บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 1
ไตรมาสแรกส่อขาดดุลเดินสะพัด ก.พ.เกินแค่16ล.เหรียญ
โดย ผู้จัดการรายวัน 30 มีนาคม 2548 00:09 น.
ผวาดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาสแรกปีนี้ติดลบ ปัจจัยหลักอยู่ที่ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวต่อเนื่องแถมบาทอ่อน ชี้แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตราอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เตรียมเข้ามาเที่ยวในไทยชะลอการเดินทาง ฉุดรายได้จากภาคบริการลดลง เผยตัวเลขก.พ.เกินดุลแค่ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ "หอการค้าไทย" ระบุเสี่ยงสูงหากส่งออกขยายตัวไม่ถึง 15% ส่วนแนวโน้มดุลการค้าทั้งปีติดลบ 4 พันล้านเหรียญ ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนก.พ.ต่ำสุดในรอบ 2 ปี
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมได้ทำสถิติสูงสุดที่ 56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการประเมินเบื้องต้นพบว่าในเดือนกุมภาพันธ์ ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนมี.ค.
ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตรา นายสาวอุสรา กล่าวว่า ส่งผลกระทบโดยตรงกับความมั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวในหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะทำให้แนวโน้มรายได้จากภาคการท่องเที่ยวลดลงในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และทำให้แนวโน้มดุลบริการลดลงตาม เนื่องจากกว่า 60% ของดุลบริการมาจากภาคการท่องเที่ยว
นอกเหนือ จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมัน รายได้จากภาคการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ที่ขณะนี้มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้า ซึ่งจุดนี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น และจะเป็นตัวกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยประเมินว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอกาค้าไทย กล่าวว่า แนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดดุล เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจาก 2 ตัวแปรที่สำคัญคือ ตัวเลขดุลการค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขาดดุล และคาดว่าในปีนี้ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีจะขาดดุลประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
"รัฐบาลจำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการภาคการส่งออก และการนำเข้าให้ดี เพื่อลดผลกระทบการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะหากตัวเลขการส่งออกในปีนี้ขยายตัวไม่ถึง 15% เชื่อว่าจะทำให้มีความเสี่ยงกับการตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด"
สำหรับตัวเลขเบื้องต้นที่มหาลัยหอกาค้าไทย ประเมินในปีนี้คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลประมาณ 917 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่บนสมมติฐานการส่งออกต้องขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่า 15% ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และแนวโน้มค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ไทยเสี่ยงต่อภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ปัญหาการนำเข้าที่มีสัดส่วนสูง โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมัน โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมายอดการนำเข้าสูงถึง 17.5% ของมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมด ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการนำเข้าน้ำมันเพียง 14% ของมูลค่าการนำเข้า
นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกมีมูลค่ากว่า 50% ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าห่วง เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาสินค้านำเข้าเพื่อการส่งออก และมีต้นทุนผันแปรตามค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยหันมาพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาขาดดุลการค้า
นายสมภพกล่าวว่า ตัวแปรที่จะเป็นอัศวินมาขาวในปีนี้คือ ภาคการท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้ความเสี่ยงในการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีมากขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวในทะเลชายฝั่งอันดามันลดลง
"รัฐบาลควรจัดทำแผนเชิงปฏิบัติการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล โดยเร่งขยายตลาดส่งออก และเพิ่มรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยว และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้า"
**ความเชื่อมั่นอุตฯต่ำสุดรอบ 2 ปี
ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนกุมภาพันธ์2548 ที่ได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 483 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 33 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท.พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 96.9 จาก 104.8 ในเดือนม.ค.48 ที่ผ่านมา ซึ่งค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา และเป็นค่าดัชนีที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับสาเหตุหลักที่มีผลต่อดัชนีรวมลดต่ำลงกว่า 100 เนื่องจากขณะทำการสำรวจรัฐบาลได้มีนโยบายประกาศเปลี่ยนแปลงราคาดีเซลโดยปรับเพดานเพิ่มอีก 3 บาทต่อลิตรมา อยู่ที่ 18.19 บาทต่อลิตรจากเดิมอยู่ที่ 15.19 บาทต่อลิตร
"การที่ดีเซลปรับขึ้นอีก 3 บาทต่อลิตรในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไม่มีผลต่อต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมากนัก แต่จะไปมีผลทางอ้อมต่อค่าขนส่งสินค้ามากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวโรงงานขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีการจำหน่ายราคาหน้าโรงงานบวกค่าขนส่งไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและกระทรวงพาณิชย์ควรจะติดตามควรจะอยู่ที่ราคาสินค้าที่จะถึงมือผู้บริโภคมากกว่าเนื่องจากบรรดายี่ปั๊ว และซาปั๊วจะนำค่าขนส่งไปบวกเพิ่มเข้าไปและบางครั้งเกินความจริง"
โดย ผู้จัดการรายวัน 30 มีนาคม 2548 00:09 น.
ผวาดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาสแรกปีนี้ติดลบ ปัจจัยหลักอยู่ที่ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวต่อเนื่องแถมบาทอ่อน ชี้แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตราอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เตรียมเข้ามาเที่ยวในไทยชะลอการเดินทาง ฉุดรายได้จากภาคบริการลดลง เผยตัวเลขก.พ.เกินดุลแค่ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ "หอการค้าไทย" ระบุเสี่ยงสูงหากส่งออกขยายตัวไม่ถึง 15% ส่วนแนวโน้มดุลการค้าทั้งปีติดลบ 4 พันล้านเหรียญ ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนก.พ.ต่ำสุดในรอบ 2 ปี
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมได้ทำสถิติสูงสุดที่ 56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการประเมินเบื้องต้นพบว่าในเดือนกุมภาพันธ์ ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนมี.ค.
ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตรา นายสาวอุสรา กล่าวว่า ส่งผลกระทบโดยตรงกับความมั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวในหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะทำให้แนวโน้มรายได้จากภาคการท่องเที่ยวลดลงในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และทำให้แนวโน้มดุลบริการลดลงตาม เนื่องจากกว่า 60% ของดุลบริการมาจากภาคการท่องเที่ยว
นอกเหนือ จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมัน รายได้จากภาคการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ที่ขณะนี้มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้า ซึ่งจุดนี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น และจะเป็นตัวกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยประเมินว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอกาค้าไทย กล่าวว่า แนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดดุล เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจาก 2 ตัวแปรที่สำคัญคือ ตัวเลขดุลการค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขาดดุล และคาดว่าในปีนี้ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีจะขาดดุลประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
"รัฐบาลจำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการภาคการส่งออก และการนำเข้าให้ดี เพื่อลดผลกระทบการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะหากตัวเลขการส่งออกในปีนี้ขยายตัวไม่ถึง 15% เชื่อว่าจะทำให้มีความเสี่ยงกับการตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด"
สำหรับตัวเลขเบื้องต้นที่มหาลัยหอกาค้าไทย ประเมินในปีนี้คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลประมาณ 917 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่บนสมมติฐานการส่งออกต้องขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่า 15% ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และแนวโน้มค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ไทยเสี่ยงต่อภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ปัญหาการนำเข้าที่มีสัดส่วนสูง โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมัน โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมายอดการนำเข้าสูงถึง 17.5% ของมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมด ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการนำเข้าน้ำมันเพียง 14% ของมูลค่าการนำเข้า
นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกมีมูลค่ากว่า 50% ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าห่วง เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาสินค้านำเข้าเพื่อการส่งออก และมีต้นทุนผันแปรตามค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยหันมาพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาขาดดุลการค้า
