุ้นยังไม่แพง) ได้แล้ว ฮงก็จะเริ่มปฏิบัติการวิเคราะห์เจาะลึก "งบการเงิน" ทันที โดยเน้นหนักไปที่ "กระแสเงินสด" ของกิจการ พยายามดูย้อนหลังให้ได้มากที่สุด
โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย
เท่านั้นยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฮงจะทำการวิเคราะห์ "โครงสร้างธุรกิจ" ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรให้บริษัท รวมทั้งอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ รวมทั้งค้นหาบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารมาอ่านเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่จะวางเดิมพันราคาต้อง "วิ่ง" ชัวร์!
"ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ส่งมาในอีเมล์ทุกเช้า รวมถึงอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อให้เห็นทิศทางของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพียง 2 วัน"
เมื่อหาข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะเริ่มทำ "ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า" เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ "สเต็ปที่สอง" "สเต็ปที่สาม" และ "สเต็ปที่สี่"
หมายความว่าซื้อครั้งแรก 30% สเต็ปที่สอง (อีก 30%) จะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้น 7-8% ถ้าซื้อ 30% แรกแล้วราคาไม่ขึ้นก็จะรอไปก่อน "ยังไม่ซื้อ" ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยว "ออก(ของ)ไม่ได้"
เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) เวลาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ "กระทิง" หรือ "ขาขึ้นใหญ่" และมั่นใจหุ้นสุดๆ เขาจะใช้ "เงินกู้มาร์จิน" เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต
ทุกวันนี้ศูนย์บัญชาการของฮงอยู่ที่บ้านแล้วสั่งซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ที่บ้านย่านพระราม 2 จะกั้นห้องไว้สำหรับนั่งดูหุ้นโดยเฉพาะภายในมีทีวี LCD 60 นิ้วตั้งอยู่กลางห้อง กิจวัตรประจำวันฮงจะตื่นนอนมานั่งในห้องนี้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้วอ่านข้อมูลทุกอย่างเริ่มตั้งแต่บทวิเคราะห์ หนังสือพิมพ์ เข้าเว็บบอร์ด Thaivi.org เหตุที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.1% ถ้าโทรศัพท์สั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งต้องจ่าย 0.15% (รายย่อยต้องจ่าย 0.25%)
"โดยปกติผมจะปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก ผมจะนำข้อมูลที่ผู้บริหารบอกผ่านสื่อกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มานั่งคำนวณตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสถัดไป"
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จฮงจะ "เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม" ประมาณ 7-8 คน เทคนิคการเล่นจะคล้ายๆ กัน พวกเขานัดเจอกันที่ "สโมสรทหารบก" ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เว้นว่าช่วงไหนตลาดหุ้นดีๆ ก็จะเจอกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมที่ทำจะเช่าห้องฉายโปรเจ็คเตอร์เพื่อแชร์ข้อมูลกัน คนไหนถนัดดูกราฟก็จะมาบอกว่าเส้นกราฟเทคนิคหุ้นตัวไหนสวย ใครถนัดพื้นฐานก็จะนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง
ส่วนการซื้อขายแต่ละคนจะตัดสินใจเอาเองไม่ค่อยบอกกัน ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าตาฮงชอบสั่งซื้อหุ้นวันจันทร์ ซื้อเสร็จไม่เคยกำหนดว่าต้องถือยาวหรือสั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะเป็นตัวบอก แต่เขาจะเตือนตัวเองเสมอว่า "เล่นหุ้นต้องเล่นแบบ "ไร้ใจ" ถ้าใช้อารมณ์เล่นหุ้น (รัก-โลภ-โกรธ-หลง) มีโอกาสขาดทุนสูง ผมจะพยายามคิดเสมอว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ญาติเรา ไม่รัก ไม่เกลียด"
ในยามที่ตลาดหุ้นไม่น่าไว้วางใจฮงจะเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด ปัจจุบันซื้อขายประจำอยู่ที่ บล.เคทีซีมิโก้ ตามมาร์เก็ตติ้งคู่ใจย้ายมาจาก บล.พัฒนสิน
ล่าสุดในพอร์ตมีหุ้นอยู่ 3 ตัว ได้แก่ BCP ต้นทุน 21 บาท มองว่าหุ้นบางจากราคายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ถ้าผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาสวยเหมือนไตรมาสแรก ก็อาจปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปอีก บางจากถือเป็นหุ้นโรงกลั่นตัวเดียวที่มีค่า P/BV ต่ำที่สุด
