คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible hand)
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
ยังขาดคุณสมบัติอยู่ บางเรื่องครับ
โพสต์ที่ 66
ผมนั่งอ่านหนังสือที่ชาว vi แนะนำอยู่ เกือบครบทุกเล่มแล้วครับ สิ่งที่ยังขาดอยู่คงเป็นเรื่องการแกะงบและการหามูลค่าที่เหมาะสม ผมเลยลงสมัครเรียนที่tsiเสาร์นี้เรื่องการอ่านงบอย่างง่ายสำหรับนักลงทุน แต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรมากจากการอบรมครับ เพราะครั้งก่อนผมเข้าเรียนเรื่องการค้นหาหุ้นอย่างไรให้ถูกใจนักลงทุน ก็ผิดหวังเล็กน้อย (เค้าไม่ได้เน้นแนวทางvi) พอดีไม่ได้จบมาทางด้านบัญชีเห็นกระทู้ที่คุณ ฉัตรชัยตอบเรื่องบัญชีแล้วพยายามทำความเข้าใจก็ยังไม่สำเร็จ เรื่องบัญชีเป็นเรื่องเฉพาะทางจริงๆครับ ถ้าคุณ ฉัตรชัย เปิดสอนเรื่องการอ่านงบการเงิน จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
kkkkung
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible hand)
โพสต์ที่ 68
เพิ่งเริ่มจริงๆ โชคดีที่มีเพื่อนแนะนำว่ายังไม่ต้องคิดอะไรมากไปหาซื้อหนังสือของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตีแตก มาอ่าน ตอนนี้เพิ่งอ่านไม่กี่หน้าเองครับ คงต้องเรียนรู้อีกเยอะ :D :lol:
วิน บางใหญ่....ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 73
มีหลักการเลือกหุ้นการคัดกรองหุ้น ที่คุณ invisible hand ได้เขียนไว้ ขออนุญาตนำมาลงบางส่วนนะครับ ฉบับเต็มตามไปอ่านได้ที่ http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
โดย invisible hand
พี่ใช้หลักอะไรในการเลือกหุ้นซักตัวครับ
- สมัยก่อนผมจะดูความถูกแพงของหุ้นก่อน เช่น p/e และ p/bv แล้วค่อยมาดูชื่อบริษัทว่าทำอะไร อยู่ในธุรกิจอะไร ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาดูประเภทธุรกิจ ชื่อบริษัทก่อน แล้วค่อยมาดูความถูกแพงครับ ก็คือ ระยะหลังๆ ผมจะให้น้ำหนักปัจจัยด้านคุณภาพมากกว่าปัจจัยด้านปริมาณ
ปัจจัยคุณภาพที่ผมดูก็มีหลายอย่างครับ เช่น
1 ธุรกิจที่บริษัทนั้นๆ ทำอยู่
ก็คงดูการลักษณะของธุรกิจและการเติบโตในระยะยาวๆ หลักๆ ผมจะดูว่าตลาดหรือธุรกิจนั้นๆ อยู่ในระยะไหนของการเติบโต โตเร็ว ปานกลาง หรือช้า หรือถดถอย ยกตัวอย่าง หากผมมองว่าการอ่านหนังสือ หรือการใช้คอมพิวเตอร์ของคนไทยยังต่ำ และโตได้อีกมาก ผมก็จะเริ่มมองหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นๆ และหากผมมองว่าแนวโน้มคนจะนิยมซื้อสินค้าที่เป็นร้าน modern trade มากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็มาดูหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ modern trade บางครั้งก็จับทั้งคู่มาผสมกันได้ เช่น อาจจะดูหุ้นที่เป็น modern trade ที่ทำธุรกิจ IT หรือ modern trade ที่ขายหนังสือ
หรือผมมองว่าอนาคต ประชากรจะป่วยง่ายแต่ตายช้าลง เพราะคนเราทำงานหนักขึ้นเครียดขึ้น เป็นโรคต่างๆ กันมากขึ้น เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน แต่คุณภาพการรักษาพยาบาลดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยแม้ไม่หายขาดแต่ก็จะยืดอายุได้นาน อีกทั้งแนวโน้มคนแก่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่ากลุ่ม รพ. น่าสนใจ