นายสมภพกล่าวว่า ตัวแปรที่จะเป็นอัศวินมาขาวในปีนี้คือ ภาคการท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้ความเสี่ยงในการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีมากขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวในทะเลชายฝั่งอันดามันลดลง
"รัฐบาลควรจัดทำแผนเชิงปฏิบัติการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล โดยเร่งขยายตลาดส่งออก และเพิ่มรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยว และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้า"
**ความเชื่อมั่นอุตฯต่ำสุดรอบ 2 ปี
ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนกุมภาพันธ์2548 ที่ได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 483 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 33 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท.พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 96.9 จาก 104.8 ในเดือนม.ค.48 ที่ผ่านมา ซึ่งค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา และเป็นค่าดัชนีที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับสาเหตุหลักที่มีผลต่อดัชนีรวมลดต่ำลงกว่า 100 เนื่องจากขณะทำการสำรวจรัฐบาลได้มีนโยบายประกาศเปลี่ยนแปลงราคาดีเซลโดยปรับเพดานเพิ่มอีก 3 บาทต่อลิตรมา อยู่ที่ 18.19 บาทต่อลิตรจากเดิมอยู่ที่ 15.19 บาทต่อลิตร
"การที่ดีเซลปรับขึ้นอีก 3 บาทต่อลิตรในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไม่มีผลต่อต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมากนัก แต่จะไปมีผลทางอ้อมต่อค่าขนส่งสินค้ามากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวโรงงานขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีการจำหน่ายราคาหน้าโรงงานบวกค่าขนส่งไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและกระทรวงพาณิชย์ควรจะติดตามควรจะอยู่ที่ราคาสินค้าที่จะถึงมือผู้บริโภคมากกว่าเนื่องจากบรรดายี่ปั๊ว และซาปั๊วจะนำค่าขนส่งไปบวกเพิ่มเข้าไปและบางครั้งเกินความจริง"
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 2
ถ้าปีนี้ขาดดุลทุกเดือน ด้วยข้อความที่ว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นเพราะการขยายกำลังผลิต" มันจะซ้ำรอยวิกฤตครั้งเก่าหรือเปล่าครับ
สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นมีอะไรที่ต่างกันบ้างครับ
- ค่าเงินไม่ได้ตรึงไว้เหมือนเดิมแล้ว
- การเครื่องไหวเงินถูกจับตาโดยรัฐบาลมากขึ้น
- สินเชื่อปล่อยได้ไม่หละหลวมเหมือนเก่า (หรือเปล่า)
ผมว่าข้อสามเรื่องสินเชื่อนี่น่ากลัวสุดเลย ถ้ามีอะไรซุกอยู่ใต้พรมอีก
สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นมีอะไรที่ต่างกันบ้างครับ
- ค่าเงินไม่ได้ตรึงไว้เหมือนเดิมแล้ว
- การเครื่องไหวเงินถูกจับตาโดยรัฐบาลมากขึ้น
- สินเชื่อปล่อยได้ไม่หละหลวมเหมือนเก่า (หรือเปล่า)
ผมว่าข้อสามเรื่องสินเชื่อนี่น่ากลัวสุดเลย ถ้ามีอะไรซุกอยู่ใต้พรมอีก
_________
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 3
การขาดดุลครั้งนี้ ยังคงเป็นช่วงที่เพิ่งเกิดครับ ต่างจากครั้งก่อนเป็นการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องและเรื้อรังครับ
และในช่วงสุดท้ายของครั้งก่อน การส่งออกเริ่มลดลงครับ ในขณะที่ครั้งนี้เกิดจากการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลคงจะช่วยให้ประเทศขาดดุลการค้าได้มาก รวมทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงก็คงจะช่วยเรื่องการขาดดุลการค้าด้วย และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน ม.ค. ก็คงจะเป็นผลจากนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากซึนามิด้วยครับ ซึ่งเป็นเหตุการณ์พิเศษ และคงไม่เกิดขึ้นทุกปี
