การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 1
เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 2
ไม่รู้ตอบคำถามพี่หรือเปล่านะครับ
แต่การภาวนาก็เพื่อ ล้างความเห็นผิดที่คิดว่ามีตัวเราอยู่จริงๆ นะครับ
เพราะตัวกูไม่มีอยู่จริงครับพี่
ขั้นแรกจะเห็นว่า ตัวกูนี่ไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่ไปกันเอาธรรมชาติมา แล้วอุปโลกขึ้นมาเป็นตัวกู
รู้ตรงนี้แล้ว จะรู้อีกว่า ความสิ้นตัณหามีจริงๆ ความไม่ยึดมีจริงๆ นิพพานมีจริงๆ และเป็นสันติสุขจริงๆ
จึงต้องการเดินต่อ (นี่ก็ตัณหานะแหละ) เพื่อไปสู่ความไม่ยึดเอาไว้ หรือนิพพาน เพราะเห็นว่า ความยึดเป็นทุกข์
พอถึงตรงนี้แล้ว การภาวนาจะล้างความยึดถือที่จิตไปยึดเอากาย เอาใจเอาไว้ครับ
แต่การภาวนาก็เพื่อ ล้างความเห็นผิดที่คิดว่ามีตัวเราอยู่จริงๆ นะครับ
เพราะตัวกูไม่มีอยู่จริงครับพี่
ขั้นแรกจะเห็นว่า ตัวกูนี่ไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่ไปกันเอาธรรมชาติมา แล้วอุปโลกขึ้นมาเป็นตัวกู
รู้ตรงนี้แล้ว จะรู้อีกว่า ความสิ้นตัณหามีจริงๆ ความไม่ยึดมีจริงๆ นิพพานมีจริงๆ และเป็นสันติสุขจริงๆ
จึงต้องการเดินต่อ (นี่ก็ตัณหานะแหละ) เพื่อไปสู่ความไม่ยึดเอาไว้ หรือนิพพาน เพราะเห็นว่า ความยึดเป็นทุกข์
พอถึงตรงนี้แล้ว การภาวนาจะล้างความยึดถือที่จิตไปยึดเอากาย เอาใจเอาไว้ครับ
. . .
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 4
กิจในอริยสัจ ได้แก่
ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
ภาวนา - มรรค ควรเจริญ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD% ... E0%B8%88_4
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
เราไม่อยากทุกข์ เกิดจากตัณหา (ความอยาก ไม่อยาก)
เราต้องการถึงนิพพาน ก็เกิดจากตัณหา (ความอยาก ไม่อยาก)
ถ้ายังมีตัณหา ก็ยังจะมีทุกข์อยู่ และก็ยังมี "เรา" หรือ "ตัวกู" อยู่ ซึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้เลย
พุทธศาสนา สอนให้ "รู้" ความจริงแท้ว่า ทุกข์ คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วแก้ไขที่สาเหตุ เพราะทุกข์เป็นผล จึงแก้ที่ทุกข์ไม่ได้ ส่วนนิพพานเป็นสภาวะที่เกิดโดยอัตโนมัติหลังจากที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว และละทิ้งสาเหตุของทุกข์ได้เด็ดขาดแล้ว
สำหรับวิธีการเพื่อให้ "รู้" ความจริงของทุกข์ ก็คือ การเจริญมรรค นั่นเองครับ
(โพสต์ตามความเข้าใจของผมในปัจจุบันครับ)
ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
ภาวนา - มรรค ควรเจริญ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD% ... E0%B8%88_4
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
เราไม่อยากทุกข์ เกิดจากตัณหา (ความอยาก ไม่อยาก)
เราต้องการถึงนิพพาน ก็เกิดจากตัณหา (ความอยาก ไม่อยาก)
ถ้ายังมีตัณหา ก็ยังจะมีทุกข์อยู่ และก็ยังมี "เรา" หรือ "ตัวกู" อยู่ ซึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้เลย
พุทธศาสนา สอนให้ "รู้" ความจริงแท้ว่า ทุกข์ คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วแก้ไขที่สาเหตุ เพราะทุกข์เป็นผล จึงแก้ที่ทุกข์ไม่ได้ ส่วนนิพพานเป็นสภาวะที่เกิดโดยอัตโนมัติหลังจากที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว และละทิ้งสาเหตุของทุกข์ได้เด็ดขาดแล้ว
สำหรับวิธีการเพื่อให้ "รู้" ความจริงของทุกข์ ก็คือ การเจริญมรรค นั่นเองครับ
(โพสต์ตามความเข้าใจของผมในปัจจุบันครับ)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 5
ไม่รู้ตรงประเด็นหรือเปล่านะพี่chatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า
การเกิดนั้นคือ ทุกข์
- การเกิด เป็นทุกข์ ไม่ใช่ คือทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
- ทางพ้นทุกข์ คือ ดับสาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่การไม่เกิด
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
- นิพพานเป็นของเฉพาะตัว เราให้คนอื่นแทนไม่ได้