อีกตัวที่ลงทุนอยู่คือหุ้น HEMRAJ ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ต้นทุนแถว 2.10 บาท ชอบเพราะปี 2555 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น และหลังเกิดสึนามิทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย เหมราชก็จะได้ประโยชน์
ตัวสุดท้ายที่ลงทุนคือหุ้น CENTEL ตัวนี้ต้นทุน 7.30 บาท เก็บเพราะเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้พลิกจากปี 2553 ขาดทุน 51 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮในรอบ 5 ปี เพราะธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็ยังขยายตัวได้ดีอัตราการเข้าพักเพิ่มจาก 50-60% เป็น 70%
นอกจากหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว หุ้นตัวอื่นๆ ฮงบอกว่า ตอบตรงๆ ตอนนี้ยังหาตัวที่ถูกใจไม่เจอเลย วันนี้ยอมรับว่าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ยัง "เล่นยาก" เคยถามคนที่ลงทุน "หุ้นจีน" เขาบอกว่า "น่ากลัวมาก" บริษัทจีนมีการลงบัญชีไม่ค่อยโปร่งใสถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังขาดทุน ถ้ามีประสบการณ์แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ถามว่าเคยคิดอยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ เด็กหนุ่ม ตอบว่า แม้การซื้อหุ้นคือ "การซื้อธุรกิจ" แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเข้ามาบริหาร "ผมไม่คิดที่จะ “ผูกพัน” กับหุ้นตัวไหน แค่ต้องการเข้ามา “เสพสุข” (จากกำไร) เท่านั้น ได้ตามเป้าหมายแล้วก็จะไป"
ฮงเล่าว่า ตลาดหุ้นสมัยนี้คนอายุ 22-23 ปีขึ้นไป เข้ามาเล่นหุ้นกันค่อนข้างมาก จบปริญญาโทมาเล่นหุ้นก็มีเยอะ ส่วนตัวอยากแนะนำ "มือใหม่ที่เพิ่งหัดคลาน" ว่า ควรเริ่มลงทุนด้วยเงิน "ก้อนเล็กๆ" ก่อนสัก 100,000 บาท หากยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหุ้นที่ใช้ "ฝึกมือ" ควรเป็นพวกหุ้น "โรงไฟฟ้า-ค้าปลีก" เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็ค่อยขยับมาเล่นหุ้นยากๆ อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหุ้นพวกนี้ถ้าจับจังหวะถูกจะได้กำไรเยอะ (รวยเร็ว)
"หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมจะถนัดกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทแผ่นฟิล์ม สินค้าเกษตร กลุ่มอื่นๆ ยอมรับว่ายังไม่ค่อยชำนาญ"
ฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น
"ผมโชคดีที่เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ม.กรุงเทพ กว่าจะจับจุดได้ (รู้ความลับตลาดหุ้น) ใช้เวลานาน 2-3 ปี ผมจะยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานบริษัท ทุกวันนี้ผมมีเงินทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างที่เพื่อนๆ ไม่มี" เซียนหุ้นวัยเบญจเพส กล่าวทิ้งท้าย
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 66
ผมออกตัวก่อนเลยนะครับ
ว่าบทสัมภาษรอบสองของเมื่อวานที่เขาถามว่าผมมีหุ้นตัวไหนบ้าง
อย่าไปซื้อตามนะครับ หุ้นบางตัวเป็นหุ้นโรงกลั่นที่กำลังฝันผวนมาก
เล่นยากมากทีเดียว ตอนผมให้สัมภาษเขาไปก็เกือบเดือนแล้วตอนนี้พอร์ต
ผมยังจะมีหุ้นในแบบที่หนังสือพิมพ์ลงไหม ผมบอกไม่ได้เพียงแต่อยากบอกว่า
เขาจะลงว่าผมมีหุ้นอะไรก็อย่าสนใจเลย มันเป็นบทสัมภาษของเกือบเดือนแล้ว
ถ้าอยากดูให้ดูที่เนื้อหาที่ให้สัมภาษดีกว่า หลังๆผมก็เลิกโพสในร้อยคนร้อยหุ้นไปแล้ว
โพสในหน้านี้ก็โพสเชิงหลักการอย่างเดียว เห็นบทสัมภาษมีลงเรื่องหุ้นในพอร์ตก็เลยอยาก
พูดดังๆว่า อย่าไปสนใจมันเลยครับ ผมอาจจะซื้อผิด ซื้อเกิน fair value หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ได้ออกมาทุบหุ้นและเชียร์หุ้นแต่ไม่อยากให้ใครไปซื้อตามเฉยๆครับ
ส่วนเรื่องหุ้น commodity ผมก็เล่นมาแถบจะทุก commo แล้วกำไรบ้างขาดทุนบ้าง
ก็พิสูจน์ความเชื่อมาหลายอย่างแล้วตั้งแต่ ราคาสินค้าขึ้นเยอะแต่ราคาขายในประเทศกลับไม่ขึ้น
ราคาสินค้าขึ้นราคาหุ้นไม่ขึ้นส่วนนึงเพราะดันเพิ่มทุนบ้าๆบอๆตั้ง 20% กว่าๆทำไมไม่รู้
ผมแค่อยากบอกว่าหลังๆผมเล่น commodity มาทุกรูปแบบแล้วก็คิดว่าการใช้ money management กับการคัทลอทอะไรต่างๆสำคัญมากสำหรับการเล่นหุ้นคอมโม (ความเห็นส่วนตัว)
และที่เขาลงว่าผมดูงบด้วยวิธี
""โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย ""
อันนี้ผมคิดว่าเป็นแค่คุณสมบัติที่บริษัทที่งบการเงินแกร่งๆจะมีกัน แต่เวลาผมหาหุ้นผมไม่ได้ดู d/e มากนักครับ ผมเน้นแค่ว่ากำไรต้องกระโดดเยอะมากๆก็พอ d/e นั้นบอกเราได้ในแง่ที่ว่าโครงสร้างทางการเงินเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้บอกถึง growth d/e ใช้ดูประกอบก็คือถ้า d/e เยอะจะยากต่อการขยายงานและปันผลก็จะน้อยแค่นั้นเองครับ ในมุมของผม
