อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
-
- Verified User
- โพสต์: 2232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 2
ที่ว่าหนี้เยอะต้องดูด้วยครัทบว่าเป็นหนี้ระยะยาวหรือหนี้หมุนเวียนระยะสั้น ถ้าเป็นหนี้หมุนเวียนเยอะก้อยังไม่เท่าไหร่ครับ แต่ถ้าเป็นหนี้ระยะยาวผมก้อจะไปดูต่อว่ากำไรของบริสัดเป็นเท่าไหร่ต่อปี เช่นถ้ามีหนี้ระยะยาว1000ล้าน แต่บริสัดกำไรปีละ500ล้าน นั่นหมายความว่าบริสัดสามารถชำระหนี้ได้ภายในสองปี ซึ่งถือว่าโอเคแล้วครับ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 5
หนี้ระยะสั้น ใช้ในการดำเนินงานปกติครับ เช่น ค่าใช้จ่ายการขาย เงินเดือนพนักงาน ค่านู่นนี้นั่น....เป็นหนี้สินที่ต้องชำระคืนเมื่อทวงถาม ดอกเบี้ยต่ำ แต่ต้องชำระใน 1 ปี
หนี้ระยะยาว อาจใช้ในการขยายกิจการ เช่น ซื้อเครื่องจักร ที่ดิน ขยายโรงงาน บางครั้ง (ส่วนใหญ่) อาจใช้ชำระหนี้เดิม (ถือเป็นเรื่องปกติ) อาจกู้จากธนาคาร กิจการที่เกี่ยวข้องกัน หรือออกหุ้นกู้
ต้องดูลักษณะของกิจการว่าควรมีหนี้ส่วนไหนมากกว่ากัน (ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ต้องใช้ดำเนินงาน)
หนี้ระยะยาว อาจใช้ในการขยายกิจการ เช่น ซื้อเครื่องจักร ที่ดิน ขยายโรงงาน บางครั้ง (ส่วนใหญ่) อาจใช้ชำระหนี้เดิม (ถือเป็นเรื่องปกติ) อาจกู้จากธนาคาร กิจการที่เกี่ยวข้องกัน หรือออกหุ้นกู้
ต้องดูลักษณะของกิจการว่าควรมีหนี้ส่วนไหนมากกว่ากัน (ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ต้องใช้ดำเนินงาน)
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 7
จากความรู้ที่ผมศึกษาในthai VI
> หนี้ระยะสั้น(หนี้สินหมุนเวียน) น่ากลัวกว่า หนี้ระยะยาว (หนี้สินไม่หมุนเวียน) นะครับ
> เจ้าหนี้การค้า เป็นส่วนของหนี้สินหมุนเวียนนะครับ แต่ไม่มีดอกเบี้ย
> เงินเบิกเกินบัญชีจากธนาคารระยะสั้น(OD) นั้นต้องจ่ายดอกแพงกว่าหนี้ระยะยาวอีก
และสุดท้าย
> หนี้มากมายเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา ตราบเท่าที่ยังสามารถหาเงินมาผ่อนส่งได้เรื่อยๆ
ตราบใดยังมีเงินสดมาใช้หนี้ได้ทันก็ไม่ถูกล้มละลายนะครับ ดังนั้นบางบริษัทจึงไม่ค่อยกลัว
เรื่องหนี้สิน ถ้าเขาเห็นช่องว่างจากการยืมเงินคนอื่นมา แล้วมาทำกำไรได้มากว่านั้นมากๆ
เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหนี้
> ส่วนกรณีของเราจะดูว่าบริษัทจะจ่ายหนี้ได้ทันหรือไม่ ก็ดูจากสภาพคล่องทางการเงินของ
บริษัทครับ
ส่วนเรื่องสภาพคล่องทางการเงินก็เดิมๆนะครับ ดูจาก
current ratio (เท่า)
quick ratio (เท่า)
(OCFx100) / total debt (%)
(OCFx100) / current debt (%)
(เงินทุนหมุนเวียน x100)/ยอดขาย (%)