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
- พระพุทธศาสนาสอนว่า ตัวกู ของกู นี้ไม่มี ตามบาลี สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วจะเอากูมาจากไหน
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
ส่วนที่ยังมีการพูดเรื่อง ตัวกู ของกู ก็เพราะเรายังมีกิเลสหนา ยังยึดถือกันอยู่ เมื่อไม่ยึด ไม่ถือ ตัวกู ของกูก็ไม่มี (พูดยังกะบรรลุเลยแฮะ)
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 6
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 7
ขอสนทนาด้วยคนครับ
เรื่องรู้ ในเรื่องที่ไม่รู้ นี่ ผมถนัดนัก......ฮ่า
ผมคิดเอาเองว่า
คนเราเกิดมาแล้ว ควรที่จะรู้ใน ๒ เรื่อง
๑ จักรวาล เป็นยังไง
๒ คน คือ อะไร ติดต่อกับจักรวาลยังไง
ที่ต้องรู้ ๒ เรื่องนี้ เพื่อที่จะอยู่ได้ในจักรวาลและในตัวเอง
ในข้อ ๑ นั้น พระพุทธเจ้าได้ รู้ ว่า จักรวาลคือกระแสที่
เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่
ดิ้นรน
ไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยงแท้
ในข้อ๒ นั้น คนก็คือกระแสของการติดต่อกับจักรวาลโดยการได้เห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ได้อารมณ์
ทีนี้หากรู้แล้วนำมากระทำให้เป็นไปตามที่ รู้ นั้นแล้ว โดยไม่ฝ่าฝืน
นิพพาน........ก็เป็นภาวะนั้นๆ ตามธรรมชาติ
เรื่องรู้ ในเรื่องที่ไม่รู้ นี่ ผมถนัดนัก......ฮ่า
ผมคิดเอาเองว่า
คนเราเกิดมาแล้ว ควรที่จะรู้ใน ๒ เรื่อง
๑ จักรวาล เป็นยังไง
๒ คน คือ อะไร ติดต่อกับจักรวาลยังไง
ที่ต้องรู้ ๒ เรื่องนี้ เพื่อที่จะอยู่ได้ในจักรวาลและในตัวเอง
ในข้อ ๑ นั้น พระพุทธเจ้าได้ รู้ ว่า จักรวาลคือกระแสที่
เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่
ดิ้นรน
ไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยงแท้
ในข้อ๒ นั้น คนก็คือกระแสของการติดต่อกับจักรวาลโดยการได้เห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ได้อารมณ์
ทีนี้หากรู้แล้วนำมากระทำให้เป็นไปตามที่ รู้ นั้นแล้ว โดยไม่ฝ่าฝืน
นิพพาน........ก็เป็นภาวะนั้นๆ ตามธรรมชาติ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 8
อยากถึงนิพพานก็จะไม่ได้เห็นนิพพานครับ
เพราะความอยากเป็นกิเลส กิเลสทำให้เกิดทุกข์ ก็จะเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นนิพพาน
มนุษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะมีปัญญาเห็นธรรมครับ
เพราะความอยากเป็นกิเลส กิเลสทำให้เกิดทุกข์ ก็จะเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นนิพพาน
มนุษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะมีปัญญาเห็นธรรมครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 9
จากที่เขียนมา ก็มี "เรา" ตั้งสองครั้งแล้วchatchai เขียน:กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะ เราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
มันก็แน่นอนในตัวเองอยู่แล้ว ว่ายังมี ตัวกู ของกู อยู่
การถึงซึ่งนิพพนานนั้น ต้องผ่านกระบวนการ
เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง -> แล้วจึง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด -> แล้วจึง หลุดพ้น
ถ้ายังมีความอยากอยู่ มันก็ตรงข้ามกับขั้นตอนเหล่านี้
ก็ไม่มีทางถึงนิพพานได้
แต่ว่าในเบื้องต้น ความอยากแบบนี้ ก็เป็นตัวชักนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
แต่การจะเดินไปตามเส้นทาง ต้องยุติความอยาก
แล้วใช้ความเพียร
เรียนรู้มันเรื่อยไป
จนกว่าจะรู้ ตามที่มันเป็นจริง คือเป็นไตรลักษณ์
ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ พี่ฉัตรลองพิจารณาดู
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 10
ซิกเนเจอร์พี่ฉัตร
"จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี"
นี่ก็เข้าใกล้นิพพานแล้วนะครับ
"ติดดี" นี่หนักหนากว่า "ติดชั่ว"
แก้ยาก.....
"จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี"
นี่ก็เข้าใกล้นิพพานแล้วนะครับ
"ติดดี" นี่หนักหนากว่า "ติดชั่ว"
แก้ยาก.....
