ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 121
ขอบคุณรุ่นพี่ทั้งหลาย
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขยันทำการบ้าน
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขยันทำการบ้าน
ลงทุนเพื่อชีวิต
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 122
คนๆหนึ่งกว่าจะวิ่งได้ต้องล้มกี่ครั้งครับ และการล้มที่ผ่านๆมาถือว่าพลาดไหมครับnanchan เขียน:ผมว่าคำตอบคุณนริศก็ชัดเจนนิครับnaris เขียน:คำถามที่มีประโยชน์ ไม่ตอบคงไม่ได้ครับ นักลงทุนมาอ่านทีหลังจะได้เรียนรู้ทางลัดจากประการณ์ตรงของคนอื่นๆnanchan เขียน:ถามหน่อยได้ไม๊คุณนริศขายPtl ทำไม
ส่วนilink tnh nbc อาจขายเพราะเจอเรือลำที่ดีกว่าคงไม่ถามหละ
การขายหุ้นของแต่ละคนคงจะไม่มีใครถูกหรือผิดทั้งหมด กลยุทธ์ที่วางไว้ อาจจะผิดในบางกรณีและในบางโอกาส กลยุทธ์เดียวกัน อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้
ขอเกริ่นก่อนนะครับ ที่คุณนันถามถึงptlนี่ในสมัยประมาณปี2551 ช่วงนั้นผมจำได้เลาๆว่าsisประมาณ4บาท ส่วนptlอยู่ราวๆ5บาทกว่าๆ(ที่จำได้เพราะมีน้องคนหนึ่งมาย้ำความจำนี้ให้ฟังอีกรอบเมื่อปีที่แล้ว แต่ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วย)
ในสมัยนั้น ผมกำลังไฟแรง แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนครับ อยากลองเล่นอะไรที่มันแรงๆเร็วๆในประเภทหุ้นโภคภัณฑ์ดู แต่พอลองถือครองดู ตอนนั้นถึงแม้นว่าจะถือไม่มาก กลับไม่มีความสบายใจในการถือครอง การถือครองหุ้นโภคภัณฑ์ในตอนนั้น ได้บทเรียนดีๆมาสองข้อครับ
1 จุดแข็งของผมคือเรื่องการมองหุ้นเติบโต และ หาหุ้นเทิร์น อะราวด์จากการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นโภคภัณฑ์ ที่ผมยังโง่ในเรื่องนี้ เพราะผมไม่สามารถคาดการ์ณผลกำไรในอีก1-2ปีข้างหน้าเขาได้เลย
2 โดยส่วนตัว ผมจะชอบมีความสุขในระหว่างการเดินทาง มากกว่าความสุขที่ถึงเป้าหมายครับ
พอสรุปได้แนวความคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ผมรู้และคำนวณกำไรออกในระยะยาว
และลดการถือครองหุ้นที่ทำให้ผมไม่มีความสุขครับ
1.แต่คุณนริศพลาดตั้งแต่แรกแล้วนะ คือ ถ้าคุณคิดว่าไม่เข้าใจหุ้นโภคภัณฑ์ คุณก็ไม่ควรลงทุนตั้งแต่แรก
ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าคุณนริศมีหุ้นที่ตัวเองยังไม่เข้าใจถ่องแท้จริงๆแล้ว แสดงความมั่นใจออกไปมากเกินไปรึเปล่านะตอนนี้
ขนาดระดับคุณนริศยังพลาดได้ ผมว่ามือใหม่ๆที่พึ่งเข้ามาลงทุน
เราควรต้องสมมุติฐานที่มันเป็นกลางๆไว้เผื่อพลาดบ้างนะ
จะว่าไปมือเก่าๆที่ผมคุยด้วย บางทียังไม่เข้าใจผมเลยนะ บางทีassumptionคนเรามันไม่เหมือนกันด้วย
ดังนั้น จริตแต่ละคนก็สำคัญ
2.การมีความสุขในการเดินทางแต่ละคน แต่ละสถานการณ์มันก็ต่างกันไป จะใช้เราเป็นเกณฑ์ไม่ได้
ถ้าผมไม่ได้ลงทุนในSta,Ptlปีสองปีที่ผ่านมา ผมคงไม่มีความสุขเลยนะ
ย้อนกลับมาข้อ1 ทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องมันเกิดพลาดขึ้นมาหละครับ
คนเราต้องยึดทางสายกลาง ที่ไม่ประมาทนะครับ
คุณนันเตือนผม ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นๆนะครับ สอนให้คนอื่นๆรู้ว่าควรรู้จักตนเองให้มากพอ ก่อนที่จะรู้จักกับปัจจัยอื่นๆภายนอก ส่วนตัวผมพยายามต่อว่าตนเองอยู่บ่อยครั้ง ว่าให้รู้......แต่ภายใน อย่าส่งไปภายนอก ก็พยายามฝึกอยู่ครับ
ส่วนตัวผมมีกฎเรื่องความไม่ประมาท หลักเก้าอี้สามขา หรือ การไม่กู้หนี้ยืมสินมาทำการค้า(หรือเล่นหุ้น) การกระจายไปในสิ่งที่เรายังรู้ไม่เพียงพอแบบไม่ได้แหย่ขาสองข้างลงน้ำพร้อมๆกัน ผมถือว่าผมไม่ได้พลาดนะ กลับดีซะอีกว่ารู้ขอบเขตความสามารถของตนเอง ว่ามีขอบเขตความถนัดอยู่ตรงไหนครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 123
nanchan เขียน:... มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องมันเกิดพลาดขึ้นมาหละครับ
คนเราต้องยึดทางสายกลาง ที่ไม่ประมาทนะครับ
เห็นด้วยครับ... การไปยึดมั่นถือมั่นในอะไรก็แล้วแต่... สุดท้ายแล้วอาจจะพังได้หมด...
เพราะ ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ทุกขัง (ดำรงอยู่ ทนอยู่ในสภาวะนั้นๆ ได้ยาก) อนัตตา (ไม่มีตัวตน เราไม่สามารถบังคับให้เกิด หรือให้ดับได้) ดังนั้น แม้แต่ความถูกต้องยังไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่นเลยครับ... เพราะ ความถูกต้อง ณ เวลาหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามหลักของไตรลักษณ์ จึงไม่ควรที่จะยึดว่าจะถูกต้องไปตลอด
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด... การที่จะบรรลุธรรม ยังต้องทิ้งการยึดติดในการทำความดีไปเลยครับ... เพราะ การทำกุศล มีวิบาก คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ดังนั้นการที่จะก้าวข้ามการเกิด... ต้องทิ้งแม้กระทั่งการยึดมั่นถือมั่นในการทำดี... เหลือเพียงกระทำไปตามเหตุ-ปัจจัย เห็นธรรมชาติรอบๆ ตัวตามความเป็นจริง
แต่การที่จะกระทำตามเหตุ-ปัจจัยนี่ยากเนอะ... กิเลส อกุศล ชอบเข้ามาลากเราไปในทางที่ผิดอยู่เรื่อย...
ชอบครับที่ได้มีเห็นข้อความแบบนี้... พยายามกันต่อไปครับ... ให้กำลังใจกัน ตักเตือนกันและกันแบบนี้แหละครับดีแล้ว... หนักบ้าง เบาบ้าง... โกรธบ้าง ไม่พอใจบ้าง สุดท้ายพอมีสติ ได้มาย้อนมองส่องตน ได้เห็นข้อเสียของตนในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตัวเองให้ประพฤติปฎิบัติได้ดีขึ้น... และรู้สึกขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เคยตักเตือนเรามา...