(หนี้สินหมุนเวียน x 100)/ยอดขาย (%)
ปล. ขอความเห็นผู้รู้ท่านอื่นๆช่วยวิจารณ์ผมด้วยครับ
> หนี้ระยะสั้น(หนี้สินหมุนเวียน) น่ากลัวกว่า หนี้ระยะยาว (หนี้สินไม่หมุนเวียน) นะครับ
> เจ้าหนี้การค้า เป็นส่วนของหนี้สินหมุนเวียนนะครับ แต่ไม่มีดอกเบี้ย
> เงินเบิกเกินบัญชีจากธนาคารระยะสั้น(OD) นั้นต้องจ่ายดอกแพงกว่าหนี้ระยะยาวอีก
และสุดท้าย
> หนี้มากมายเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา ตราบเท่าที่ยังสามารถหาเงินมาผ่อนส่งได้เรื่อยๆ
ตราบใดยังมีเงินสดมาใช้หนี้ได้ทันก็ไม่ถูกล้มละลายนะครับ ดังนั้นบางบริษัทจึงไม่ค่อยกลัว
เรื่องหนี้สิน ถ้าเขาเห็นช่องว่างจากการยืมเงินคนอื่นมา แล้วมาทำกำไรได้มากว่านั้นมากๆ
เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหนี้
> ส่วนกรณีของเราจะดูว่าบริษัทจะจ่ายหนี้ได้ทันหรือไม่ ก็ดูจากสภาพคล่องทางการเงินของ
บริษัทครับ
ส่วนเรื่องสภาพคล่องทางการเงินก็เดิมๆนะครับ ดูจาก
current ratio (เท่า)
quick ratio (เท่า)
(OCFx100) / total debt (%)
(OCFx100) / current debt (%)
(เงินทุนหมุนเวียน x100)/ยอดขาย (%)
(หนี้สินหมุนเวียน x 100)/ยอดขาย (%)
ปล. ขอความเห็นผู้รู้ท่านอื่นๆช่วยวิจารณ์ผมด้วยครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 8
OD ดอกสูงรึนี่ นึกว่าหนี้ยิ่งอายุยาวดอกยิ่งแพง เพราะเสี่ยงสูงกว่า
แหะๆ
แหะๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 9
ผมนึกได้อีกข้อ หนี้สินจะปลอดภัยไม่ปลอดภัย ก็ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตด้วยว่าจะกำไรมากน้อยแค่ไหน ใครอ่านแม่นว่ากู้หนี้มาลงทุน แล้วคุ้ม ได้กำไรมากจริงๆ มาจ่ายหนี้ได้เหลือเฟือ คนนั้นก็รวยครับ
แต่ถ้ากู้หนี้ มาลงทุนแล้วขาดทุน มันก็จบสิ้นแค่นั้น
ดังนั้น วอเรนต์ ปัฟเฟตต์ จึงไม่ชอบบริษัทที่มีหนี้สินมากไงครับ
ปัฟเฟตต์จะเลือกบริษัทที่ลงทุนขยายกิจการเพิ่มโดยใช้ กระแสเงินสดอิสระ(free cash flow)ที่เหลือมากๆมาลงทุน แทนที่จะต้องเพิ่มทุน หรือ ต้องกู้เงินมาลงทุนครับ
แต่ถ้ากู้หนี้ มาลงทุนแล้วขาดทุน มันก็จบสิ้นแค่นั้น
ดังนั้น วอเรนต์ ปัฟเฟตต์ จึงไม่ชอบบริษัทที่มีหนี้สินมากไงครับ
ปัฟเฟตต์จะเลือกบริษัทที่ลงทุนขยายกิจการเพิ่มโดยใช้ กระแสเงินสดอิสระ(free cash flow)ที่เหลือมากๆมาลงทุน แทนที่จะต้องเพิ่มทุน หรือ ต้องกู้เงินมาลงทุนครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 12
ขอยกเอา บทความบางส่วน ของ คุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ (ท่านแม่ทัพสุมาอี้) มาอธิบายนะครับ
จากหนังสือ "วิถีของธุรกิจขนาดเล็ก" บท ลมหายใจของธุรกิจ
คุณคิดว่าธุรกิจใดต่อไปนี้เป็นธุรกิจที่เจ็งแล้ว ?