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 11
ตัวตน การเกิด
ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับ "ตัวตน" มี ๓ จำพวก
๑ พวกที่เชื่อว่า มีตัวตน มี"อัตตา"
๒ พวกปฏิเสธว่า ไม่มีตัวตน เรียกว่า "นิรัตตา"
๓ พวกที่อยู่ตรงกลาง คือ "อนัตตา" แปลว่า ไม่ใช่อัตตา
หรือ มันมีตัวตนซึ่งแท้ๆจริงแล้ว ไม่ใช่ตัวตน
เป็นเพียงตัวตนที่พูดกันแบบภาษาโลก ภาษาชาวบ้าน
ตัวตนชนิดที่ไม่ใช่ตัวตนแท้ เรียกว่า อนัตต
ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับ "ตัวตน" มี ๓ จำพวก
๑ พวกที่เชื่อว่า มีตัวตน มี"อัตตา"
๒ พวกปฏิเสธว่า ไม่มีตัวตน เรียกว่า "นิรัตตา"
๓ พวกที่อยู่ตรงกลาง คือ "อนัตตา" แปลว่า ไม่ใช่อัตตา
หรือ มันมีตัวตนซึ่งแท้ๆจริงแล้ว ไม่ใช่ตัวตน
เป็นเพียงตัวตนที่พูดกันแบบภาษาโลก ภาษาชาวบ้าน
ตัวตนชนิดที่ไม่ใช่ตัวตนแท้ เรียกว่า อนัตต
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 12
ตัวตน การเกิด
การเกิด ในพุทธศาสนา
การกิน กับ คนที่กิน อันไหนเกิดก่อน ?
คำตอบ การกิน
มันต้องมีการกินก่อน จึงจะมีผู้กิน เมื่อเรายังไม่ได้กิน แล้วจะมีผู้กินได้อย่างไร
คนเรานี้ก็ไม่ได้เกิดอยู่
ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นฉัน(โดยผ่านกระบวนการ ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ)
คนจึงจะเกิดขึ้นมา
การเกิดดังนี้ จึงเป็นการเกิดดับ เกิดดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เมื่อเกิดแล้ว แต่ด้วยความไม่รู้ใน อนัตตา
ก็ปรุงเป็น ตัวกู
แล้วตัวกูก็เกิด ความอยาก เกิดการสะสมๆๆๆๆๆๆๆ
เป็น ภพ เป็น ชาติ วนเวียนไป
ในชาตินี้แหละ
ในขณะนี้แหละ
การเกิด ในพุทธศาสนา
การกิน กับ คนที่กิน อันไหนเกิดก่อน ?
คำตอบ การกิน
มันต้องมีการกินก่อน จึงจะมีผู้กิน เมื่อเรายังไม่ได้กิน แล้วจะมีผู้กินได้อย่างไร
คนเรานี้ก็ไม่ได้เกิดอยู่
ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นฉัน(โดยผ่านกระบวนการ ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ)
คนจึงจะเกิดขึ้นมา
การเกิดดังนี้ จึงเป็นการเกิดดับ เกิดดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เมื่อเกิดแล้ว แต่ด้วยความไม่รู้ใน อนัตตา
ก็ปรุงเป็น ตัวกู
แล้วตัวกูก็เกิด ความอยาก เกิดการสะสมๆๆๆๆๆๆๆ
เป็น ภพ เป็น ชาติ วนเวียนไป
ในชาตินี้แหละ
ในขณะนี้แหละ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 13
เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติEyore เขียน:การถึงซึ่งนิพพนานนั้น ต้องผ่านกระบวนการ
เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง -> แล้วจึง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด -> แล้วจึง หลุดพ้น
ถ้ายังมีความอยากอยู่ มันก็ตรงข้ามกับขั้นตอนเหล่านี้
ก็ไม่มีทางถึงนิพพานได้
แต่ว่าในเบื้องต้น ความอยากแบบนี้ ก็เป็นตัวชักนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
แต่การจะเดินไปตามเส้นทาง ต้องยุติความอยาก
แล้วใช้ความเพียร
เรียนรู้มันเรื่อยไป
จนกว่าจะรู้ ตามที่มันเป็นจริง คือเป็นไตรลักษณ์
ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ พี่ฉัตรลองพิจารณาดู
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 14
ศาสนา ๓ ประเภท
ประเภทที่ ๑
สำหรับคนที่มีตัวกู ของกู เป็นตัวเป็นตนจัด เข้าหู เข้าตา
ไม่ลืมหู ลืมตา ต้องมีศาสนาเหมาะสำหรับคนประเภทนี้ไว้พวกหนึ่ง
ประเภทที่ ๒
ศาสนาสำหรับคนที่ไม่มีตัวตน สามารถที่จะปลดปล่อยตัวตน
ละวางตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ก็ต้องมีศาสนาชนิดนี้ไว้ให้คนพวกหนึ่ง
ประเภทที่๓
ยังต้องมีศาสนาที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนที่มันมีตัวตนก็ไม่เชิง
ไม่มีตัวตนก็ไม่เชิง คือมันอยากจะมีตัวตน แต่มันยังทำไม่ได้
มันเหมือนกับยังเหยียบเรือสองลำอยู่นั่นน่ะ มันก็ต้องมีอยู่ศาสนาหนึ่ง
ความลับของชีวิต
พุทธทาสภิกขุ
ประเภทที่ ๑
สำหรับคนที่มีตัวกู ของกู เป็นตัวเป็นตนจัด เข้าหู เข้าตา
ไม่ลืมหู ลืมตา ต้องมีศาสนาเหมาะสำหรับคนประเภทนี้ไว้พวกหนึ่ง
