จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 31
ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของคำว่า MOS ยังไงละครับเพราะเจ้าหรือเจ้าของธุรกิจจะรู้ข่าววงในหรือจะสร้างราคายังไงก็ได้ แต่เราทำได้ดีที่สุดคือ
* ต้องหาส่วนต่างของความปลอดภัยให้มาก ๆ * จะทำให้เราเอาตัวรอดจากสถาณการณ์แบบนี้ได้
* ต้องหาส่วนต่างของความปลอดภัยให้มาก ๆ * จะทำให้เราเอาตัวรอดจากสถาณการณ์แบบนี้ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 32
เห็นด้วยอย่างยิ่งขอรับsupport เขียน:ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของคำว่า MOS ยังไงละครับเพราะเจ้าหรือเจ้าของธุรกิจจะรู้ข่าววงในหรือจะสร้างราคายังไงก็ได้ แต่เราทำได้ดีที่สุดคือ
* ต้องหาส่วนต่างของความปลอดภัยให้มาก ๆ * จะทำให้เราเอาตัวรอดจากสถาณการณ์แบบนี้ได้
สุดท้ายมันก็จะกลับมาที่หลักการใหญ่คือ MOS
ผมคิดเอาเองนะครับว่า...
แม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นเหมือนกัน (คือ ขึ้นจาก "จุด A" ไปยัง "จุด B")
แต่พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวก็คงไม่เหมือนกัน อาทิเช่น...
แบบที่ 1 หุ้นในฝัน
ถ้ามีหุ้นแบบนี้ในโลกจริงๆคงดีนะครับ
ประมาณว่าหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็น "Straight Line"
"ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลง" เป็นลักษณะแบบว่า Ideal สุดๆ
เปิดมาดูทีไร หุ้นของฉันก็ราคาขึ้นทุกวัน 555
แบบที่ 2 หุ้นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของจ้าวที่และรายใหญ่
หุ้นแบบนี้ ประมาณว่า "ปีนึงอาจจะซื้อขายกันเยอะๆแค่ 4 ครั้ง ตามช่วงเวลาประกาศผลประกอบการ"
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นมาจากจุดเดียวกัน และมาสิ้นสุดที่จุดเดียวกันเช่นกัน
แบบที่ 3 หุ้นที่มีจ้าวที่และรายใหญ่คอยดูแลอยู่
ซึ่ง Concept แบบนี้แหล่ะครับ ที่ผมมองว่ามีจ้าวที่ ,รายใหญ่ หรือแม้แต่ Market Maker ดูแลอยู่
สรุปง่ายๆก็คือ...
ผมมองว่า "รายใหญ่(และ Specurator)" ก็เปรียบเสมือนเป็นแค่ "Noise บนเส้นกราฟการลงทุนของเรา" เท่านั้นเอง!!!
ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับเราเลย ถ้าเรามี mos อยู่ในใจที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ปล.
ทั้งหมดที่เขียนมา เป็นแค่มุมมองหนึ่งของคนๆหนึ่งเท่านั้น
มันอาจจะไม่ได้ถูกต้อง หรือตรงตามตำราไปทั้งหมด
เป็นเพียงแค่ "ผมเป็นคนชอบคิด ชอบเขียน ชอบแชร์มุมมอง" ก็เท่านั้นเอง
ถ้าเห็นว่ากระทู้ไม่เหมาะสม ก็พิจารณาลบได้เลยนะขอรับ (^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 33
อีกมุมมองหนึ่งของ คุณจันทร์เย็น (จากห้อง Pantip.com)
Credit : K.จันทร์เย็น
ส่วนที่เหลือก็คือเรื่อง “จ้าว” ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าหุ้นเกือบทุกตัวที่มีการซื้อขายก็มีจ้าวทั้งนั้น ความเชื่อของผมอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ทุกๆ การเคลื่อนไหวของราคาที่ทำให้เกิดส่วนต่างจะมีผลประโยชน์เกิดขึ้น และที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีคนเข้ามาตักตวง แต่คำว่า “จ้าว” ของคุณคืออะไร? สำหรับผมแล้ว หน้าที่ของจ้าวไม่ใช่การทำให้คนอื่นๆ ได้กำไรนะครับ จ้าวไม่ใช่องค์กรไม่แสวงกำไร ในทางกลับกัน กำไรของจ้าวก็มาจากเงินของเราๆ ทั้งนั้น จ้าวไม่ใช้มิตรของเรา แต่เราทำตัวเป็นมิตรของจ้าวได้แน่ๆ ถ้าเราเข้าใจจ้าว แม้ผมเพิ่งจะบอกไปว่าราคาหุ้นมันขึ้นอยู่กับกลไกตลาดก็จริง ผมจะเสริมว่าราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจ้าวด้วย แต่ว่าจ้าวมีความสามารถในการบิดเบือนกลไกตลาดให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้ หุ้นพื้นฐานห่วยที่ไม่มีใครอยากซื้อ แค่ลากโชว์ให้เห็นเขียวๆ ก็มีคนมารุมตอมกันแล้ว ถ้ายังไม่มีคนมารุมก็ลากอีก ขนาด N-PARK ยังเอาขึ้นไปได้ตั้ง 4 เท่าเชียวนะ (แต่จ้าวก็ยังอยู่ใต้กลไกตลาดอยู่ดี เพราะถ้าทั้งตลาดไม่มีใครอยากจะซื้อเลยจริงๆ จ้าวก็ติดดอยเอง) สมมุติฐานของผมอีกอย่างเกี่ยวกับจ้าวก็คือ ไม่ว่าจ้าวจะเป็นใครก็ตาม เขา (หรือพวกเขา) ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แต่จะเป็นคนที่ฉลาดเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการออก มีเงินมากกว่าที่ผมคาดคิดและมีจิตใจที่แข็งแกร่งอดทนกว่าคนธรรมดา (รวมไปถึงเลือดเย็นกว่าด้วย) อย่าลืมว่าเขาเล่นกับเงินหลายล้านบาทนะ การที่ PHOL ลงมาอยู่ที่ 5 บาทกว่าๆ อาจทำกำไรมหาศาลกับเขาไปแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็เขาอาจจะยอมขาดทุนในตอนนี้เพื่อรอจังหวะทำกำไรในเวลาต่อไปก็เป็น ได้เหมือนกัน หรือไม่เขาก็อาจจะยอมขาดทุนจากตัวนี้เพราะได้ตัวอื่นมาเยอะแล้ว? ถ้าเราไม่เข้าใจว่าจ้าวกำลังทำอะไรกันแน่ก็อย่าไปอยู่ในวงเลยครับ แต่ถ้าพอจะเดาออกก็ต้องเล่นตามน้ำไปด้วยให้ได้ (ถ้าเลือกจะเล่นด้วยวิธีนี้) ถ้าเห็นเขาเก็บเราก็แอบเก็บตาม อะไรประมาณนั้น เล่นตามคนที่โคตรฉลาด เราจะมีโอกาสได้มากกว่าการทำตัวให้ตรงข้ามกับเขาแน่ๆ (แต่จะมีสักกี่คนเชียวที่รู้ใจจ้าวและคนที่รู้ใจจ้าวก็ไม่ได้ทันเกมส์จ้าว เสมอไปเช่นกัน)
ขอเพิ่มเติมว่า จ้าวเองก็คงจะต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองก็อยู่ภายใต้กลไกตลาดเช่นกัน เขาคงไม่ใช่แค่คิดอยากจะลากก็ลาก อยากจะทุบก็ทุบ ก่อนที่เขาจะทำอะไรลงไปก็คงจะกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วว่าสิ่งที่จะทำมันคุ้มหรือไม่ หุ้นมันทิ้งดิ่งลงมาแรงแบบนั้น จะกระชากพรวดเดียวให้รายย่อยได้เงินคืนคงเกิดขึ้นยากกว่า ถ้าเขารู้ว่าคนที่มีหุ้นอยากขายเต็มแก่ เขาคงไม่ให้โอกาสหรอกครับ มันเปลืองแรงเปลืองเงินเขาเปล่าๆ ที่จะลากทั้งๆ ที่รู้ว่าตลาดพร้อมเทหุ้นสวนลงมาใส่เขา (แต่ตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่และจะทำอะไร ผมก็ไม่ทราบนะครับ)
กระทู้น่าอ่านทีเดียวครับอยู่ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 25483.html
Credit : K.จันทร์เย็น
ส่วนที่เหลือก็คือเรื่อง “จ้าว” ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าหุ้นเกือบทุกตัวที่มีการซื้อขายก็มีจ้าวทั้งนั้น ความเชื่อของผมอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ทุกๆ การเคลื่อนไหวของราคาที่ทำให้เกิดส่วนต่างจะมีผลประโยชน์เกิดขึ้น และที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีคนเข้ามาตักตวง แต่คำว่า “จ้าว” ของคุณคืออะไร? สำหรับผมแล้ว หน้าที่ของจ้าวไม่ใช่การทำให้คนอื่นๆ ได้กำไรนะครับ จ้าวไม่ใช่องค์กรไม่แสวงกำไร ในทางกลับกัน กำไรของจ้าวก็มาจากเงินของเราๆ ทั้งนั้น จ้าวไม่ใช้มิตรของเรา แต่เราทำตัวเป็นมิตรของจ้าวได้แน่ๆ ถ้าเราเข้าใจจ้าว แม้ผมเพิ่งจะบอกไปว่าราคาหุ้นมันขึ้นอยู่กับกลไกตลาดก็จริง ผมจะเสริมว่าราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจ้าวด้วย แต่ว่าจ้าวมีความสามารถในการบิดเบือนกลไกตลาดให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้ หุ้นพื้นฐานห่วยที่ไม่มีใครอยากซื้อ แค่ลากโชว์ให้เห็นเขียวๆ ก็มีคนมารุมตอมกันแล้ว ถ้ายังไม่มีคนมารุมก็ลากอีก ขนาด N-PARK ยังเอาขึ้นไปได้ตั้ง 4 เท่าเชียวนะ (แต่จ้าวก็ยังอยู่ใต้กลไกตลาดอยู่ดี เพราะถ้าทั้งตลาดไม่มีใครอยากจะซื้อเลยจริงๆ จ้าวก็ติดดอยเอง) สมมุติฐานของผมอีกอย่างเกี่ยวกับจ้าวก็คือ ไม่ว่าจ้าวจะเป็นใครก็ตาม เขา (หรือพวกเขา) ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แต่จะเป็นคนที่ฉลาดเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการออก มีเงินมากกว่าที่ผมคาดคิดและมีจิตใจที่แข็งแกร่งอดทนกว่าคนธรรมดา (รวมไปถึงเลือดเย็นกว่าด้วย) อย่าลืมว่าเขาเล่นกับเงินหลายล้านบาทนะ การที่ PHOL ลงมาอยู่ที่ 5 บาทกว่าๆ อาจทำกำไรมหาศาลกับเขาไปแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็เขาอาจจะยอมขาดทุนในตอนนี้เพื่อรอจังหวะทำกำไรในเวลาต่อไปก็เป็น ได้เหมือนกัน หรือไม่เขาก็อาจจะยอมขาดทุนจากตัวนี้เพราะได้ตัวอื่นมาเยอะแล้ว? ถ้าเราไม่เข้าใจว่าจ้าวกำลังทำอะไรกันแน่ก็อย่าไปอยู่ในวงเลยครับ แต่ถ้าพอจะเดาออกก็ต้องเล่นตามน้ำไปด้วยให้ได้ (ถ้าเลือกจะเล่นด้วยวิธีนี้) ถ้าเห็นเขาเก็บเราก็แอบเก็บตาม อะไรประมาณนั้น เล่นตามคนที่โคตรฉลาด เราจะมีโอกาสได้มากกว่าการทำตัวให้ตรงข้ามกับเขาแน่ๆ (แต่จะมีสักกี่คนเชียวที่รู้ใจจ้าวและคนที่รู้ใจจ้าวก็ไม่ได้ทันเกมส์จ้าว เสมอไปเช่นกัน)
ขอเพิ่มเติมว่า จ้าวเองก็คงจะต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองก็อยู่ภายใต้กลไกตลาดเช่นกัน เขาคงไม่ใช่แค่คิดอยากจะลากก็ลาก อยากจะทุบก็ทุบ ก่อนที่เขาจะทำอะไรลงไปก็คงจะกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วว่าสิ่งที่จะทำมันคุ้มหรือไม่ หุ้นมันทิ้งดิ่งลงมาแรงแบบนั้น จะกระชากพรวดเดียวให้รายย่อยได้เงินคืนคงเกิดขึ้นยากกว่า ถ้าเขารู้ว่าคนที่มีหุ้นอยากขายเต็มแก่ เขาคงไม่ให้โอกาสหรอกครับ มันเปลืองแรงเปลืองเงินเขาเปล่าๆ ที่จะลากทั้งๆ ที่รู้ว่าตลาดพร้อมเทหุ้นสวนลงมาใส่เขา (แต่ตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่และจะทำอะไร ผมก็ไม่ทราบนะครับ)
กระทู้น่าอ่านทีเดียวครับอยู่ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 25483.html
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 34
MOD ดูที่เจตนาครับ ถ้าโพสท์สร้างสรรค์ และส่งเสริมการลงทุนแบบยั่งยืน ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันnanchan เขียน:กลุ่มไหนก็ไม่มีผลกับเจ้าหรอก แต่การที่กลุ่มViรวมตัวกันเยอะๆก็กลายเป็นเจ้าได้เหมือนกันpak เขียน:
หรือบางคนเคยพูดไว้ทำนองว่า "จ้าวมือเค้าแทบจะเช็คชื่อ หรือนับจำนวนหุ้น" กันเลยทีเดียว
แต่...............................................................................