ก. มีหนี้สินมากกว่าทุนที่มีอยู่
ข. ขาดทุนสะสมจนเกินทุนที่ลงไป
ค. มีกำไรแต่ขาดสภาพคล่อง
คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ ค. เกมธุรกิจทุกเกมจะจบลงก็ต่อเมื่อเจ้าของไม่สามารถหาเงินสดมาชำระค่าใช้จ่ายที่ครบกำหนดชำระแล้วได้หรือเรียกว่า การขาดสภาพคล่องนั่นเอง สภาพคล่องไม่ใช่กำไร แต่คือลมหายใจของทุกธุรกิจ
สภาพคล่องหมายถึงเงินสดที่คงเหลืออยู่ในธุรกิจ ธุรกิจสร้างสภาพคล่องได้ 3 วิธี วิธีแรกคือการขายของแล้วได้เงิน วิธีที่สองคือเจ้าของหรือหุ้นส่วนควักเงินส่วนตัวเข้ามาเพิ่ม และวิธีที่สามคือการกู้เงิน ดังนั้นแม้การขาดทุนจะทำให้เงินทุนในบริษัทร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แต่ธุรกิจก็ยังอยู่ได้ ตราบใดที่เจ้าของยังคงใส่เงินตัวเองเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวในการสร้างความั่นใจให้กับนักลงทุนหรือนายแบงก์ให้เติมเงินกู้เข้ามาอีก บ่อยครั้งที่เราพบเห็นนักธุรกิจที่มีหน้ามีตาในสังคมนั่งรถเบนซ์ที่มีคนขับให้ ไปไหนมาไหนคนทั่วไปก็หราบไหว้แต่ที่จริงแล้ว ธุรกิจของเขามีแต่ขาดทุนตลอดจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว คนพวกนี้มีความสามารถในการ "สร้างภาพ" เพื่อให่นักลงทุนหรือเจ้าหนี้ยังมั่นใจในธุรกิจของพวกเขาอยู่และคอยเติมเงินเข้ามาในธุรกิจของเขา ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่ขาดสภาพคล่อง พวกเขาก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ได้
จากหนังสือ "วิถีของธุรกิจขนาดเล็ก" บท ลมหายใจของธุรกิจ
คุณคิดว่าธุรกิจใดต่อไปนี้เป็นธุรกิจที่เจ็งแล้ว ?
ก. มีหนี้สินมากกว่าทุนที่มีอยู่
ข. ขาดทุนสะสมจนเกินทุนที่ลงไป
ค. มีกำไรแต่ขาดสภาพคล่อง
คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ ค. เกมธุรกิจทุกเกมจะจบลงก็ต่อเมื่อเจ้าของไม่สามารถหาเงินสดมาชำระค่าใช้จ่ายที่ครบกำหนดชำระแล้วได้หรือเรียกว่า การขาดสภาพคล่องนั่นเอง สภาพคล่องไม่ใช่กำไร แต่คือลมหายใจของทุกธุรกิจ
สภาพคล่องหมายถึงเงินสดที่คงเหลืออยู่ในธุรกิจ ธุรกิจสร้างสภาพคล่องได้ 3 วิธี วิธีแรกคือการขายของแล้วได้เงิน วิธีที่สองคือเจ้าของหรือหุ้นส่วนควักเงินส่วนตัวเข้ามาเพิ่ม และวิธีที่สามคือการกู้เงิน ดังนั้นแม้การขาดทุนจะทำให้เงินทุนในบริษัทร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แต่ธุรกิจก็ยังอยู่ได้ ตราบใดที่เจ้าของยังคงใส่เงินตัวเองเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวในการสร้างความั่นใจให้กับนักลงทุนหรือนายแบงก์ให้เติมเงินกู้เข้ามาอีก บ่อยครั้งที่เราพบเห็นนักธุรกิจที่มีหน้ามีตาในสังคมนั่งรถเบนซ์ที่มีคนขับให้ ไปไหนมาไหนคนทั่วไปก็หราบไหว้แต่ที่จริงแล้ว ธุรกิจของเขามีแต่ขาดทุนตลอดจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว คนพวกนี้มีความสามารถในการ "สร้างภาพ" เพื่อให่นักลงทุนหรือเจ้าหนี้ยังมั่นใจในธุรกิจของพวกเขาอยู่และคอยเติมเงินเข้ามาในธุรกิจของเขา ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่ขาดสภาพคล่อง พวกเขาก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ได้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 13
ต่อครับ
สภาพคล่องไม่ใช่ความมั่งคั่ง อธิบายง่ายๆ คนรวยทรัพย์สินมากแต่อาจเป็นทรัพย์สินถาวรที่ไม่ได้เปลี่ยนเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