ขอบคุณพี่นันครับ... ที่ทำให้นึกเรื่องดีๆ ขึ้นได้...
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 124
ผมอยู่ buyer side เสมอ ถ้า
- เศรษฐกิจโดยรวมยังดี (ขึ้นกับว่า เราดูอะไร)
- ไม่สนใจสิ่งที่ ใครที่ดังๆมาบอกให้เราขาย สิ่งที่ดีๆ ในราคาถูกๆ
ออกห่างออกจากตลาด ไปนั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลงเย็นสบาย
หาอย่างอื่นทำบ้าง อย่าดูแต่จอหุ้น/ รับสาย broker
(แบบที่เขียนในหนังสือของ buffett หลายๆเล่มครับ)
เราคาดเดาอนาคตอันสั้นไม่ได้
อย่าทำให้เวลาสั้นๆ เราคิดอะไรสั้นๆครับ
แต่็อย่าประมาทจนเกินไป
สุดท้าย ใครจะผสมอัตราส่วนของวิธีการลงทุนแต่ละอย่างเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมที่สุดนั้น เราต้องเป็นฝ่ายเลือกเอง เพราะการลงทุนเป็นศิลปะครับ
ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราไขว้เขวได้ นอกจากใจของเราเองครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
- เศรษฐกิจโดยรวมยังดี (ขึ้นกับว่า เราดูอะไร)
- ไม่สนใจสิ่งที่ ใครที่ดังๆมาบอกให้เราขาย สิ่งที่ดีๆ ในราคาถูกๆ
ออกห่างออกจากตลาด ไปนั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลงเย็นสบาย
หาอย่างอื่นทำบ้าง อย่าดูแต่จอหุ้น/ รับสาย broker
(แบบที่เขียนในหนังสือของ buffett หลายๆเล่มครับ)
เราคาดเดาอนาคตอันสั้นไม่ได้
อย่าทำให้เวลาสั้นๆ เราคิดอะไรสั้นๆครับ
แต่็อย่าประมาทจนเกินไป
สุดท้าย ใครจะผสมอัตราส่วนของวิธีการลงทุนแต่ละอย่างเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมที่สุดนั้น เราต้องเป็นฝ่ายเลือกเอง เพราะการลงทุนเป็นศิลปะครับ
ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราไขว้เขวได้ นอกจากใจของเราเองครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 126
สุดท้าย ผมข้อคิดเหล่านี้นะครับ
- พี่โจ๊ก(สุมาอี้) เคยกล่าวไว้ว่า บางครั้ง เราก็เสียค่า "การทำให้เราสบายใจ" เช่น ไม่ผิด ถ้าเราขายหุ้นตอนที่ตลาดลง เพราะในจิตใจคนทั่วไปย่อมต้องมีความกลัวอยู่ในตัว กลัวว่า ราคาหุ้น / เศรษฐกิจ จะแย่ลงกว่าเดิม(ผมก็เป็นค้าบ ^^)
- "When wrong, admit it"
The best investors and analyst wrong a lot. The worst thing to do is rationalize a mistake.
Be intellectually honest.
Make decisions based on current facts, not what you had thought to begin with
>> from "Finding The Next Starbucks, p. 55 , Michael Moe "
สุดท้ายอย่าลืมว่า ไม่มีใครคาดการณ์อนาคตระยะสั้นๆได้ครับ
อยู่กับ philosophy และ indicator ที่เหมาะกับตัวเราครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนครับ ^^
- พี่โจ๊ก(สุมาอี้) เคยกล่าวไว้ว่า บางครั้ง เราก็เสียค่า "การทำให้เราสบายใจ" เช่น ไม่ผิด ถ้าเราขายหุ้นตอนที่ตลาดลง เพราะในจิตใจคนทั่วไปย่อมต้องมีความกลัวอยู่ในตัว กลัวว่า ราคาหุ้น / เศรษฐกิจ จะแย่ลงกว่าเดิม(ผมก็เป็นค้าบ ^^)
- "When wrong, admit it"
The best investors and analyst wrong a lot. The worst thing to do is rationalize a mistake.
Be intellectually honest.
Make decisions based on current facts, not what you had thought to begin with
>> from "Finding The Next Starbucks, p. 55 , Michael Moe "
สุดท้ายอย่าลืมว่า ไม่มีใครคาดการณ์อนาคตระยะสั้นๆได้ครับ
อยู่กับ philosophy และ indicator ที่เหมาะกับตัวเราครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนครับ ^^
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 127
ตามอ่านทุกความเห็นครับ รวมทั้งความเห็นนอกเวปด้วย
สมาชิกบางท่านอาจจะมองเจตนาของเวปไม่เหมือนกัน บางคนมองว่า การลงทุนควรยึดแนวนี้ แนวนั้น คนที่เล่นแนวอื่นที่ไม่ตรงกับเราควรจะไปเล่นเวปอื่นไปเลย ซึ่งผมว่าไม่น่าจะส่งผลดีต่อสังคมแห่งการเรียนรู้นี้นะครับ
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เวป THAIVI นี้ผู้ริเริ่ม น่าจะมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อ ส่งเสริม ให้ข้อมูลความรู้ด้านการลงทุนในเชิงคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดย ไม่น่าที่จะห้ามหรือปิดกั้น ความคิดที่ต่างออกไป หรือความคิดที่สามารถเป็นส่วนเสริมการลงทุนของทุกท่านได้ โดย มีการให้ความสำคัญกับการมองคุณค่าและปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักเป็นแก่น
ที่ผมคิดอย่างนั้น ผมสังเกตุจากการตั้งชื่อห้องเอาน่ะครับ
ผมคิดว่าชื่อห้องเดิมก็น่าจะบอกชัดเจนนะครับว่า เจตนาของผู้ริเริ่มทำเวปนี้ขึ้นมาคืออะไร ชื่อห้อง การลงทุน "เน้น" คุณค่า "เน้น" ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็น "หลัก"
นั่นแสดงว่าผู้ริเริ่มเดิมก็มองเห็นว่า น่าจะยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นปัจจัยรอง ที่มีความสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอยู่ด้วย
ไม่งั้นตอนตั้งชื่อห้อง คงตั้งเป็น "การลงทุนแบบคุณค่า ที่ดูปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว" ไปแล้วมั้งครับ
สิ่งที่เราไม่รู้หรือไม่เชื่อ เราก็ไม่ควรดูถูกนะครับ ทุกสิ่งที่เกิดและคงอยู่มาได้เป็นระยะเวลานานไม่สูญสลายไป ย่อมมีจุดดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไม่มีจุดดีเลยคงสูญหายไปหมดแล้ว แค่ว่า เรารู้หรือไม่รู้ เราจะใช้หรือไม่ใช้ ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ
แต่ทั้งหมดนั้นอาจเป็นแค่ความคิดของผมคนเดียว ที่โน้มเอียงไปทาง อยากได้รับได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆบ้าง
เพราะ ผมเชื่อว่าผมพอจะเลือกเองได้นะ "ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าจะใช้หรือไม่ใช้"
สมาชิกบางท่านอาจจะมองเจตนาของเวปไม่เหมือนกัน บางคนมองว่า การลงทุนควรยึดแนวนี้ แนวนั้น คนที่เล่นแนวอื่นที่ไม่ตรงกับเราควรจะไปเล่นเวปอื่นไปเลย ซึ่งผมว่าไม่น่าจะส่งผลดีต่อสังคมแห่งการเรียนรู้นี้นะครับ
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เวป THAIVI นี้ผู้ริเริ่ม น่าจะมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อ ส่งเสริม ให้ข้อมูลความรู้ด้านการลงทุนในเชิงคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดย ไม่น่าที่จะห้ามหรือปิดกั้น ความคิดที่ต่างออกไป หรือความคิดที่สามารถเป็นส่วนเสริมการลงทุนของทุกท่านได้ โดย มีการให้ความสำคัญกับการมองคุณค่าและปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักเป็นแก่น
ที่ผมคิดอย่างนั้น ผมสังเกตุจากการตั้งชื่อห้องเอาน่ะครับ
ผมคิดว่าชื่อห้องเดิมก็น่าจะบอกชัดเจนนะครับว่า เจตนาของผู้ริเริ่มทำเวปนี้ขึ้นมาคืออะไร ชื่อห้อง การลงทุน "เน้น" คุณค่า "เน้น" ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็น "หลัก"
นั่นแสดงว่าผู้ริเริ่มเดิมก็มองเห็นว่า น่าจะยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นปัจจัยรอง ที่มีความสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอยู่ด้วย