ประเภทที่ ๒
ศาสนาสำหรับคนที่ไม่มีตัวตน สามารถที่จะปลดปล่อยตัวตน
ละวางตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ก็ต้องมีศาสนาชนิดนี้ไว้ให้คนพวกหนึ่ง
ประเภทที่๓
ยังต้องมีศาสนาที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนที่มันมีตัวตนก็ไม่เชิง
ไม่มีตัวตนก็ไม่เชิง คือมันอยากจะมีตัวตน แต่มันยังทำไม่ได้
มันเหมือนกับยังเหยียบเรือสองลำอยู่นั่นน่ะ มันก็ต้องมีอยู่ศาสนาหนึ่ง
ความลับของชีวิต
พุทธทาสภิกขุ
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 15
พี่ลองช่วยอธิบายรายละเอียดของศาสนาทั้งสามประเภทหน่อยครับสถาปนิกต่างดาว เขียน:ศาสนา ๓ ประเภท
ประเภทที่ ๑
สำหรับคนที่มีตัวกู ของกู เป็นตัวเป็นตนจัด เข้าหู เข้าตา
ไม่ลืมหู ลืมตา ต้องมีศาสนาเหมาะสำหรับคนประเภทนี้ไว้พวกหนึ่ง
ประเภทที่ ๒
ศาสนาสำหรับคนที่ไม่มีตัวตน สามารถที่จะปลดปล่อยตัวตน
ละวางตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ก็ต้องมีศาสนาชนิดนี้ไว้ให้คนพวกหนึ่ง
ประเภทที่๓
ยังต้องมีศาสนาที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนที่มันมีตัวตนก็ไม่เชิง
ไม่มีตัวตนก็ไม่เชิง คือมันอยากจะมีตัวตน แต่มันยังทำไม่ได้
มันเหมือนกับยังเหยียบเรือสองลำอยู่นั่นน่ะ มันก็ต้องมีอยู่ศาสนาหนึ่ง
ความลับของชีวิต
พุทธทาสภิกขุ
ขอบคุณมาก
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 16
ตามหลักพุทธศาสนาแล้ว เป็นไปไม่ได้ครับchatchai เขียน:เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติ
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
ปัญญา มี 3 ระดับ
สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการฟัง การอ่าน
จินตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากกระบวนการคิดตามหลักของเหตุผล
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการลงมือทำ หรือประสบการณ์
ปัญญาเพื่อพ้นทุกข์ คือ ภาวนามยปัญญา ได้จากการเจริญสติปัฏฐานครับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6976
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 17
ดีใจจัง ที่ท่านผู้มีภูมิธรรม มาสอนธรรมแล้ว
แต่ว่าผมยังสงสัยคือเราต้องปฏิบัติอย่างไร หรือกระทำเช่นไรเพื่อไม่ให้มีตัวกู ของกู
แต่ว่าผมยังสงสัยคือเราต้องปฏิบัติอย่างไร หรือกระทำเช่นไรเพื่อไม่ให้มีตัวกู ของกู
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 18
เคยฟังเทศน์มานะครับ ท่านว่าคนที่ภาวนาง่ายในชาตินี้ ก็เพราะเคยภาวนาลำบากมาแล้วในชาติก่อนๆchatchai เขียน: เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติ
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
จนจิตมีความเคยชินในการภาวนา เคยเห็นรูปนามมาก่อน เคยเห็นไตรลักษณ์มาก่อน
(ทำเหตุ จึงเกิดผล)
ถ้าจะตอบตรงๆในคำถามของพี่ ความเห็นผมเอง คือ ไม่ได้ ครับ เพราะจะไม่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์
ถ้าไม่เห็นรูปนามตามความเป็นจริง ก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่คลายกำหนัด และ ไม่หลุดพ้น
ถ้าไม่เห็นว่า รูปและนาม อันรวมกันอยู่นี่กระจายออก ก็ไม่เห็นแน่ๆว่า จริงๆแล้วไม่มี บุคคล สัตว์ เรา เขา
ก็เห็นว่าเป็น เราเป็นก้อนอยู่นี่แหละ ก้อนนี้เป็นเรา ยังไงก็เป็นเรา
ถ้าภาวนา (เจริญสติปัฏฐาน) ถูกต้อง มันจะกระจายออก เป็นขันธ์5 กระจายออกแล้ว แต่ละตัวจะแสดงความจริงให้เห็น เป็นไตรลักษณ์
เห็นเป็น อนิจจัง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เป็นทุกข์ มีความบีบคั้นตลอด เป็นอนัตตา คือทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้
เป็นเพียงธรรมชาติ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุ ดับลงเพราะหมดเหตุ และ เกิดขึ้นแล้วดับลงทั้งหมด
เห็นอย่างนี้จึงจะเบื่อหน่ายได้ครับ
เห็นว่ามีพี่ดำแนะนำให้ฟัง CD ของหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว
ผมว่า เริ่มฟังเลย ก็ดีนะครับ แนะนำเหมือนกันครับ
. . .