"ปัจจุบัน...เมื่อเจ้ามือ ไม่ได้เจอเฉพาะแต่รายย่อย!!!
แต่จ้าวมือ กลับมาเจอกลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองโดยรวมๆว่า "กลุ่ม VI"
เจ้ามือตั้งใจ "ทุบให้อ๊วก" แต่พวกนี้กลับไม่ยอมอ๊วก
เจ้ามือตั้งใจ "ทำให้เบื่อหน่าย" แต่พวกนี้กลับใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ยอมคายหุ้นออกมา
คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
พูดถึงเจ้าเยอะแยะขนาดนี้ ทำไมปล่อยไว้กระทู้นี้
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 35
คุณ pak ท่าทางเป็นคนช่างสังเกตุจริง ๆ เลยนะครับ ผมนับถือ
จริง ๆ แล้วที่เขาบอกกันว่า เจ้ามือที่แท้จริงคือ * ผลประกอบการ*
มันก็ถูกนะครับแต่โดยส่วนตัวผม (ย้ำโดยส่วนตัวเท่านั้น) ยังคิดว่าเจ้ามือที่ที่แท้จริงคือ
คนที่รู้ข่าววงในบางทีอาจจะรู้ข่าววงในเลยไป 4 ไตรมาสแล้วอาจจะทำ big bath
ทำเรื่องร้าย ๆ ให้มาอยู่ในไตรมาสเดียว ถึงจะเป็น VI ก้ต้องดูที่ตัวเลขแม้จะไปดูกิจการจริง ๆ
แต่ก็คงดูได้ไม่หมดและถูกปิดบังได้ยังไงก็จะคิดว่าวิเคราห์ผิดแล้ว cut lose ขายได้
ผลสุดท้ายคนที่ได้เต็ม ๆ ก็คือเจ้าที่รู้ข่าวแล้วสร้าง Big bath อยู่ กว่าจะมารู้ที่หลังว่าไม่มี ธรรมมาภิบาล
ก็สายไปแล้ว ส่วนใหญ่เรื่องแบบนี้จะเกินกับหุ้นตัวเล็ก ๆ ได้มากว่า บลูชิพ ดังนั้นการศึกษาแล้วรู้ทัน
เกี่ยวกับเรื่องคนทำหรือสร้างราคา หรือที่เรียกว่า จ้าวที่ ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนะครับ
บางทีอาจจะเป็นประโยชน์ในเรื่องการดู * ธรรมมาภิบาล * ของผู้บริหารในการให้ข่าวได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณ คุณ pak ครับที่ให้มุมมองที่น่าสนใจผมว่าเป็นความคิดที่ สร้างสรรค์เลยที่เดียว
จริง ๆ แล้วที่เขาบอกกันว่า เจ้ามือที่แท้จริงคือ * ผลประกอบการ*
มันก็ถูกนะครับแต่โดยส่วนตัวผม (ย้ำโดยส่วนตัวเท่านั้น) ยังคิดว่าเจ้ามือที่ที่แท้จริงคือ
คนที่รู้ข่าววงในบางทีอาจจะรู้ข่าววงในเลยไป 4 ไตรมาสแล้วอาจจะทำ big bath
ทำเรื่องร้าย ๆ ให้มาอยู่ในไตรมาสเดียว ถึงจะเป็น VI ก้ต้องดูที่ตัวเลขแม้จะไปดูกิจการจริง ๆ
แต่ก็คงดูได้ไม่หมดและถูกปิดบังได้ยังไงก็จะคิดว่าวิเคราห์ผิดแล้ว cut lose ขายได้
ผลสุดท้ายคนที่ได้เต็ม ๆ ก็คือเจ้าที่รู้ข่าวแล้วสร้าง Big bath อยู่ กว่าจะมารู้ที่หลังว่าไม่มี ธรรมมาภิบาล
ก็สายไปแล้ว ส่วนใหญ่เรื่องแบบนี้จะเกินกับหุ้นตัวเล็ก ๆ ได้มากว่า บลูชิพ ดังนั้นการศึกษาแล้วรู้ทัน
เกี่ยวกับเรื่องคนทำหรือสร้างราคา หรือที่เรียกว่า จ้าวที่ ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนะครับ
บางทีอาจจะเป็นประโยชน์ในเรื่องการดู * ธรรมมาภิบาล * ของผู้บริหารในการให้ข่าวได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณ คุณ pak ครับที่ให้มุมมองที่น่าสนใจผมว่าเป็นความคิดที่ สร้างสรรค์เลยที่เดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 115
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 37
เป็นบทควาที่ดีมากครับ
ผมคิดว่ามีคนจำนวนมากทำอย่างที่พูดจริง ทุบๆ ปั่นๆ
หน้าที่ของเราคือ ต้องอ่านครับ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้หลักการเดียวกับเขา แต่การอ่านน่าจะทำให้เราปกป้องตัวเองจากการกระทำของพวกเขาได้
รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
ขอบคุณครับ
ผมคิดว่ามีคนจำนวนมากทำอย่างที่พูดจริง ทุบๆ ปั่นๆ
หน้าที่ของเราคือ ต้องอ่านครับ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้หลักการเดียวกับเขา แต่การอ่านน่าจะทำให้เราปกป้องตัวเองจากการกระทำของพวกเขาได้
รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
ขอบคุณครับ
An investment operation is one which, upon thorough analysis, promises safety of principal and an adequate return. Operations not meeting these requirements are speculative
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 38
leerats เขียน:คำขวัญของ Buffett คือ Don't play with the market, play with people in the market
คุณแน่ใจนะว่า เป็น วีไอ วีไอไม่มีในโลกนี้
อีกอย่างถ้าคุณทำอะไรเพื่อหวังเงินเหรอ มันก็โลบแล้ว ก็ผิดหลักธรรมแล้ว ดังนั้น วีไอไม่มีในโลกนี้
คนดีๆในโลกนี้มีมากมาย ไม่เอาหุ้น ไม่สนใจหุ้นทั้งๆที่ฉลาดมากๆ บางคนยอมเป็นนี้เพื่อจะช่วยสัตว์พิการ
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 39
leerats เขียน:leerats เขียน:คำขวัญของ Buffett คือ Don't play with the market, play with people in the market
คุณแน่ใจนะว่า เป็น วีไอ วีไอไม่มีในโลกนี้
อีกอย่างถ้าคุณทำอะไรเพื่อหวังเงินเหรอ มันก็โลบแล้ว ก็ผิดหลักธรรมแล้ว ดังนั้น วีไอไม่มีในโลกนี้
คนดีๆในโลกนี้มีมากมาย ไม่เอาหุ้น ไม่สนใจหุ้นทั้งๆที่ฉลาดมากๆ บางคนยอมเป็นนี้เพื่อจะช่วยสัตว์พิการ
ดูเหมือนว่า Buffett จะอุทิศเงินส่วนตัวจำนวนมหาศาลให้กับ มูลนิธิ ด้วยไม่ใช่เหรอครับ คนที่ใช่ชิวิตอยู่กับหุ้นเกีอบทั้งชิวิต
แต่ไม่เอาเงินที่ได้จากหุ้น แบบนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไรดี ไม่โลภ ? หรือว่ามี ศิลธรรม ?
ผมว่าหุ้นเป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่ง แต่ VI คือแนวทางไปสู้ความมั่งคั่ง มากกว่าครับ
ส่วนความ โลภ คือการอยากได้ของ ๆ คนอื่นแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 40
ผมขอชวนคุยเรื่องอื่นดีกว่านะขอรับ...
ผมขอแค่ "ผลต่างราคา(หรือ mos Gap ที่ผมตั้งไว้)" กับ "เงินปันผลก็พอ" 2 อย่างก็พอจ้า
สำหรับ "เจ้าก้อนสุดท้าย(ของสมการ)" นั้น!!!!!! ผมยกให้จ้าวขอรับ
ผมไม่เอาก็ได้ 555+
เพราะผมคงไม่ซื้อๆขายๆระหว่างทาง
ดังนั้นผมจึงจะไม่มีกำไรจากการแกว่งตัวขึ้นลงในรอบสั้นระหว่างทางอ่ะนะครับ
แต่ยังไงผมยังแอบเชื่อเล็กๆอยู่ว่า...
"เราควรมองภาพใหญ่หรือ Trend และคำนึงถึง mos ให้มากๆ
เพราะถ้ามองภาพเล็ก เราก็จะกลายเป็นแค่สเป็กกูเรเตอร์อ่ะนะ!!!"
ขำๆนะครับ อย่าคิดมากจ้า (^_^)
จากกราฟดังกล่าว เราก็น่าจะพอเขียนสมการได้ดังนี้อ่ะนะขอรับ (ชักจะมั่วไปใหญ่ล่ะตรู)pak เขียน:แบบที่ 3 หุ้นที่มีจ้าวที่และรายใหญ่คอยดูแลอยู่
ผมมองว่า "รายใหญ่(และ Specurator)" ก็เปรียบเสมือนเป็นแค่ "Noise บนเส้นกราฟการลงทุนของเรา" เท่านั้นเอง!!!
ผมขอแค่ "ผลต่างราคา(หรือ mos Gap ที่ผมตั้งไว้)" กับ "เงินปันผลก็พอ" 2 อย่างก็พอจ้า
สำหรับ "เจ้าก้อนสุดท้าย(ของสมการ)" นั้น!!!!!! ผมยกให้จ้าวขอรับ
ผมไม่เอาก็ได้ 555+
เพราะผมคงไม่ซื้อๆขายๆระหว่างทาง
ดังนั้นผมจึงจะไม่มีกำไรจากการแกว่งตัวขึ้นลงในรอบสั้นระหว่างทางอ่ะนะครับ
แต่ยังไงผมยังแอบเชื่อเล็กๆอยู่ว่า...
"เราควรมองภาพใหญ่หรือ Trend และคำนึงถึง mos ให้มากๆ
เพราะถ้ามองภาพเล็ก เราก็จะกลายเป็นแค่สเป็กกูเรเตอร์อ่ะนะ!!!"