ส่วนที่เขาลงว่าผมพูดว่าวีไอต้องไม่คัทลอท ความหมายก็คือถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยนและหุ้นลง วีไอจะไม่คัทลอทแน่นอนแต่สำหรับผมบางครั้งผมก็ลดพอร์ตเพราะผมจะมองว่าเราเองต่างหากอาจจะมองไม่ขาดและกำลังมี smart money รู้ดีกว่าเราเลยขายหุ้นออกมาก่อน อันนี้ไม่มีใครผิดใครถูกครับ
ว่าบทสัมภาษรอบสองของเมื่อวานที่เขาถามว่าผมมีหุ้นตัวไหนบ้าง
อย่าไปซื้อตามนะครับ หุ้นบางตัวเป็นหุ้นโรงกลั่นที่กำลังฝันผวนมาก
เล่นยากมากทีเดียว ตอนผมให้สัมภาษเขาไปก็เกือบเดือนแล้วตอนนี้พอร์ต
ผมยังจะมีหุ้นในแบบที่หนังสือพิมพ์ลงไหม ผมบอกไม่ได้เพียงแต่อยากบอกว่า
เขาจะลงว่าผมมีหุ้นอะไรก็อย่าสนใจเลย มันเป็นบทสัมภาษของเกือบเดือนแล้ว
ถ้าอยากดูให้ดูที่เนื้อหาที่ให้สัมภาษดีกว่า หลังๆผมก็เลิกโพสในร้อยคนร้อยหุ้นไปแล้ว
โพสในหน้านี้ก็โพสเชิงหลักการอย่างเดียว เห็นบทสัมภาษมีลงเรื่องหุ้นในพอร์ตก็เลยอยาก
พูดดังๆว่า อย่าไปสนใจมันเลยครับ ผมอาจจะซื้อผิด ซื้อเกิน fair value หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ได้ออกมาทุบหุ้นและเชียร์หุ้นแต่ไม่อยากให้ใครไปซื้อตามเฉยๆครับ
ส่วนเรื่องหุ้น commodity ผมก็เล่นมาแถบจะทุก commo แล้วกำไรบ้างขาดทุนบ้าง
ก็พิสูจน์ความเชื่อมาหลายอย่างแล้วตั้งแต่ ราคาสินค้าขึ้นเยอะแต่ราคาขายในประเทศกลับไม่ขึ้น
ราคาสินค้าขึ้นราคาหุ้นไม่ขึ้นส่วนนึงเพราะดันเพิ่มทุนบ้าๆบอๆตั้ง 20% กว่าๆทำไมไม่รู้
ผมแค่อยากบอกว่าหลังๆผมเล่น commodity มาทุกรูปแบบแล้วก็คิดว่าการใช้ money management กับการคัทลอทอะไรต่างๆสำคัญมากสำหรับการเล่นหุ้นคอมโม (ความเห็นส่วนตัว)
และที่เขาลงว่าผมดูงบด้วยวิธี
""โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย ""
อันนี้ผมคิดว่าเป็นแค่คุณสมบัติที่บริษัทที่งบการเงินแกร่งๆจะมีกัน แต่เวลาผมหาหุ้นผมไม่ได้ดู d/e มากนักครับ ผมเน้นแค่ว่ากำไรต้องกระโดดเยอะมากๆก็พอ d/e นั้นบอกเราได้ในแง่ที่ว่าโครงสร้างทางการเงินเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้บอกถึง growth d/e ใช้ดูประกอบก็คือถ้า d/e เยอะจะยากต่อการขยายงานและปันผลก็จะน้อยแค่นั้นเองครับ ในมุมของผม
ส่วนที่เขาลงว่าผมพูดว่าวีไอต้องไม่คัทลอท ความหมายก็คือถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยนและหุ้นลง วีไอจะไม่คัทลอทแน่นอนแต่สำหรับผมบางครั้งผมก็ลดพอร์ตเพราะผมจะมองว่าเราเองต่างหากอาจจะมองไม่ขาดและกำลังมี smart money รู้ดีกว่าเราเลยขายหุ้นออกมาก่อน อันนี้ไม่มีใครผิดใครถูกครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 70
แล้วที่ผ่านมาเล่นอย่างไรบ้างครับkeroke เขียน:ลงทุนมาเกือบ 10 ปี port ไม่โตเลยค่ะ
น้องฮง พอมีคำแนะนำมั๊ยคะ
จะได้ช่วยแนะนำได้ถูกจุด
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 71
ซ้อมไว้ๆ อีกหน่อยตอนจัดงานแต่งจะได้ชินครับhongvalue เขียน:จริงๆก็อยากจัดอีกนะเพราะมีคนถามเยอะมาแต่จริงๆทำแล้ว
มันเหนื่อยมาก เนื้อหาตอนผมทำมีสองภาค ภาคแรกสัมนา 230 คน
เหนื่อยมาก ภาคสองเลยสอนแค่ 8 คนไม่ต้องเหนื่อย
ผมเองพอลองทำแล้วรู้เลยว่าการ deal สถานที่และรับคนระดับ 200 คนมันเหนื่อยขนาดไหน
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 72
อยากจะเก่งเหมือนพี่จัง มีวิธีแนะนำ มือใหม่ อย่างผมบ้างไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 98
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 74
keroke wrote:
ลงทุนมาเกือบ 10 ปี port ไม่โตเลยค่ะ
น้องฮง พอมีคำแนะนำมั๊ยคะ
แล้วที่ผ่านมาเล่นอย่างไรบ้างครับ
จะได้ช่วยแนะนำได้ถูกจุด
ขอบคุณค่ะ
จุดเริ่มต้น ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลใดๆเลย เพียงคิดว่าธุรกิจน่าจะดี มีนักวิเคราะห์แนะนำ ลองซื้อทีละตัว ผ่านไปเป็นปีแต่ราคาไม่ไปไหน มีแต่ลดต่ำลง เลยตัดใจขาย ผ่านไป5ปีลองกลับไปดูราคาก็สูงขึ้นมากแต่ขายขาดทุนไปแล้ว
เริ่มรู้จักชื่อดร.นิเวศน์ ซื้อ ตีแตกมา อ่านหลายรอบ ก็ตัดสินใจซื้อหุ้นบางตัวที่คิดว่าน่าจะใช่ แล้วทิ้งไว้2-3ปีโดยไม่สนใจดูเลย จนวิกฤตซับไพร์ม เห็นพอร์ตติดลบกว่า 50% ก็ไม่ขาย ผ่านไปจนราคาหุ้นบางตัวสูงกว่าทุนเล็กน้อยก็ตัดสินใจขาย ผ่านไปไม่กี่เดือนราคาขึ้นเอาๆ (เสียดาย)อีกแล้ว จะเป็นอย่างนี้ค่ะ พอร์ตเลยไม่โตเลย ทุนเท่าไหร่ก็ยังเท่านั้นอยู่่ค่ะ อ่านหนังสืออาจารย์นิเวศน์หลายเล่มมากเลย แต่ยังหาข้อสรุปในการเลือกหุ้นไม่ได้ รบกวนน้องฮงแนะนำวิธีการเลือกหุ้นในช่วงนี้ (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงพีอีแพง หรือเริ่มถูกแล้วกันแน่)...ชื่นชมน้องจริงๆ อายุยังน้อยอยู่เลย..