ช่วงก่อน จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างคงที่ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันมากระหว่างเงินกู้สกุลดอลล่าร์กับเงินบาท ทำให้เอกชนมีการกู้ยืมเงินนอกกันมากมาย จนทำให้ประเทศไทยมีหนี้สกุลเงินต่างชาติมากมาย และมากกว่าเงินทุนสำรองซะด้วย
แต่ขณะนี้ ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศน้อยลงเยอะ เงินทุนสำรองก็สูงกว่าครับ แน่นอนว่าโอกาสที่จะเกิดการไถ่ถอนเงินออกจากประเทศจำนวนมากในระยะเวลาอันรวดเร็วคงไม่น่าจะเกิด
บริษัทเอกชนก็มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งกว่าช่วงครั้งก่อนมากครับ
และที่สำคัญครั้งนี้ นายกและรัฐมนตรีคลัง ให้ความสนใจและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังครับ
และในช่วงสุดท้ายของครั้งก่อน การส่งออกเริ่มลดลงครับ ในขณะที่ครั้งนี้เกิดจากการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลคงจะช่วยให้ประเทศขาดดุลการค้าได้มาก รวมทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงก็คงจะช่วยเรื่องการขาดดุลการค้าด้วย และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน ม.ค. ก็คงจะเป็นผลจากนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากซึนามิด้วยครับ ซึ่งเป็นเหตุการณ์พิเศษ และคงไม่เกิดขึ้นทุกปี
ช่วงก่อน จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างคงที่ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันมากระหว่างเงินกู้สกุลดอลล่าร์กับเงินบาท ทำให้เอกชนมีการกู้ยืมเงินนอกกันมากมาย จนทำให้ประเทศไทยมีหนี้สกุลเงินต่างชาติมากมาย และมากกว่าเงินทุนสำรองซะด้วย
แต่ขณะนี้ ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศน้อยลงเยอะ เงินทุนสำรองก็สูงกว่าครับ แน่นอนว่าโอกาสที่จะเกิดการไถ่ถอนเงินออกจากประเทศจำนวนมากในระยะเวลาอันรวดเร็วคงไม่น่าจะเกิด
บริษัทเอกชนก็มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งกว่าช่วงครั้งก่อนมากครับ
และที่สำคัญครั้งนี้ นายกและรัฐมนตรีคลัง ให้ความสนใจและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 4
พี่ chatchai อธิบายเคลียร์มาเลยครับ
กำลังจะถามพอดีเลยเรื่องขาดดุลเนี่ย ว่าต่างกับรอบก่อนยังไง ...
ขอบคุณมากคร้าบ :lol:
กำลังจะถามพอดีเลยเรื่องขาดดุลเนี่ย ว่าต่างกับรอบก่อนยังไง ...
ขอบคุณมากคร้าบ :lol:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 8
ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่า วิกฤติเศรษฐกิจ คราวที่แล้วนั้นอยู่ตรงที่ว่า ขณะนี้หนี้สินภาคครัวเรื่อนของประชาชนทั่วไปนั้น สูงขึ้นมากกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ มาก ถึงแม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะกล่าวว่า ทรัพย์สินของประชาชนนั้นมากขึ้นด้วยก็ตาม แต่ถ้าคิดกันจริงๆ แล้ว ทรัพย์สินเหล่านั้น มันก็ต้องเสื่อมกันไปตามเวลา โดยไม่ได้ก่อให้เกิดรายรับที่คุ้มค่า สรุปคือทรัพย์สินเหล่านั้นอาจจะเป็น สิ่งฟุ่มเฟือย เช่น โทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ถ้าแม้ว่ามันอาจจะนำไปใช้ในการทำงานของพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ แต่มันคุ้มค่ากับต้นทุนที่เขาต้องจ่ายนั้นหรือ ?
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ คราวที่แล้วนั้น คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และ ฉับพลัน คือ บริษัทเอกชน และ พนักงานลูกจ้าง เหล่านั้นที่ได้รับผลไปเต็มๆ เนื่องจากไปกู้เงินจากต่างประเทศมาก ส่วนพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร รากหญ้า ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี โครงสร้างการเงินของเขาเหล่านั้นยังอยู่ในเกณฑ์ ที่ดีกว่าในปัจจุบัน