ขำๆนะครับ อย่าคิดมากจ้า (^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 42
กระทู้นี้นำมาจาก กระทู้เรื่อง "กลโกงปั่นหุ้น"
ของคุณ เม่าลัลล้า ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 60542.html
ชอบครับ โดยเฉพาะเรื่อง "ใช้คำสั่ง partial publish"
=====================================================
Subject : กลโกงปั่นหุ้น
ไปเจอข้อความดีๆมาครับเลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่าน ยังไงขออนุญาตเจ้าของไว้ตรงนี้เลยนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นฝรั่งหรือหุ้นไทย มันก็ต้องไล่ราคาทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นมันก็ไม่ขึ้นหรอก
แต่ในที่นี้เราจะมุ่งเน้นไปที่หุ้นปั่นก็แล้วกันครับ เพราะหุ้นพวกนี้เป็นอันตรายมากกว่า ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เราจึงต้องรู้เท่าทันเป็นพิเศษ
เดี๋ยวเราตามไปดูพร้อมๆกันดีกว่า ว่าการปั่นหุ้นเขามีกระบวนการอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็น แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพในตลาดหุ้น
ก่อนกระบวนการไล่ราคาเกิดขึ้น กลุ่มปั่นหุ้นก็จะต้องทำการเลือกหุ้นก่อนครับ
ครั้นจะเลือกหุ้นที่มีกองทุนถืออยู่ก็คงไม่ดีแน่ เพราะไล่ๆราคาอยู่กองทุนอาจขายไม้ใหญ่ใส่มาก็ได้ ถ้าราคามันปรับตัวสูงไปกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก
ข้อสำคัญอีกอย่าง คือ ต้องพูดคุยเจรจากับเจ้าของกิจการก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเจอดี เพราะเจ้าของกิจการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีหุ้นให้ขนออกมาขายได้ไม่อั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักจะเห็นความโยงใยของรายใหญ่ในกลุ่มหุ้นที่ร่วมขบวนการอยู่เสมอ หุ้นในกลุ่มเดียวกันเราก็จะเห็นชื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วจากไปพร้อมๆกันในเวลาไม่นานนัก แล้วกลุ่มนี้ก็จะเข้าไปสิงสถิตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอื่นต่อๆไป หรือไม่ก็ส่งคนของแต่ละบริษัทมาถือหุ้นไขว้ไปมาระหว่างบริษัทในกลุ่มก๊วนของตน
โดยมากกลุ่มทำราคาก็มักจะเลือกบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดี เพื่อจะได้ไม่ต้องไปชนกับกองทุนครับ รวมทั้งบริษัทนั้นต้องมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย หรือที่เขาเรียกกันว่ามี Free Float ต่ำด้วย เพื่อที่จะสามารถควบคุมหุ้นได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และยิ่งราคาหุ้นต่ำก็จะยิ่งดี เพราะจะได้รู้สึกว่าถูกในทางจิตวิทยา ล่อคนมาติดกับดักได้ง่าย และยังทำกำไรได้สูงซะด้วย เช่น เงิน 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นราคา 1 บาท ได้ 10 ล้านหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นไปเพียง 1.50 บาท ก็สามารถทำเงินได้แล้วถึง 5 ล้านบาท ซึ่งหากนำเงิน 10 ล้านบาทนี้ ไปซื้อหุ้นบลูชิพราคา 100 บาท จะซื้อได้เพียง 1 แสนหุ้น และหุ้นต้องขึ้นไปถึง 150 บาท จึงจะได้กำไร 5 ล้านบาท
เมื่อได้หุ้นเป้าหมายแล้ว ก็ต้องหาบัญชีตัวแทนล่ะครับ เพื่อนพ้องน้องพี่ ลุงป้าน้าอา คนขับรถ คนสวน ที่เปิดบัญชีรอไว้หลากหลายโบรกเกอร์ จะถูกใช้ชื่อเป็นตัวแทนในการซื้อ ขาย รับโอนหุ้น ระหว่างกัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพื่อให้ยากในการตรวจสอบ กระจายไปมากกว่า 20 บัญชี ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยเลยครับ
เมื่อทุกอย่างพร้อม คราวนี้ก็เริ่มทำการ เก็บ-กด หุ้นสิครับ
การ เก็บ-กด หุ้น เป็นจิตวิทยารายใหญ่รังแกรายย่อย โดยใช้วิธีการวาง offer หนาๆ ไม่ให้ใครกล้าเคาะซื้อขึ้นไป และกดดันให้คนที่มีหุ้นอยู่ รู้สึกว่า ราคาคงจะขึ้นต่อไม่ไหวแล้ว ขายหุ้นลงมาที่ฝั่ง bid ซึ่งกลุ่มทำราคาตั้งราคารอซื้ออยู่ วิธีนี้พบเห็นกันโดยทั่วไปครับ
แต่สำหรับหุ้นในกลุ่ม เดอะซัน หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยลี หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยบี แล้ว โหดกว่านั้น ใช้วิธีการกดหุ้นด้วยวิธีซาดิสต์ หรือที่ในวงการชอบเรียกว่า “ทุบให้อ้วก” โดยให้พรรคพวกตั้ง bid ไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วสั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้ขายโครมลงมาไม้ใหญ่ๆ เขย่าขวัญพวกเรา บล็อกราคา ดองราคาไม่ให้ไปไหน มีกด มีทุบ สักระยะหนึ่ง เดี๋ยวรายย่อยก็จะขายทิ้งลงมาให้เองครับ
ช่วงหลังนี้ เขาพัฒนาไปถึงขั้นใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย ทำเหมือนๆจะไป ไล่ซื้อหุ้นให้ราคาวิ่งขึ้นไปถึงแนวต้าน ซื้อรวดเดียวแบบกวาดมาจนเกลี้ยง แล้วทิ้งโครมลงมาในลักษณะ “ทุบให้อ้วก” จนเกิด Sell signal เพื่อสั่งลา ว่าหุ้นตัวนี้ไปไม่รอดแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้มวลชนทั้งหลายที่หลงซื้อหุ้นนั้นเข้าไป เซ็งกันไปเอง ขายขาดทุนบ้าง ขายเท่าทุนบ้าง ส่วนกลุ่มทำราคาก็ย้ายไปเล่นตัวอื่นพลางๆก่อน เพื่อให้มวลชนที่ถือหุ้นนี้อยู่ เกิดอาการสิ้นหวังกันถ้วนหน้า
กระบวนการ เก็บ-กด และ ทุบให้อ้วก นี้ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือ เป็นเดือนเลยล่ะครับ เพื่อเรียกของคืนมาจนกว่าจะครบตามที่ต้องการ
ในช่วงของการกด-เก็บหุ้น ปริมาณการซื้อขายจะมากขึ้นผิดสังเกตครับ มีซื้อๆขายๆ แต่ราคาไม่ขยับ หรือ ขยับก็ขยับไม่มาก หรือ บางครั้งขยับลงอีกต่างหาก เพื่อกดดันให้ผู้มีหุ้นอยู่รู้สึกว่า แรงขายมีเยอะจัง ราคาไม่ไปไหนเลย แล้วขายหุ้นทิ้งลงมา
เมื่อได้หุ้นครบแล้ว เขาจะนั่งรอเวลาระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตครับ แล้วจึงค่อยไล่ราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่ไล่ราคาขึ้น ก็จะมีการเชิญนักวิเคราะห์ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ ออกข่าวดี เรื่องรายได้ พันธมิตร หรือ อาจจะเลยเถิดไปถึงขนาดปล่อยข่าวลือต่างๆนานาไปเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้มวลชนเชื่อว่าหุ้นกำลังจะมีแนวโน้มที่ดี
แล้วจะทำยังไงล่ะครับ เพื่อจะเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวดีนั้น ก็ต้องไล่ราคาโชว์ซิครับ ด้วยการเคาะซื้อครั้งละมากๆ รวบทีละ 2-3 แถว แบบเว่อร์ๆหน่อย ก็กินรวบไม่แบ่งใครเลย 5-6 แถวก็มี
คราวนี้ความมั่นใจก็มา การแย่งกันซื้อแบบไม่เกี่ยงราคาก็เกิดขึ้น
ถ้าหุ้นนั้นพื้นฐานแย่หน่อย หรือ กลุ่มทำราคากลุ่มเล็ก เกมส์ก็มักจะจบไวครับ แต่บางกรณีที่กลุ่มทำราคาเป็นกลุ่มใหญ่ การลากราคานั้นอาจจะยาวนาน เพื่อให้ราคาขึ้นไปสุดโต่งเท่าที่จะเป็นไปได้
กลวิธีระหว่างไล่ราคานี้ ก็น่าเกลียดพอประมาณครับ ตั้งขายไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อเอง เมื่อซื้อได้แล้วก็จะสั่งโบรกเกอร์ให้ตั้งขายในราคาที่สูงขึ้น แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อตาม
ตลาดหลักทรัพย์ตรวจได้ไม่ยากครับ ถ้าอยากจะตรวจจริงจัง ใครที่ซื้อแพงแล้วขายถูก แล้วก็ไปไล่ซื้อที่แพงกว่า แล้วก็ขายถูกอีกครั้งแล้วครั้งเล่า และซื้อขายทีไม้ใหญ่ๆ ก็นั่นแหละ แก๊งค์ปั่นหุ้น
เมื่อหุ้นขึ้นมาใกล้ราคาเป้าหมายแล้ว ไม่รู้เป็นไง สื่อและหนังสือพิมพ์ มักจะออกมาเชียร์เรื่อย ช่วงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มทยอยขายหุ้น
แต่เนื่องจากหุ้นมันมีเยอะนะครับ ขายลำบาก ก็ต้องเรียกแขกเข้ามาร่วมแจม
วิธีเรียกแขก ก็จะใช้วิธีเดิมครับ เคาะซื้อของตัวเองที่ตั้งขายไว้ที่อีกโบรกเกอร์หนึ่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลายๆระดับราคา มีโชว์เคาะซื้อเคาะขายสลับไปมา ครั้งละหลายแสนหลายล้านหุ้น เพื่อให้ดูคึกคักเป็นที่สนใจของมวลชน เมื่อมวลชนเห็นว่าหุ้นตัวนี้ วิ่งดี น่าจะทำกำไรได้งาม ก็จะแห่เข้ามาเคาะซื้อสนุกสนานพร้อมความหวังรวยเร็ว
ตรงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มตั้งขายที่ฝั่ง offer ในแต่ละช่วงราคา พร้อมๆกับตั้ง bid หนาๆ เพื่อจูงใจให้รายย่อยเคาะซื้อเนื่องจากเห็นว่า ขืนตั้งรอซื้อจะไม่ได้ของ
ระหว่างนี้อาจมีเคาะซื้อนำไม้เล็กๆ ต่อเนื่องกัน เพื่อจูงใจให้รายย่อยแห่เคาะซื้อตาม เมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมด รายใหญ่จะขนหุ้นมาเติมขาย และอาจมีเคาะซื้อหุ้นที่ตัวเองวางขายไว้ที่โบรกเกอร์อื่นสลับเป็นระยะด้วยครับ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหุ้นนั้นยังมีแรงซื้อมากอยู่
แต่พอซื้อเสร็จ ก็ขนหุ้นที่เพิ่งซื้อนะแหละ มาวางขายอีกที่ฝั่ง offer อีก หลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็จะถูกเปลี่ยนมือไปอย่างเงียบๆ มวลชนก็จะเริ่มครอบครองหุ้นเกือบทั้งหมดของรายใหญ่ในเวลาต่อมา
ส่วนรายย่อยที่ยังไม่เคาะซื้อก็จะตั้ง bid รอ ใช่ไหมครับ พอรายย่อย bid รอ รายใหญ่ก็จะค่อยๆถอน bid ออก แล้วตั้งซื้อใหม่เพื่อดันให้รายย่อยได้คิวซื้อก่อน
เมื่อ bid ที่เหลืออยู่ มีแต่คำสั่งซื้อของรายย่อยที่หนาแน่นพอแล้ว รายใหญ่ก็จะเทขายลงมา และขายต่อเนื่องลงมาเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดพอร์ต
ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าบทนี้เป็นการเปิดโปงเพื่อให้รู้ทันเกมปั่นหุ้น ไม่ได้สนับสนุนการผิดศีลทำบาป ไม่ได้สนับสนุนการลักทรัพย์ ไม่ได้สนับสนุนการมุสาฯ แต่ประการใด แต่ต้องการสื่อให้เห็นไม่เผลอไปเล่นในเกมของเขา เพื่อเราจะได้ไม่หลงทางไปเป็นเหยื่อ
มาถึงตรงนี้ ก็อดที่จะพูดถึง "การไล่ราคาวอแร้นท์" และ "การซ่อนออร์เดอร์ไม่ได้"
เริ่มจากการไล่ราคาวอแร้นท์ก่อนแล้วกันครับ
หุ้นเก็งกำไรหลายๆตัว ก็มีวอแร้นท์ และหลายๆครั้งที่คนทำราคาจะเอาหุ้นตัวแม่และวอแร้นท์ขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยไม่ให้ใครได้ทันสังเกตเห็น
เมื่อสะสมหุ้นและวอแร้นท์ได้มากพอ ก็จะลากวอแร้นท์ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะราคาถูกกว่า ใช้เงินน้อยกว่า