ตอนนี้ใน port มี PTL อยู่ด้วย (ตอนนั้นหลงผิดมาก ไม่ชอบการซื้อๆขายๆเก็งกำไร แต่ตลาดกำลังแรง กะว่าจะขอเก็งกำไรสักชั่วครูแต่ติดดอยเลย) .....ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ลงทุนมาเกือบ 10 ปี port ไม่โตเลยค่ะ
น้องฮง พอมีคำแนะนำมั๊ยคะ
แล้วที่ผ่านมาเล่นอย่างไรบ้างครับ
จะได้ช่วยแนะนำได้ถูกจุด
ขอบคุณค่ะ
จุดเริ่มต้น ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลใดๆเลย เพียงคิดว่าธุรกิจน่าจะดี มีนักวิเคราะห์แนะนำ ลองซื้อทีละตัว ผ่านไปเป็นปีแต่ราคาไม่ไปไหน มีแต่ลดต่ำลง เลยตัดใจขาย ผ่านไป5ปีลองกลับไปดูราคาก็สูงขึ้นมากแต่ขายขาดทุนไปแล้ว
เริ่มรู้จักชื่อดร.นิเวศน์ ซื้อ ตีแตกมา อ่านหลายรอบ ก็ตัดสินใจซื้อหุ้นบางตัวที่คิดว่าน่าจะใช่ แล้วทิ้งไว้2-3ปีโดยไม่สนใจดูเลย จนวิกฤตซับไพร์ม เห็นพอร์ตติดลบกว่า 50% ก็ไม่ขาย ผ่านไปจนราคาหุ้นบางตัวสูงกว่าทุนเล็กน้อยก็ตัดสินใจขาย ผ่านไปไม่กี่เดือนราคาขึ้นเอาๆ (เสียดาย)อีกแล้ว จะเป็นอย่างนี้ค่ะ พอร์ตเลยไม่โตเลย ทุนเท่าไหร่ก็ยังเท่านั้นอยู่่ค่ะ อ่านหนังสืออาจารย์นิเวศน์หลายเล่มมากเลย แต่ยังหาข้อสรุปในการเลือกหุ้นไม่ได้ รบกวนน้องฮงแนะนำวิธีการเลือกหุ้นในช่วงนี้ (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงพีอีแพง หรือเริ่มถูกแล้วกันแน่)...ชื่นชมน้องจริงๆ อายุยังน้อยอยู่เลย..
ตอนนี้ใน port มี PTL อยู่ด้วย (ตอนนั้นหลงผิดมาก ไม่ชอบการซื้อๆขายๆเก็งกำไร แต่ตลาดกำลังแรง กะว่าจะขอเก็งกำไรสักชั่วครูแต่ติดดอยเลย) .....ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 76
ผมกลัวจะไม่มีใครฟังเหตุผลน่ะซิhongvalue เขียน: หุ้นบางตัวเป็นหุ้นโรงกลั่นที่กำลังฝันผวนมาก
เล่นยากมากทีเดียว ตอนผมให้สัมภาษเขาไปก็เกือบเดือนแล้วตอนนี้พอร์ต
ผมยังจะมีหุ้นในแบบที่หนังสือพิมพ์ลงไหม ผมบอกไม่ได้เพียงแต่อยากบอกว่า
เขาจะลงว่าผมมีหุ้นอะไรก็อย่าสนใจเลย มันเป็นบทสัมภาษของเกือบเดือนแล้ว
ถ้าอยากดูให้ดูที่เนื้อหาที่ให้สัมภาษดีกว่า หลังๆผมก็เลิกโพสในร้อยคนร้อยหุ้นไปแล้ว
โพสในหน้านี้ก็โพสเชิงหลักการอย่างเดียว เห็นบทสัมภาษมีลงเรื่องหุ้นในพอร์ตก็เลยอยาก
พูดดังๆว่า อย่าไปสนใจมันเลยครับ ผมอาจจะซื้อผิด ซื้อเกิน fair value หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ได้ออกมาทุบหุ้นและเชียร์หุ้นแต่ไม่อยากให้ใครไปซื้อตามเฉยๆครับ
ถ้าคนแนว CI (ยืมคำอาจารย์นิเวศน์มาใช้หน่อย) ที่จ้องเล่นตามมาอ่านเจอ เห็นคุณฮงพูดถึง แล้วซื้อ BCP ตามเมื่อวาน วันนี้คง Happy ยกย่องคุณฮงอยู่ ว่าเจ๋งว่ะ...เล่นตามวันเดียวเห็นผล
แต่ถ้าพอตลาดรับรู้เรื่องเข้า SET50 จาง แล้วบังเอิญมีวิกฤติ ไม่ว่าเลือกตั้งมีปัญหาหรือเศรษฐกิจต่างประเทศมีปัญหา แล้วราคาที่ซื้อเมื่อวานนี้เป็นราคาที่ต้องรอนานๆ (CI มักไม่ชอบรอ แค่เห็นหุ้นตัวเองแดงวันเดียว ก็ทำเหมือนโลกแตกแล้ว) สงสัยคงเกิดกรณีแบบ JAS ที่คุณนริศโดน CI บ่นหนักๆ ทั้งต่อหน้าและหลับหลัง เมื่อตอน JAS ตกช่วงแรก
หลักทรัพย์ SET
แหล่งข่าว SET
หัวข้อข่าว SET News :ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100 เริ่มใช้ 1 ก.ค. 2554
วันที่/เวลา 14 มิ.ย. 2554 14:01:43
ฉบับที่ 68/2554
14 มิถุนายน 2554
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100 เริ่มใช้ 1 ก.ค. 2554
นางเกศรา มัญชุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้คัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ สำหรับการคำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100
ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2554 ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554
การคัดเลือกหลักทรัพย์สำหรับดัชนี SET50 ในครั้งนี้ มีหลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ 1
หลักทรัพย์ คือ บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) ส่วนดัชนี SET100 มี 6 หลักทรัพย์ใหม่ ได้แก่ บมจ.บล.เคจีไอ
(ประเทศไทย) (KGI), บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC), บมจ. เอ.เจ.พลาสท์ (AJ), บมจ. โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย)
