มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2731
สวัสดีบ่ายวันเสาร์ครับพี่หมอ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2734
เอาคลิปเด็กเนเธอร์แลนด์ เตะบอลแม่นมาก ๆ
เด็กน้อยมหัศจรรย์หลังจากโด่งดังจากคลิปเตะบอลลงกล่อง ล่าสุดหนูน้อยนาม “แบร์ก ฟาน เดอ เมจ์” วัยแค่ 18 เดือน ได้จรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับสโมสร “วีวีวี-เวนโล” ของฮอลแลนด์เป็นที่เรียบร้อย
โดยข่าวนี้ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์สโมสร วีวีวี-เวนโล ทีมในลีกของฮอลแลนด์ ซึ่งประทับใจกับฟอร์มการเตะลูกบอลลงกล่อง ที่กำลังฮิตในเว็บไซต์ดังอย่าง Youtube ทำให้ทีมแมวมองของสโมสรเห็นแวว รีบจับเซ็นสัญญาเป็นเวลาถึง 10 ปี เลยทีเดียว ส่งผลให้ หนูน้อยรายนี้ กลายเป็นนักเตะอาชีพ ที่มีอายุน้อยที่สุดของสโมสรไปแล้ว
ส่วนตำแหน่งของหนูน้อยคนนี้ก็ยังไม่ได้ยืนยันจากสโมสรแต่อย่างใด
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2735
มักจะเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนกะ asset ขนาดใหญ่ ก่อนที่จะ generate รายได้ออกมา เช่น ห้าง รพ. ระบบสาธารณูปโภค เป็นต้นPaul VI เขียน:ถามหมอแป๊ะเป็นความรู้ให้พวกเราครับ
ธุรกิจที่มีค่าเสื่อมเยอะๆ นี่หมอแป๊ะ พอยกตัวอย่างเป็นกลุ่มๆ หรือ ประเภทสินค้าให้หน่อยได้มั้ยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2736
ตอนนี้เข้ากทม.มาเรียนหลักสูตรสนุกๆอะครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2741
No Man's Land บทความของ หมอแป๊ะ
ขออนุญาตเอามาลงนะครับ
บทความดีครับ
เคยมีคนถามผมเรื่องสังคมของชาว VI ว่าเราจะเข้ากลุ่มหรือมีสังคมอย่างไร
เพราะมีภาษิตว่า นกไร้ขน คนไร้เพื่อน บินขึ้นที่สูงไม่ได้
ซึ่งหลายคนก็เลยชื่นชอบที่จะมีสังคมเยอะๆ แต่หลายคนก็ไม่สามารถที่จะมีอย่างนั้นเนื่องจากติดเรื่องครอบครัว เรื่องเวลา เรื่องงาน เป็นต้น
ขอถามความเห็นของหมอแป๊ะครับ
ขออนุญาตเอามาลงนะครับ
สังคม VI ในเมืองไทยใหญ่ขึ้นทุกวัน บรรดานักลงทุนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “แวลู อินเวสเตอร์” ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักแบบนี้ และมี “แวลู อินเวสเตอร์” รุ่นก่อนๆ ที่ประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นแบบอย่างจำนวนมาก
ผมเองคลุกคลีกับสังคมของ VI มาตลอด มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือ ถึงว่าจำนวนสมาชิกของเวบบอร์ดและคนทีเรียกตัวเองว่าเป็น “แวลู อินเวสเตอร์” จะมีมากขึ้น แต่จำนวนคนที่พัฒนาตัวเองได้มาถึงขั้นที่ VI ท่านอื่นยอมรับให้เป็น”เซียน” กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่มาก และว่ากันตามจริง ถ้าเทียบเป็นจำนวนเปอร์เซนต์ ผมคิดว่าน่าจะน้อยกว่าในสมัยก่อนด้วยซ้ำ
แม้แต่คนใกล้ตัวของผมเอง ซึ่งหลายๆคนผันตัวเองมาจากการเป็นนักเก็งกำไรรายวัน มาใช้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เขาหรือเธอเหล่านี้มักจะมีพื้นฐานของการเป็นแวลู อินเวสเตอร์ที่ดี และมักจะมีความสามารถในการวิเคราะห์กิจการได้ดีในระดับหนึ่ง สามารถอ่าน / ตีความงบการเงิน และใช้ financial ratio ง่ายๆ ได้พอสมควร