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับ การขาดดุลการค้าของประเทศไทยในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลหลายๆ ชุด ที่ผ่านๆ มาต้องการดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ หวังว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวิธีนี้ สนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เป็นเสรีทางการเงิน เป็นต้น โดยสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ ด้วยวิธีการ ตรึงค่าเงินบาทให้คงที่ เมื่อค่าเงินบาทที่แข็งจนเกินไป ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทส่งออกทั้งหลายไม่ได้สะท้อนภาพที่แท้จริง ประเทศขาดดุลทางการค้าอย่างต่อเนื่อง พื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนแอ ทำให้ต่างชาติ โจมตีค่าเงินได้อย่างง่ายดาย จนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวตามกลไกของตลาดเงิน บริษัทส่งออกทั้งหลาย สะท้อนความสามารถทางการแข่งขันได้แท้จริงมากขึ้น ดุลการค้าของไทย เป็นบวกมาตลอดหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากการปรับให้ค่าเงินลอยตัว
สถาณการณ์ คราวนี้ ค่าเงินบาทไม่ได้ถูกตรึงไว้อย่างเข็มงวดเหมือนคราวที่แล้ว ความสามารถทางการแข่งขันของประเทศนั้นสะท้อนภาพที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหาจะยากกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเราปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวแล้ว ตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากอะไร เช่นตัวเลขนำเข้าน้ำมันและเหล็กที่สูงขึ้น นอกจากเพราะว่าราคามันแพงขึ้น และปริมาณการใช้มันสูงขึ้นแค่ไหน และที่สำคัญคือ เราเอาไปทำอะไร เอาไปใช้ในการผลิต ? หรือเอาไปให้ฟุ่มเฟือย ? เช่นเติมน้ำมันรถที่เพิ่งซื้อมา (จริงๆ แล้วประหยัดหน่อยก็นั่งรถเมล์ได้ ) ถึงแม้ว่าโครงสร้างการเงินของประเทศนั้นดีขึ้น รวมถึงบริษัทเอกชนต่างๆ ที่บริหารความเสี่ยง อย่างระมัดระวังมากขึ้น ( เพราะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้ว ) แต่ภาคประชาชนรากหญ้า ที่โครงสร้างการเงินอ่อนแอลง อาจจะต้องรับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิมที่พวกเขาเคยได้รับมา และที่น่ากลัว มันจะส่งผลกระทบต่อคนส่วนมากของประเทศ และการแก้ปัญหาจะยากลำบากและยาวนาน
ผมไม่อยากให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หวังว่ารัฐบาลคงไม่ดำเนินนโยบายประชานิยมมากชนเกิดไปนัก ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสนับสนุนคนให้ฟุ่มเฟือย อย่างเต็มที่ ( ฟุ่มเฟือยได้ แต่ไม่มากเกินควร) ส่งเสริมการศึกษาและวิทยาศาตร์อย่างจริงจัง(ถึงแม้ว่าผลที่ได้รับอาจจะอีกนาน แต่รับรองว่าคุ้มค่าและเป็นผลดีต่อประเทศ) ส่งเสริมการทำธุรกิจ SME ส่งเสริมการส่งออก สิ่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งอุตสาหกรรมการผลิต และเกษตรกรรม
คนไทยที่รักคนไทยคนหนึ่ง
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ คราวที่แล้วนั้น คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และ ฉับพลัน คือ บริษัทเอกชน และ พนักงานลูกจ้าง เหล่านั้นที่ได้รับผลไปเต็มๆ เนื่องจากไปกู้เงินจากต่างประเทศมาก ส่วนพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร รากหญ้า ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี โครงสร้างการเงินของเขาเหล่านั้นยังอยู่ในเกณฑ์ ที่ดีกว่าในปัจจุบัน