ถ้ามีธุระจำเป็นต้องใช้เงิน เงินสดที่มีอาจจะไม่พอใช้ทำให้เดือดร้อนได้ โดยเฉพาะคนที่มีหนี้สิน ถ้าสภาพคล่องไม่พอ
ก็อาจจะล้มละลายได้ แต่ทั้งนี้การเก็บเงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดไว้ในมือมากเกินไป ถ้ายังอยู่ในเกมส์ธุรกิจ ก็ถือว่า
ปล่อยเงินไว้ทิ้งเปล่าไม่ทำให้งอกเงย ดังนั้นเงินทุนหมุนเวียนจึงต้องมีพอดีๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไปจึงเป็นการดีที่สุด
สภาพคล่องไม่ใช่ความมั่งคั่ง อธิบายง่ายๆ คนรวยทรัพย์สินมากแต่อาจเป็นทรัพย์สินถาวรที่ไม่ได้เปลี่ยนเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
ถ้ามีธุระจำเป็นต้องใช้เงิน เงินสดที่มีอาจจะไม่พอใช้ทำให้เดือดร้อนได้ โดยเฉพาะคนที่มีหนี้สิน ถ้าสภาพคล่องไม่พอ
ก็อาจจะล้มละลายได้ แต่ทั้งนี้การเก็บเงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดไว้ในมือมากเกินไป ถ้ายังอยู่ในเกมส์ธุรกิจ ก็ถือว่า
ปล่อยเงินไว้ทิ้งเปล่าไม่ทำให้งอกเงย ดังนั้นเงินทุนหมุนเวียนจึงต้องมีพอดีๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไปจึงเป็นการดีที่สุด
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 14
ทั้งนี้ตัวแทนที่วัดสภาพคล่องง่ายที่สุดก็คือ เงินทุนหมุนเวียน (สินทรัพย์หมุนเวียนหักลบด้วยหนี้สินหมุนเวียนแล้ว)นั่นเอง อัตราส่วนต่างที่เหลือที่บอกสภาพคล่องทางการเงินก็เป็นตัวช่วยเช่นกันถ้าคำนวณแล้วดีหมดทุกตัวแสดงว่าสภาพคล่องการเงินของบริษัทดีจริง หนี้มากแค่ไหนก็ไม่กลัว ถ้าสภาพคล่องยังดี ยังไงก็ไม่เจ๊ง
current ratio (เท่า)
ค่ายิ่งมากกว่า 1 ยิ่งดี (มาจากสินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน)
quick ratio (เท่า)
ค่ายิ่งมากกว่า 1 ยิ่งดี (ประยุกต์มาจากข้อข้างบน แต่ตัวตั้งเปลี่ยนไป) หลักการคือ ถ้าหักสินค้าคงเหลือแล้วสภาพคล่องทางการเงินยังดีอยู่แสดงว่าสภาพคล่องดีจริงๆ
(Operation Cash Flow x 100) / total debt (%)
ค่ายิ่งมากกว่า 20% ยิ่งดี มีเงินสดมากพอจะจ่ายหนี้ได้
(Operation Cash Flow x 100) / current debt (%)
ค่ายิ่งมากกว่า 40% ยิ่งดี มีเงินสดมากพอจะจ่ายหนี้ได้
(เงินทุนหมุนเวียน x100)/ยอดขาย (%)
ค่ายิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่ามีเงินทุนหมุนเวียนมากเมื่อเทียบกับยอดขาย
(หนี้สินหมุนเวียน x 100)/ยอดขาย (%)
ค่ายิ่งต่ำยิ่งดี แสดงว่ามีหนี้น้อยเมื่อเทียบกับยอดขาย (บอกการหมุนเวียนหนี้สินระยะสั้นได้ว่า น่าจะมียอดขายหรือรายได้มาจ่ายหนี้สินได้ทันหรือไม่)
current ratio (เท่า)
ค่ายิ่งมากกว่า 1 ยิ่งดี (มาจากสินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน)
quick ratio (เท่า)
ค่ายิ่งมากกว่า 1 ยิ่งดี (ประยุกต์มาจากข้อข้างบน แต่ตัวตั้งเปลี่ยนไป) หลักการคือ ถ้าหักสินค้าคงเหลือแล้วสภาพคล่องทางการเงินยังดีอยู่แสดงว่าสภาพคล่องดีจริงๆ
(Operation Cash Flow x 100) / total debt (%)
ค่ายิ่งมากกว่า 20% ยิ่งดี มีเงินสดมากพอจะจ่ายหนี้ได้
(Operation Cash Flow x 100) / current debt (%)
ค่ายิ่งมากกว่า 40% ยิ่งดี มีเงินสดมากพอจะจ่ายหนี้ได้
(เงินทุนหมุนเวียน x100)/ยอดขาย (%)
ค่ายิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่ามีเงินทุนหมุนเวียนมากเมื่อเทียบกับยอดขาย
(หนี้สินหมุนเวียน x 100)/ยอดขาย (%)
ค่ายิ่งต่ำยิ่งดี แสดงว่ามีหนี้น้อยเมื่อเทียบกับยอดขาย (บอกการหมุนเวียนหนี้สินระยะสั้นได้ว่า น่าจะมียอดขายหรือรายได้มาจ่ายหนี้สินได้ทันหรือไม่)