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 19
จริงๆมิบังอาจจะพูดเรื่องนี้เลย เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เท่าที่ฟังมาสรุปตามความเข้าใจได้ว่า นิพพานจะเกิดเมื่อเรารู้กายและใจของเราตามความเป็นจริง ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง(ซึ่งในขั้นต้นคงแค่รู้ไปก่อน คงไม่สามารถเป็นกลางได้ เช่น หุ้นตก เราแค่รู้ว่าใจเรากังวล เป็นต้น) เมื่อรู้ไปมากๆ เราจะเห็นความจริงเองว่าเราไม่สมารถบังคับใจเราได้ เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวดีใจ แล้วใจมันจะพอของมันเอง ซึ่งคงใช้เวลานาน ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เค๊าเรียกการรู้นี้ว่ามหาสติ(ซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อไหร่ เหมือนปลูกข้าว เราให้น้ำให้ปุ๋ยได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าข้าวจะออกรวงเมื่อไหร่)เมื่อเกิดมหาสติแล้วแล้วจะเห็นเองว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ใจไม่ใช่เรา(ซึ่งเป็นการเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่การคิดเอา) แล้วจะเลิกยึดถือในกายและใจ จนสามารถตัดอาสวะกิเลสได้และจะเกิดสภาวะหนึ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้แต่พระท่านบอกว่าเต็มโลกธาตุ คือจิตใจจะไม่มีขอบเขต เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก จิตใจจะมีแต่ความสุขจนไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบ ถ้าพี่ chatchai สนใจลองเข้าไป load ได้ที่ web wimutti.net ตอนได้ฟังครั้งแรกมีความรู้สึกว่าได้ยินได้ฟังเรื่องที่มหัศจรรย์ ที่สุดในชีวิต เป็นการฟังธรรมะที่มีเหตุผล เข้าใจได้ ปฎิบัติจริงได้ และเห็นผล ไม่งมงาย ฟังแล้วรู้ว่าทางเดินเส้นนี้จะเดินไปอย่างไร
ปล.สิ่งที่ปลื้มในทางโลกและถือเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตอีกอย่างก็คือการได้อ่านหนังสือตีแตกเล่มแรกของอ.นิเวศน์ เมื่อสิบปีก่อน ฝากบอกอาจารย์ด้วยนะคะ ซื้อมาอ่านวันเดียวจบ เหมือนพี่หมอสามัญชนแต่ยังไม่รวยเท่าพี่หมอนะคะ หวังว่าการบรรยายทียืดยาวนี้คงพอเป็นประโยชน์กับพี่chatchai บ้างนะคะ
ปล.สิ่งที่ปลื้มในทางโลกและถือเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตอีกอย่างก็คือการได้อ่านหนังสือตีแตกเล่มแรกของอ.นิเวศน์ เมื่อสิบปีก่อน ฝากบอกอาจารย์ด้วยนะคะ ซื้อมาอ่านวันเดียวจบ เหมือนพี่หมอสามัญชนแต่ยังไม่รวยเท่าพี่หมอนะคะ หวังว่าการบรรยายทียืดยาวนี้คงพอเป็นประโยชน์กับพี่chatchai บ้างนะคะ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 20
มีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยครับ
มองทุกสิ่งตามจริงโดยปราศจากอคติ พิจารณาไปโดยเฉพาะกายใจตัวเอง
พอจิตรู้เท่าทันสภาวะต่าง ๆ แล้วก็จะเกิดปัญหา เริ่มเห็นว่ากายใจไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ที่มีไว้ยึดติด
เมื่อนั้นก็เข้าถึงธารแห่งธรรมแล้วล่ะครับ
มีที่ต้องระวังอย่างเดียว
จิตที่ดูเหมือนดีเพราะเก็บกดความไม่ดีไว้
กับจิตที่ดีเพราะรู้ทันตัดความไม่ดีออกไปได้ นั้นดูเผิน ๆ จากภายนอกอาจคล้ายกัน แต่ที่จริงแล้วแตกต่างกันมาก
ทำเหมือนที่หลาย ๆ ท่านข้างบนกล่าวมาน่ะครับjverakul เขียน:ดีใจจัง ที่ท่านผู้มีภูมิธรรม มาสอนธรรมแล้ว
แต่ว่าผมยังสงสัยคือเราต้องปฏิบัติอย่างไร หรือกระทำเช่นไรเพื่อไม่ให้มีตัวกู ของกู
มองทุกสิ่งตามจริงโดยปราศจากอคติ พิจารณาไปโดยเฉพาะกายใจตัวเอง
พอจิตรู้เท่าทันสภาวะต่าง ๆ แล้วก็จะเกิดปัญหา เริ่มเห็นว่ากายใจไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ที่มีไว้ยึดติด
เมื่อนั้นก็เข้าถึงธารแห่งธรรมแล้วล่ะครับ
มีที่ต้องระวังอย่างเดียว
จิตที่ดูเหมือนดีเพราะเก็บกดความไม่ดีไว้
กับจิตที่ดีเพราะรู้ทันตัดความไม่ดีออกไปได้ นั้นดูเผิน ๆ จากภายนอกอาจคล้ายกัน แต่ที่จริงแล้วแตกต่างกันมาก
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 21
แก้ ๆ ครับ