(PTL), บมจ. สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF), และ บมจ. เอ็ม.ซี.เอส. สตีล (MCS)
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์เพื่อคำนวณดัชนี SET50 และ SET100
นั้นจะใช้ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ย้อนหลัง 12 เดือน (1 มิถุนายน 2553 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2554)
และข้อมูลมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดย้อนหลัง 3 เดือน โดยหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 50
ลำดับแรกจะใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 ขณะที่หลักทรัพย์ 100 ลำดับแรกจะใช้ในการคำนวณดัชนี SET100
โดยมีหลักทรัพย์ 5 ลำดับถัดมาเป็นหลักทรัพย์สำรอง 5 หลักทรัพย์ สำหรับดัชนีแต่ละชุดด้วย
ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์
และวิธีการคำนวณดัชนีพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.set.or.th/th/set50 หรือโทร. S-E-T Call Center
0-2229- 2222
_____________________
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 78
คุณฮงสุดยอดมาก คับ สมแล้วกับสมยานามว่าเซียนหุ้นอัจฉริยะ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 79
ไม่เกี่ยวมั้งครับ set มันตั้ง 19 ขึ้นหุ้นมันก็คงขึ้นเกือบทุกตัวแหละIi'8N เขียน:ผมกลัวจะไม่มีใครฟังเหตุผลน่ะซิhongvalue เขียน: หุ้นบางตัวเป็นหุ้นโรงกลั่นที่กำลังฝันผวนมาก
เล่นยากมากทีเดียว ตอนผมให้สัมภาษเขาไปก็เกือบเดือนแล้วตอนนี้พอร์ต
ผมยังจะมีหุ้นในแบบที่หนังสือพิมพ์ลงไหม ผมบอกไม่ได้เพียงแต่อยากบอกว่า
เขาจะลงว่าผมมีหุ้นอะไรก็อย่าสนใจเลย มันเป็นบทสัมภาษของเกือบเดือนแล้ว
ถ้าอยากดูให้ดูที่เนื้อหาที่ให้สัมภาษดีกว่า หลังๆผมก็เลิกโพสในร้อยคนร้อยหุ้นไปแล้ว
โพสในหน้านี้ก็โพสเชิงหลักการอย่างเดียว เห็นบทสัมภาษมีลงเรื่องหุ้นในพอร์ตก็เลยอยาก
พูดดังๆว่า อย่าไปสนใจมันเลยครับ ผมอาจจะซื้อผิด ซื้อเกิน fair value หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ได้ออกมาทุบหุ้นและเชียร์หุ้นแต่ไม่อยากให้ใครไปซื้อตามเฉยๆครับ
ถ้าคนแนว CI (ยืมคำอาจารย์นิเวศน์มาใช้หน่อย) ที่จ้องเล่นตามมาอ่านเจอ เห็นคุณฮงพูดถึง แล้วซื้อ BCP ตามเมื่อวาน วันนี้คง Happy ยกย่องคุณฮงอยู่ ว่าเจ๋งว่ะ...เล่นตามวันเดียวเห็นผล
ยังไงก็ขอออกตัวอีกทีว่าหุ้นที่เขาสัมภาษผมอย่าไปซื้อตามโดยไม่ได้ศึกษาด้วยตัวเอง
ผมอาจจะคิดผิด ผมอาจจะขายไปแล้ว อาจจะมีปัจจัยอะไรก็ได้ที่มาเปลี่ยนพื้นฐาน
มันได้ตลอดเวลา กรุณาอย่าซื้อตามเพียงเพราะหนังสือพิมพ์ลงว่าผมถือหุ้นอะไรเลยครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 80
ผมตอบทาง pm ไปแล้วนะครับkeroke เขียน: ขอบคุณค่ะ
ในเร็วๆนี้ผมกับหมอเคจะมี trip เกี่ยวกับเรื่องหุ้นซึ่งรับจำนวนจำกัดมากlek0577 เขียน:อยากให้น้องจัดสัมนาอีกครับ คราวที่แล้วพลาดไปเสียดายมาก
และจะมีบรรยายเนื้อหา project ของผมในส่วนที่ไม่ได้จัดสัมนา 230 คน
ส่วนหมอเคจะพูดเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดมาก่อนซึ่งน่าสนใจมาก
และตอนนี้กำลังทาบทามผู้เชี่ยวชาญการเล่นหุ้นในรูปแบบต่างๆไปด้วยอยู่
แนะนำให้เข้าไปดูที่บล็อกหมอเคกับผม เรื่อยๆแล้วกันครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 82
ยอดเยี่ยมครับสำหรับข้อคิดดีๆผมมือใหม่ขาดทุนไปก็เยอะผมจะพยายามสู้ต่อไปครับ(อ่านแล้วชื้นใจจริงๆ)
เพราะคุณฮงกว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้ก็ต้องผ่านความยากลำบากมาก่อน ขอบคุณจากใจจริงครับ
เปิดอบรมบอกด้วยนะครับ
เพราะคุณฮงกว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้ก็ต้องผ่านความยากลำบากมาก่อน ขอบคุณจากใจจริงครับ
เปิดอบรมบอกด้วยนะครับ
เรียบง่าย
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 83
อ่านดูแล้วแอบอิจฉาอย่างมากเลยครับ