แต่ปัญหาของเขาหรือเธอเหล่านี้ก็คือมักจะไม่มีความสามารถในการหาหุ้นขึ้นมาเอง ( ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจกับปรากฏการณ์ตามแห่ กับหุ้นที่ได้ชื่อว่ามี”เซียน”วีไอ สิงสถิตย์อยู่ ) และมักจะไม่มีความแม่นยำในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ ซึ่งจากปัญหาทั้งสองข้อนี้ ทำให้เขาหรือเธอเหล่านั้น มักจะต้องซื้อหุ้น”แพง” หรือซื้อ”ไม่ทัน” เนื่องจากกว่าที่ตัวเองจะทราบว่าหุ้นตัว”น่าลงทุน” ก็มักจะถูกบรรดา”เซียน”วีไอ ไล่ซื้อไปล่วงหน้าเสียก่อน และเวลาที่จะขาย เขาหรือเธอเหล่านั้นก็มักจะขาย”เร็วไป” หรือ”ช้าไป” อยู่เรื่อยๆ เนื่องจากความไม่เฉียบคมของการประเมินมูลค่าของกิจการนั่นเอง
แวลู อินเวสเตอร์มือใหม่ หรือมือกลางเก่ากลางใหม่ ที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ มักจะรู้สึก frustrated อย่างมาก บางคนอาจจะอยู่ในวงการมาแล้วหลายปี แต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พัฒนาไปไหน ยังต้องเป็น วีไอ ไม้สอง ไม้สาม อยู่ร่ำไป บางคนก็ยังรู้สึกว่าตัวเองหามูลค่าของกิจการไม่เคยได้ และมักจะมีความไม่มั่นใจว่า นี่คือเวลาที่เราควรจะซื้อ หรือควรจะขาย
นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนที่กำลังจะผันตัวเอง”แมงเม่า”ไปสู่” VI มืออาชีพ” ถ้าจะให้เปรียบเป็นนี่ก็อาจจะเป็น”วัยรุ่น”ของการลงทุน ที่เรากำลังจะเปลี่ยนผ่านจากการเป็นเด็กไปสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หรือถ้าจะเปรียบเป็นการเดินทาง นี่อาจจะเป็นช่วงที่เรากำลังผ่านทะเลทรายที่แห้งผาก และไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าจะอาศัยอยู่ ( No Man’s Land ) ก่อนจะไปถึงจุดมุ่งหมายที่สวยงามของเรา
ปกตินักเดินทางจะทำอย่างไรหากมาถึง No Man’s Land ? นักเดินทางที่มีแผนที่และเข็มทิศที่ดี ก็มักจะผ่านดินแดนแห่งนี้ไปไม่ยาก แต่บางคนก็หลงในดินแดนนี้ อย่างที่หาทางออกไม่ได้ บางคนเลือกที่จะล่าถอยกลับไปยังดินแดนการเก็งกำไร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะหากเขาหรือเธอเหล่านั้น ฝ่าแดนอันตรายนี้ไปได้ เขาหรือเธอคนนั้นก็จะกลายเป็นแบบอย่างและเป็นคนกรุยทางให้กับนักลงทุนรุ่นต่อๆไป อันจะทำให้สังคมนักลงทุนเน้นคุณค่าของประเทศเรายิ่งเข้มแข็งขึ้นไป
ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองผ่านพ้นแดนอันตรายนี้ไปได้หรือยัง แต่ในฐานะของนักลงทุนเน้นคุณค่าที่เคยเข้าถึง No Man’s Land นี้มา ผมมีข้อแนะนำบางอย่างที่จะทำให้เพื่อนนักลงทุนที่กำลังเดินในดินแดนแห่งนี้ หรือที่กำลังจะเข้ามา ได้เดินหน้าฝ่าดินแดนนี้ไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อแรกเลยคือ เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในการมองธุรกิจมากกว่าเดิม ในฐานะ VI หัดคลาน เราอาจจะเน้นไปที่กิจการง่ายๆ อาศัยงบการเงินและ financial ratio ช่วยตัดสินใจในการลงทุน แต่เมื่อเราจะก้าวไปอีกขั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่ม circle of competency และว่ากันตามจริงแล้ว VI ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ก็คือคนที่มอง business model และ megatrend ขาดนั่นเอง