พอจิตรู้เท่าทันสภาวะต่าง ๆ แล้วก็จะเกิดปัญญา เริ่มเห็นว่ากายใจไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ที่มีไว้ยึดติดpeacedev เขียน:มีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยครับ
พอจิตรู้เท่าทันสภาวะต่าง ๆ แล้วก็จะเกิดปัญหา เริ่มเห็นว่ากายใจไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ที่มีไว้ยึดติด
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 22
กระบวนการเจริญภาวนา
สัมมาทิฏฐิ (กัลยาณมิตร / โยนิโสมนสิการ) => สัมมาสติ (รู้ทันสภาวะบ่อยๆ ในปัจจุบันขณะ) => สัมมาสมาธิ (จิตตั้งมั่น เป็นกลาง สบายๆ) => ปัญญา (รู้ไตรลักษณ์)
สัมมาทิฏฐิ (กัลยาณมิตร / โยนิโสมนสิการ) => สัมมาสติ (รู้ทันสภาวะบ่อยๆ ในปัจจุบันขณะ) => สัมมาสมาธิ (จิตตั้งมั่น เป็นกลาง สบายๆ) => ปัญญา (รู้ไตรลักษณ์)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 23
การอยากนิพพานหรือไม่อยากนิพพาน ผมว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องถึงนิพพานได้หรือไม่นะครับ ตราบใดที่เดินทางสายมรรคไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง มันก็ถึงของมันเองchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
ส่วนเรื่องสภาวะนิพพานนี่เท่าที่เข้าใจมันมีอยู่หลายแบบนะครับ นิพพานของพรหม นิพพานของโสดาบัน สกทาคา อนาคา หรือ อรหันต ก็ไม่เหมือนกัน หน่วงสภาวะนิพพานได้ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน
ตราบใดที่เรายังไม่ถึงขั้นอรหันตก็ยังมี มานะทิฏฐิ อยู่ ยังมีโลภะ และโมหะอยู่ ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่ถึงอรหันตมรรค อรหันตผล การที่จะมีตัวกู ของกู อยู่ก็เป็นธรรมดา แต่อาจจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ตามกิเลสที่สามารถขัดเกลาลงไปได้ จนกว่าที่จะมีปัญญาแก่กล้าพอที่จะประหารกิเลสได้ทั้งหมด
สรุป ผมว่า ถ้าเราเดินทางสายมรรคแล้ว การไปครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อาจจะเรียกได้ว่าเจอกับมารซึ่งทำให้เราล่าช้า เสียเวลาเจริญมรรคไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 24
เกี่ยวกับเรื่องกิเลส ผมมีเรื่องมาแชร์น่ะครับ
กิเลสมีหลายระดับมีตั้งแต่แบบหยาบไปจนถึงแบบละเอียดแต่ผมจำศัพท์เทคนิคไม่ได้น่ะครับ
จิตที่ยังหยาบก็จะเห็นได้แต่กิเลสที่หยาบ ๆ
จิตที่เจริญวิปัสนามากขึ้นก็จะเร็วขึ้นว่องไวขึ้นละเอียดขึ้น
ก็จะรู้ทันกิเลสได้เร็วขึ้น มองเห็นกิเลสละเอียดได้มากขึ้น
ปกติคนที่ทำเรื่องเดียวกันมักมีเจตนามีความเป็นกุศลจิตที่ต่างกันออกไป
เราแต่งกายเพราะเพื่อปกปิดร่างกาย
หรือเพราะแต่งให้ดูดีขึ้น (เสริมรูป)
เราใช้โทรศัพท์มือถือเพราะประโยชน์ของมัน
หรือเพื่อความโก้เก๋เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเราให้คนอื่นเห็น(เสริมอัตตา)
เวลาทำบุญเราทำกันไปด้วยจิตที่เป็นกุศลจิตที่ต้องการให้
หรือหวังจะได้บุญหวังสบายในชีวิตหลังความตาย
ภาพนี้ชื่อ เต่าหินตาบอด
มันบอกเล่าเกี่ยวกับกิเลสที่ละเอียดขึ้นมาหน่อยครับ
กิเลสมีหลายระดับมีตั้งแต่แบบหยาบไปจนถึงแบบละเอียดแต่ผมจำศัพท์เทคนิคไม่ได้น่ะครับ
จิตที่ยังหยาบก็จะเห็นได้แต่กิเลสที่หยาบ ๆ
จิตที่เจริญวิปัสนามากขึ้นก็จะเร็วขึ้นว่องไวขึ้นละเอียดขึ้น
ก็จะรู้ทันกิเลสได้เร็วขึ้น มองเห็นกิเลสละเอียดได้มากขึ้น
ปกติคนที่ทำเรื่องเดียวกันมักมีเจตนามีความเป็นกุศลจิตที่ต่างกันออกไป
เราแต่งกายเพราะเพื่อปกปิดร่างกาย
หรือเพราะแต่งให้ดูดีขึ้น (เสริมรูป)
เราใช้โทรศัพท์มือถือเพราะประโยชน์ของมัน
หรือเพื่อความโก้เก๋เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเราให้คนอื่นเห็น(เสริมอัตตา)
เวลาทำบุญเราทำกันไปด้วยจิตที่เป็นกุศลจิตที่ต้องการให้
หรือหวังจะได้บุญหวังสบายในชีวิตหลังความตาย
ภาพนี้ชื่อ เต่าหินตาบอด
มันบอกเล่าเกี่ยวกับกิเลสที่ละเอียดขึ้นมาหน่อยครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 25
ผมสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติม รบกวนพี่ๆกรุณาชี้แนะเถิดครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 272