ไม่งั้นตอนตั้งชื่อห้อง คงตั้งเป็น "การลงทุนแบบคุณค่า ที่ดูปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว" ไปแล้วมั้งครับ
สิ่งที่เราไม่รู้หรือไม่เชื่อ เราก็ไม่ควรดูถูกนะครับ ทุกสิ่งที่เกิดและคงอยู่มาได้เป็นระยะเวลานานไม่สูญสลายไป ย่อมมีจุดดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไม่มีจุดดีเลยคงสูญหายไปหมดแล้ว แค่ว่า เรารู้หรือไม่รู้ เราจะใช้หรือไม่ใช้ ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ
แต่ทั้งหมดนั้นอาจเป็นแค่ความคิดของผมคนเดียว ที่โน้มเอียงไปทาง อยากได้รับได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆบ้าง
เพราะ ผมเชื่อว่าผมพอจะเลือกเองได้นะ "ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าจะใช้หรือไม่ใช้"
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 129
ผมพยายามจะตอบคำถามนี้ให้ได้ดีพอสมควรnokkrajok เขียน:รบกวนถามคุณ pak หน่อยค่ะว่ามีประสบการณ์ถือหุ้น turn around แล้วราคามันลงไปเรือ่ยๆไหมคะ จนเราหวั่นไหวว่ามันจะ turn จริงไหม
ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 42166.html
แต่อาจจะยังไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ
เพราะผมเขียนในเรื่องราวของ "เหตุ"
ในขณะที่ คุณ nokkrajok ถามถึงเรื่องราวของ "ผล"
ผมจะพยายามหาคำตอบที่ตรงกว่านี้ต่อไปนะขอรับ
(^_^)
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 130
อันนี้ผมเห็นต่างนะBABY TERMITE เขียน:
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เวป THAIVI นี้ผู้ริเริ่ม น่าจะมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อ ส่งเสริม ให้ข้อมูลความรู้ด้านการลงทุนในเชิงคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดย ไม่น่าที่จะห้ามหรือปิดกั้น ความคิดที่ต่างออกไป หรือความคิดที่สามารถเป็นส่วนเสริมการลงทุนของทุกท่านได้ โดย มีการให้ความสำคัญกับการมองคุณค่าและปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักเป็นแก่น
ที่ผมคิดอย่างนั้น ผมสังเกตุจากการตั้งชื่อห้องเอาน่ะครับ
ผมคิดว่าชื่อห้องเดิมก็น่าจะบอกชัดเจนนะครับว่า เจตนาของผู้ริเริ่มทำเวปนี้ขึ้นมาคืออะไร ชื่อห้อง การลงทุน "เน้น" คุณค่า "เน้น" ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็น "หลัก"
นั่นแสดงว่าผู้ริเริ่มเดิมก็มองเห็นว่า น่าจะยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นปัจจัยรอง ที่มีความสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอยู่ด้วย
ไม่งั้นตอนตั้งชื่อห้อง คงตั้งเป็น "การลงทุนแบบคุณค่า ที่ดูปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว" ไปแล้วมั้งครับ
สิ่งที่เราไม่รู้หรือไม่เชื่อ เราก็ไม่ควรดูถูกนะครับ ทุกสิ่งที่เกิดและคงอยู่มาได้เป็นระยะเวลานานไม่สูญสลายไป ย่อมมีจุดดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไม่มีจุดดีเลยคงสูญหายไปหมดแล้ว แค่ว่า เรารู้หรือไม่รู้ เราจะใช้หรือไม่ใช้ ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ
เวบcommunity ย่อยมีแนวทางกรอบของตัวเอง ถ้่าจะเปิดกว้างแค่ไหนย่อมมีขีดจำกัด
ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ต้องมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายเพิ่มไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ต้องมีห้องอาหารสุขภาพ เพื่อตายช้าๆจะได้เป้าการลงทุนที่ไกลขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องtechicalที่สามารถpostได้ทุกวัน เพราะราคาเคลื่อนไหนตลอด
ในขณะที่พื้นฐานมันไม่ได้เปลี่ยนกันบ่อยๆ ข้อมูลจะมีให้น้อยกว่า
สุดท้าเวบก็จะเน้นพื้นฐานไม่ได้
ปัญหาคือพยายมยัดเยียดให้อีกฝ่ายยอมรับมากไปหรือเปล่า
ถ้าไม่ขนาดนั้นก็postกันพอหอมปากหอมคอ แลกเปลี่ยนกันแล้วก็จบๆไป
สุดท้ายให้แต่ละคนไปคิดเอง เพราะแต่ละคนมีแนวทางที่ถนัดและเหมาะของตัวเอง
ถ้าเขาอยากรู้เรื่องอื่นเพิ่มเติมก็สามารถไปเสาะหาความรู้ที่อื่นได้
ไม่ต้องไปยึดติดกับthaiviหรอก ว่าเวบจะรับไม่รับ เปิดไม่เปิด ลบไม่ลบ
"การเปิดกว้างเป็นเรื่องของแต่บุคคล การดูแลแนวทางcommunityเป็นเรื่องของเวบ"
ปัญหาของการศึกษาtechnicalใช่ว่าจะง่าย เพราะไม่มีเวบcommunityดีๆในเมืองไทย
ซึ่งก็แปลกที่ไม่มีใครคิดจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้มีคนเก่งๆมารวมกัน
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 131
ทำไมผมถึงคิดว่าการซื้อหุ้นโดยการใช้ลายเส้นมาพยากรณ์ราคา และการกะเก็งสภาพตลาดเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เพราะว่าผมเห็นด้วยเป็นที่สุดกับความความเหล่านี้ครับ
--------------------------------------
วิธีแรก เป็นกลุ่มของนักเล่นหุ้นที่ใช้ข้อมูลเพียง 2 อย่าง นั่นก็คือ ข้อมูลราคาหุ้นกับปริมาณการซื้อขายของหุ้น กลุ่มนี้จะนำข้อมูลทั้งสองอย่างมาเขียนเป็นกราฟหรือทำเป็นจุดอะไรต่าง ๆ จากนั้นก็อาจจะคำนวณหาราคาเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลาหรือลูกเล่นต่าง ๆ แล้วก็กำหนดจุดซื้อขายหุ้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาคิดว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าปกติ เราเรียกพวกเขาว่า “นักเล่นหุ้นแบบเท็คนิค” การศึกษาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐพบว่า การเล่นหุ้นแบบเท็คนิคไม่สามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ ปัญหาใหญ่ก็คือ พวกเขาต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงเนื่องจากวิธีนี้มักทำให้ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น “ตามสัญญาณ” ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยผมไม่แน่ใจว่ามีคนทำการศึกษาหรือไม่
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
ผมคงต้องถือกระป๋องขอทานไปทั่วถนน หากตลาดมีประสิทธิภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์
---------------------------------------
ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่ที่จะรับใช้เราไม่ใช่คนที่จะมาสั่งว่าเราจะต้องทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นสามารถกำหนดราคาธุรกิจหรือหุ้นต่างๆในตลาดได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ ค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆ ซื้อแล้วเก็บไว้รอจนราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงจึงขายออกไป และนี่คือแนวความคิดว่าตลาดหุ้นเป็น “ผู้รับใช้” ส่วนแนวความคิดว่าตลาดเป็น “ผู้สั่ง” เรานั้น หมายความว่า เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยดูจากการขึ้นลงของราคาหุ้น โดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจเลย
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
ช่วงนี้หุ้นตกหนักหลายวัน
หลายคนว้าวุ่น สับสน บางคนสติแตก
เห็นหุ้นบางตัวเทขายแบบหนีตาย
ผมหวังว่าคงไม่ใช่นักลงทุนในเวปนี้
เพราะเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เราจะกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของดัชนีราคาหุ้น
ถ้าเราวิเคราะห์ถูก เรากำไรตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว
เราซื้อหุ้นส่วนของบริษัท ไม่ใช่ดัชนี
ถ้าไม่มีทัศนะแบบนี้ เราจะไม่มีหลักยึด โงนเงนไปตามอารมณ์ตลาด
แทนที่จะหาประโยชน์จากความบ้าๆบอๆของนายตลาด กลับมาเป็นนายตลาดซะเอง แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร
สมาชิกท่านหนึ่งใน thaivi
---------------------------------------
และสุดท้าย
ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี ชี้นำ ไม่ใช่ ตาม ของภาวะเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าเราจะเอาสภาวะทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้ แน่นอน ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ ดังนั้นอย่าไปสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ถือพอร์ทของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
----------------------------------------
--------------------------------------
วิธีแรก เป็นกลุ่มของนักเล่นหุ้นที่ใช้ข้อมูลเพียง 2 อย่าง นั่นก็คือ ข้อมูลราคาหุ้นกับปริมาณการซื้อขายของหุ้น กลุ่มนี้จะนำข้อมูลทั้งสองอย่างมาเขียนเป็นกราฟหรือทำเป็นจุดอะไรต่าง ๆ จากนั้นก็อาจจะคำนวณหาราคาเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลาหรือลูกเล่นต่าง ๆ แล้วก็กำหนดจุดซื้อขายหุ้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาคิดว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าปกติ เราเรียกพวกเขาว่า “นักเล่นหุ้นแบบเท็คนิค” การศึกษาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐพบว่า การเล่นหุ้นแบบเท็คนิคไม่สามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ ปัญหาใหญ่ก็คือ พวกเขาต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงเนื่องจากวิธีนี้มักทำให้ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น “ตามสัญญาณ” ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยผมไม่แน่ใจว่ามีคนทำการศึกษาหรือไม่
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
ผมคงต้องถือกระป๋องขอทานไปทั่วถนน หากตลาดมีประสิทธิภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์
---------------------------------------
ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่ที่จะรับใช้เราไม่ใช่คนที่จะมาสั่งว่าเราจะต้องทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นสามารถกำหนดราคาธุรกิจหรือหุ้นต่างๆในตลาดได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ ค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆ ซื้อแล้วเก็บไว้รอจนราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงจึงขายออกไป และนี่คือแนวความคิดว่าตลาดหุ้นเป็น “ผู้รับใช้” ส่วนแนวความคิดว่าตลาดเป็น “ผู้สั่ง” เรานั้น หมายความว่า เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยดูจากการขึ้นลงของราคาหุ้น โดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจเลย
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
---------------------------------------
ช่วงนี้หุ้นตกหนักหลายวัน
หลายคนว้าวุ่น สับสน บางคนสติแตก
เห็นหุ้นบางตัวเทขายแบบหนีตาย
ผมหวังว่าคงไม่ใช่นักลงทุนในเวปนี้
เพราะเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เราจะกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของดัชนีราคาหุ้น
ถ้าเราวิเคราะห์ถูก เรากำไรตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว
เราซื้อหุ้นส่วนของบริษัท ไม่ใช่ดัชนี
ถ้าไม่มีทัศนะแบบนี้ เราจะไม่มีหลักยึด โงนเงนไปตามอารมณ์ตลาด
แทนที่จะหาประโยชน์จากความบ้าๆบอๆของนายตลาด กลับมาเป็นนายตลาดซะเอง แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร
สมาชิกท่านหนึ่งใน thaivi
---------------------------------------
และสุดท้าย
ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี ชี้นำ ไม่ใช่ ตาม ของภาวะเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าเราจะเอาสภาวะทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้ แน่นอน ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ ดังนั้นอย่าไปสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ถือพอร์ทของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
โดย ดร นิเวศน์ เหมวชิระวรากร
----------------------------------------
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 132
สวัสดีครับคุณ densin
ผมเข้าใจครับ เรื่องกรอบและข้อจำกัดของการทำเวป community ผมแค่ขอเสนอความเห็นส่วนตัวบ้างน่ะครับ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็มองข้ามๆไปก็ได้ครับ แต่มาคุยกันก็ดีครับ
โดยส่วนตัวผมก็คงไม่กล้ายัดเยียดอะไรให้ใครครับ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น และคนที่สนิทกับผมก็จะทราบดีว่า ผมใช้หลักการของ vi เป็นแก่นในการเลือกหุ้นอยู่ตลอดเวลานะครับ
และผมก็ไม่เคยชักชวนให้ใครมาดูกราฟดูเทคนิคด้วยครับ เพราะผมยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย....
สำหรับข้อที่ว่า เรื่องเทคนิคสามารถโพสท์ได้ทุกวัน เพราะราคาเคลื่อนไหวตลอดนั้น ผมมองว่าที่จริงแล้วยังเป็นเหตุเป็นผลในการโพสท์มากกว่า การโพสท์ปัจจัยพื้นฐานด้วยความถี่มากไม่ใช่แค่โพสท์ทุกวัน โพสท์วันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ ปัจจัยพื้นฐานมันเคลื่อนไหวเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันขัดกับหลักการ vi ที่ผมเข้าใจมาตลอดน่ะครับ
สิ่งที่ผมอยากสื่อจริงๆ แล้วคือ ผมไม่อยากให้มีการรังเกียจกันครับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหนก็เป็นนักลงทุนด้วยกันทั้งนั้นครับ แจมกันคุยกันน่าจะสนุกกว่านะครับ
สุดท้ายหลังจากสื่อไปแล้ว ผมก็เคารพกฎและกรอบของเวปครับ
ผมเข้าใจครับ เรื่องกรอบและข้อจำกัดของการทำเวป community ผมแค่ขอเสนอความเห็นส่วนตัวบ้างน่ะครับ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็มองข้ามๆไปก็ได้ครับ แต่มาคุยกันก็ดีครับ
โดยส่วนตัวผมก็คงไม่กล้ายัดเยียดอะไรให้ใครครับ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น และคนที่สนิทกับผมก็จะทราบดีว่า ผมใช้หลักการของ vi เป็นแก่นในการเลือกหุ้นอยู่ตลอดเวลานะครับ
และผมก็ไม่เคยชักชวนให้ใครมาดูกราฟดูเทคนิคด้วยครับ เพราะผมยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย....
สำหรับข้อที่ว่า เรื่องเทคนิคสามารถโพสท์ได้ทุกวัน เพราะราคาเคลื่อนไหวตลอดนั้น ผมมองว่าที่จริงแล้วยังเป็นเหตุเป็นผลในการโพสท์มากกว่า การโพสท์ปัจจัยพื้นฐานด้วยความถี่มากไม่ใช่แค่โพสท์ทุกวัน โพสท์วันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ ปัจจัยพื้นฐานมันเคลื่อนไหวเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันขัดกับหลักการ vi ที่ผมเข้าใจมาตลอดน่ะครับ
สิ่งที่ผมอยากสื่อจริงๆ แล้วคือ ผมไม่อยากให้มีการรังเกียจกันครับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหนก็เป็นนักลงทุนด้วยกันทั้งนั้นครับ แจมกันคุยกันน่าจะสนุกกว่านะครับ
สุดท้ายหลังจากสื่อไปแล้ว ผมก็เคารพกฎและกรอบของเวปครับ
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 133
เรื่องโพสกันทุกวันพยายามให้หุ้นตัวเองactive เป็นสิ่งที่thaiviยุคหลังๆหลงผิดจริงๆBABY TERMITE เขียน:สวัสดีครับคุณ densin
สำหรับข้อที่ว่า เรื่องเทคนิคสามารถโพสท์ได้ทุกวัน เพราะราคาเคลื่อนไหวตลอดนั้น ผมมองว่าที่จริงแล้วยังเป็นเหตุเป็นผลในการโพสท์มากกว่า การโพสท์ปัจจัยพื้นฐานด้วยความถี่มากไม่ใช่แค่โพสท์ทุกวัน โพสท์วันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ ปัจจัยพื้นฐานมันเคลื่อนไหวเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันขัดกับหลักการ vi ที่ผมเข้าใจมาตลอดน่ะครับ
สิ่งที่ผมอยากสื่อจริงๆ แล้วคือ ผมไม่อยากให้มีการรังเกียจกันครับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหนก็เป็นนักลงทุนด้วยกันทั้งนั้นครับ แจมกันคุยกันน่าจะสนุกกว่านะครับ
สุดท้ายหลังจากสื่อไปแล้ว ผมก็เคารพกฎและกรอบของเวปครับ
เป็นการหาปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น หลายครั่งสั้นกว่าพวกเก็งกำไรซะอีก
ไม่มีใครออกมาเตือน เมื่่อถืงเวลาก็ต้องรับกรรมไป
เรื่องแนวอื่นผมไม่ได้รังเกียจ แต่แปลกใจที่ทำไมไม่มีใครคิดจะทำเวบดีๆสำหรับแนวอื่นๆบ้าง
เผื่อผมจะไปเกาะเป็นแมงเม่าแนวอื่นๆบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 134
ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?densin เขียน:
เรื่องโพสกันทุกวันพยายามให้หุ้นตัวเองactive เป็นสิ่งที่thaiviยุคหลังๆหลงผิดจริงๆ
เป็นการหาปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น หลายครั่งสั้นกว่าพวกเก็งกำไรซะอีก
ไม่มีใครออกมาเตือน เมื่่อถืงเวลาก็ต้องรับกรรมไป
เรื่องแนวอื่นผมไม่ได้รังเกียจ แต่แปลกใจที่ทำไมไม่มีใครคิดจะทำเวบดีๆสำหรับแนวอื่นๆบ้าง
เผื่อผมจะไปเกาะเป็นแมงเม่าแนวอื่นๆบ้าง
ส่วนเรื่องเวบแนวอื่นที่น่าสนใจ ผมขออนุญาตแนะนำพี่ densin ไปที่เวบนี้ครับ http://mangmaoclub.com/ มีครบทั้ง Method Mind และ Money Management ทั้งนี้ ถึง Method ระหว่าง Fundamental กับ Technical จะต่างกัน ผมว่าอีกสองส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 135
วิธีการบ่มสมาชิกใหม่ของสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันมาก คุณwoodyอยู่มานานน่าจะสังเกตุได้woody เขียน: ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?
ส่วนเรื่องเวบแนวอื่นที่น่าสนใจ ผมขออนุญาตแนะนำพี่ densin ไปที่เวบนี้ครับ http://mangmaoclub.com/ มีครบทั้ง Method Mind และ Money Management ทั้งนี้ ถึง Method ระหว่าง Fundamental กับ Technical จะต่างกัน ผมว่าอีกสองส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
ไม่ว่าวิธีหาหุ้น การวิเคราะห์ การพยายามให้เพื่อนๆซื้อตามเร็วๆ
ไม่แน่ใจว่าการเตือนมีอยู่ในระดับไหน แต่ที่แน่ๆไม่พอ
ส่วนเรื่อง mangmaoclub เป็นแนวเวบblogการลงทุน ไม่ใช่แนวcommunity ครับ
แต่ผมก็เข้าบ่อยๆนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 136
ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?densin เขียน:วิธีการบ่มสมาชิกใหม่ของสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันมาก คุณwoodyอยู่มานานน่าจะสังเกตุได้woody เขียน: ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?
ส่วนเรื่องเวบแนวอื่นที่น่าสนใจ ผมขออนุญาตแนะนำพี่ densin ไปที่เวบนี้ครับ http://mangmaoclub.com/ มีครบทั้ง Method Mind และ Money Management ทั้งนี้ ถึง Method ระหว่าง Fundamental กับ Technical จะต่างกัน ผมว่าอีกสองส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
ไม่ว่าวิธีหาหุ้น การวิเคราะห์ การพยายามให้เพื่อนๆซื้อตามเร็วๆ
ไม่แน่ใจว่าการเตือนมีอยู่ในระดับไหน แต่ที่แน่ๆไม่พอ
ส่วนเรื่อง mangmaoclub เป็นแนวเวบblogการลงทุน ไม่ใช่แนวcommunity ครับ
แต่ผมก็เข้าบ่อยๆนะ
ส่วนเรื่อง blog ไม่ใช่ community .... พี่ densin อยากจะได้เชิง interactive ใช่ไหมครับ? ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับ ขอเวลานิดนึง ^^
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 137
ผมไม่ได้อยากได้วิธีไหนเป็นพิเศษ แต่คุณก็บอกแล้วว่าคนเลิกเตือน แต่ยังมีคนยังทำอยู๋จนถึงทุกวันนี้woody เขียน:
ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?
ส่วนเรื่อง blog ไม่ใช่ community .... พี่ densin อยากจะได้เชิง interactive ใช่ไหมครับ? ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับ ขอเวลานิดนึง ^^
แสดงว่าไม่พอ
blogหมายถึงเจ้าของเวบเป็นคนตั้งเรื่อง สิทธิเหนือคนอื่นในการใส่content คนอื่นได้แต่comment
ส่วนcommunityต้องมีการเท่าเทียมในการใช้ทรัพยากรพอสมควร ในการแลกเปลี่ยนความเห็น
อะไรประมาณนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 138
ครับ รู้ว่าไม่พอ แต่ถ้าไม่มี solutions ผมก็คิดว่าคงเป็นอย่างที่พี่ densin กังวลอยู่ต่อไปครับ ส่วนเรื่อง community ผมขอเสนออีกทางเลือกครับพี่ densin ลอง twitter ดูไหมครับ?densin เขียน:ผมไม่ได้อยากได้วิธีไหนเป็นพิเศษ แต่คุณก็บอกแล้วว่าคนเลิกเตือน แต่ยังมีคนยังทำอยู๋จนถึงทุกวันนี้woody เขียน:
ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?
ส่วนเรื่อง blog ไม่ใช่ community .... พี่ densin อยากจะได้เชิง interactive ใช่ไหมครับ? ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับ ขอเวลานิดนึง ^^
แสดงว่าไม่พอ
blogหมายถึงเจ้าของเวบเป็นคนตั้งเรื่อง สิทธิเหนือคนอื่นในการใส่content คนอื่นได้แต่comment
ส่วนcommunityต้องมีการเท่าเทียมในการใช้ทรัพยากรพอสมควร ในการแลกเปลี่ยนความเห็น
อะไรประมาณนั้น
- Na'vi
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 139
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 140
woody เขียน: ส่วนเรื่อง community ผมขอเสนออีกทางเลือกครับพี่ densin ลอง twitter ดูไหมครับ?
twitter /Fb เป็นแบบ social media ไม่มีระบบที่จะตกผลึกความคิดให้คนรุ่นหลัง
เป็นลักษณะtime lineไปเรื่อยๆ
คือพวกเวบ หรือระบบ social media การลงทุน ผมก็พยายามมีให้หมดครับ
ผมไม่ได้ปิดตัวเอง เพราะผมทำงานด้านนี้ เลยชอบลองไปเรื่อยๆ
ขอบคุณครับเดียวลอง
- airazoc
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 141
ตอนโพส จะมีช่องคำว่า Disable BBCode อยู่ใต้ช่องข้อความครับ
รบกวน ติ๊ก เอาออกไปครับ จะทำให้ quote ได้สวยงาม
ถ้าติ๊กเอาไว้ มันจะไม่แสดงการ quote ครับ
หรือถ้าให้สะดวก ตั้งใน posting default เลยก็ได้ครับ
ใน User Control Panel > Board Preferences > Edit Posting Default
ตั้ง Enable BBCode ไว้เลยก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องคอยติ๊กออกเวลาโพส
ผมไล่ enable ให้เพื่อความสวยงามละกันครับ
รบกวน ติ๊ก เอาออกไปครับ จะทำให้ quote ได้สวยงาม
ถ้าติ๊กเอาไว้ มันจะไม่แสดงการ quote ครับ
หรือถ้าให้สะดวก ตั้งใน posting default เลยก็ได้ครับ
ใน User Control Panel > Board Preferences > Edit Posting Default
ตั้ง Enable BBCode ไว้เลยก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องคอยติ๊กออกเวลาโพส
ผมไล่ enable ให้เพื่อความสวยงามละกันครับ
"In life and business, there are two cardinal sins ... The first is to act precipitously without thought, and the second is to not act at all.” – Carl Icahn
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 142
[quote="ก้อนกรวด"]อ่อผมขอเถียงคุณ วรันศ์ บัฟเฟต นิดนึงนะครับเพราะผมคิดว่าซื้อหุ้นมันก็เหมือนซื้อห้องในกรณีที่คุณมี full control นะครับ แน่นอนว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องคุณบริหารจัดการอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่กรณีหุ้นมันก็จะต่างกันนิดหน่อยนะครับยกเว้นว่าคุณซื้อเหมายกล๊อตจนมีอำนาจเหนือผู้บริหารจริงๆคราวนี้ ทั้งห้องและหุ้นก็จะเหมือนๆกัน[/quote]
55 ครับ ที่คุณพูดมานั้นไม่ได้ถงเถียงอะไรเลยครับ เพราะนั้นคือสิ่งที่ผมพูดไป
degree of ownership คือตัวตัด. แต่มันไม่ใช่มิติที่เรากำลัง discuss กันอยู่หรอกครับ
success factor ของ การลงทุนที่สำเร็จมีอยู่ไม่กี่อย่าง ตามหัวข้อกระทู้ผมคิดว่าการทำใจไม่ใช่ประเด็นครับ
ทำใจไม่ใช่ต้นน้ำ ถ้าคุณมาถึง stage ที่ต้องทำใจ something's gone wrong before that............. :D
55 ครับ ที่คุณพูดมานั้นไม่ได้ถงเถียงอะไรเลยครับ เพราะนั้นคือสิ่งที่ผมพูดไป
degree of ownership คือตัวตัด. แต่มันไม่ใช่มิติที่เรากำลัง discuss กันอยู่หรอกครับ
success factor ของ การลงทุนที่สำเร็จมีอยู่ไม่กี่อย่าง ตามหัวข้อกระทู้ผมคิดว่าการทำใจไม่ใช่ประเด็นครับ
ทำใจไม่ใช่ต้นน้ำ ถ้าคุณมาถึง stage ที่ต้องทำใจ something's gone wrong before that............. :D
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 143
จุดประสงค์ที่ผมตั้งกระทู้นี้ก็เพื่ออยากให้เพื่อนๆมาถกกันมากๆ
จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันไป เสียดายก็แต่
ข้อเสียเวลาย้ายห้องคือ Traffic ลดลง
คนไม่ค่อยมาโพสท์ที่กระทู้ใน คลังกระทู้คุณค่า ( ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ?)
กลายเป็นกระทู้เงียบไปเลย
แต่ข้อดี คือ เป็นการรวบรวมกระทู้ที่เป็นประโยชน์ให้สามารถหาได้ง่ายขึ้น
จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันไป เสียดายก็แต่
ข้อเสียเวลาย้ายห้องคือ Traffic ลดลง
คนไม่ค่อยมาโพสท์ที่กระทู้ใน คลังกระทู้คุณค่า ( ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ?)
กลายเป็นกระทู้เงียบไปเลย
แต่ข้อดี คือ เป็นการรวบรวมกระทู้ที่เป็นประโยชน์ให้สามารถหาได้ง่ายขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 145
เอาเคสที่ผมเคยติดVnt มาฝาก ของงี้มันต้องเจอจริงไรจริง ถึงจะเข้าใจ
http://www.templeboxing.com/index.php?topic=2607.0
http://www.templeboxing.com/index.php?topic=2607.0
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 146
ขอบคุณมากครับ
พี่ nanchan คิดยังไงกับเว็บstock2morrow
ผมกำลังคิดว่าจะไปสมัครสมาชิกมันจะคุ้มไหม
พี่ nanchan คิดยังไงกับเว็บstock2morrow
ผมกำลังคิดว่าจะไปสมัครสมาชิกมันจะคุ้มไหม
-
- Verified User
- โพสต์: 2187
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 147
ขอบคุณครับmprandy เขียน: ↑จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:45 pmไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ.. ผมใช้สโลแกนนี้มาตลอดตั้งแต่แรกเป็นสมาชิกไทยวีไอแห่งนี้ จนเวลาล่วงเลยมา ผมก็ยังยึดมั่นกับสโลแกนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายได้ถูกต้อง เราเลือกวิธีการไปสู่เป้าหมายได้ก็เพียงพอแล้ว ผมไม่สนใจตัวเลขว่าจะต้องตั้งเป้าหมายเลิศหรูอะไร การตั้งเป้าสูง ๆ นั้นทำให้เป็นจริงได้ยาก และการตั้งเป้าสูงกว่าความเป็นจริง ย่อมนำมาด้วยวิธีลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
คำถามของพี่นริศ จริง ๆ แล้วผมเคยตอบในกระทู้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=35604 ที่ฮงเคยถามผมสมัยวิกฤติเมื่อสองปีก่อนว่า ถ้าผมมองว่าปัญหา subprime ยังไม่จบ จะทำยังไงกับ port ระหว่างทยอยซื้อหุ้นที่เห็นว่ามี mos สูงแล้วเพราะไม่มีใครรู้จุด bottom หรือเลือก รอจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ usa แล้วค่อยลงมือ
ผมตอบไปว่าผมเลือกอย่างแรก เหตุผลตอนนั้นคือ ผมยอมรับว่าผมรู้น้อย ผมมองไม่ออกว่าตลาดหุ้นจะเอายังไงต่อ (ทั้งที่ตอนที่ผมคุยกะฮง วิกฤติเพิ่งจะเริ่มไม่นาน) ในเมื่อผมไม่มีความรู้ในการคาดการณ์อนาคต สิ่งที่ผมทำได้คือ เลือก MOS ไว้ก่อน ถ้าผมเลือกถือหุ้นของกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สูงมากเพียงพอที่จะผ่านวิกฤตินี้ไปได้ สุดท้ายมันจะกลับมา
ดังนั้นถ้าเราเลือกเดินทางแรก เราต้องมั่นใจในกิจการ และใน MOS ของกิจการมาก ในขณะที่คนเลือกทางเดินที่สอง เราต้องมีความรู้ในจังหวะของตลาดและภาพรวมของการลงทุน ทั้งสองวิธีเป็นหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการดูระดับจุลภาคที่ตัวกิจการ หรือมหภาคที่การเคลื่อนย้ายของเงินทุนและสภาพตลาด เพราะถ้าเรามองได้ถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะออกมาเหมือน ๆ กัน
HMPRO เป็นหุ้นตัวแรกและตัวหลักที่ผมถือ และซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤติ เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกับผมสูงมากเมื่อตลาดกลับมาเป็นกระทิง ผมเชื่อว่าพี่น้องสมาชิกในเวบนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่ทราบความเยี่ยมยอดของกิจการนี้ เมื่อตลาดให้โอกาสเราในการเป็นเจ้าของกิจการอันเยี่ยมยอด ในราคาที่ "ถูกเหลือเชื่อ" (P/E ของกิจการเมื่อผมซื้อมาก ๆ อยู่แถว ๆ 6 อันนี้ก่อนแตกพาร์ไปสองรอบ เทียบกับ growth ปีละ 20-30%) ย่อมไม่ควรจะพลาดโอกาสด้วยประการทั้งปวง
แต่เมื่อถามว่า ในขณะที่ประสบการณ์ของเรามากขึ้นในตอนนี้ และเรามีความรู้ทั้งสองทางข้างต้น ถ้าเราย้อนกลับไปได้อีกหน เราจะทำเหมือนเดิมไหม คำตอบผมอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
การมองภาพย้อนหลังในอดีตนั้นย่อมมีความแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในตัว เนื่องด้วยเหตุการณ์นั้นผ่านมาสมบูรณ์แล้ว การมองอนาคตต่างหากเป็นสิ่งที่ยาก ผมไม่รู้ว่าวิกฤติจะจบเร็ว และฟื้นตัวเร็ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าตอนนั้นผมถือหุ้นตัวอื่น เช่นหุ้นเดินเรือ (ซึ่งมี P/E ต่ำกว่ามาก) ปัจจุบันผมจะเป็นอย่างไร ผมยอมรับตัวเองว่า ผลตอบแทนที่ตนเองได้มาในช่วง 2 ปีนี้ ส่วนหนึ่งอาศัย "โชค" ไม่มากก็น้อย เพราะดวงดีที่ตลาดกลับมาเร็ว และดวงดีที่จะไม่เจ๊งไปเสียก่อน เพราะไม่ได้ถือหุ้นกลุ่มเดินเรือเป็นต้น :lovl:
การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน
บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา"
ผมเริ่มลงทุนโดยอาศัยหลักการแห่งพื้นฐาน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่า หลักการอื่นในการลงทุนนั้นสามารถใช้ได้ ใช้ร่วมกันได้ และใช้ร่วมกับการลงทุนแนวคุณค่าได้เสมอ ทุกวันนี้ผมใช้ทั้งเศรษฐศาสตร์มหภาค, การเคลื่อนไหวของเงิน, จิตวิทยาการลงทุน ฯลฯ ผสมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน ทำให้ผมมีความมั่นใจ และมีความสุขในการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนแต่ละคน มีหลักการที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ตราบใดที่รู้จุดอ่อน จุดแข็งของหลักการที่ตนเองใช้ การลงทุนย่อมให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ รู้จุดอ่อนจุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองหรือยัง
เราลงรายละเอียดระดับไหน + แผนการ + วินัยในการแบ่งและใช้เวลาในแต่ละวัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2187
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 148
picatos เขียน: ↑จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:01 pmอ่านที่พี่ mprandy แล้วฉุกใจให้คิด ให้ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง เลยอยากขอต่อยอดสักเล็กน้อย...
ผมเชื่อว่า อีโก้ กับ กับอายุ โดยทั่วไปแล้วเป็นการแปรผันตามกันครับ... ยิ่งแก่ อัตตาตัวตนยิ่งสูง... ในขณะที่เด็กเล็กๆ จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า... เลยเป็นที่มาขอคำว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"... ผมเชื่ออย่างงั้นนะครับ... ดังนั้นผมเชื่อว่าคนยิ่งประสบการณ์มาก อีโก้ ยิ่งสูงตามครับ...
ทีนี้... เรื่อง Letter to Shareholders ที่พี่หมอยกมา ผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอด จึงอยากรบกวนพี่หมอช่วยแนะนำแหล่งที่มาเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหน่อยได้ไหมครับ?
คือ ที่ผมเชื่อมาตลอด ผมเชื่อว่า... แนวคิดแบบ VI จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อในทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่ หมายถึง ไม่เชื่อใน Efficient Market ผมจำได้ว่า Buffet เคยเขียนบทความที่เรียกว่าโจมตีพวก Random Walk ด้วยซ้ำ... ในขณะที่แกรแฮมเป็นคนบอกว่า ในระยะสั้น นาย ตลาด จะเหมือนคนโรคจิตอารมณ์แปรปวน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาจะเข้าสู่มูลค่า (คล้ายๆ กับว่านายตลาด พึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังบ้าอยู่ เลยรู้จักที่จะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองซะบ้าง)...
อย่างไรก็ตาม การที่เราเชื่อว่าตลาดผิด ไม่ได้หมายความว่า ฉันถูก... ฉันจะถูกได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันพิจารณาการลงทุนอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ และลงทุนในราคาที่มี MOS สูงมากเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่ากิจการมันเปลี่ยนแปลงตามเหตุ-ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...