แวลู อินเวสเตอร์หลายคน อาจไม่ได้มีพื้นเพมาจากคนทำธุรกิจหรือแม้แต่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางสายนี้ ( ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ) อาจจะบอกว่าการที่จะเข้าธุรกิจได้ทะลุปรุโปร่งนั้น เป็นเรื่องยากเกินความสามารถ ซึ่งก็อาจจะจริงในระดับหนึ่ง ว่าเราคงจะไม่สามารถมีมุมมองแบบคนทำธุรกิจจริงๆได้ 100% แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ทักษะการมองธุรกิจ เป็นสิ่งที่”ฝึก”กันได้
นักลงทุนที่มาถึง No Man’s Land ผมเชื่อว่ามีหลักของการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามากพอสมควรแล้ว ดังนั้นหนังสือเล่มต่อไปที่เขาหรือเธอเหล่านั้นควรจะอ่าน จะไม่ใช่หนังสือการลงทุนเน้นคุณค่าแล้ว หากแต่ควรจะเป็นหนังสือธุรกิจ แนวคิดทางธุรกิจ มาร์เกตติ้ง การบริหารองค์กร หรือบันทึกประสบการณ์ของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งผมมองว่าเราควรจะอ่านอย่างน้อยสัปดาห์ละฉบับ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม และภาพของเศรฐกิจมหภาค
ข้อสองคือเราควรจะต้องมีสังคมนักลงทุน ผมมองว่ากิจกรรมการพูดคุยและถกเถียงกันเรื่องของตัวกิจการระหว่างแวลู อินเวสเตอร์ เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งในแง่ที่มีคนช่วยเราตรวจสอบไอเดียในการลงทุน และ valuation ของเราต่อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง รวมทั้งเราเองก็อาจจะได้ไอเดียการลงทุนจากคนอื่นมา”ทำการบ้าน”ต่อ
และเหนืออื่นใด การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าคนอื่นจะมาวิพากษ์เรา หรือ เราวิพากษ์ไอเดียคนอื่นนั้น จะช่วย”ลับ”เรา ให้เรา”คม”และ”เฉียบขาด”ขึ้นเรื่อยๆ
ข้อสามคือ เราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกิจการในตลาดหลักทรัพย์ให้มาก การที่เรายิ่งรู้จักกิจการมาก จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้มากขึ้น ถ้ามีเวลาว่าง ผมแนะนำว่าแวลูอินเวสเตอร์ที่ดีควรอ่าน 56 -1 ให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 บริษัท หรือถ้าจะให้ง่ายกว่า เราก็อาจจะศึกษาบริษัทจากปากของผบห.โดยตรงผ่านงาน opportunity day หรือ company visit ซี่งนอกจากจะทำให้เรารู้จักกิจการนั้นๆ ลึกซึ้งขึ้นแล้ว เราจะเห็นภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรม กลยุทธ์ที่ผบห.บริษัทต่างๆนำออกมาใช้ รวมถึงเราจะได้เห็นถึงสไตล์การบริหารองค์กรที่แตกต่างกัน อันจะเป็นการเสริมมุมมองการวิเคราะห์ธุรกิจให้กับเราอีกทาง
ข้อสี่ที่ผมอยากจะแนะนำคือพยายามจดบันทึกข้อผิดพลาดของตัวเองไว้ และนำข้อผิดพลาดมาวิเคราะห์ว่าเราพลาดไปเพราะอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง valuation ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งเรามองว่าเป็นหุ้นงั้นๆและขายไปตอน PE 10 แต่ในที่สุดตลาดก็ให้ราคามันถึง PE 15 เช่นนี้เราก็ควรกลับไปมองว่า valuation ของเรามีปัญหาตรงไหนทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ( ผมเองก็ตกผลึกกับแนวคิดหุ้นถูกเรื้อรังหลังจากที่ผมเคย”พลาด”โดนหุ้นถูกจำนวนเรื้อรังจำนวนหนึ่งเล่นงาน )
และสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้คือ”อย่าท้อ” และ”อย่าเลิก” การเดินทางใน No Man’s Land อาจจะยากลำบากและชวนให้หันหลังกลับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำไว้คือว่า ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด การเดินหลงทางใน No Man’s Land อาจจะเป็นความเจ็บปวด แต่นั่นก็คือบทเรียนที่จะไม่ทำให้เราเดินหลงทางนั้นซ้ำสอง ผมเชื่อในศักยภาพของพวกเราทุกคน ผมเชื่อถ้าพวกเราอยู่ในดินแดนแห่งนี้นานพอ ประสบการณ์จะหล่อหลอมให้เราแข็งแกร่งขึ้น จนฝ่าดินแดนแห่งนี้ออกไปได้