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 15
หมายเหตุ สภาพคล่องไม่ใช่ความมั่งคั่ง บางบริษัทอาจมีสินทรัพย์มากแต่สภาพคล่องตํ่าก็อาจล้มละลายได้
ทั้งนี้หนี้สินระยะสั้นถ้ามีมากและสภาพคล่องไม่พอมันจึงได้น่ากลัวกว่าหนี้สินระยะยาวไงครับ
(เพราะว่ามันจะต้องถึงกำหนดต้องใช้หนี้อยู่แล้วใน 1ปี ถ้าหามาใช้ไม่ได้จริงๆ ก็ล้มละลายเท่านั้น)
ทั้งนี้หนี้สินระยะสั้นถ้ามีมากและสภาพคล่องไม่พอมันจึงได้น่ากลัวกว่าหนี้สินระยะยาวไงครับ
(เพราะว่ามันจะต้องถึงกำหนดต้องใช้หนี้อยู่แล้วใน 1ปี ถ้าหามาใช้ไม่ได้จริงๆ ก็ล้มละลายเท่านั้น)
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 16
ปล. ลืมไป หนี้สินระยะสั้นและหนี้สินระยะยาวมันเป็น dynamic ไม่คงที่ตลอดไปนะครับ หนี้สินระยะยาวในวันนี้ จะกลายเป็น หนี้สินระยะสั้น ในวันหน้าอยู่ดี
ดังนันหนี้มากยังไงมันก็ไม่ดีครับ
ดังนันหนี้มากยังไงมันก็ไม่ดีครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 17
http://en.wikipedia.org/wiki/Altman_Z-score
http://www.exceluser.com/tools/zscore.htm

The Z-score formula for predicting bankruptcy was published in 1968 by Edward I. Altman, who was, at the time, an Assistant Professor of Finance at New York University. The formula may be used to predict the probability that a firm will go into bankruptcy within two years.
http://www.exceluser.com/tools/zscore.htm
The Z Score Ingredients
The Z Score is calculated by multiplying each of several financial ratios by an appropriate coefficient and then summing the results. The ratios rely on these financial measures:
* Working Capital is equal to Current Assets minus Current Liabilities.
* Total Assets is the total of the Assets section of the Balance Sheet.
* Retained Earnings is found in the Equity section of the Balance Sheet.
* EBIT (Earnings Before Interest and Taxes) includes the income or loss from operations and from any unusual or extraordinary items but not the tax effects of these items. It can be calculated as follows: Find Net Income; add back any income tax expenses and subtract any income tax benefits; then add back any interest expenses.
* Market Value of Equity is the total value of all shares of common and preferred stock. The dates these values are chosen need not correspond exactly with the dates of the financial statements to which the market value is compared.
* Net Worth is also known as Shareholders' Equity or, simply, Equity. It is equal to Total Assets minus Total Liabilities.
* Book Value of Total Liabilities is the sum of all current and long-term liabilities from the Balance Sheet.
* Sales includes other income normally categorized as revenues in the firm's Income Statement.
Use balance sheet figures from the end of the reporting period for all Z Score calculations.
The following table shows how these measures are used to calculate the three versions of the Z Score. The table is explained below.