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 26
อ้างอิงจากคำสอนของท่านพุทธทาส ในความเข้าใจของผม สิ่งที่ เรียกว่า "เรา" หรือ "ความอยาก"chatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
นั้น เป็นเพียงกระแสของการปรุงแต่งของสังขารธรรม เท่านั้น เพียงแต่ ไปยึดติดว่า การปรุงแต่แบบ
นี้คือ "เรา" การปรุงแต่งแบบนี้ "คือความอยาก" ซึ่งเป็นไปตามกฏธรรมชาติทางอวิชชา เกิดเป็น
สมมุติสัจจะ ถือเขาถือเรา ในทางพุทธศาสนา ความอยาก(หรือการปรุงแต่งของสังขารธรรม)ไปใน
ทางเพื่อการพ้นทุกข์นั้น ไม่ถือว่าเป็นตัณหา เพราะเป็นความสอดคล้องเส้นทางแห่งมรรคแปดนั้นเอง
และทางแห่งมรรคแปดก็เป็น กฏอิปปัตยตา แห่งการ พ้นทุกข์ นั้นเอง แต่ก็ยังเป็น สังขารธรรมที่ต้อง
อาศัยเหตุและปัจจัยอยู่ จน กว่าจะบรรลุธรรม ที่เรียกว่า อสังขธรรม ธรรมที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัยอีก
ต่อไป ลองศึกษาดูครับผมอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปบ้าง
Way of life is way of brain
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 27
chatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
อ้อมไปอ้อมมาหลายตลบ ขออนุญาติลองตอบปัญหาธรรมข้อนี้ดูบ้างครับ
เมื่อแต่ละคนมีเป้าหมายคือนิพพานเหมือนกัน แต่ทางไปและเจตนานั้นย่อมต่างกันออกไป
บางคนก็อยากไปถึงเร็ว ๆ โดยไม่ต้องปฎิบัติบ้าง บางคนก็ค่อย ๆ ปฎิบัติไปโดยไม่เร่งรีบ
เกิดเป็นกิเลสหยาบบ้างละเอียดบ้างแตกต่างกันออกไป
แต่กิเลสตัวนี้ถ้าเป็นกิเลสที่ดีก็เรียกกัตตุกัมยาตาฉันทะบ้าง หรือกุศลธรรมฉันทะบ้าง บางคนติดอยู่กับอารมณ์กิเลสนี้นานเกินไปก็การปฎิบัติก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเสียที บางคนละกิเลสฝ่ายละเอียดได้เร็วก็ไปถึงเร็ว
ส่วนที่ว่า "เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่"
ผมคิดว่าคำตอบมันมีอยู่ในคำถามอยู่แล้ว ถ้าปฎิบัติเพื่อลดอัตตาลง ตัวกู ของกู มันก็น้อยลง
แต่ตราบใดที่ยังมีฉันทะอยู่ย่อมแปลว่ายังมี อัตตาอยู่ครับ
ตอบตามความเข้าใจผิดถูกต้องขออภัยครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 28
โดยปรกติเรามักเข้าใจผิดว่า ตัวตนเป็นของเรา ตัวกูของกู อย่างที่พี่ฉัตรชัยว่าchatchai เขียน:
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
แต่ในทางพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตน
หากมี ตัวกู ของกู เมื่อตายไป ตัวกู ของกู ก็จะยังคงอยู่ เพราะมันคือตัวกูของกู
แต่ในความเป็นจริง เมื่อตายไปก็กลับกลายเป็นธาตุ 4 เหมือนที่เคยปรุงแต่งเราขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เราเกิดความคิดเช่นนี้ก็คือ "กิเลส" นั่นเองครับ
การบรรลุนิพพาน คือการก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เมื่อนิพานไปแล้ว ก็จะไม่มี
ตัวกูของกู แต่สามารถแสดง "รูป" เดิมของตนได้ เพื่อให้ผู้ที่เคยรู้จักจำได้
"ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี
เขาว่าซากผี เปื่อยเน่าพุพอง
เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้
เขานั่งร้องให้ แล้วกลับคืนมา
อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไม่เห็นใคร
เห็นแต่ฝูงนก เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา ยื้อแย่งกันกิน
ดูน่าสมเพศ กระดูกเราเอ๋ย เลอะลานแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาไปเป็นอาหาร"
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 29
ถ้ามุ่ง ถ้าหวังนิพพาน คงไม่ถึงนิพพานหรอกครับchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
ไม่ว่าจะเป็นความอยากชนิดใดก็จัดเป็นกิเลส หากมีกิเลส ก็คงไม่ถึงนิพพาน
ผมคิดว่า การที่เรามีรูปร่างแบบนี้ สัตว์ชนิดต่างๆ มีรูปแบบที่มันเป็นอยู่นี้มันมีเหตุผล
เหตุผลก็คือมันมีความอยาก ความอยากหรือกิเลสนี่แหละที่เป็นตัวกำหนดรูป
ยกตัวอย่างเช่น
ทำไมปลามันต้องมีเหงือก เพราะมันต้องการหายใจในน้ำให้ได้
ทำไมนกมันต้องมีปีก เพราะมันต้องการจะบิน
ทำไมสัตว์แต่ละชนิด มันถึงได้ต้องการมีรูปร่างที่แตกต่างกันไป ?