บทความดีครับ
เคยมีคนถามผมเรื่องสังคมของชาว VI ว่าเราจะเข้ากลุ่มหรือมีสังคมอย่างไร
เพราะมีภาษิตว่า นกไร้ขน คนไร้เพื่อน บินขึ้นที่สูงไม่ได้
ซึ่งหลายคนก็เลยชื่นชอบที่จะมีสังคมเยอะๆ แต่หลายคนก็ไม่สามารถที่จะมีอย่างนั้นเนื่องจากติดเรื่องครอบครัว เรื่องเวลา เรื่องงาน เป็นต้น
ขอถามความเห็นของหมอแป๊ะครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2744
ดูสรยุทธ เมื่อสักครู่ น้องธันย์ สุดยอดของความคิดบวก เจอเหตุการณ์ขนาดนี้ยังคิดบวกได้
นับถือใจน้องเค้าจริงๆ ตัวผมเองถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ยังไม่รู้ว่าจะคิดได้ขนาดนี้หรือเปล่า
นับถือใจน้องเค้าจริงๆ ตัวผมเองถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ยังไม่รู้ว่าจะคิดได้ขนาดนี้หรือเปล่า
http://songkhlatoday.com/paper/81349ข่าวตรัง - พ่อน้องธันย์ เด็กนร.หญิงชาวตรัง เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ทับขาขาด ออกมาเปิดใจต่อเพื่อนสมาชิกและสื่อในการประชุมสมาคมโรตารี่เป็นครั้งแรก โดยบอกลูกกำลังใจดี เข้มแข็งมาก เป็นขวัญใจวัยรุ่นสิงคโปร์ไปแล้ว ขอบคุณทุกกำลังใจ
จากกรณีที่ด.ญ.ณิชรีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 14 ปี นร.ชั้น ม.2 รร.จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยตรัง ที่เพิ่งเดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษในประเทศสิงคโปร์ได้เพียง 3 สัปดาห์ได้ถูกรถไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ชนได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ร.พ.ตานโต๊กเซ็ง ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เหตุเกิดเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะรอรถไฟฟ้าที่สถานีอั้งม้อเกี้ยว ก็เกิดอาการหน้ามืด และเป็นลมพลัดหล่นลงไปบนราง เป็นช่วงเวลาที่รถไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ชานชาลา กระทั่งเกิดเหตุสลดขึ้น
ล่าสุด มีรายงานว่า นายกิจธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ ซึ่งเป็นบิดาของด.ญ.ณิชรีย์ หรือน้องธันย์ นร.หญิงชาวไทยที่โชคร้าย ได้ออกมาเปิดใจต่อเพื่อนสมาชิกสมาคมโรตารีตรังและสื่อมวลชน ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวในการประชุมประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 41 ที่ห้องประชุมชั้น 2 รร.ธรรมรินทร์ธนา ว่า ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากน้องธันย์ทางโทรศัพท์ โดยบอกว่า ในวันเกิดเหตุได้นัดเจอเพื่อนที่รถไฟฟ้าเพื่อไปเที่ยว แต่จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ก็รู้สึกตกใจจนช็อคทำใจไม่ได้และคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับลูกสาวตนได้ เมื่อตั้งสติได้ก็โทรศัพท์ติดต่อให้พี่สาว ให้เดินทางไปดูแลน้องธันย์ที่ รพ.ล่วงหน้าแทนก่อน
ส่วนตนยังเดินทางไปไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จะหาวิธีใดบอกกับภรรยาให้เข้าใจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาว เพราะทราบดีว่าเมื่อพูดความจริงไปแล้ว ภรรยาอาจทำใจรับสภาพไม่ได้ และอาจเป็นลมหมดสติศรีษะกระแทกพื้นจนเป็นอัมพาตไปอีกคน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายเกิดขึ้นในครอบครัว จึงตัดสินใจปิดบังไม่บอกภรรยา
สุดท้ายเมื่อทำใจได้แล้ว ก็วางแผนกับลูกสาวคนโตที่จะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้ภรรยาทราบอย่างนิ่มนวลที่สุด โดยใช้โอกาสพาภรรยาขึ้นรถยนต์ เปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด และเมื่อได้จังหวะก็บอกภรรยาว่า ลูกได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.แต่ไม่ได้บอกถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บ เพราะกลัวภรรยาทำใจไม่ได้ กระทั่งพยายามทำใจอยู่นานจึงรวบรวมความกล้าขอร้องให้ภรรยาทำใจดีไว้ ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด เมื่อภรรยาทราบเรื่องแล้ว ถึงกับช็อคร้องไห้นาน 2-3 ชั่วโมง ไม่สามารถทำใจยอมรับสภาพลูกถูกตัดขาได้
ซึ่งในจังหวะนั้น ตนก็ได้ปลอบว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะเกิดอุบัติเหตุได้เสมอ แต่ถือว่ายังโชคดีที่เกิดเหตุในประเทศที่มีความเจริญแล้ว อีกทั้งวิวัฒนาการทางด้านขาเทียมมีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก โอกาสที่ลูกจะรอดเป็นไปได้สูง หากเกิดในเมืองไทย ลูกสาวตนคงจะไม่รอดแน่นอน เพราะการช่วยเหลือล่าช้าแตกต่างกับประเทศสิงคโปร์มาก ซึ่งคำพูดของตนไม่ได้ดูถูกเมืองไทย แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุขึ้นมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
ทั้งนี้เมื่อเห็นภรรยายังคงซึมเซา ก็พยายามปลอบใจอีกว่า หากคนเป็นพ่อแม่หมดกำลังใจแล้วลูกจะอยู่อย่างไร เพราะขณะนี้ลูกมีกำลังใจดีขึ้นมาก และเข้มแข็งขึ้นมาก แถมยังพูดหยอกล้อกับตนอย่างอารมณ์ดีว่า หลังจากหมอตัดขาทั้งสองข้างและใส่ขาเทียม ก็สามารถกระโดดลอยไปไกล 1-2 เมตรได้
จากความที่น้องธันย์เป็นเด็กที่มีพื้นฐานมองโลกในแง่ดีมาตลอด และมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนยอมรับในสภาพนี้ได้ ทำให้เป็นขวัญใจของวัยรุ่นในสิงคโปร์เป็นอย่างมาก และสิ่งที่ครอบครัวตนปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้น เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบข่าว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกระเช้าดอกไม้ให้คุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ เป็นผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยมด้วย พร้อมกันนั้นได้ทรงมีเมตตาให้คุณหญิงซักถามเรื่องการเรียนและอาการบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ศูนย์สิรินธร ได้ติดต่อมายังตนที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องขาเทียมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแพทย์ระบุว่า น้องธันย์จะพักฟื้นใน รพ.ประมาณ 1 เดือนเศษ จากนั้นออกมาทำกายภาพบำบัด เชื่อไม่นานลูกจะกลับมาเดินได้ภายในไม่เกิน 4 เดือน และหลังจากนี้ก็คงให้ลูกอยู่ที่สิงคโปร์ต่อไปจนกว่าอาการจะหายดี
การที่สมเด็จพระเทพฯทรงพระราชทานกระเช้าดอกไม้ให้ผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยม ทำให้น้องธันย์ตกใจและไม่คาดไม่ถึงว่า ทรงมีพระเมตตาต่อบุคคลสามัญชนธรรมดาโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ซึ่งได้ทำให้ตนนำมาสอนลูกว่า เป็นบุญกุศลส่วนหนึ่งที่เราได้มาหลังจากสูญเสียบางส่วน แต่ก็ได้กลับมามากว่าที่เสียไป ส่วนเงินบริจาคที่มีเข้ามาน้องธันย์ได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปให้กับครอบครัวที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของบิดาบุญธรรม
โดยทีมข่าวภาคใต้โฟกัส
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2745
เทคโนโลยีสมัยนี้ดีครับพี่มุข แม้ว่าเราจะไม่สามารถออกไปพบปะเพื่อนนักลงทุนด้วยตัวเองได้ แต่เราก็ยังมีมือถือ อีเมล์ pm msn
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2753
เดินทางต่อที่ เซินเจิ้น
กว่าจะผ่าน ตม. เมืองจีน สุดยอดจะนาน แถมพวกล้วงกระเป๋าก็ตรึม ไปเดินห้างยังมีวิ่งราวให้เห็นต่อหน้าต่อตา
ตอนแรกนึกว่าถ่ายละครอยู่
ภาพที่เอามาเป็น เมืองจำลอง ผมไปตอนนั้นมรสุมเข้า พี่เล่นฝนตกทั้งวัน เลยเอารูปมาฝากได้แค่ถ่ายวิว
กว่าจะผ่าน ตม. เมืองจีน สุดยอดจะนาน แถมพวกล้วงกระเป๋าก็ตรึม ไปเดินห้างยังมีวิ่งราวให้เห็นต่อหน้าต่อตา
ตอนแรกนึกว่าถ่ายละครอยู่
ภาพที่เอามาเป็น เมืองจำลอง ผมไปตอนนั้นมรสุมเข้า พี่เล่นฝนตกทั้งวัน เลยเอารูปมาฝากได้แค่ถ่ายวิว
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2754
เมืองจำลอง เป็นสถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง หรือมณฑลของจีน
ถ้าไปเที่ยวเอง 2 ปีก็เที่ยวไม่ครบ
ขออภัยที่ได้รูปไม่ค่อยสวย เพราะฝนตกหนักมากได้แต่นั่งรถชมรอบๆอย่างเดียว
พร้อมกับขอจบภาพการนำเที่ยวทริปนี้
ทริปหน้าไปไหนค่อยมาว่ากันอีกทีครับ
ถ้าไปเที่ยวเอง 2 ปีก็เที่ยวไม่ครบ
ขออภัยที่ได้รูปไม่ค่อยสวย เพราะฝนตกหนักมากได้แต่นั่งรถชมรอบๆอย่างเดียว
พร้อมกับขอจบภาพการนำเที่ยวทริปนี้
ทริปหน้าไปไหนค่อยมาว่ากันอีกทีครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2755
ทึ่ง! หนูน้อยหัวใจเพชร วาดรูปหาเงินรักษามะเร็งตัวเอง
http://news.mthai.com/world-news/112395.html
เผยทำรายได้ไปแล้ว 895,950 บาทหลังขายไปกว่า 3,000ภาพ
3 พ.ค.54 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ไอแดน รีด หนูน้อยชาวอเมริกัน วัย 5 ขวบ ได้วาดรูปสัตว์ประหลาดจำนวนกว่า 3,000รูป บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล ก่อนจะนำไปขายเพื่อหาเงินมารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของตัวเอง
โดย เคที และไวลี รีด พ่อและแม่ของหนูน้อย เล่าว่าหลังจากตรวจพบมะเร็ง ในตัวไอแดน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ของปีที่แล้ว ทางครอบครัวก็ต้องประสบปัญหาอย่างหนักในการหาเงินมารักษา จนต้องประกาศขายบ้าน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อหนูน้อยหัวใจเพชร เสนอความคิดที่จะวาดรูปสัตว์ประหลาดที่เขาชื่นชอบออกไปจำหน่าย และนำเงินที่ได้มาใช้รักษาตัวเองแทน จนทำให้ครอบครัวเขาประกาศยุติการขายบ้านในที่สุด
“ไอแดน สามารถวาดสัตว์ประหลาด และขายภาพไปแล้วมากกว่า 3,000 รูป เขาทำเงินได้มากกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 895,950 บาท”
สำหรับโรคมะเร็งที่ไอแดน ประสบอยู่เป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบในตัวของไอแดน และมีอัตราการรักษาหายสูงถึงร้อยละ 90 ทีเดียว