หรือ ผมมองว่าคนไทยยังทำประกันชีวิตในสัดส่วนน้อย ผมก็จะมองว่าหุ้นที่ทำประกันชีวิตน่าสนใจ
ธุรกิจไหนที่อยู่ติดกับลูกค้ารายย่อยๆ จำนวนมาก ก็จะมีอำนาจการต่อรองสูงกว่า และหากรับค่าสินค้าและบริการเป็นเงินสด ก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากๆ ในยุคปัจจุบันครับ
ส่วนระยะเวลาหรือ time frame ที่ผมมองระยะหลังๆ ผมจะมองไป 5-10 ปีเลย เพราะผมเชื่อว่าหุ้นดีราคาถูกเริ่มหายาก ดังนั้นเราควรหาหุ้นที่จะถือได้ยาวๆ เลย จะได้ไม่ต้องคอยหาหุ้นใหม่ๆ
กลุ่มที่ผมคิดว่าไม่น่าสนใจก็มีเช่น หุ้นที่ผมมองว่าอำนาจการต่อรองมักจะเป็นของผู้ซื้อ ซึ่งมักจะเป็นผู้ซื้อที่มีขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่าผู้ขาย เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ หรือบรรจุภัณฑ์ ผมมองว่าหุ้นเหล่านี้มีอำนาจต่อรองต่ำ และเวลาขายต้องให้เครดิตลูกค้านานๆ ทำให้กระแสเงินสดไม่ดี และเสี่ยงกับหนี้สูญ ระยะหลังๆ ผมจะไม่สนใจหุ้นกลุ่มดังกล่าว
2. สถานภาพการแข่งขันของบริษัทนั้นๆ ในธุรกิจ
ผมมักจะเลือกหุ้นที่มี market share อันดับต้นๆ หากไม่ได้เป็นอันดับต้นๆ ของตลาดรวมก็ควรจะเป็นอันดับต้นๆ ใน segment ที่ตนเองอยู่ เพราะตลาดๆ หนึ่งก็สามารถแบ่งได้เป็นหลายๆ segment เพราะการเป็นผู้นำตลาดย่อมพิสูจน์ได้ว่าผู้บริหารน่าจะมีความสามารถเพียงพอในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การเป็นผู้นำตลาดย่อมทำให้บริษัทนั้นๆ มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าและ supplier ที่สูงกว่า และมักจะแสดงถึง brand name ที่แข็งแกร่งกว่า
อย่างไรก็ตามให้ระวังเรื่อง mkt share หากมากเกินไปอาจจะจำกัดการเติบโตได้ เช่น หากตลาดโตน้อย คือปีละ 5% และหุ้นที่เราดูมี mkt share 60% ก็หมายความว่าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตจำกัด เพราะการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากกว่านี้อีกได้ไม่เท่าไหร่ และมีโอกาสที่เสีย mkt share หากมีการแข่งขันมากขึ้น แต่หาก mkt share 60% แต่ตลาดโตสูงมาก เช่น 20-30% หุ้นดังกล่าวจะกลายเป็นตรงกันข้ามคือเป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก เพราะการมี mkt share สูงมากทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก ดังนั้นแค่โตตามตลาดก็เพียงพอแล้ว
โดย invisible hand
พี่ใช้หลักอะไรในการเลือกหุ้นซักตัวครับ
- สมัยก่อนผมจะดูความถูกแพงของหุ้นก่อน เช่น p/e และ p/bv แล้วค่อยมาดูชื่อบริษัทว่าทำอะไร อยู่ในธุรกิจอะไร ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาดูประเภทธุรกิจ ชื่อบริษัทก่อน แล้วค่อยมาดูความถูกแพงครับ ก็คือ ระยะหลังๆ ผมจะให้น้ำหนักปัจจัยด้านคุณภาพมากกว่าปัจจัยด้านปริมาณ
ปัจจัยคุณภาพที่ผมดูก็มีหลายอย่างครับ เช่น
1 ธุรกิจที่บริษัทนั้นๆ ทำอยู่