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 18
หนี้สินที่พูดถึงมากก็คือ หนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย หรือ เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
หนี้สินแบ่งออกเป็น ระยะสั้น และ ระยะยาว แยกโดยการดูวันครบกำหนดต้องชำระหนี้คืนตามสัญญาเป็นหลัก ถ้าต้องชำระภายใน 12 เดือนก็เป็นระยะสั้น เกินกว่า 12 เดือนก็เป็นระยะยาว
เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินก็แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. วงเงินหมุนเวียน ปกติสถาบันการเงินจะพิจารณาให้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่น วงเงินเบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน สินเชื่อเพื่อการนำเข้าหรือส่งออก
สินเชื่อลักษณะนี้บริษัทสามารถเบิกเงินหรือคืนเงินเมื่อไรก็ได้ โดยไม่เกินวงเงินสินเชื่อที่ทางสถาบันการเงินอนุมัติ สัญญาเงินกู้ยืมลักษณะนี้จะพิจารณาปีต่อปี ถ้ากิจการไม่มีปัญหา สถาบันการเงินก็จะพิจารณาต่ออายุวงเงินกู้ยืมไปเรื่อยๆ อัตราดอกเบี้ยก็มีทั้งแบบตายตัว อิง MOR และแบบลอยตัว หรือที่เรียกว่า Market Rate
2. เงินกู้ยืมระยะยาว เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เช่น ก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างคอนโดมีเนียม ก่อสร้างศูนย์การค้า จะมีระยะเวลาในการผ่อนชำระที่แน่นอนในอนาคตหลายปี เมื่อชำระเงินกู้แล้วก็ไม่สามารถเบิกมาใช้ใหม่ได้ อัตราดอกเบี้ยก็จะอิง MLR
เงินกู้ระยะยาว ในการบันทึกบัญชีก็จะแยกลงทั้ง หนี้สินระยะสั้น และระยะยาว หนี้สินระยะสั้นก็คือส่วนที่ครบกำหนดต้องชำระหนี้เงินกู้ภายใน 12 เดือนข้างหน้า
ความเสี่ยงมี 2 ส่วน คือ ความเสี่ยงในการชำระหนี้ และ ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย
ความเสี่ยงในการชำระหนี้ หนี้สินประเภทวงเงินย่อมมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะระยะเวลาในการครบกำหนดชำระสั้นกว่า ถ้าบริษัทขาดสภาพคล่องก็อาจจะมีปัญหาในการหาเงินสดมาชำระหนี้ได้
ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย หนี้สินประเภทที่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามอัตราตลาด ในช่วงที่ตลาดการเงินมีสภาพคล่องล้น บริษัทอาจจะได้เงินกู้ยืมที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดการเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยก็อาจจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ในอดีตเคยขึ้นถึงกว่า 20% มาแล้วในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40
หนี้สินแบ่งออกเป็น ระยะสั้น และ ระยะยาว แยกโดยการดูวันครบกำหนดต้องชำระหนี้คืนตามสัญญาเป็นหลัก ถ้าต้องชำระภายใน 12 เดือนก็เป็นระยะสั้น เกินกว่า 12 เดือนก็เป็นระยะยาว
เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินก็แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. วงเงินหมุนเวียน ปกติสถาบันการเงินจะพิจารณาให้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่น วงเงินเบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน สินเชื่อเพื่อการนำเข้าหรือส่งออก
สินเชื่อลักษณะนี้บริษัทสามารถเบิกเงินหรือคืนเงินเมื่อไรก็ได้ โดยไม่เกินวงเงินสินเชื่อที่ทางสถาบันการเงินอนุมัติ สัญญาเงินกู้ยืมลักษณะนี้จะพิจารณาปีต่อปี ถ้ากิจการไม่มีปัญหา สถาบันการเงินก็จะพิจารณาต่ออายุวงเงินกู้ยืมไปเรื่อยๆ อัตราดอกเบี้ยก็มีทั้งแบบตายตัว อิง MOR และแบบลอยตัว หรือที่เรียกว่า Market Rate