แต่ขอถามเคล็ดลับหน่อยครับ ว่าเมื่อหุ้นที่เราซื้อราคาสูงขึ้นเราจะอดทนไปขายที่ราคาหลายเท่าได้อย่างไรครับ เช่น หุ้น PTL ซื้อ 7.5 บาท ขายที่ 45 บาท มีหลักอย่างไรครับ ตั้งเป้าที่ 45 บาทโดยใช้หลักการอย่างไรครับ
ขออีกคำถามครับ จากจำนวนการเข้าซื้อหุ้นแต่ละตัวทั้งหมด จำนวนการเข้าซื้อแล้วตอนขายได้กำไรคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมด และที่ต้องcut loss เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมดครับ เอาประมาณการก็ได้ครับ ไม่ต้องเป๊ะ เช่น นับถึงปัจจุบัน ซื้อหุ้นทั้งหมด 100 ตัว ซื้อแล้วได้กำไร 90 ตัว ซื้อแล้วต้อง cutloss 10 ตัว อย่างนี้น่ะครับ
ไหนๆจะถามแล้วขออีกข้อครับ สุดท้าย
ในการลงทุนใช้ fund flow เป็นตัวกำหนดtimingการเข้าซื้อใช่ไหมครับ แต่การเลือกหุ้นก็ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานดังที่กล่าวไว้ใช่ไหมครับ ในการใ้ช้ fund flow มีหลักการอย่างไรครับ
ถ้าผมได้คำตอบทั้ง3ข้อนี้ ผมว่าผมน่าจะพัฒนาขึ้นไปได้อีก เพราะความมั่นใจจากสถิติที่ได้นี้ล่ะครับ (ความกลัวจะลดลง)
ขอบคุณมากครับ
แต่ขอถามเคล็ดลับหน่อยครับ ว่าเมื่อหุ้นที่เราซื้อราคาสูงขึ้นเราจะอดทนไปขายที่ราคาหลายเท่าได้อย่างไรครับ เช่น หุ้น PTL ซื้อ 7.5 บาท ขายที่ 45 บาท มีหลักอย่างไรครับ ตั้งเป้าที่ 45 บาทโดยใช้หลักการอย่างไรครับ
ขออีกคำถามครับ จากจำนวนการเข้าซื้อหุ้นแต่ละตัวทั้งหมด จำนวนการเข้าซื้อแล้วตอนขายได้กำไรคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมด และที่ต้องcut loss เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมดครับ เอาประมาณการก็ได้ครับ ไม่ต้องเป๊ะ เช่น นับถึงปัจจุบัน ซื้อหุ้นทั้งหมด 100 ตัว ซื้อแล้วได้กำไร 90 ตัว ซื้อแล้วต้อง cutloss 10 ตัว อย่างนี้น่ะครับ
ไหนๆจะถามแล้วขออีกข้อครับ สุดท้าย
ในการลงทุนใช้ fund flow เป็นตัวกำหนดtimingการเข้าซื้อใช่ไหมครับ แต่การเลือกหุ้นก็ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานดังที่กล่าวไว้ใช่ไหมครับ ในการใ้ช้ fund flow มีหลักการอย่างไรครับ
ถ้าผมได้คำตอบทั้ง3ข้อนี้ ผมว่าผมน่าจะพัฒนาขึ้นไปได้อีก เพราะความมั่นใจจากสถิติที่ได้นี้ล่ะครับ (ความกลัวจะลดลง)
ขอบคุณมากครับ
I am Billionaire
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 84
sapa2010 เขียน:
ขออีกคำถามครับ จากจำนวนการเข้าซื้อหุ้นแต่ละตัวทั้งหมด จำนวนการเข้าซื้อแล้วตอนขายได้กำไรคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมด และที่ต้องcut loss เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการเข้าซื้อทั้งหมดครับ เอาประมาณการก็ได้ครับ ไม่ต้องเป๊ะ เช่น นับถึงปัจจุบัน ซื้อหุ้นทั้งหมด 100 ตัว ซื้อแล้วได้กำไร 90 ตัว ซื้อแล้วต้อง cutloss 10 ตัว อย่างนี้น่ะครับ
ไหนๆจะถามแล้วขออีกข้อครับ สุดท้าย
ในการลงทุนใช้ fund flow เป็นตัวกำหนดtimingการเข้าซื้อใช่ไหมครับ แต่การเลือกหุ้นก็ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานดังที่กล่าวไว้ใช่ไหมครับ ในการใ้ช้ fund flow มีหลักการอย่างไรครับ
ถ้าผมได้คำตอบทั้ง3ข้อนี้ ผมว่าผมน่าจะพัฒนาขึ้นไปได้อีก เพราะความมั่นใจจากสถิติที่ได้นี้ล่ะครับ (ความกลัวจะลดลง)
ขอบคุณมากครับ
เรื่องการ cut loss เนี้ยอยู่ที่ภาวะตลาดค่อนข้างเยอะนะครับ ตอนปี 2010 ผมเคยใช้การดูกราฟแบบ canslim และเข้าซื้อเก็งกำไรโดยใช้เกณฑ์ว่าผิดทาง 5% cut แล้วกำไร 7-21% ขาย ผมเคยซื้อแล้วกำไรติดกัน 15 ตัวโดยใช้เศษของพอร์ตมาร์จิ้นหัดเล่นตอนดูกราฟใหม่ๆพอผมซื้อตัวที่ 16 ก็ผิดทาง อันนั้นคือตอนตลาดดีๆนะครับ ผมเก็งกำไรได้เป็นเท่าตัวและเพิ่งจะโดน ตัวที่ต้อง cut ตัวแรก 5%
แต่ตอนตลาดไม่ดีเป็นไงบ้างผมเล่นไปก็เคยคัทติดกัน 7 ตัวอะครับ ตัวละ 5% นะครับ ดีนะใช้เศษมาร์จิ้นที่เหลือไปเล่น ถ้าผมใช้เงินทั้งพอร์ตมาเล่นแล้วเจอขาดทุน 5% ติดกัน 7 ครั้งพอร์ตผมจะลดไปอย่างน่าใจหายทีเดียวครับ
ผมว่าประเด็นว่าซื้อแล้วคัทเนี้ยส่วนนึงจะขึ้นอยู่กับภาวะตลาด อีกส่วนอยู่ที่พื้นฐานหุ้นถ้าอ่านบทสัมภาษผมบอกว่าผมให้น้ำหนักพื้นฐาน 70% และให้กราฟเพียงแค่ 30%