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับ การขาดดุลการค้าของประเทศไทยในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลหลายๆ ชุด ที่ผ่านๆ มาต้องการดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ หวังว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวิธีนี้ สนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เป็นเสรีทางการเงิน เป็นต้น โดยสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ ด้วยวิธีการ ตรึงค่าเงินบาทให้คงที่ เมื่อค่าเงินบาทที่แข็งจนเกินไป ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทส่งออกทั้งหลายไม่ได้สะท้อนภาพที่แท้จริง ประเทศขาดดุลทางการค้าอย่างต่อเนื่อง พื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนแอ ทำให้ต่างชาติ โจมตีค่าเงินได้อย่างง่ายดาย จนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวตามกลไกของตลาดเงิน บริษัทส่งออกทั้งหลาย สะท้อนความสามารถทางการแข่งขันได้แท้จริงมากขึ้น ดุลการค้าของไทย เป็นบวกมาตลอดหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากการปรับให้ค่าเงินลอยตัว
สถาณการณ์ คราวนี้ ค่าเงินบาทไม่ได้ถูกตรึงไว้อย่างเข็มงวดเหมือนคราวที่แล้ว ความสามารถทางการแข่งขันของประเทศนั้นสะท้อนภาพที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหาจะยากกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเราปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวแล้ว ตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากอะไร เช่นตัวเลขนำเข้าน้ำมันและเหล็กที่สูงขึ้น นอกจากเพราะว่าราคามันแพงขึ้น และปริมาณการใช้มันสูงขึ้นแค่ไหน และที่สำคัญคือ เราเอาไปทำอะไร เอาไปใช้ในการผลิต ? หรือเอาไปให้ฟุ่มเฟือย ? เช่นเติมน้ำมันรถที่เพิ่งซื้อมา (จริงๆ แล้วประหยัดหน่อยก็นั่งรถเมล์ได้ ) ถึงแม้ว่าโครงสร้างการเงินของประเทศนั้นดีขึ้น รวมถึงบริษัทเอกชนต่างๆ ที่บริหารความเสี่ยง อย่างระมัดระวังมากขึ้น ( เพราะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้ว ) แต่ภาคประชาชนรากหญ้า ที่โครงสร้างการเงินอ่อนแอลง อาจจะต้องรับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิมที่พวกเขาเคยได้รับมา และที่น่ากลัว มันจะส่งผลกระทบต่อคนส่วนมากของประเทศ และการแก้ปัญหาจะยากลำบากและยาวนาน
ผมไม่อยากให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หวังว่ารัฐบาลคงไม่ดำเนินนโยบายประชานิยมมากชนเกิดไปนัก ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสนับสนุนคนให้ฟุ่มเฟือย อย่างเต็มที่ ( ฟุ่มเฟือยได้ แต่ไม่มากเกินควร) ส่งเสริมการศึกษาและวิทยาศาตร์อย่างจริงจัง(ถึงแม้ว่าผลที่ได้รับอาจจะอีกนาน แต่รับรองว่าคุ้มค่าและเป็นผลดีต่อประเทศ) ส่งเสริมการทำธุรกิจ SME ส่งเสริมการส่งออก สิ่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งอุตสาหกรรมการผลิต และเกษตรกรรม
คนไทยที่รักคนไทยคนหนึ่ง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 9
ผมมีความเห็ฯต่างจากคุณ Green 2 ประเด็นนะครับ
1. เรื่องหนี้สินภาคครัวเรือน โดยเฉพาะแม่ค้า เกษตรกร และชาวรากหญ้า จริงแล้วการเปรียบเทียบตัวเลขในอดีตกับปัจจุบันคงจะลำบากเนื่องจาก เราไม่ทราบตัวเลขหนี้นอกระบบเป็นจำนวนเท่าไรกันแน่ ซึ่งถ้าเป็นการเข้าแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาไม่ต้องไปกู้หนี้นอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยมหาโหด ก็คงเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมมากๆ ถึงแม้ถ้าเราพิจารณาจากหนี้ในระบบจะเห็นว่าชาวบ้านมีหนี้มากขึ้น เพราะตัวเลขไม่ได้รวมหนี้นอกระบบ
อีกจุดหนึ่งก็คือ ผมมีความเห็นว่าในช่วงนี้ สินค้าเกษตรหลายตัวก็มีราคาที่ดีขึ้นกว่าในอดีตเป็นจำนวนมาก ฐานะทางการเงินของชาวเกษตรกรก็น่าจะดีกว่าเดิมด้วย
2. เรื่องที่เราลอยตัวค่าเงินแล้ว ทำให้เราแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้ายากขึ้น ผมว่าน่าจะง่ายขึ้นนะครับ เพราะถ้าเราขาดดุล ค่าเงินบาทเราก็จะอ่อนค่าลง (เหมือนช่วงนี้) สินค้าของเราก็จะถูกลงในสายตาต่างชาติ ทำให้เราส่งออกได้มากขึ้น ในขณะที่สินค้าจากต่างประเทศก็จะมีราคาสูงขึ้น ทำให้เรานำเข้าน้อยลง ดุลการค้าก็จะดีขึ้น ไม่เหมือนช่วงที่เรา Fix ค่าเงิน การจะขยายการส่งออกก็คงทำได้ลำบากมาก เพราะต้องใช้ระยะเวลานานทีเดียวในการขยายตลาดใหม่ๆ หรือพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง
1. เรื่องหนี้สินภาคครัวเรือน โดยเฉพาะแม่ค้า เกษตรกร และชาวรากหญ้า จริงแล้วการเปรียบเทียบตัวเลขในอดีตกับปัจจุบันคงจะลำบากเนื่องจาก เราไม่ทราบตัวเลขหนี้นอกระบบเป็นจำนวนเท่าไรกันแน่ ซึ่งถ้าเป็นการเข้าแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาไม่ต้องไปกู้หนี้นอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยมหาโหด ก็คงเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมมากๆ ถึงแม้ถ้าเราพิจารณาจากหนี้ในระบบจะเห็นว่าชาวบ้านมีหนี้มากขึ้น เพราะตัวเลขไม่ได้รวมหนี้นอกระบบ
อีกจุดหนึ่งก็คือ ผมมีความเห็นว่าในช่วงนี้ สินค้าเกษตรหลายตัวก็มีราคาที่ดีขึ้นกว่าในอดีตเป็นจำนวนมาก ฐานะทางการเงินของชาวเกษตรกรก็น่าจะดีกว่าเดิมด้วย
2. เรื่องที่เราลอยตัวค่าเงินแล้ว ทำให้เราแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้ายากขึ้น ผมว่าน่าจะง่ายขึ้นนะครับ เพราะถ้าเราขาดดุล ค่าเงินบาทเราก็จะอ่อนค่าลง (เหมือนช่วงนี้) สินค้าของเราก็จะถูกลงในสายตาต่างชาติ ทำให้เราส่งออกได้มากขึ้น ในขณะที่สินค้าจากต่างประเทศก็จะมีราคาสูงขึ้น ทำให้เรานำเข้าน้อยลง ดุลการค้าก็จะดีขึ้น ไม่เหมือนช่วงที่เรา Fix ค่าเงิน การจะขยายการส่งออกก็คงทำได้ลำบากมาก เพราะต้องใช้ระยะเวลานานทีเดียวในการขยายตลาดใหม่ๆ หรือพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- มือเก่าหัดขับ
- Verified User
- โพสต์: 1112
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 11


ควรเป็นบทเรียนที่ดีให้กับคนที่บริหารบ้านเมืองในสมัยนี้ บวกกับความรู้ความสามารถ
ทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เหนือกว่าที่ผ่านมา น่าจะนำพาบ้านเมืองให้รอดไปได้ (จะโกง จะ
กิน ก็อย่าโกงเงินของประชาชน อย่าทำให้ให้ประเทศชาติเดือดร้อนเสียประโยชน์
ทำให้ประเทศชาติได้ประโยชน์ เข้าไว้ ผมไม่ว่าหรอก ผมพูดจริงๆ นะ แต่ถ้าไม่โกง
ไม่กิน แล้วทำงานห่วยแตกประเทศชาติบรรลัย ก็ไปไกลๆ ก็ดี)

เกิดปัญหาโดยตรง แต่เมื่อคนเดือดร้อน ผลผลิตรวมย่อมต้องลดลง ยิ่งคนส่วนใหญ่
ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินจากทุนของตัว และทรัพย์สินจาก
หนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งแยกไม่ออกระหว่างหนี้ที่ดีกับหนี้ที่เลว อันนี้น่าเป็นห่วง
มาก เงินกู้ต่างๆ หากใช้ให้ถูกวิธีก็เกิดประโยชน์ได้ แต่นี่... ดูเหมือน Portion จำนวน
มากจะไม่ใช่ ก็เป็นห่วงเหมือนกันครับ
คนอื่นเขาสะสมอย่างอื่น เราขอสะสมความดี, ความรู้, ประสบการณ์, เงินทอง, กับหุ้นก็แล้วกัน
http://www.muegao.blogspot.com หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ
http://www.muegao.blogspot.com หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ
โพสต์ที่ 12
แต่การวัด การเติบโต ควรทำเรโช ระหว่าง หนี้สิน/GDP ครับ
เพราะ ถึงแม้มีหนี้สินเพิ่มทุกปี แต่ถ้า GDP โตกว่า สำหรับผมก็ยังมองประเทศไปในทิศทางที่ดี
ถ้าคิดในอัตราส่วนดังกล่าว ถือว่าประเทศไทยยังดีอย่างต่อเนื่องอยู่
ส่วนเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ไม่น่ามองข้ามเช่นกัน อยากให้รัฐทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน (ถ้าดูตัวเลขหนี้สินก็น่ากล้วเหมือนกัน)
เพราะ ถึงแม้มีหนี้สินเพิ่มทุกปี แต่ถ้า GDP โตกว่า สำหรับผมก็ยังมองประเทศไปในทิศทางที่ดี
ถ้าคิดในอัตราส่วนดังกล่าว ถือว่าประเทศไทยยังดีอย่างต่อเนื่องอยู่
ส่วนเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ไม่น่ามองข้ามเช่นกัน อยากให้รัฐทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน (ถ้าดูตัวเลขหนี้สินก็น่ากล้วเหมือนกัน)
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน