สอบถามผู้รู้ เกี่ยวกับ หุ้นถูก หรือ แพง

[jeerayuth]

คือ ผมสนใจหุ้นกลุ่ม Health ครับ

ซึ่ง PE ของกลุ่ม Health เท่ากับ 19 เท่า และ P/BV = 3.19

ซึ่งผมมีความสนใจหุ้นอยู่ตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ ซึ่งมี PE เท่ากับ 17 เท่า และ P/BV = 3.66

ไม่ทราบว่า หุ้นตัวนี้ แพงไปหรือยังครับ

และการดู PE และ P/BV ควรพิจารณา ตัวไหนเป็นอันดับแรก ครับ

[thaloengsak]

ข้อมูลไม่พอนะครับ
อย่างน้อยควรดูความสม่ำเสมอของกำไร
แนวโน้มการเติบโต
โครงการและเป้าหมายของบริษัท
รายได้หลัก ลูกค้าหลัก
ผู้บริหาร
ฯลฯ
ผมว่าข้อมูลเชิงคุณภาพจำเป็นยิ่งกว่าข้อมูลตัวเลขอีก
ถ้าคุณภาพดี ราคาเท่าไรค่อยว่ากัน

[Sayan]

เห็นด้วยกับความเห็นข้างบนครับ...คุณภาพสำคัญกว่าจริงๆ (จินตนาการเอา)
ตัวเลขเป็นแค่สิ่งยืนยันว่า ไอ้ที่เราคิดว่ามันมีคุณภาพนะจริงหรือเปล่า

[สามัญชน]

และการดู PE และ P/BV ควรพิจารณา ตัวไหนเป็นอันดับแรก ครับ

ต้องดู พีอี พีบี ในอนาคตสัก 2-3 ปีครับ
นั่นคือเราควรจะเดาได้คร่าวๆว่าอีก 2-3 ปี บริษัทจะได้กำไรเท่าไหร่ ถ้าเดาผิดเราก็มีสิทธิขาดทุนดังนั้น

๑ ถ้าจะเดาให้ถูกเราต้องรู้ข้อมูลเชิงคุณภาพให้มากพอ ทั้งเรื่งแนวโน้มธุรกิจ ยอดขาย ค่าใช้จ่าย คู่แข่ง โอกาส ภัยคุกคาม ฯลฯ
รู้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราต้องการให้แม่นแค่ไหน
ตรงนี้สำคัญมาก เพราะไม่แม่นเมื่อไหร่ก็มีสิทธิขาดทุนเมื่อนั้น

๒ ทำข้อหนึ่งจนชำนาญแล้ว ต้องมาดูต่อว่า กำไรที่จะได้นั้น
ทำให้ค่าพีอีเป็นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบัน อันนี้แหละที่เราเรียกว่าพีอีในอนาคต
เราก็ดูว่าพีอีในอนาคตนี้ เหมาะสมหรือยัง
ถ้าเหมาะสมแล้วเราก็ไม่ซื้อ
เราจะซื้อเฉพาะตัวที่ต่ำกว่าค่าที่เหมาะสม
ยิ่งต่ำยิ่งดี แปลว่าเรามีโอกาสได้กำไรสูงมากๆ อาจจะเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว หรืออย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน

ทีนี้มาตอบหุ้นโรงพยาบาลที่ว่าซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นตัวไหน เอาแต่หลักการนะครับ
แค่พีอีปัจจุบันก็ 19 เท่าแล้ว
ถ้าใช้หลัก PEG ตามสูตรปีเตอร์ ลินช์(เอาพีอี/การเติบโต)
ค่านี้จะน่าสนใจถ้ามีค่าน้อยกว่าหนึ่ง
นั่นแปลว่าบริษัทควรจะทำกำไรโตขึ้นอย่างน้อย 20%

ซึ่งผมมองว่ายาก บางปีอาจจะเฮงแล้วได้จริง แต่ระยะยาวผมว่ายากมากสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล
เอ้า สมมติว่าเฮงสุดๆ ทำได้ทุกปี

ก็มาดูว่ากำไรที่ว่าจะทำให้พีอีในอนาคตเหลือสักเท่าไหร่
ปี 54 เหลือ 15.8
ปี 55 เหลือ 13.2
สมมติว่าเราให้พีอีที่เหทาะสมคือ 19 เท่าเหมือนเดิม(ซึ่งถือว่าสูงมากในสายตาผม)
ราคาหุ้นก็จะสามารถขึ้นไปได้ปีละ 20%