เมื่อลากวอแร้นท์ขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะลากหุ้นแม่ขึ้นไป พร้อมๆกับวางขายวอแร้นท์ เพราะนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ เมื่อเห็นหุ้นแม่ขึ้น ก็เชื่อว่าวอแร้นท์จะขึ้นตาม แต่หารู้ไม่ว่าเขาวางขายวอแร้นท์กันแล้ว
ตบท้ายแล้วนะ จะเปิดโปงเรื่องการซ่อนออร์เดอร์หน่อย
ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผิดพลาดกันได้ครับ แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถทำให้ลดน้อยลงไปได้ด้วยความช่างสังเกตครับ
การตั้งซ่อนออร์เดอร์เพื่อหลอกซื้อของ มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวรับ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่พอดี ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้ที่มีต้นทุนต่ำมักจะยอมขายทิ้งลงมา ก่อนที่ราคาจะหลุดแนวรับลงไป หรือไม่ก็มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวต้านพอดี ให้เราลุ้นเล่นว่าจะ Breakout ผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ พอเราเห็นว่ามันคงไปไม่ไหวแล้ว เราก็จะขายลงมา จากนั้นไม่นานเขาก็จะลากผ่านแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครกล้าตาม
เราไปดูการเล่นกับจิตวิทยามวลชนด้วยวิธี Partial Publish กันครับ
หากรายใหญ่ต้องการให้มวลชนขายลงมา เขาก็จะขนหุ้นมาวางขายที่ฝั่ง Offer หนาๆ แล้วตั้ง bid น้อยๆให้เราหวาดเสียวเล่น หรือไม่ก็ใช้ กลวิธี “ทุบให้อ๊วก” ตามแต่ความซาดิสต์ที่มีในจิตใจ
แต่เมื่อราคาไหลหรือดิ่งลงไป ณ ระดับราคาหนึ่งแล้ว รายใหญ่เหล่านั้นก็จะสั่งตั้งซื้อแบบซ่อนออร์เดอร์ ที่ฝั่ง bid ด้วยการตั้งซื้อหุ้นจำนวนมาก แต่ใช้คำสั่ง partial publish ทีละน้อยๆ เช่น สั่ง bid ซื้อหุ้นช่องละ 1 ล้านหุ้น แต่ให้เห็นทีละ 40,000 หุ้น
แหม พอเราเห็นฝั่ง offer หนาๆ ขนาดหลายล้านหุ้นขวางอยู่ ขณะที่ bid เหลือแค่ 40,000 หุ้น เราก็รีบขายซิครับ ก่อนที่ราคานั้นจะมีคนชิงขายลงมาก่อน แต่มันก็น่าแปลก พอเราขายลงมา 40,000 หุ้น มันก็โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 40,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 80,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น 2 ครั้ง ติดกัน พอเราหยุดขาย มันก็ยังคงรอเราที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น แบบไม่สะทกสะท้านแรงขาย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะขายหุ้น 2-3 ล้านหุ้น ท่านจะเอามาวางโชว์ที่ฝั่ง offer ไหมครับ ถ้าท่านแสดงให้คนอื่นเห็นว่าท่านอยากขาย 2-3 ล้านหุ้น แล้วใครจะไปเคาะซื้อล่ะครับ
และใครกันหนอจะรับซื้อที่ฝั่ง bid ได้ไม่อั้นขนาดนั้น ใครขายมาเท่าไหร่ รับซื้อหมดเลย แสดงว่าคนที่รับซื้อไม่อั้นคนนั้น เขาต้องมั่นใจสูงเลยใช่ไหมครับว่าราคาจะวิ่งแน่ เพราะถ้าเป็นคนปกติ เขาไม่ซื้อหรอก ถ้าแรงขายยังขายทิ้งลงมาเรื่อยๆ
ถ้าท่านเห็นแบบนี้ ต้องหยุดขาย หรือ หาจังหวะซื้อคืนแล้วนะครับ พลาดแล้วล่ะ เขากำลังตั้งโต๊ะซื้อของอยู่ และเมื่อไม่มีใครขายลงมาให้แล้ว อีกไม่นาน เขาจะกวาดรวบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
พอวิธีนี้เริ่มมีคนสังเกตเห็น รายใหญ่เลยพัฒนาวิธีใหม่ ด้วยการย้าย partial publish มาที่ฝั่ง offer แทน พร้อมๆกับ ทยอยตั้งรับ ที่ฝั่ง bid ด้วย จากนั้นก็เคาะซื้อของตัวเองไปเรื่อยๆ ที่ฝั่ง offer เพื่อให้ใครๆเห็นว่า นี่เป็น partial publish นะ มีออร์เดอร์ซ่อนขายที่ฝั่ง offer นะ น่ากลัวนะ
พอเขาเคาะซื้อ 100,000 หุ้น โห partial publish ไหลมาให้เห็น 20 รายการๆละ 5,000 หุ้น เลยแหะ อีกสักพัก เขาก็เคาะซื้ออีก 200,000 หุ้น partial publish ก็จะโชว์ให้เห็นมา 40 รายการๆละ 5,000 หุ้น ว่าไง ว่าไง กลัวไหม มีออร์เดอร์ซ่อนขายอยู่นะ
พอเราเห็นว่า เคาะซื้อฝั่ง offer เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที แถมซ่อนออร์เดอร์ซะด้วย ด้วยความรู้เท่าทัน เราก็จะขายโครมลงมาที่ฝั่ง bid แหะๆๆ เสร็จเขาเลยล่ะครับ เขาได้ของไปแล้ว พอฝั่ง bid จะหมด เขาก็เติม bid อีก ขายมาเท่าไหร่ ฝั่ง bid ก็ไม่หมดซะที ไอ้ที่เราขายไปแล้ว นั่งรอทั้งวัน ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะซื้อหุ้นจำนวนมาก ท่านเห็นว่าฝั่ง offer หนาขนาดนั้น เคาะไม่ผ่านสักที ท่านจำเป็นจะต้องรีบตั้ง bid มาจ่อแบบนี้ไหมครับ ทำไมฝั่ง offer ไมผ่าน แต่ฝั่ง bid ก็ไม่หลุดล่ะ ถ้าไม่มีคนตั้งโต๊ะรอซื้อไม่อั้นที่ฝั่ง bid
แต่ถ้า Offer ไม่ผ่าน ฝั่ง bid ก็ไหลรูด ตัวใครตัวมันล่ะกันนะครับ
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวางนะครับ
ที่มา : ThaiDayTrade
ของคุณ เม่าลัลล้า ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 60542.html
ชอบครับ โดยเฉพาะเรื่อง "ใช้คำสั่ง partial publish"
=====================================================
Subject : กลโกงปั่นหุ้น
ไปเจอข้อความดีๆมาครับเลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่าน ยังไงขออนุญาตเจ้าของไว้ตรงนี้เลยนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นฝรั่งหรือหุ้นไทย มันก็ต้องไล่ราคาทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นมันก็ไม่ขึ้นหรอก
แต่ในที่นี้เราจะมุ่งเน้นไปที่หุ้นปั่นก็แล้วกันครับ เพราะหุ้นพวกนี้เป็นอันตรายมากกว่า ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เราจึงต้องรู้เท่าทันเป็นพิเศษ
เดี๋ยวเราตามไปดูพร้อมๆกันดีกว่า ว่าการปั่นหุ้นเขามีกระบวนการอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็น แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพในตลาดหุ้น
ก่อนกระบวนการไล่ราคาเกิดขึ้น กลุ่มปั่นหุ้นก็จะต้องทำการเลือกหุ้นก่อนครับ
ครั้นจะเลือกหุ้นที่มีกองทุนถืออยู่ก็คงไม่ดีแน่ เพราะไล่ๆราคาอยู่กองทุนอาจขายไม้ใหญ่ใส่มาก็ได้ ถ้าราคามันปรับตัวสูงไปกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก
ข้อสำคัญอีกอย่าง คือ ต้องพูดคุยเจรจากับเจ้าของกิจการก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเจอดี เพราะเจ้าของกิจการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีหุ้นให้ขนออกมาขายได้ไม่อั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักจะเห็นความโยงใยของรายใหญ่ในกลุ่มหุ้นที่ร่วมขบวนการอยู่เสมอ หุ้นในกลุ่มเดียวกันเราก็จะเห็นชื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วจากไปพร้อมๆกันในเวลาไม่นานนัก แล้วกลุ่มนี้ก็จะเข้าไปสิงสถิตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอื่นต่อๆไป หรือไม่ก็ส่งคนของแต่ละบริษัทมาถือหุ้นไขว้ไปมาระหว่างบริษัทในกลุ่มก๊วนของตน
โดยมากกลุ่มทำราคาก็มักจะเลือกบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดี เพื่อจะได้ไม่ต้องไปชนกับกองทุนครับ รวมทั้งบริษัทนั้นต้องมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย หรือที่เขาเรียกกันว่ามี Free Float ต่ำด้วย เพื่อที่จะสามารถควบคุมหุ้นได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และยิ่งราคาหุ้นต่ำก็จะยิ่งดี เพราะจะได้รู้สึกว่าถูกในทางจิตวิทยา ล่อคนมาติดกับดักได้ง่าย และยังทำกำไรได้สูงซะด้วย เช่น เงิน 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นราคา 1 บาท ได้ 10 ล้านหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นไปเพียง 1.50 บาท ก็สามารถทำเงินได้แล้วถึง 5 ล้านบาท ซึ่งหากนำเงิน 10 ล้านบาทนี้ ไปซื้อหุ้นบลูชิพราคา 100 บาท จะซื้อได้เพียง 1 แสนหุ้น และหุ้นต้องขึ้นไปถึง 150 บาท จึงจะได้กำไร 5 ล้านบาท
เมื่อได้หุ้นเป้าหมายแล้ว ก็ต้องหาบัญชีตัวแทนล่ะครับ เพื่อนพ้องน้องพี่ ลุงป้าน้าอา คนขับรถ คนสวน ที่เปิดบัญชีรอไว้หลากหลายโบรกเกอร์ จะถูกใช้ชื่อเป็นตัวแทนในการซื้อ ขาย รับโอนหุ้น ระหว่างกัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพื่อให้ยากในการตรวจสอบ กระจายไปมากกว่า 20 บัญชี ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยเลยครับ
เมื่อทุกอย่างพร้อม คราวนี้ก็เริ่มทำการ เก็บ-กด หุ้นสิครับ
การ เก็บ-กด หุ้น เป็นจิตวิทยารายใหญ่รังแกรายย่อย โดยใช้วิธีการวาง offer หนาๆ ไม่ให้ใครกล้าเคาะซื้อขึ้นไป และกดดันให้คนที่มีหุ้นอยู่ รู้สึกว่า ราคาคงจะขึ้นต่อไม่ไหวแล้ว ขายหุ้นลงมาที่ฝั่ง bid ซึ่งกลุ่มทำราคาตั้งราคารอซื้ออยู่ วิธีนี้พบเห็นกันโดยทั่วไปครับ
แต่สำหรับหุ้นในกลุ่ม เดอะซัน หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยลี หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยบี แล้ว โหดกว่านั้น ใช้วิธีการกดหุ้นด้วยวิธีซาดิสต์ หรือที่ในวงการชอบเรียกว่า “ทุบให้อ้วก” โดยให้พรรคพวกตั้ง bid ไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วสั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้ขายโครมลงมาไม้ใหญ่ๆ เขย่าขวัญพวกเรา บล็อกราคา ดองราคาไม่ให้ไปไหน มีกด มีทุบ สักระยะหนึ่ง เดี๋ยวรายย่อยก็จะขายทิ้งลงมาให้เองครับ
ช่วงหลังนี้ เขาพัฒนาไปถึงขั้นใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย ทำเหมือนๆจะไป ไล่ซื้อหุ้นให้ราคาวิ่งขึ้นไปถึงแนวต้าน ซื้อรวดเดียวแบบกวาดมาจนเกลี้ยง แล้วทิ้งโครมลงมาในลักษณะ “ทุบให้อ้วก” จนเกิด Sell signal เพื่อสั่งลา ว่าหุ้นตัวนี้ไปไม่รอดแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้มวลชนทั้งหลายที่หลงซื้อหุ้นนั้นเข้าไป เซ็งกันไปเอง ขายขาดทุนบ้าง ขายเท่าทุนบ้าง ส่วนกลุ่มทำราคาก็ย้ายไปเล่นตัวอื่นพลางๆก่อน เพื่อให้มวลชนที่ถือหุ้นนี้อยู่ เกิดอาการสิ้นหวังกันถ้วนหน้า
กระบวนการ เก็บ-กด และ ทุบให้อ้วก นี้ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือ เป็นเดือนเลยล่ะครับ เพื่อเรียกของคืนมาจนกว่าจะครบตามที่ต้องการ
ในช่วงของการกด-เก็บหุ้น ปริมาณการซื้อขายจะมากขึ้นผิดสังเกตครับ มีซื้อๆขายๆ แต่ราคาไม่ขยับ หรือ ขยับก็ขยับไม่มาก หรือ บางครั้งขยับลงอีกต่างหาก เพื่อกดดันให้ผู้มีหุ้นอยู่รู้สึกว่า แรงขายมีเยอะจัง ราคาไม่ไปไหนเลย แล้วขายหุ้นทิ้งลงมา