ที่ผมยกตัวอย่างข้างบนเป็นการเทรดแบบดูกราฟอย่างเดียวซึ่งผมใช้เศษมาร์จิ้นก็คือมาร์จิ้นที่เหลือไม่เยอะในพอร์ตเล่นอย่างเดียว โดยผมไม่สนใจพื้นฐาน และผมก็พบว่าเวลาตลาดไม่ดีมันขาดทุนติดๆกันได้เยอะมาก
ส่วนพอร์ตหลักผมก็ต้องเลือกหุ้นที่กำไรโตอย่างโดดเด่นและกราฟสวยด้วยครับ ถ้าเลือกดีๆก็ไม่ค่อยได้คัทลอสเลยครับ
ผมเคยซื้อ sta ตอน 36 บาทผมจำได้ว่าตอนนั้นราคายางพารามันอยู่แถว 100 เศษๆ เชื่อไหมว่าซื้อแล้วแป๊ปเดียวราคายางขึ้นไป 150 เลยด้วยซ้ำ แต่หุ้น sta มันดันลงมา 33 ก่อนแล้วค่อยขึ้นไป 41 แล้วลงมาเหลือ 25-26 ผมก็คัทลอทนะ ผมงงมากว่าราคายางขึ้นตั้งเยอะหุ้นมันลง ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรก็ต้องขายไว้ก่อน อะไรแบบนี้ก็เคยเจอ
ส่วนเรื่องฟันโฟลผมดูเป็นภาพใหญ่ๆอะครับอย่างสองปีมานี้สภาพคล่องทะลักโลกหุ้นก็ขึ้นกันเยอะแต่พอหมด qe ก็ต้องจับตาดูให้ดี ผมเชื่อว่าหุ้นที่กำไรโดดเด่นจริงๆ ราคาหุ้นจะขึ้นได้มากแม้ตลาดจะไม่ขึ้น ดังนั้นผมก็ให้น้ำหนักเรื่องหุ้นรายตัวมากกว่า แต่ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าผมเริ่มกลับไปตามฟันโฟลมากขึ้นเนื่องจาก เริ่มรู้สึกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศมีอาการแปลกๆ และตัวเลขเงินเฟ้อของบางประเทศก็สูงในระดับที่น่ากลัวตอนผมศึกษา fundflow สมัยก่อนจำได้ว่าถ้าเงินเฟ้อสูงเกิน 4% เมื่อไหร่การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงหลังจากนั้นจะให้ผลตอบแทนเป็น negative ด้วย probability ที่สูงก็ลองตามๆดูครับถ้าช่วงไหนเงินเฟ้อสูงขึ้นเร็วๆก็ไม่ค่อยจะดีสำหรับตลาดหุ้นครับ ช่วงนี้ usd index ก็ไม่ได้ขึ้นแต่น้ำมันลง commodity ตัวอื่นก็ลง ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่บ้างเลยเริ่มไล่อ่านว่า broke ต่างประเทศมองว่าไงกันบ้างและเริ่มตามภาพใหญ่ๆหลายอย่างดูก็ยังไม่แน่ใจเพราะออกแนวเสียงแตกว่าดีหรือไม่ดีก็เลยเอาชัวเลยเลิกใช้มาร์จิ้นไปแล้วเพราะถ้าตลาดเกิดแย่ขึ้นมาผมคงต้องคืนกำไรที่ทำมาในรอบสองปีนี้ไปเยอะแน่ๆถ้าผมเล่นมาร์จิ้น ผมลองตั้งข้อสังเกตุแบบนี้นะ เป็นข้อสังเกตุส่วนตัว กระทิงครั้งใหญ่รอบนี้ขึ้นมา 2 ปีกว่าแล้ว หนังสือต่างประเทศบอกว่าตลาดกระทิงการปรับฐานจาก peak ไปสู่จุดต่ำมักจะไม่เกิน 12% แล้วทำนิวไฮใหม่ซึ่งผมลองดูตามคร่าวๆก็ประมาณนั้น ที่นี้การปรับฐานรอบนี้มีจุด peak ที่ 1100 และลงไปถึงประมาณ 1000 ก็ประมาณ 11% แล้วเด้งขึ้นมาได้แล้ว ถ้าตลาดไม่หลุด 1000 ก็น่าจะโอเคในความเห็นผม คือเป็น condition ตลาดกระทิงปรับตัวลงไม่เกิน 12% โดยเฉลี่ยและทำนิวไฮได้เรื่อยๆ
ที่นี้ถามว่าใช้ฟันโฟลกำหนดการเข้าซื้อไหมคำตอบก็คือไม่สมมุติผมเล่นหุ้นคอมโมดิตี้มันก็อยุ่ที่ demand supply ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเม็ดเงินเท่าไหร่
ความเห็นส่วนตัวของผมคือเรื่องภาพเศรษฐกิจเราก็ศึกษาไว้ให้พอรู้แต่อย่าถึงขนาดจะเอามาเล่นรอบกับตลาดหุ้นเพราะว่ามันน่าจะยากเกินไป เอาเป็นภาพ macro ใหญ่ๆของเราถูกก็พอแล้วมั้งครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 85
jiwtrad เขียน:ยอดเยี่ยมครับสำหรับข้อคิดดีๆผมมือใหม่ขาดทุนไปก็เยอะผมจะพยายามสู้ต่อไปครับ(อ่านแล้วชื้นใจจริงๆ)
เพราะคุณฮงกว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้ก็ต้องผ่านความยากลำบากมาก่อน ขอบคุณจากใจจริงครับ
เปิดอบรมบอกด้วยนะครับ
เรื่องกำลังใจเป็นสิ่งที่ให้กันได้นี้ครับ
คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เครื่องจักรบางทีคุยแต่หลักการมากเกินไป
คนก็ดูเหมือนไม่มีความรู้สึก ผมเองก็เป็นคนต้องการกำลังใจจากคนรอบข้าง
เมื่อก่อนตอนผมขาดทุนผมก็ต้องนัดเจอเพื่อนที่ร้านอาหารประเภทมีดนตรีสด
แล้วก็กินเบียร์พร้อมกับระบายความในใจ เคยพูดกับเพื่อนสมัยขาดทุนหนักๆว่า
"gu เหนื่อยมาก gu เล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์ซะที ที่บ้าน gu ยิ่งไม่เห็นด้วยอยู่ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่"
เพื่อนมันก็บอกว่าเออ gu เชื่อว่ามึงน่าจะทำได้เพราะมึงพยายามกูให้กำลังใจมึงอะไรทำนองนี้