ก็คงดูการลักษณะของธุรกิจและการเติบโตในระยะยาวๆ หลักๆ ผมจะดูว่าตลาดหรือธุรกิจนั้นๆ อยู่ในระยะไหนของการเติบโต โตเร็ว ปานกลาง หรือช้า หรือถดถอย ยกตัวอย่าง หากผมมองว่าการอ่านหนังสือ หรือการใช้คอมพิวเตอร์ของคนไทยยังต่ำ และโตได้อีกมาก ผมก็จะเริ่มมองหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นๆ และหากผมมองว่าแนวโน้มคนจะนิยมซื้อสินค้าที่เป็นร้าน modern trade มากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็มาดูหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ modern trade บางครั้งก็จับทั้งคู่มาผสมกันได้ เช่น อาจจะดูหุ้นที่เป็น modern trade ที่ทำธุรกิจ IT หรือ modern trade ที่ขายหนังสือ
หรือผมมองว่าอนาคต ประชากรจะป่วยง่ายแต่ตายช้าลง เพราะคนเราทำงานหนักขึ้นเครียดขึ้น เป็นโรคต่างๆ กันมากขึ้น เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน แต่คุณภาพการรักษาพยาบาลดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยแม้ไม่หายขาดแต่ก็จะยืดอายุได้นาน อีกทั้งแนวโน้มคนแก่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่ากลุ่ม รพ. น่าสนใจ
หรือ ผมมองว่าคนไทยยังทำประกันชีวิตในสัดส่วนน้อย ผมก็จะมองว่าหุ้นที่ทำประกันชีวิตน่าสนใจ
ธุรกิจไหนที่อยู่ติดกับลูกค้ารายย่อยๆ จำนวนมาก ก็จะมีอำนาจการต่อรองสูงกว่า และหากรับค่าสินค้าและบริการเป็นเงินสด ก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากๆ ในยุคปัจจุบันครับ
ส่วนระยะเวลาหรือ time frame ที่ผมมองระยะหลังๆ ผมจะมองไป 5-10 ปีเลย เพราะผมเชื่อว่าหุ้นดีราคาถูกเริ่มหายาก ดังนั้นเราควรหาหุ้นที่จะถือได้ยาวๆ เลย จะได้ไม่ต้องคอยหาหุ้นใหม่ๆ
กลุ่มที่ผมคิดว่าไม่น่าสนใจก็มีเช่น หุ้นที่ผมมองว่าอำนาจการต่อรองมักจะเป็นของผู้ซื้อ ซึ่งมักจะเป็นผู้ซื้อที่มีขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่าผู้ขาย เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ หรือบรรจุภัณฑ์ ผมมองว่าหุ้นเหล่านี้มีอำนาจต่อรองต่ำ และเวลาขายต้องให้เครดิตลูกค้านานๆ ทำให้กระแสเงินสดไม่ดี และเสี่ยงกับหนี้สูญ ระยะหลังๆ ผมจะไม่สนใจหุ้นกลุ่มดังกล่าว
2. สถานภาพการแข่งขันของบริษัทนั้นๆ ในธุรกิจ
ผมมักจะเลือกหุ้นที่มี market share อันดับต้นๆ หากไม่ได้เป็นอันดับต้นๆ ของตลาดรวมก็ควรจะเป็นอันดับต้นๆ ใน segment ที่ตนเองอยู่ เพราะตลาดๆ หนึ่งก็สามารถแบ่งได้เป็นหลายๆ segment เพราะการเป็นผู้นำตลาดย่อมพิสูจน์ได้ว่าผู้บริหารน่าจะมีความสามารถเพียงพอในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การเป็นผู้นำตลาดย่อมทำให้บริษัทนั้นๆ มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าและ supplier ที่สูงกว่า และมักจะแสดงถึง brand name ที่แข็งแกร่งกว่า
อย่างไรก็ตามให้ระวังเรื่อง mkt share หากมากเกินไปอาจจะจำกัดการเติบโตได้ เช่น หากตลาดโตน้อย คือปีละ 5% และหุ้นที่เราดูมี mkt share 60% ก็หมายความว่าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตจำกัด เพราะการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากกว่านี้อีกได้ไม่เท่าไหร่ และมีโอกาสที่เสีย mkt share หากมีการแข่งขันมากขึ้น แต่หาก mkt share 60% แต่ตลาดโตสูงมาก เช่น 20-30% หุ้นดังกล่าวจะกลายเป็นตรงกันข้ามคือเป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก เพราะการมี mkt share สูงมากทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก ดังนั้นแค่โตตามตลาดก็เพียงพอแล้ว