เมื่อได้หุ้นครบแล้ว เขาจะนั่งรอเวลาระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตครับ แล้วจึงค่อยไล่ราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่ไล่ราคาขึ้น ก็จะมีการเชิญนักวิเคราะห์ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ ออกข่าวดี เรื่องรายได้ พันธมิตร หรือ อาจจะเลยเถิดไปถึงขนาดปล่อยข่าวลือต่างๆนานาไปเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้มวลชนเชื่อว่าหุ้นกำลังจะมีแนวโน้มที่ดี
แล้วจะทำยังไงล่ะครับ เพื่อจะเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวดีนั้น ก็ต้องไล่ราคาโชว์ซิครับ ด้วยการเคาะซื้อครั้งละมากๆ รวบทีละ 2-3 แถว แบบเว่อร์ๆหน่อย ก็กินรวบไม่แบ่งใครเลย 5-6 แถวก็มี
คราวนี้ความมั่นใจก็มา การแย่งกันซื้อแบบไม่เกี่ยงราคาก็เกิดขึ้น
ถ้าหุ้นนั้นพื้นฐานแย่หน่อย หรือ กลุ่มทำราคากลุ่มเล็ก เกมส์ก็มักจะจบไวครับ แต่บางกรณีที่กลุ่มทำราคาเป็นกลุ่มใหญ่ การลากราคานั้นอาจจะยาวนาน เพื่อให้ราคาขึ้นไปสุดโต่งเท่าที่จะเป็นไปได้
กลวิธีระหว่างไล่ราคานี้ ก็น่าเกลียดพอประมาณครับ ตั้งขายไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อเอง เมื่อซื้อได้แล้วก็จะสั่งโบรกเกอร์ให้ตั้งขายในราคาที่สูงขึ้น แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อตาม
ตลาดหลักทรัพย์ตรวจได้ไม่ยากครับ ถ้าอยากจะตรวจจริงจัง ใครที่ซื้อแพงแล้วขายถูก แล้วก็ไปไล่ซื้อที่แพงกว่า แล้วก็ขายถูกอีกครั้งแล้วครั้งเล่า และซื้อขายทีไม้ใหญ่ๆ ก็นั่นแหละ แก๊งค์ปั่นหุ้น
เมื่อหุ้นขึ้นมาใกล้ราคาเป้าหมายแล้ว ไม่รู้เป็นไง สื่อและหนังสือพิมพ์ มักจะออกมาเชียร์เรื่อย ช่วงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มทยอยขายหุ้น
แต่เนื่องจากหุ้นมันมีเยอะนะครับ ขายลำบาก ก็ต้องเรียกแขกเข้ามาร่วมแจม
วิธีเรียกแขก ก็จะใช้วิธีเดิมครับ เคาะซื้อของตัวเองที่ตั้งขายไว้ที่อีกโบรกเกอร์หนึ่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลายๆระดับราคา มีโชว์เคาะซื้อเคาะขายสลับไปมา ครั้งละหลายแสนหลายล้านหุ้น เพื่อให้ดูคึกคักเป็นที่สนใจของมวลชน เมื่อมวลชนเห็นว่าหุ้นตัวนี้ วิ่งดี น่าจะทำกำไรได้งาม ก็จะแห่เข้ามาเคาะซื้อสนุกสนานพร้อมความหวังรวยเร็ว
ตรงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มตั้งขายที่ฝั่ง offer ในแต่ละช่วงราคา พร้อมๆกับตั้ง bid หนาๆ เพื่อจูงใจให้รายย่อยเคาะซื้อเนื่องจากเห็นว่า ขืนตั้งรอซื้อจะไม่ได้ของ
ระหว่างนี้อาจมีเคาะซื้อนำไม้เล็กๆ ต่อเนื่องกัน เพื่อจูงใจให้รายย่อยแห่เคาะซื้อตาม เมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมด รายใหญ่จะขนหุ้นมาเติมขาย และอาจมีเคาะซื้อหุ้นที่ตัวเองวางขายไว้ที่โบรกเกอร์อื่นสลับเป็นระยะด้วยครับ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหุ้นนั้นยังมีแรงซื้อมากอยู่
แต่พอซื้อเสร็จ ก็ขนหุ้นที่เพิ่งซื้อนะแหละ มาวางขายอีกที่ฝั่ง offer อีก หลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็จะถูกเปลี่ยนมือไปอย่างเงียบๆ มวลชนก็จะเริ่มครอบครองหุ้นเกือบทั้งหมดของรายใหญ่ในเวลาต่อมา
ส่วนรายย่อยที่ยังไม่เคาะซื้อก็จะตั้ง bid รอ ใช่ไหมครับ พอรายย่อย bid รอ รายใหญ่ก็จะค่อยๆถอน bid ออก แล้วตั้งซื้อใหม่เพื่อดันให้รายย่อยได้คิวซื้อก่อน
เมื่อ bid ที่เหลืออยู่ มีแต่คำสั่งซื้อของรายย่อยที่หนาแน่นพอแล้ว รายใหญ่ก็จะเทขายลงมา และขายต่อเนื่องลงมาเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดพอร์ต
ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าบทนี้เป็นการเปิดโปงเพื่อให้รู้ทันเกมปั่นหุ้น ไม่ได้สนับสนุนการผิดศีลทำบาป ไม่ได้สนับสนุนการลักทรัพย์ ไม่ได้สนับสนุนการมุสาฯ แต่ประการใด แต่ต้องการสื่อให้เห็นไม่เผลอไปเล่นในเกมของเขา เพื่อเราจะได้ไม่หลงทางไปเป็นเหยื่อ
มาถึงตรงนี้ ก็อดที่จะพูดถึง "การไล่ราคาวอแร้นท์" และ "การซ่อนออร์เดอร์ไม่ได้"
เริ่มจากการไล่ราคาวอแร้นท์ก่อนแล้วกันครับ
หุ้นเก็งกำไรหลายๆตัว ก็มีวอแร้นท์ และหลายๆครั้งที่คนทำราคาจะเอาหุ้นตัวแม่และวอแร้นท์ขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยไม่ให้ใครได้ทันสังเกตเห็น
เมื่อสะสมหุ้นและวอแร้นท์ได้มากพอ ก็จะลากวอแร้นท์ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะราคาถูกกว่า ใช้เงินน้อยกว่า
เมื่อลากวอแร้นท์ขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะลากหุ้นแม่ขึ้นไป พร้อมๆกับวางขายวอแร้นท์ เพราะนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ เมื่อเห็นหุ้นแม่ขึ้น ก็เชื่อว่าวอแร้นท์จะขึ้นตาม แต่หารู้ไม่ว่าเขาวางขายวอแร้นท์กันแล้ว
ตบท้ายแล้วนะ จะเปิดโปงเรื่องการซ่อนออร์เดอร์หน่อย
ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผิดพลาดกันได้ครับ แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถทำให้ลดน้อยลงไปได้ด้วยความช่างสังเกตครับ
การตั้งซ่อนออร์เดอร์เพื่อหลอกซื้อของ มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวรับ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่พอดี ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้ที่มีต้นทุนต่ำมักจะยอมขายทิ้งลงมา ก่อนที่ราคาจะหลุดแนวรับลงไป หรือไม่ก็มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวต้านพอดี ให้เราลุ้นเล่นว่าจะ Breakout ผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ พอเราเห็นว่ามันคงไปไม่ไหวแล้ว เราก็จะขายลงมา จากนั้นไม่นานเขาก็จะลากผ่านแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครกล้าตาม
เราไปดูการเล่นกับจิตวิทยามวลชนด้วยวิธี Partial Publish กันครับ
หากรายใหญ่ต้องการให้มวลชนขายลงมา เขาก็จะขนหุ้นมาวางขายที่ฝั่ง Offer หนาๆ แล้วตั้ง bid น้อยๆให้เราหวาดเสียวเล่น หรือไม่ก็ใช้ กลวิธี “ทุบให้อ๊วก” ตามแต่ความซาดิสต์ที่มีในจิตใจ
แต่เมื่อราคาไหลหรือดิ่งลงไป ณ ระดับราคาหนึ่งแล้ว รายใหญ่เหล่านั้นก็จะสั่งตั้งซื้อแบบซ่อนออร์เดอร์ ที่ฝั่ง bid ด้วยการตั้งซื้อหุ้นจำนวนมาก แต่ใช้คำสั่ง partial publish ทีละน้อยๆ เช่น สั่ง bid ซื้อหุ้นช่องละ 1 ล้านหุ้น แต่ให้เห็นทีละ 40,000 หุ้น
แหม พอเราเห็นฝั่ง offer หนาๆ ขนาดหลายล้านหุ้นขวางอยู่ ขณะที่ bid เหลือแค่ 40,000 หุ้น เราก็รีบขายซิครับ ก่อนที่ราคานั้นจะมีคนชิงขายลงมาก่อน แต่มันก็น่าแปลก พอเราขายลงมา 40,000 หุ้น มันก็โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 40,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 80,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น 2 ครั้ง ติดกัน พอเราหยุดขาย มันก็ยังคงรอเราที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น แบบไม่สะทกสะท้านแรงขาย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะขายหุ้น 2-3 ล้านหุ้น ท่านจะเอามาวางโชว์ที่ฝั่ง offer ไหมครับ ถ้าท่านแสดงให้คนอื่นเห็นว่าท่านอยากขาย 2-3 ล้านหุ้น แล้วใครจะไปเคาะซื้อล่ะครับ
และใครกันหนอจะรับซื้อที่ฝั่ง bid ได้ไม่อั้นขนาดนั้น ใครขายมาเท่าไหร่ รับซื้อหมดเลย แสดงว่าคนที่รับซื้อไม่อั้นคนนั้น เขาต้องมั่นใจสูงเลยใช่ไหมครับว่าราคาจะวิ่งแน่ เพราะถ้าเป็นคนปกติ เขาไม่ซื้อหรอก ถ้าแรงขายยังขายทิ้งลงมาเรื่อยๆ
ถ้าท่านเห็นแบบนี้ ต้องหยุดขาย หรือ หาจังหวะซื้อคืนแล้วนะครับ พลาดแล้วล่ะ เขากำลังตั้งโต๊ะซื้อของอยู่ และเมื่อไม่มีใครขายลงมาให้แล้ว อีกไม่นาน เขาจะกวาดรวบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
พอวิธีนี้เริ่มมีคนสังเกตเห็น รายใหญ่เลยพัฒนาวิธีใหม่ ด้วยการย้าย partial publish มาที่ฝั่ง offer แทน พร้อมๆกับ ทยอยตั้งรับ ที่ฝั่ง bid ด้วย จากนั้นก็เคาะซื้อของตัวเองไปเรื่อยๆ ที่ฝั่ง offer เพื่อให้ใครๆเห็นว่า นี่เป็น partial publish นะ มีออร์เดอร์ซ่อนขายที่ฝั่ง offer นะ น่ากลัวนะ
พอเขาเคาะซื้อ 100,000 หุ้น โห partial publish ไหลมาให้เห็น 20 รายการๆละ 5,000 หุ้น เลยแหะ อีกสักพัก เขาก็เคาะซื้ออีก 200,000 หุ้น partial publish ก็จะโชว์ให้เห็นมา 40 รายการๆละ 5,000 หุ้น ว่าไง ว่าไง กลัวไหม มีออร์เดอร์ซ่อนขายอยู่นะ
พอเราเห็นว่า เคาะซื้อฝั่ง offer เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที แถมซ่อนออร์เดอร์ซะด้วย ด้วยความรู้เท่าทัน เราก็จะขายโครมลงมาที่ฝั่ง bid แหะๆๆ เสร็จเขาเลยล่ะครับ เขาได้ของไปแล้ว พอฝั่ง bid จะหมด เขาก็เติม bid อีก ขายมาเท่าไหร่ ฝั่ง bid ก็ไม่หมดซะที ไอ้ที่เราขายไปแล้ว นั่งรอทั้งวัน ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะซื้อหุ้นจำนวนมาก ท่านเห็นว่าฝั่ง offer หนาขนาดนั้น เคาะไม่ผ่านสักที ท่านจำเป็นจะต้องรีบตั้ง bid มาจ่อแบบนี้ไหมครับ ทำไมฝั่ง offer ไมผ่าน แต่ฝั่ง bid ก็ไม่หลุดล่ะ ถ้าไม่มีคนตั้งโต๊ะรอซื้อไม่อั้นที่ฝั่ง bid
แต่ถ้า Offer ไม่ผ่าน ฝั่ง bid ก็ไหลรูด ตัวใครตัวมันล่ะกันนะครับ
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวางนะครับ
ที่มา : ThaiDayTrade
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 43
Blog นี้ดีครับ เป็นของคุณ zebrablues
แห่งห้อง Pantip.com
เป็นการรวบรวมบทความเรื่อง "กูรูหุ้นพันล้าน" ของ เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงษ์
ผมชอบอ่านอีกด้านหนึ่งที่อยู่บนโลกแห่งการลงทุนด้วยอ่ะนะขอรับ
ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =6&gblog=1
แห่งห้อง Pantip.com
เป็นการรวบรวมบทความเรื่อง "กูรูหุ้นพันล้าน" ของ เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงษ์
ผมชอบอ่านอีกด้านหนึ่งที่อยู่บนโลกแห่งการลงทุนด้วยอ่ะนะขอรับ
ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =6&gblog=1
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 44
เว็บนี้ก็ดีครับ รวบรวมบทความไว้เพียบเลย
ว่างๆนั่งอ่านเล่นเพลินๆครับ ที่ http://www.thaispeculator.com/secret-co ... lling.html
ตัวอย่าง เช่น...