สาเหตุก็เป็นเพราะมันปรุงมันแต่งจิตตัวเอง จนมันได้รูปร่างที่มันต้องการ ตามที่มันคิดว่าดีแล้ว
ผ่านระยะเวลาเป็นหมื่นๆ ปี กิเลสมันหนาจนไม่รู้จะหนาอย่างไรแล้ว
นั่นเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งถูกถมทับด้วยกิเลสแล้วชั้นหนึ่ง
ภายในใจ ทำไมแต่ละคนจึงคิดไม่เหมือนกัน ดีชั่วแตกต่างกัน คิดไม่เหมือนกัน
นั่นก็เพราะมันสะสมผ่านการเจียรไนมาแตกต่างกัน ก่อขึ้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งด้านใน
ผมเชื่อว่าการนิพพาน คือการดับ ดับทุกสิ่ง
ไม่มีใดๆ อีก
จุดประสงค์ของการนิพพาน คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คงไม่ได้คิดว่าเพื่อตัวเองครับ
คงคิดแค่ว่า หมดแล้ว ไม่กลับมาเกิดแล้ว เพียงเท่านี้เองไม่ต้องคิดต่อว่าเพื่อใคร
ด้านล่างนี้ไม่เกี่ยวนะครับ แต่อยากเขียน
ผมคิดว่าคนเรา ไม่ว่าต้องการจะเป็นเลิศด้านไหนๆ ขอย้ำว่าไม่ว่าด้านไหนๆ
ตอนแรกเรามักจะแสวงหา ความรู้ จากแหล่งต่างๆ จากที่โน่นที่นี่ บริโภคทุกสิ่ง
สังเกตทุกอย่างจากสิ่งรอบๆ ตัว เพื่อให้ได้มา
แต่พอต้องการจะไปถึงที่สุดจริงๆ แล้ว
กลับกลายเป็นว่า ต้องค้นหาจากภายในตัวเองเสียทุกเรื่องทุกครั้งไป
สังเกตตัวเอง พิจารณาจากตัวเอง ด้วยใจที่ไม่มีอคติ
เพราะหากใจมีอคติแล้ว ก็คงไม่สามารถพิจารณาถึงสิ่งที่เป็นกลางได้
หากไม่สามารถพิจารณาอย่างเป็นกลางได้แล้ว
ก็คงไม่สามารถเห็นสรรพสิ่งตามจริงได้เช่นกัน
ผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ พี่ๆ ในเวบนี้ ได้นั่งหรือทำสมาธิกันบ่อยแค่ไหน
แต่อยากให้ทำครับ (ขั้นแรก ทำเอาสนุกไปก่อนก็ได้ครับ การจะนั่งให้มันสนุก มันต้องนั่งไปซักพักนึงก่อนครับ
ให้มันเลยจุดๆ นึงมา มันจะสนุก หรือที่เรียกกันว่าติดสุขนั่นแหละครับ แต่ก็ให้รู้ว่ามันผิดวัตถุประสงค์
แต่อย่างน้อยมันทำให้เรายังคงทำสมาธิต่อไปได้ แต่ต้องรู้ไว้ว่าผิดนะครับ)
หายใจเข้าออก นับ 1 ขั้นแรกเอาให้ถึง 40 ครั้ง โดยไม่หลุดไม่ลืมก่อนก็ได้ครับ
แล้วค่อยๆ เปลี่ยนตัวเลขให้มากขึ้น หรือเอาจิตไปตั้งตามลมหายใจก็ได้ครับ
ให้รู้สึกว่าลมมันเข้า เข้าไปที่ไหนบ้าง ตามลมไป
ผมคิดว่าถ้าทำได้แบบนี้แล้ว รวมกับการพิจารณาสรรพสิ่งตามจริง
เราจะเห็นอะไรๆ ในชีวิตชัดขึ้นเยอะเลยทีเดียว
ปล. ความเข้มในการทำสมาธิ ไม่สำคัญเท่าความถี่นะครับ สำคัญที่การทำสมาธิบ่อยๆ
ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 30
+100
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"