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 75
ขอบคุณมากครับ
เพิ่งเริ่มต้น
เพิ่งเริ่มต้น
- ronnachai
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 76
เห็นด้วยครับ กด likejavoel เขียน:ผมว่า อ่านหลายฉบับมากไปครับ2 จะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอย่างน้อยวันละ 1 เล่ม ถ้าให้ดีควรจะอย่างน้อย 2
โดยความเห็นส่วตัวนะครับ
การอ่านหนังสือพิม์ให้ดีก็เหมือนกับการอ่านทั้วไป คือ คล้ายกับการ screen (หนังสือที่ดีเราไม่อ่านเเบบรอบเดียว โดยทั่วไปรอบเเรกในการอ่านหนังสือเราได้เเบบคร่าวๆ แบบ outline อ่านรอบสอง รอบสามถึงจะได้อะไรลึกๆตามมา เเละจะรู้สึกว่านหนังสือเป็นสิ่งมหัศจรรย์)
เเต่ในส่วนหัวข้อที่เราสนใจ เราสงสัย เราควรอ่านเเบบเจาะ เเบบเชิงลึก เชิงวิเคราะห์ ถามหาเหตุและผล คือ อ่านเเบบเน้นคุณภาพน่ะครับ ไม่ได้เน้นตรงปริมาณอย่างเดียว
เพราะว่าเราต้องยอมรับครับ เวลาอ่านอะไรเยอะตาเราจะล้า โดยเฉพาะอ่านผ่านจอคอมพิวเตอร์ พอตา (ยายไม่เกี่ยว) เราล้า คุณภาพหรือการอ่านเเบบใช้หัวสมอง (กึน) ก็จะลดลง ครับ
ความรู้สำคัญ แต่ความเข้าใจสำคัญกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 77
เพิ่งจะเริ่มศึกษาได้ไม่นาน แต่จะหมั่นเข้ามาศึกษาหาคำแนะนำจากพี่ๆ ครับ
Inner peace. Stay calm, Stay invest.
-
- Verified User
- โพสต์: 5
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 81
จะพยายาม กำลังศึกษาอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 84
อยากทำได้บ้างจังค่ะ
- uthai.l
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 85
ตอนนี้ผมอยากทราบวิธีคิดหามูลค่าหุ้นที่พี่ๆใช้คิดหามูลค่าหุ้นที่แท้จริง
เพราะเท่าที่เห็นจากเว็บ set.or.th คือพวกค่า pe, p/bv, roa, roe
ผมคาดว่าค่าที่แสดงนั้นคงจริงในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ทราบและคงเป็น VI กันหมดแล้ว
ผมเลยตะขิดตะขวงใจ ไม่แน่ใจว่าที่ดูนี้ถูกต้องหรือเปล่าหรือที่แท้แล้วมันเป็นการแต่งบัญชีเท่านั้น???
เพราะเท่าที่เห็นจากเว็บ set.or.th คือพวกค่า pe, p/bv, roa, roe
ผมคาดว่าค่าที่แสดงนั้นคงจริงในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ทราบและคงเป็น VI กันหมดแล้ว
ผมเลยตะขิดตะขวงใจ ไม่แน่ใจว่าที่ดูนี้ถูกต้องหรือเปล่าหรือที่แท้แล้วมันเป็นการแต่งบัญชีเท่านั้น???
ทุกปัญหามีทางออก ถ้าไม่มีทางออก...ให้ออกทางเข้า!!!
- generalman
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible han
โพสต์ที่ 89
เป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ
"Investing is not a game where the guy with 160 IQ beats the guy with 130 IQ. What is needed is a sound intellectual framework for making decisions and the ability to keep emotions from corroding the framework."
Warren Buffett
Warren Buffett