=======================================================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #10 กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ
“หุ้นเก็งกำไรทุกวันนี้คุณอย่าคิดว่าหมูนะ เขาไม่ลากยาวให้พวกคุณมากินเงินเขาฟรีๆหรอก ถ้าคุณจะเก็งกำไร คุณต้องใช้ “ทฤษฎีปิงปอง” คุณท่องไว้ “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” ……… เซียนหุ้นร้อยล้านท่านหนึ่งเผยเคล็ดลับ ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ให้ฟัง
ทำไมเซียนหุ้นท่านนี้ ถึงระบุว่าในอดีตหากเราซื้อหุ้นตัวไหนแล้วมันวิ่งเราถือยาวได้เลย แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นมาต้องขาย แล้วค่อยรอรับใหม่ด้านล่าง เดี๋ยวไปดูกลวิธีของรายใหญ่พร้อมๆกันครับ
ทุกวันนี้เขาพัฒนาแล้วครับ เขาใช้ทีมงาน เขาเอาเทรดเดอร์ที่เก่งกราฟและเก่งจิตวิทยาการลงทุนมาทำหน้าที่แทน และทำแบบทีมพันธมิตร ไม่ใช่หุ้นใครหุ้นมันเหมือนก่อน
หมดยุคเถ้าแก่ใช้แต่กำลังเงินแล้วครับ เพราะวิธีลากยาวแบบเก่ามันใช้เงินเยอะ ไม่มีประสิทธิภาพ เลยต้องเอาเซียนกราฟมาสร้างกราฟหลอกล่อให้เราซื้อ ให้เราถือ ให้เราขาย ให้เรากระทำไปในทิศทางที่เขาต้องการให้เราเป็น เพื่อประสิทธิภาพในการใช้กำลังเงิน
ทุกวันนี้แนวรับแนวต้านใครๆก็รู้พอๆกัน แต่โวลุ่มเทรดนี่สิ จะเป็นตัวยืนยันว่าขึ้นจริงหรือลงจริง หรือไม่
กรณีราคาขึ้นและมีโวลุ่มเข้า จะยิ่งเป็นการยืนยันการขึ้น แบบนี้ต้องซื้อ
ถ้าโวลุ่มเข้าแต่ราคานิ่งนานเกินไป ต้องหยุดดูทีท่าก่อนล่ะ อย่าไปเคาะขวาซื้อเพลิน เพราะอาจอยู่ระหว่างการรินขายเติมขายไม่หยุดหย่อนก็ได้
แต่ถ้าราคาไหลลงพร้อมๆกับโวลุ่มเข้ามามากแบบนี้ ต้องขายหนีตายก่อนล่ะครับ
ก่อนจะเข้าเรื่อง ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ เดี๋ยวคงต้องขยายความสักหน่อย คำว่า โวลุ่มเข้า ไม่ได้หมายถึง การดูว่าวันนี้ซื้อไปแล้วเท่าไหร่ ขายไปแล้วเท่าไหร่นะครับ ขืนไปดูว่าวันนี้ มีเคาะซื้อหรือเคาะขายมากกว่ากัน โดนหลอกเละเทะแน่
คำว่า โวลุ่มเข้า ในที่นี้ หมายถึง โวลุ่มเทรดรวม เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 3 หรือ 5 วันทำการย้อนหลังนะครับ
ถ้าโวลุ่มไม่เข้า แปลว่า เขายังไม่มา มีแต่พวกเราโซ้ยกันเอง
ดังนั้นหากเราเห็นราคาหุ้นขยับขึ้น แต่เทรดกันไปเพียง 2 แสนหุ้น ก็ให้คิดไว้เหอะว่า เราๆท่านๆนะแหละ ไล่ซื้อกันเอง อย่างนี้ไปไม่ได้กี่น้ำหรอกครับ
เอาล่ะ เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า “โวลุ่มเข้า” ตรงกันแล้ว เราจะเข้าเรื่องต่อ
ในเมื่อทุกวันนี้เขาใช้กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ดังนั้นเราก็ควรจะเทรดไปตามแนวโน้มที่มันกำลังจะไปด้วยเช่นกัน ใช่ไหมครับ ต่อให้กราฟออกมาสวยสดงดงามขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราถือหุ้นเพลินในขณะที่เขากำลังขายกัน มันจะเจ็บหนักได้ในภายหลัง กว่าจะรู้ตัวก็ขาดทุนไปมากเชียว
ดังนั้นเมื่อกราฟยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และทุกแนวต้านที่มันกำลังวิ่งไปทดสอบ เราอาจต้องเพิ่มความสังเกตนิดนึงว่าเขารินขาย หรือ แอบเก็บ
สังเกตเพิ่มอีกนิดว่า เขาซื้อ 3 ส่วน แล้วตบขู่ด้วยการขาย 1ส่วน หรือ เขาซื้อ 1ส่วน เพื่อหลอกขายไอ้ที่วางไว้ 3 ส่วน
ช่วยสังเกตเพิ่มนิดนึงนะครับว่า ราคาและปริมาณเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่
แล้วทำไมถึงต้องใช้กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ล่ะครับ
ก็ราคาหุ้นมันเกินมูลค่าที่ควรจะเป็นไปมากนะซิครับ หากวันนี้เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ขาย คนอื่นก็ต้องขายใส่อยู่ดี
ดังนั้นการวางแผนการขายจึงเริ่มขึ้น
ขั้นแรกก็ต้องทำการสะสมหุ้นก่อน ช่วงนี้ใช้เวลาเป็นไตรมาสนะครับ กว่าจะผูกขาดอำนาจการควบคุมหุ้นของตนมาไว้ในมือได้
หลังจากสะสมหุ้นไว้ในมือของกลุ่มและพรรคพวกมากพอแล้ว ก็จะมีการลากกระชากราคาเรียกร้องความสนใจ ช่วงนี้โวลุ่มเข้า ราคาขึ้น กราฟสวย นักวิเคราะห์เชียร์ นักลงทุนเริ่มหันมามอง
ขั้นต่อมาจะเริ่มมีการใช้พอร์ตของเจ้าของซื้อหุ้นขึ้นไปต่อเนื่อง เพื่อให้ใครต่อใครรับรู้กันว่าขนาดเจ้าของยังซื้อเก็บต่อเนื่องเลย มาร์เก็ตติ้งที่อ่อนหัดก็อาจจะเที่ยวไปบอกลูกค้ารายอื่นๆของตนให้ซื้อตาม เพราะเห็นว่าเจ้าของเข้าเก็บ น่าจะมีข่าวดีอะไรบางอย่างในเร็วๆนี้
เมื่อนักวิเคราะห์เชียร์ มาร์เก็ตติ้งเชียร์ โวลุ่มก็เข้า ราคาก็ขึ้น กราฟก็สวย นักลงทุนจะเข้ามาเคาะซื้อบ้าง ตั้งรอซื้อบ้าง กระบวนการหลอกขายของก็เริ่มต้น
บัญชีของเจ้าของอาจจะมีเคาะโชว์ไม้ใหญ่ๆให้เห็นหนึ่งส่วน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่รอซื้ออยู่ให้รีบเคาะซื้อแต่โดยไว แต่ในขณะเดียวกันบัญชีเทรดของกลุ่มและพรรคพวกกำลังวางขายรออยู่ตรงฝั่งออฟเฟอร์ถึง 3 ส่วน
และเมื่อหุ้นที่วางขายอยู่มีคนเคาะซื้อขึ้นไปจนหมด ก็จะเริ่มเติมให้อีก
หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก ไม่รู้จบ
นี่ไงครับ โวลุ่มเข้า แต่ราคากลับแน่นิ่ง ไม่สอดคล้องกับโวลุ่มที่เข้ามาเลย
ในเมื่อคนเคาะซื้อเริ่มเหนื่อยใจ เคาะเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที คนส่วนใหญ่จะเริ่มลังเลที่จะเคาะซื้อแล้วครับ มาวางซื้อที่ฝั่งบิดบ้าง วางซื้อต่ำลงมา 2 ช่องบ้าง 3 ช่องบ้าง
ก่อนที่ไก่จะตื่น ต้องรีบกระทำการใช่ไหมครับ …… ในเมื่อคนเริ่มรู้ทันแล้ว เจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะรีรอทำไม เดี๋ยวเขาถอนบิดออกหมดเกลี้ยง จะขายไม่ได้ราคา ….. อย่ากระนั้นเลย ขายทิ้งลงมาเลยยังได้ราคาดีกว่า ขายตอนนี้มีคนมาตั้งรอซื้ออยู่ตั้งเยอะ
แล้วกลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ก็ดำเนินไปตามแผน
ขายลงมาทันที ได้ราคาดีซะด้วย เพราะไล่ราคาขึ้นไปก่อนแล้ว พอราคาลงไปมาก ก็หยุดการขาย เดี๋ยวก็จะมีคนที่อยากได้ของถูกมาตั้งรอซื้ออีก เดี๋ยวก็มีนักเก็งกำไรมาเคาะซื้ออีก …… และเพื่อเรียกความมั่นใจ ต้องมีเคาะโชว์ไม้ใหญ่ๆให้เห็นหนึ่งส่วน แต่ในขณะเดียวกัน บัญชีเทรดของกลุ่มและพรรคพวกก็วางขายรออยู่ตรงฝั่งออฟเฟอร์เช่นกันถึง 3 ส่วน เพื่อบีบให้นักเก็งกำไร บีบให้สิงห์เดย์เทรดเคาะขวา
นี่เป็นอีกกลวิธีในการหาเงินขาลงครับ
กลต. ก็เฝ้าแต่จับหุ้นวิ่งขึ้นอยู่ได้ ไม่ยอมมาจับพวกทุบหุ้นบ้าง ความจริงแล้วขาลงก็ทำเงินได้ดีเช่นกัน ได้เงินเร็วกกว่าด้วยซ้ำ และสัดส่วนในการถือครองหุ้นในบริษัทก็ไม่ได้สูญเสียลงไปแต่อย่างใด
เดี๋ยวสมมุติเหตุการณ์ให้ดู ว่าขาลงเขาได้เงินยังไง
หุ้นตัวหนึ่ง มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น มันไม่เท่าไหร่หรอก เขาอาจจะค่อยๆสะสม กวาดซื้อหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ วันละเล็กวันละน้อย โดยไม่มีใครมาสนใจ
ไตรมาสหนึ่งผ่านไป ไวเหมือนโกหก ราคาหุ้นขยับขึ้นจาก 5 บาท ไป 11 บาทกว่าๆ เจ้าของบริษัทและกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็รู้ครับว่าแพงเกินจริงไปมากแล้ว ต้องทำกำไรแล้วล่ะ
สมมุติว่ารายใหญ่ตัดสินใจที่จะเริ่มกลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ที่ราคา 11 บาท สมมุติตัวเลขน้อยๆพอ สมมุติขายมาแค่ 100 หุ้น ก็จะได้เงินค่าขายกลับคืนมา 1,100 บาท
พอตกลงมาที่ 8 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 800 บาท ยังเหลือเงินเข้าบัญชีอีก 300 บาท ใช่ไหมครับ
พอหุ้นขึ้นไป 9 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 900 บาท
พอตกลงมาที่ 6 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 600 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 300 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 7 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 700 บาท
พอตกลงมาที่ 5 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 500 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 6 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 600 บาท
พอตกลงมาที่ 4 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 400 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 5 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 500 บาท
พอตกลงมาที่ 3 บาท ซื้อคืน 100 หุ้น กลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 300 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 4 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 400 บาท
พอตกลงมาที่ 2 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 200 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 2.5 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 250 บาท
พอตกลงมาที่ 1.5 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 150 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 100 บาท
สรุปแล้ว เมื่อสิ้นสุดวงจรอุบาทว์นี้ เจ้าของบริษัทและรายใหญ่ยังมีหุ้นอยู่ครบ ไม่ได้เสียสัดส่วนการถือครองหุ้นเลย ไม่สูญเสียอำนาจการบริหารกิจการด้วย แถมยังได้เงิน ขาลง มาตลอดทางอีกต่างหาก
เวลาขึ้นจะใช้บัญชีเจ้าของเป็นผู้ซื้อขึ้นครับ แต่เวลาขายเขาไม่ใช้บัญชีตัวเองขายหรอก พวกเราก็ชอบไปดูกันจังว่า เจ้าของบริษัทซื้อหุ้นตัวเองเข้าพอร์ตหรือยัง ขายหุ้นออกมาหรือไม่ มันบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ
มาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เวลาหุ้นอ่อนตัวลงมาแล้วเจ้าของซื้อกลับขึ้นไป ทำไมไม่เอามาคิดคำนวณด้วย อยากจะบอกว่า การซื้อขึ้นไปหาราคาที่ต้องการจะขาย ไม่มีต้นทุนครับ เพราะไอ้ที่เคาะขวาซื้อๆขึ้นไปในแต่ละรอบก่อนทำการขายจริง มันก็ของเขาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าจะใช้ชื่อบัญชีไหนวางขายเท่านั้นเอง
ดังนั้นหากท่านเห็นว่าหุ้นหยุดนิ่งอยู่ที่แนวต้าน แม้จะมีโวลุ่มเข้ามาตลอด แต่ราคาก็ตื้อๆ ไม่สามารถขยับขึ้นต่อไปได้ และเมื่อราคานั้นใกล้หมด ก็มีคนเติมขายอีก ท่านรู้แล้วใช่ไหมครับว่าควรทำอย่างไรดี..?
ที่มา : ThaiDayTrade
ว่างๆนั่งอ่านเล่นเพลินๆครับ ที่ http://www.thaispeculator.com/secret-co ... lling.html
ตัวอย่าง เช่น...
=======================================================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #10 กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ
“หุ้นเก็งกำไรทุกวันนี้คุณอย่าคิดว่าหมูนะ เขาไม่ลากยาวให้พวกคุณมากินเงินเขาฟรีๆหรอก ถ้าคุณจะเก็งกำไร คุณต้องใช้ “ทฤษฎีปิงปอง” คุณท่องไว้ “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” ……… เซียนหุ้นร้อยล้านท่านหนึ่งเผยเคล็ดลับ ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ให้ฟัง
ทำไมเซียนหุ้นท่านนี้ ถึงระบุว่าในอดีตหากเราซื้อหุ้นตัวไหนแล้วมันวิ่งเราถือยาวได้เลย แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นมาต้องขาย แล้วค่อยรอรับใหม่ด้านล่าง เดี๋ยวไปดูกลวิธีของรายใหญ่พร้อมๆกันครับ
ทุกวันนี้เขาพัฒนาแล้วครับ เขาใช้ทีมงาน เขาเอาเทรดเดอร์ที่เก่งกราฟและเก่งจิตวิทยาการลงทุนมาทำหน้าที่แทน และทำแบบทีมพันธมิตร ไม่ใช่หุ้นใครหุ้นมันเหมือนก่อน
หมดยุคเถ้าแก่ใช้แต่กำลังเงินแล้วครับ เพราะวิธีลากยาวแบบเก่ามันใช้เงินเยอะ ไม่มีประสิทธิภาพ เลยต้องเอาเซียนกราฟมาสร้างกราฟหลอกล่อให้เราซื้อ ให้เราถือ ให้เราขาย ให้เรากระทำไปในทิศทางที่เขาต้องการให้เราเป็น เพื่อประสิทธิภาพในการใช้กำลังเงิน
ทุกวันนี้แนวรับแนวต้านใครๆก็รู้พอๆกัน แต่โวลุ่มเทรดนี่สิ จะเป็นตัวยืนยันว่าขึ้นจริงหรือลงจริง หรือไม่
กรณีราคาขึ้นและมีโวลุ่มเข้า จะยิ่งเป็นการยืนยันการขึ้น แบบนี้ต้องซื้อ
ถ้าโวลุ่มเข้าแต่ราคานิ่งนานเกินไป ต้องหยุดดูทีท่าก่อนล่ะ อย่าไปเคาะขวาซื้อเพลิน เพราะอาจอยู่ระหว่างการรินขายเติมขายไม่หยุดหย่อนก็ได้
แต่ถ้าราคาไหลลงพร้อมๆกับโวลุ่มเข้ามามากแบบนี้ ต้องขายหนีตายก่อนล่ะครับ
ก่อนจะเข้าเรื่อง ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ เดี๋ยวคงต้องขยายความสักหน่อย คำว่า โวลุ่มเข้า ไม่ได้หมายถึง การดูว่าวันนี้ซื้อไปแล้วเท่าไหร่ ขายไปแล้วเท่าไหร่นะครับ ขืนไปดูว่าวันนี้ มีเคาะซื้อหรือเคาะขายมากกว่ากัน โดนหลอกเละเทะแน่
คำว่า โวลุ่มเข้า ในที่นี้ หมายถึง โวลุ่มเทรดรวม เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 3 หรือ 5 วันทำการย้อนหลังนะครับ
ถ้าโวลุ่มไม่เข้า แปลว่า เขายังไม่มา มีแต่พวกเราโซ้ยกันเอง
ดังนั้นหากเราเห็นราคาหุ้นขยับขึ้น แต่เทรดกันไปเพียง 2 แสนหุ้น ก็ให้คิดไว้เหอะว่า เราๆท่านๆนะแหละ ไล่ซื้อกันเอง อย่างนี้ไปไม่ได้กี่น้ำหรอกครับ
เอาล่ะ เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า “โวลุ่มเข้า” ตรงกันแล้ว เราจะเข้าเรื่องต่อ
ในเมื่อทุกวันนี้เขาใช้กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ดังนั้นเราก็ควรจะเทรดไปตามแนวโน้มที่มันกำลังจะไปด้วยเช่นกัน ใช่ไหมครับ ต่อให้กราฟออกมาสวยสดงดงามขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราถือหุ้นเพลินในขณะที่เขากำลังขายกัน มันจะเจ็บหนักได้ในภายหลัง กว่าจะรู้ตัวก็ขาดทุนไปมากเชียว
ดังนั้นเมื่อกราฟยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และทุกแนวต้านที่มันกำลังวิ่งไปทดสอบ เราอาจต้องเพิ่มความสังเกตนิดนึงว่าเขารินขาย หรือ แอบเก็บ
สังเกตเพิ่มอีกนิดว่า เขาซื้อ 3 ส่วน แล้วตบขู่ด้วยการขาย 1ส่วน หรือ เขาซื้อ 1ส่วน เพื่อหลอกขายไอ้ที่วางไว้ 3 ส่วน
ช่วยสังเกตเพิ่มนิดนึงนะครับว่า ราคาและปริมาณเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่
แล้วทำไมถึงต้องใช้กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ล่ะครับ
ก็ราคาหุ้นมันเกินมูลค่าที่ควรจะเป็นไปมากนะซิครับ หากวันนี้เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ขาย คนอื่นก็ต้องขายใส่อยู่ดี
ดังนั้นการวางแผนการขายจึงเริ่มขึ้น
ขั้นแรกก็ต้องทำการสะสมหุ้นก่อน ช่วงนี้ใช้เวลาเป็นไตรมาสนะครับ กว่าจะผูกขาดอำนาจการควบคุมหุ้นของตนมาไว้ในมือได้
หลังจากสะสมหุ้นไว้ในมือของกลุ่มและพรรคพวกมากพอแล้ว ก็จะมีการลากกระชากราคาเรียกร้องความสนใจ ช่วงนี้โวลุ่มเข้า ราคาขึ้น กราฟสวย นักวิเคราะห์เชียร์ นักลงทุนเริ่มหันมามอง
ขั้นต่อมาจะเริ่มมีการใช้พอร์ตของเจ้าของซื้อหุ้นขึ้นไปต่อเนื่อง เพื่อให้ใครต่อใครรับรู้กันว่าขนาดเจ้าของยังซื้อเก็บต่อเนื่องเลย มาร์เก็ตติ้งที่อ่อนหัดก็อาจจะเที่ยวไปบอกลูกค้ารายอื่นๆของตนให้ซื้อตาม เพราะเห็นว่าเจ้าของเข้าเก็บ น่าจะมีข่าวดีอะไรบางอย่างในเร็วๆนี้
เมื่อนักวิเคราะห์เชียร์ มาร์เก็ตติ้งเชียร์ โวลุ่มก็เข้า ราคาก็ขึ้น กราฟก็สวย นักลงทุนจะเข้ามาเคาะซื้อบ้าง ตั้งรอซื้อบ้าง กระบวนการหลอกขายของก็เริ่มต้น
บัญชีของเจ้าของอาจจะมีเคาะโชว์ไม้ใหญ่ๆให้เห็นหนึ่งส่วน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่รอซื้ออยู่ให้รีบเคาะซื้อแต่โดยไว แต่ในขณะเดียวกันบัญชีเทรดของกลุ่มและพรรคพวกกำลังวางขายรออยู่ตรงฝั่งออฟเฟอร์ถึง 3 ส่วน
และเมื่อหุ้นที่วางขายอยู่มีคนเคาะซื้อขึ้นไปจนหมด ก็จะเริ่มเติมให้อีก
หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก หมดอีก เติมอีก ไม่รู้จบ
นี่ไงครับ โวลุ่มเข้า แต่ราคากลับแน่นิ่ง ไม่สอดคล้องกับโวลุ่มที่เข้ามาเลย
ในเมื่อคนเคาะซื้อเริ่มเหนื่อยใจ เคาะเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที คนส่วนใหญ่จะเริ่มลังเลที่จะเคาะซื้อแล้วครับ มาวางซื้อที่ฝั่งบิดบ้าง วางซื้อต่ำลงมา 2 ช่องบ้าง 3 ช่องบ้าง
ก่อนที่ไก่จะตื่น ต้องรีบกระทำการใช่ไหมครับ …… ในเมื่อคนเริ่มรู้ทันแล้ว เจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะรีรอทำไม เดี๋ยวเขาถอนบิดออกหมดเกลี้ยง จะขายไม่ได้ราคา ….. อย่ากระนั้นเลย ขายทิ้งลงมาเลยยังได้ราคาดีกว่า ขายตอนนี้มีคนมาตั้งรอซื้ออยู่ตั้งเยอะ
แล้วกลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ก็ดำเนินไปตามแผน
ขายลงมาทันที ได้ราคาดีซะด้วย เพราะไล่ราคาขึ้นไปก่อนแล้ว พอราคาลงไปมาก ก็หยุดการขาย เดี๋ยวก็จะมีคนที่อยากได้ของถูกมาตั้งรอซื้ออีก เดี๋ยวก็มีนักเก็งกำไรมาเคาะซื้ออีก …… และเพื่อเรียกความมั่นใจ ต้องมีเคาะโชว์ไม้ใหญ่ๆให้เห็นหนึ่งส่วน แต่ในขณะเดียวกัน บัญชีเทรดของกลุ่มและพรรคพวกก็วางขายรออยู่ตรงฝั่งออฟเฟอร์เช่นกันถึง 3 ส่วน เพื่อบีบให้นักเก็งกำไร บีบให้สิงห์เดย์เทรดเคาะขวา
นี่เป็นอีกกลวิธีในการหาเงินขาลงครับ
กลต. ก็เฝ้าแต่จับหุ้นวิ่งขึ้นอยู่ได้ ไม่ยอมมาจับพวกทุบหุ้นบ้าง ความจริงแล้วขาลงก็ทำเงินได้ดีเช่นกัน ได้เงินเร็วกกว่าด้วยซ้ำ และสัดส่วนในการถือครองหุ้นในบริษัทก็ไม่ได้สูญเสียลงไปแต่อย่างใด
เดี๋ยวสมมุติเหตุการณ์ให้ดู ว่าขาลงเขาได้เงินยังไง
หุ้นตัวหนึ่ง มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น มันไม่เท่าไหร่หรอก เขาอาจจะค่อยๆสะสม กวาดซื้อหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ วันละเล็กวันละน้อย โดยไม่มีใครมาสนใจ
ไตรมาสหนึ่งผ่านไป ไวเหมือนโกหก ราคาหุ้นขยับขึ้นจาก 5 บาท ไป 11 บาทกว่าๆ เจ้าของบริษัทและกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็รู้ครับว่าแพงเกินจริงไปมากแล้ว ต้องทำกำไรแล้วล่ะ
สมมุติว่ารายใหญ่ตัดสินใจที่จะเริ่มกลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ที่ราคา 11 บาท สมมุติตัวเลขน้อยๆพอ สมมุติขายมาแค่ 100 หุ้น ก็จะได้เงินค่าขายกลับคืนมา 1,100 บาท
พอตกลงมาที่ 8 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 800 บาท ยังเหลือเงินเข้าบัญชีอีก 300 บาท ใช่ไหมครับ
พอหุ้นขึ้นไป 9 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 900 บาท
พอตกลงมาที่ 6 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 600 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 300 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 7 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 700 บาท
พอตกลงมาที่ 5 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 500 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 6 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 600 บาท
พอตกลงมาที่ 4 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 400 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 5 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 500 บาท
พอตกลงมาที่ 3 บาท ซื้อคืน 100 หุ้น กลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 300 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 4 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 400 บาท