ตอน subprime ผมก็โดนท้อแท้ก็นัดเจอเพื่อนตลอดอยากได้กำลังใจ อยากได้ยินคำพูดประมาณว่ากูเชื่อว่าซักวันมึงต้องทำได้ ฟังแล้วก็รู้สึกดีแม้จะไม่รู้ว่าอนาคตมันจะดีหรือจะแย่ลง แต่ยังไงคำพูดแบบนี้ก็ยังดีกว่าเจอบอกว่า กูไม่เห็นใครรวยจากหุ้นมึงเลิกเล่นหุ้นเถอะ เล่นไปก็ไม่รวย มึงเหนื่อยมาตั้งนานไม่เห็นได้ตังค์เลย ขืนเจอพูดแบบนี้คงเลิกเล่นไปแล้ว
จริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นคนเก่งอะไระเลยเป็นคนอึดมากกว่า ที่ผมผ่านช่วงเลวร้ายมาได้ผมก็ใช้วิธีว่าผมจะคอยจดว่าผมขาดทุนเพราะผมคิดยังไงแล้วผมก็จะไม่ใช่วิธีแบบนั้นอีก
ผมเคยขาดทุน gold หนักมากเกือบ 50% ผมซื้อ 10 บาทเพราะมีคนบอกว่า nav ของสินทรัพย์ที่ gold ถืออยู่จริงๆมันเกือบ 20 บาทซื้อไปไม่นานก็ลงไปเหลือ 5 บาทกว่า ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมเดินออกจากบ้่านแล้วผมถึงกับซึม ผมเครียดว่าเมื่อไหร่หุ้นจะกลับขึ้นมาซะที แล้วผมก็เลยเลิกเล่นหุ้นด้วยการดู asset ไปเลย
ประสบการณ์แบบเดียวกันผมก็เจอกับ tpipl ตอนนั้น ซื้อ 25 หุ้น bv 40 กว่าบาท
ตอนนั้นได้ยินจากใครซักคนว่าปูนกลางสนใจจะซื้อ tpipl ผมก็ซื้อ tpipl ไป 25 บาทซื้อไม่นานหุ้นก็เหลือ 10 บาทผมก็คัทอีกโดนไปอีกเกิน 50% ด้วยซ้ำ กำไรจากตัวอื่นๆเจอสองสามตัวนี้ตอดจนกระทั่งผมเซ็งมากๆเซ็งจนไม่รู้จะพูดยังไง
ผมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาหวังว่าจะเป็นประโยชน์อะไรบ้างว่าถ้าเราขาดทุนเราก็ควรดูว่าเราขาดทุนเพราะเราวิเคราะห์ผิดพลาดยังไงแล้วก็อย่าไปทำแบบนั้นอีก ถ้าเครียดก็โทรหาคนที่ให้กำลังใจเก่งๆแล้วออกไปกินเบียร์ก็ได้
อีกเรื่องนึงที่ผมอยากแชร์เผื่อจะเป็นประโยชน์ก็คือว่า บางครั้งถ้าเราจับหุ้นถูกตัวในจังหวะหลังวิกฤติเศรษฐกิจมันอาจจะทำให้พอร์ตเราโตได้อย่างเหลือเชื่อแบบที่เราก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ผมคิดว่าถ้าเรายังอยู่ในตลาดหุ้นอีกหลายสิบปีเราจะต้องเจอกับการขึ้นครั้งใหญ่อีกแน่นอนซึ่งถ้าตอนนั้นเงินเราเพิ่มขึ้นและเรามีความรู้มากขึ้น ภายในเวลาไม่กี่ปีเราก็สามารถพอร์ตโตได้เยอะมากๆถ้าเทียบกับการลงทุนในภาวะปกติ ประเด็นคือเราควรประคองตัวให้รอดไปได้เรื่อยๆในระยะยาวอย่าให้เลิกต้นเสียไปมาก และศึกษาหุ้นที่ฟื้นตัวจากวิกฤติรอบก่อนให้ดีว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็น่าจะช่วยเราได้นะครับ
จริงๆผมเกรดเฉลี่ย 2.2 นะครับ ตอนเรียนมหาลัย
ผมพูดอย่างไม่อายเลยว่าผมเป็นคนเรียนแย่มาก สมัยม.ต้นผมเกรดเฉลี่ยไม่ถึง 1.5 ตอน ม.4 ผมเกือบเรียน รด ไม่ได้ต้องให้พ่อช่วยโดนด่าเละเลย ผมว่าคนส่วนใหญ่เก่งกว่าผมทั้งนั้นแหละครับ ถ้าพยายามและอดทนทำไมจะทำไม่ได้ครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 87
ได้อ่านที่ คุณฮง โพสต์เกี่ยวกับความผิดเป็นครู รู้สึกดีนะ
พวกโพสต์เชียร์ โพสต์มองแต่ด้านดีเวลาถูกทาง โพสต์อวยไปอวยมา โพสต์แบบกรูรอลอก เพลาๆ กันหน่อยก็ดีนะครับพี่น้องครับ
พวกโพสต์เชียร์ โพสต์มองแต่ด้านดีเวลาถูกทาง โพสต์อวยไปอวยมา โพสต์แบบกรูรอลอก เพลาๆ กันหน่อยก็ดีนะครับพี่น้องครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 2
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 89
เพิ่งมาตามอ่านครับ ชื่นชมคุณฮงด้วยคนครับ ชอบตรงที่ฮงเป็นคนเปิดใจเรียนรูสิ่งใหม่ใหม่เสมอ สุดยอดเลยครับ
ปล.รูปในหนังสือพิมพ์เท่มากครับ น่าจะเป็นเซียนหุ้นหน้าเด้งสุดในเวปแล้วป่ะครับ ^^
ปล.รูปในหนังสือพิมพ์เท่มากครับ น่าจะเป็นเซียนหุ้นหน้าเด้งสุดในเวปแล้วป่ะครับ ^^
Small Details Make a Big Difference
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1018
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
โพสต์ที่ 90
เยี่ยมมากครับ คุณฮง อ่านแล้วเหมือนย้อนมองตัวเอง โดยเฉพาะพวกหุ้น gold tpipl ตอนผมลงทุนแรกๆ ก็เคยโดน หุ้น nep ขาดทุนไปเกือบ 30 % ของ port ยังจำถึงทุกวันนี้ว่าจะพลาดอะไรต้องไม่พลาดเหมือนเดิม ยิ่งพลาดน้อยลงเท่าไหร่ก็มีโอกาสรวยมากขึ้น ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์ครับ