เราเรียนรู้อะไรได้จากประสบการณ์ชีวิตของคนอื่นบ้าง
หลายคนทึ่ง หลายคนประทับใจ หลายคนเอาเป็นกำลังใจ
อะไรก็ได้ครับ ที่ทำให้ชีวิตเรามีความหวัง มีแรงบันดาลใจในการเดินทางไปข้างหน้า
http://news.mthai.com/world-news/112395.html
เผยทำรายได้ไปแล้ว 895,950 บาทหลังขายไปกว่า 3,000ภาพ
3 พ.ค.54 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ไอแดน รีด หนูน้อยชาวอเมริกัน วัย 5 ขวบ ได้วาดรูปสัตว์ประหลาดจำนวนกว่า 3,000รูป บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล ก่อนจะนำไปขายเพื่อหาเงินมารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของตัวเอง
โดย เคที และไวลี รีด พ่อและแม่ของหนูน้อย เล่าว่าหลังจากตรวจพบมะเร็ง ในตัวไอแดน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ของปีที่แล้ว ทางครอบครัวก็ต้องประสบปัญหาอย่างหนักในการหาเงินมารักษา จนต้องประกาศขายบ้าน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อหนูน้อยหัวใจเพชร เสนอความคิดที่จะวาดรูปสัตว์ประหลาดที่เขาชื่นชอบออกไปจำหน่าย และนำเงินที่ได้มาใช้รักษาตัวเองแทน จนทำให้ครอบครัวเขาประกาศยุติการขายบ้านในที่สุด
“ไอแดน สามารถวาดสัตว์ประหลาด และขายภาพไปแล้วมากกว่า 3,000 รูป เขาทำเงินได้มากกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 895,950 บาท”
สำหรับโรคมะเร็งที่ไอแดน ประสบอยู่เป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบในตัวของไอแดน และมีอัตราการรักษาหายสูงถึงร้อยละ 90 ทีเดียว
เราเรียนรู้อะไรได้จากประสบการณ์ชีวิตของคนอื่นบ้าง
หลายคนทึ่ง หลายคนประทับใจ หลายคนเอาเป็นกำลังใจ
อะไรก็ได้ครับ ที่ทำให้ชีวิตเรามีความหวัง มีแรงบันดาลใจในการเดินทางไปข้างหน้า
-
- Verified User
- โพสต์: 569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2758
โฆษณาสุดยอดเลยครับพี่หมอ ดูแล้วกระตุ้นพลังได้เยอะ
มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยความหวังและแรงบันดาลใจนี่แหล่ะครับ (แม้ในโฆษณามันจะใช้คำว่า Dream แต่ผมคิดว่ามันสื่อความหมายได้มากกว่านั้น)
ดูแล้วดีใจอีกอย่างที่ดาราไทยโกอินเตอร์อีกแล้ว
หมอคนที่ถือฟิลม์เอ็กซเรย์คือคนที่เล่นเป็นพ่อคริส หอวังในรถไฟฟ้ามาหานะเธอครับ
มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยความหวังและแรงบันดาลใจนี่แหล่ะครับ (แม้ในโฆษณามันจะใช้คำว่า Dream แต่ผมคิดว่ามันสื่อความหมายได้มากกว่านั้น)
ดูแล้วดีใจอีกอย่างที่ดาราไทยโกอินเตอร์อีกแล้ว
หมอคนที่ถือฟิลม์เอ็กซเรย์คือคนที่เล่นเป็นพ่อคริส หอวังในรถไฟฟ้ามาหานะเธอครับ
เราจะพอเพียง แค่เราเพียงพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 2760
ยังไม่เคยดู รถไฟฟ้าเลยครับโอรสสวรรค์ เขียน:โฆษณาสุดยอดเลยครับพี่หมอ ดูแล้วกระตุ้นพลังได้เยอะ
มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยความหวังและแรงบันดาลใจนี่แหล่ะครับ (แม้ในโฆษณามันจะใช้คำว่า Dream แต่ผมคิดว่ามันสื่อความหมายได้มากกว่านั้น)
ดูแล้วดีใจอีกอย่างที่ดาราไทยโกอินเตอร์อีกแล้ว
หมอคนที่ถือฟิลม์เอ็กซเรย์คือคนที่เล่นเป็นพ่อคริส หอวังในรถไฟฟ้ามาหานะเธอครับ
แต่มี่แน่ๆเห็นในดฆษณาบ่อยครับ บทจะเป็นพ่อหวงลูกสาว น่าจะใช่นะครับ