2. เงินกู้ยืมระยะยาว เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เช่น ก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างคอนโดมีเนียม ก่อสร้างศูนย์การค้า จะมีระยะเวลาในการผ่อนชำระที่แน่นอนในอนาคตหลายปี เมื่อชำระเงินกู้แล้วก็ไม่สามารถเบิกมาใช้ใหม่ได้ อัตราดอกเบี้ยก็จะอิง MLR
เงินกู้ระยะยาว ในการบันทึกบัญชีก็จะแยกลงทั้ง หนี้สินระยะสั้น และระยะยาว หนี้สินระยะสั้นก็คือส่วนที่ครบกำหนดต้องชำระหนี้เงินกู้ภายใน 12 เดือนข้างหน้า
ความเสี่ยงมี 2 ส่วน คือ ความเสี่ยงในการชำระหนี้ และ ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย
ความเสี่ยงในการชำระหนี้ หนี้สินประเภทวงเงินย่อมมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะระยะเวลาในการครบกำหนดชำระสั้นกว่า ถ้าบริษัทขาดสภาพคล่องก็อาจจะมีปัญหาในการหาเงินสดมาชำระหนี้ได้
ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย หนี้สินประเภทที่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามอัตราตลาด ในช่วงที่ตลาดการเงินมีสภาพคล่องล้น บริษัทอาจจะได้เงินกู้ยืมที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดการเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยก็อาจจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ในอดีตเคยขึ้นถึงกว่า 20% มาแล้วในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 20
มีประโยชน์มาก
ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ครับ
ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 21
Ton.tn8 เขียน:การดูหนี้สินของบริษัทเพื่อความมั่นใจว่าบริษัทจะไม่ล้มละลายมีวิธีการอย่างไรบ้างครับ
และทำไม ดร นิเวศน์ ซื้อjmartทั้งที่มีหนี้สูงเมื่อเทียบกับตัวเลขอื่นหรอครับ
รบกวนด้วยครับ
ดร. แกชอบ โมเดล ธุรกิจ ที่รับเป็นเงินสด
จ่ายเป็นเชื่อ
ออกแนว ขยายสาขาเรื่อย
เข้าใจว่าแกคงดูกระแสเงินสดเป็นหลักมากกว่า
เรื่องบางเรื่อง ก็คงต้องชั่งน้ำหนัก หรือหลับตาข้างนึง
เหมือน คุณโจ บอกแหละคับ
เรื่อง มันอาร์ทคับ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่าหนี้สินของบริษัทดูอย่างไรว่าปลอดภัย ในสไตลVI
โพสต์ที่ 22
Ton.tn8 เขียน:เพราะอะไรหนี้ระยะสั้นถึงอันตรายกว่าหนี้ระยะยาวหรอครับ
ซื้อบ้าน ผ่อน 3 ปี ลากเลือด ครับ
หนี้บัตรเครดิต ผ่อน 30 ปี สบายใจผ่อนได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อย มีแรงไปทำมาหากินต่อ
พอนึกภาพออกไหมเอ่ย
หนี้สั้นระยะการชำระหนี้ม้ันบีบ
ถ้ากระแสเงินสดไม่ดี ทำเงินได้ไม่เยอะจริงมี
โอกาสผิดนัดชำีระได้สูง
ถ้าเราสภาพคล่องทางการเงินไม่สูงมากๆจริง
การก่อหนี้ระยะสั้นจะทำให้สภาพคล่องมันเหือด
แต่ถ้าผ่อนให้เป็นหนี้ยาวได้
จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระ ทั้งต้นทั้งดอก มันจะลดลง
ซึ่ง จำนวนเรื่องดอกเบี้ยเป็นกับดัก อย่างนึง
คือถ้าไปมอง จำนวนดอกเบี้ยรวม ที่ต้องจ่าย แล้ว
โอ้โห หนี้ยาว จ่ายบานเลย
เอาหนี้สั้นดีกว่า ก็ถูก
แต่เราลืมคำนวณว่า ถ้าวันนึงเกิด บ. สะดุด หรือต้องก่อหนี้เพิ่ม
ค่าผ่อนมันfix เปนชะนักอยู่ว่าต้องจ่ายเท่านี้
มันจะลำบาก
ในวิกฤต บ. มักเพิ่มยอดขายได้ยากกว่าในยามที่จำเป็นต้องเพิ่ม
แต่ถ้ารายจ่ายทางการเงินไม่มาก มันก็พอต่อลมหายใจให้ผ่านไปก่อนได้
show me money.