แต่จริงๆแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นตามนี้ก็ได้หรือไม่เป็นตามนี้ก็ได้
อาจจะขึ้นเร็วกว่าหรือช้ากว่าก็ได้
เพราะเมื่อถึงเวลานั้นจริงก็จะมีคนมองหาพีอีในอนาคตอีกว่า ปี 56 57 58 ว่าเป็นเท่าไหร่
เป็น dynamic ไปเรื่อยๆ

ขอให้ประสบผลสำเร็จนะครับ

[o-bo-ja-ma]

ขอบคุณพี่หมอมากครับ ขอ copy เก็บไว้เลยนะครับ

[Zhou_Enlai]

ผมว่าข้อมูลเชิงคุณภาพจำเป็นยิ่งกว่าข้อมูลตัวเลขอีก
ถ้าคุณภาพดี ราคาเท่าไรค่อยว่ากัน

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ สุดท้ายเเล้วจะสะท้อนให้เราเห็นภาพของ ความสม่ำเสมอของรายได้ ความเสี่ยง เเละ การเจริญเติบโตของบริษัทเเละอุตสาหกรรม รวมถึงความน่าจะเป็นต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับธุรกิจ ซึ่งท้ายที่สุดเเล้วก็จะสะท้อนไปถึงภาพของ multiple หรือค่าตัวคูณที่ "เหมาะสม" นั่นเองครับ

[pantar]

โรงพยาบาลมันก้อมีข้อดีบางอย่างนะ กำไรมันไม่ค่อยลดถ้าไม่สุ่มสี่สุ่มห้าไปลงทุนอะไรที่มันผิดพลาด
แต่ถ้าจะเอา 20% ต่อปีนี่คงต้องเลือกเป็นที่ๆไปล่ะนะ

[สามัญชน]

อ้อ. ลืมไป
ในระยะสิบปีบวกลบนิดหน่อย
หุ้นโรงพยาบาลอาจจะแสดงผลประกอบการเหมือนหุ้นเติบโตนะครับ
แต่ในระยะยาวๆแล้ว
หุ้นโรงพยาบาลเป็นหุ้นวัฏจักร
ซึ่งอยู่ในกลุ่ม economical cyclical stock
ต้องระวังตรงนี้ด้วยครับ

[frontosa]

พี่สามัญชน คิดว่าโรงพยาบาลเป็น economic cyclical stock เหรอครับ?

[สามัญชน]

ตามทฤษฎีเขาว่าอย่างนั้นครับ
และผมเชื่อตามทฤษฎีเขา

อย่างตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง
ทุกโรงบาลแย่หมด ไม่เว้นแม้แต่รพ.ดังๆอย่าง BH BGH SVH
ยานยนต์ก็เช่นกัน เวลาเกิดวิกฤติคนก็จะลดพวกค่าใช้จ่ายสูง
อสังหาก็เช่นกัน เพราะบ้านต้องใช้เงินก้อนใหญ่
โรงพยาบาลเอกชนก็น่าจะคล้ายๆกันเพราะถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูง
เวลาเกิดวิกฤติคนก็ไปรพ.รัฐประหยัดกว่า
คนรวยๆอาจจะยอมจ่าย แต่คนส่วนใหญ่อาจจะจ่ายไมไหว
รายได้รพ.ก็เลยลดลง
และรพ.มักมีฟิกส์คอสสูง ก็เลยแย่ไปด้วย

[frontosa]

ขอบคุณมากครับ

[imerlot]

...
ข้อคิด จาก อจ.ปู่ แกรแฮม... (ถ้าไม่ตรงกับกระทู้..ขออภัย..แต่เผิ่อเตือน..สติ)
http://www.investinvalue.com/0/GRAHAM.php#13

The Prevalent Approach to Investing Often Does Not Work

The prevalent approach to investing is first to choose the best industry, and then to invest in the best company in that industry, regardless of the stock's price.

Graham did not think well of this approach because he believed it was too unreliable. Good business does not always translate into good investment returns, and even the experts have difficulty selecting and concentrating on those issues which will become winners. Finally, the application of this method may place an investor in popular, overvalued stocks.