ที่นี้... มาเรื่องการวัดถูกผิดของ VI ... ผมว่าแนวคิดของ VI แท้ๆ คือ การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า ที่มี MOS มากเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เรากำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น แม้พื้นฐานกิจการที่เราประเมินมันอาจจะผิดไปบ้างเป็นปกติ เราก็ยังมี MOS มาช่วยชดเชยความเสี่ยงรองรับอยู่ (มูลค่ากิจการที่เราเอามาใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อหา MOS ต้องเป็นมูลค่ากิจการในกรณี Worst Case เท่านั้น ไม่ใช่เอา Base Case หรือ Best Case มาหา Upside แล้วเรียกมันว่า MOS)
ดังนั้นในการวัดถูกผิดของ VI น่าจะวัดกันที่ ตัวพื้นฐานกิจการล้วนๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเรามีข้อมูลเพิ่มขึ้น มูลค่ากิจการใหม่ที่เราคำนวณได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าลดลง ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าราคาที่เราซื้อในตอนแรก... อันนี้คือวิเคราะห์ถูก... แต่ถ้าเกิดมันผิดคาดไปหมด มูลค่ากิจการใหม่ แม้แต่ MOS ที่เรามาเผื่อไว้ก็ไม่พอ... อันนี้คงต้องพิจารณาตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ผมลงทุนหุ้นตัวหนึ่งได้กำไรมากพอสมควรและได้ขายทำกำไรไปแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ข้อมูลจากกิจการที่เปิดเผยออกกลายเป็นว่าที่มูลค่ากิจการที่เราคิด มันผิด จริงๆ แล้ว มูลค่ากิจการมันไม่ได้สูง ไม่มี MOS เลย ผมวิเคราะห์มูลค่ากิจการพลาด แต่ผมแค่โชคดีที่ขายได้กำไร อันนี้ผมเรียกว่าผมผิด... ในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะขายขาดทุน แต่ผมอาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้...
ดังนั้นผมเชื่อว่ามุมมองถูกผิดของ VI อยู่ที่การประเมินมูลค่ากิจการว่าออกมาได้ถูกต้องขนาดไหน ไม่ใช่ว่าขายได้กำไรหรือขาดทุน
สำหรับผลตอบแทน 2 ปีที่ผ่านมา... ถ้าพิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย.... ผมคิดว่า ปีนี้ผมไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว... แต่ความโลภที่อยู่ในใจมันเต้นเร่าๆ อยากได้จะผลตอบแทนเยอะๆ อีก ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กับครับ ระหว่าง การควบคุมตัวเองให้ลงทุนอย่างมีสติ พิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย กับ กิเลสที่คอยลากเราให้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ อยากได้ผล แต่ไม่สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา... หวังว่าตัวผมเองจะมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรพยายามในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ และสามารถผ่านปีนี้ไปได้...
สุดท้ายประเด็นที่ผมฉุกคิด... คือ ความสัมพันธ์ของ ปัจจัย 3 ตัว 1) อีโก้ 2) เหตุ-ปัจจัย 3) อารมณ์ (ความโลภ-ความกลัว) กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ในการประเมินมูลค่ากิจการต้องมองทะลุไปเห็นถึง เหตุ-ปัจจัย ของกิจการ เฉพาะ สิ่งที่เป็นสาระของกิจการ อาจกล่าวได้ว่า เราต้องมองข้ามสิ่งปรุงแต่งที่เป็นบัญญัติธรรม เข้าไปให้ถึง ความจริงแก่นแท้ของกิจการที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก... ใบไม้ในป่ามีมากมายมหาศาล จะมองทะลุเลือกหยิบใบไม้เพียงกำมือเดียว ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 กับสงฆ์สาวกย่อมไม่ง่ายนัก
บ่อยครั้งที่ผมถูกอารมณ์ของตลาด หลอกล่อและชักนำ ให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง... บ่อยครั้งที่ผม Simplify เรื่องต่างๆ ของกิจการผิดพลาด จนไปหยิบกระพี้มาเป็นสาระ แทนที่จะเข้าถึงแก่น... และเมื่อมีคนเตือนด้วยความหวังดี... แต่เรากลับยึดอัตตา มีอีโก้ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเข้ามาพินิจ พิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์
และที่สำคัญ... บ่อยครั้งที่เชื่อคนอื่นง่ายจนเกินไป...
ยากจังเนอะ... การลงทุนที่จะลงทุนโดยมีสติ ลงทุนตามเหตุ-ปัจจัย โดยไม่ใช้ อคติ อารมณ์ชั่ววูบ และมีอัตตาน้อยๆ... ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ...
ยังไงก็ขอขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำตักเตือนจากพี่หมอ mprandy นะครับ... จะพยายามระมัดระวัง ไม่ให้อัตตาของตัวเองเติบใหญ่จนเกินไป... และหวังว่าจะได้รับความปรารถนาดีจากพี่เช่นนี้อีกในอนาคตครับ
สมัยก่อน ผมรู้สึกว่่า กฎของบัฟเฟตว่าด้วยเรื่องอย่าขาดทุน ช่างขัดแย้งกับการที่บัฟเฟตบอกว่า ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองลง 50% ไม่ได้ ก็อย่างริอาจเป็นนักลงทุน...
แต่หลังๆ พอมานั่งคิดจริงๆ... ผมคิดว่าคำว่าขาดทุนของบัฟเฟต์ ไม่ได้หมายถึง การขาดทุนทางบัญชี (Mark-To-Market Loss) นะครับ... แต่หมายถึง การที่เราประเมินมูลค่ากิจการพลาด หรือซื้อกิจการในมูลค่าที่มี MOS น้อยจนเกินไปมากกว่า... ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่บัฟเฟต์เข้าซื้อกิจการหลายๆ กิจการ หลังจากที่บัฟเฟต์ซื้อเสร็จ หุ้นมันก็ยังลงต่อ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็เข้าหามูลค่า
ด้วยเหตุนี้... ผมคิดว่าเราไม่ควรจะตีความว่า "ขาดทุน" ของบัฟเฟต เป็น MTM Loss ครับ...
ทีนี้... ก็กลับมาที่คำถามเดิมล่ะครับ... มูลค่ากิจการที่เราคำนวณได้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่... มันเป็นเพียงแค่ อีโก้ หรือ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า? แล้วก็มาจบที่คำถามว่า... เราเข้าใจกิจการนี้จริงๆ รึเปล่า?
ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...
ขอให้หุ้นที่ผมถืออยู่... เป็นหุ้นที่ผมเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ แค่คิดว่าตัวเองเข้าใจทีเถอะครับ...
เราลงรายละเอียดระดับไหน + แผนการ + วินัยในการแบ่งและใช้เวลาในแต่ละวัน
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 149
บทความมีประโยชน์มากๆครับขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ มีกำลังใจเลย
บางทีกำไรตกก็เครียดครับ mindset ต้องสำคัญจริงๆครับผม
บางทีกำไรตกก็เครียดครับ mindset ต้องสำคัญจริงๆครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์ที่ 150
ผม dca เอาเลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้แต่ถ้าหุ้นลงมากๆ ก้ต้องวิเคราะห์หุ้นที่ซื้อใหม่อีกรอบ