พอตกลงมาที่ 2 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 200 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 200 บาท
พอหุ้นขึ้นไป 2.5 บาท ขาย 100 หุ้น จะได้เงินคืนมา 250 บาท
พอตกลงมาที่ 1.5 บาท ซื้อคืน 100 หุ้นกลับ เพื่อไม่ให้เสียสัดส่วนการถือครอง ใช้เงิน 150 บาท เหลือเงินเข้าบัญชีเพิ่มอีก 100 บาท
สรุปแล้ว เมื่อสิ้นสุดวงจรอุบาทว์นี้ เจ้าของบริษัทและรายใหญ่ยังมีหุ้นอยู่ครบ ไม่ได้เสียสัดส่วนการถือครองหุ้นเลย ไม่สูญเสียอำนาจการบริหารกิจการด้วย แถมยังได้เงิน ขาลง มาตลอดทางอีกต่างหาก
เวลาขึ้นจะใช้บัญชีเจ้าของเป็นผู้ซื้อขึ้นครับ แต่เวลาขายเขาไม่ใช้บัญชีตัวเองขายหรอก พวกเราก็ชอบไปดูกันจังว่า เจ้าของบริษัทซื้อหุ้นตัวเองเข้าพอร์ตหรือยัง ขายหุ้นออกมาหรือไม่ มันบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ
มาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เวลาหุ้นอ่อนตัวลงมาแล้วเจ้าของซื้อกลับขึ้นไป ทำไมไม่เอามาคิดคำนวณด้วย อยากจะบอกว่า การซื้อขึ้นไปหาราคาที่ต้องการจะขาย ไม่มีต้นทุนครับ เพราะไอ้ที่เคาะขวาซื้อๆขึ้นไปในแต่ละรอบก่อนทำการขายจริง มันก็ของเขาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าจะใช้ชื่อบัญชีไหนวางขายเท่านั้นเอง
ดังนั้นหากท่านเห็นว่าหุ้นหยุดนิ่งอยู่ที่แนวต้าน แม้จะมีโวลุ่มเข้ามาตลอด แต่ราคาก็ตื้อๆ ไม่สามารถขยับขึ้นต่อไปได้ และเมื่อราคานั้นใกล้หมด ก็มีคนเติมขายอีก ท่านรู้แล้วใช่ไหมครับว่าควรทำอย่างไรดี..?
ที่มา : ThaiDayTrade
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 45
บทนี้น่าอ่านครับ
ท่านสามารถตามอ่านบทความที่เหลือทั้งหมดได้ที่ http://www.thaispeculator.com/secret-co ... alyst.html
=============================================================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #12 กลวิธี สงครามกองโจร
“เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม” นอกจากจะนำไปใช้ในการรบแบบสงครามกองโจรแล้ว ยังมีการนำมาใช้ในตลาดหุ้นโดยรายใหญ่เสมอ
จะว่าไปแล้ว กลวิธี สงครามกองโจร ก็แสบไม่แพ้ กลวิธี สวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนะครับ
ต่างกันเพียงการสวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนั้น จะใช้จิตวิทยาและอำนาจเงิน ควบคุมตลาด ในขณะที่กลวิธีสงครามกองโจร จะใช้ข่าววงในและอำนาจบริหารควบคุมราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ผมสังเกตเห็นตามเว็บบอร์ดหุ้นหลายแห่งมักตั้งข้อสงสัยว่า นักวิเคราะห์บางค่ายเชียร์ซื้อให้รายใหญ่ออกของ เชียร์ขายให้รายใหญ่เข้าเก็บ นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น
ผมขอฟันธงเลยว่า นักวิเคราะห์ “ส่วนใหญ่” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แต่รายใหญ่ต่างหากที่กำลังทำสงครามกองโจรกับคุณ
การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขายแล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความรู้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเครื่องมือในการทำงานที่ดีพอนะคับ
ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนของนักวิเคราะห์ ออกจะมีมากมายหลายหลาก
แต่ทุกวันนี้ รายใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟมาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้นมาหาประโยชน์ส่วนตนอีกที
หลังจากรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นจนมากพอ เขาก็จะเริ่มด้วยการไล่ราคาหุ้น จนกระทั่งกราฟ “สั่งซื้อ” จากนั้นเขาก็จะวางขาย รินขาย ไม่หยุดหย่อน และลงเอยด้วยการทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ “สั่งขาย”
หลังจากที่กราฟสั่งขายแล้ว เขาไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลยครับ แค่นั่งรอเวลาเฉยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะได้ซื้อหุ้นคืน ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม …… นี่คือความจริงภาคสนามรบ
หลังจากมีโอกาสได้นัดพบนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาในฐานะผู้รู้ดีที่สุดแล้วในตลาดเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเกรงใจที่ผมเลี้ยงข้าวหรือเปล่านะ ในที่สุดเขาก็เล่าให้ฟัง เมื่อผมถามว่า ทำไมหุ้นของนายถึงกวนบาทาขนาดนี้ เที่ยวซิกแซกรังแกชาวบ้าน
“นายคิดดู ถ้านายเป็นรายใหญ่ ใช้เงินสดซื้อหุ้น ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง นายเซ็งไหม”
“นายว่ามันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมล่ะในการทำราคา หากเจอแต่พวกเดย์เทรดมาจับเสือมือเปล่า กินเงินของนายไปฟรีๆ ในแต่ละวัน”
“เราเลยจำเป็นต้อง ลาก กระชาก ตบ เป็นระยะๆ ไม่งั้นเงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ตามที่ “เจ้านาย” สั่ง”
เอ ถ้าผมบอกเจ้านี่ว่าผมจะเอาเรื่องของเขามาเขียนหนังสือ เขาจะเล่าให้ผมฟังรึปล่าวหว่า
เอาล่ะ จากนี้ไปผมยกพื้นที่ให้เขาสาธยายเลยแล้วกัน
“ขั้นแรก เราก็จะต้องสะสมหุ้นก่อน เราจะไปเช็คกราฟจากโปรแกรมเทรด เพื่อหาจุดตัดขาดทุน และแนวรับ จากนั้นเราจะสั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งซื้อรอไว้หลายๆราคา แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ตั้งรอซื้อไว้ที่แนวรับ แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ตั้งออร์เดอร์รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุดตัดขาดทุน”
“เมื่อออร์เดอร์ตั้งรอไว้หนาแน่น เราก็จะสั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมาที่ฝั่งบิด นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน แต่ภาพที่ออกมามันน่ากลัวนะ เพราะบิดที่รอไว้เป็นล้านหุ้นโดนขายทิ้งจนหมดในไม้เดียว”
“นายเข้าใจใช่ไหม นี่มันเกิดผลทางจิตวิทยาขึ้นแล้ว คราวนี้คนที่ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่น ก็จะขายทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ออร์เดอร์ของเรา ที่ตั้งรอไว้ที่แนวรับ ได้ของมามากพอสมควรเลยล่ะ”
“จากนั้นก็จะสั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย …. เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ทุกคนที่มีหุ้นอยู่ก็จะขายหนีตาย ราคามันก็จะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เราตั้งซื้อไว้ในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนจนครบ”
“ถ้ายังได้ไม่ครบ แสดงว่ามีคนใจแข็งทนถืออยู่ เราก็จะสั่งบล็อกราคาซะ ขนหุ้นเอามาวางขายหนาๆที่ฝั่งออฟเฟอร์ แล้วก็ตบมั่ง ทุบลงมามั่ง บีบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้หุ้นครบตามที่เจ้านายสั่ง”
“ตอนนี้กราฟเสียรูปแล้วใช่ปล่าว วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย ให้เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไว้ไม่นาน เดี๋ยวเราก็จะได้ของครบแล้วไง”
แหม ดูเจ้านี่เล่าให้ฟัง มันช่างโหดร้ายเสียจริงๆ
ระหว่างเล่าเรื่อง ดูเหมือนเพื่อนผมจะมีความสุขแกมซาดิสม์ นั่นนะซิ คนที่ควบคุมอะไรได้แบบเบ็ดเสร็จ มักจะคิดว่าตนมีพลัง มักจะคิดว่าตนมีอำนาจ ชี้เป็นชี้ตายทางไหนก็ได้อยู่ในมือ
นี่ข้าวยังกินไม่หมดเลย มันกลับโม้ต่อเป็นการใหญ่ ไปฟังแผนอุบาทว์ของมันกันต่อเลยครับ
“คราวนี้ พอได้ของครบ เราก็จะค่อยๆเคาะซื้อไล่ราคาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แบบไม่ให้ใครสังเกตเห็น ระหว่างนี้ กราฟยังไม่สั่งซื้อนะ คนในตลาดก็จะไม่ค่อยได้สังเกตกัน”
“เมื่อได้ของพอประมาณแล้ว เจ้านายก็จะเริ่มให้ข่าวดีเป็นระยะๆ ผ่านสื่อ แต่ขณะเดียวกัน เราก็จะโทรไปสั่งให้โบรกฯ วางหุ้นหนาๆ ไว้ที่ฝั่งออฟเฟอร์ด้วย แล้วเราก็จะสั่งให้อีกโบรกฯ หนึ่งเคาะซื้อไล่ราคาขึ้นไป นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้น เราไม่ได้ใช้เงินมากขึ้นนะ แค่เปลี่ยนหุ้นและเงินไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน”
“ข่าวที่ ค่อยๆทยอยออกตามสื่อ กับภาพที่ออกมาดูดี เพราะมีคนกวาดซื้อหมดเกลี้ยงเป็นล้านหุ้นในไม้เดียว นายว่ามันน่าสนรึปล่าวล่ะ ตอนนี้ใครๆก็เริ่มจับตาแล้ว”
“เราก็สั่งโบรกฯ หนึ่งให้ซื้อหุ้นของเรา ที่เราสั่งวางขายไว้กับอีกโบรกฯ หนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ อีกไม่นาน มันก็ผ่านพ้นแนวต้านขึ้นไปได้ คราวนี้ โปรแกรมเทรดก็จะสั่งซื้อแล้วใช่ป่ะ วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ก็จะออกมาแนะนำ ซื้อ เองแหละ เพราะมันเกิดสัญญาณซื้อ”
“โธ่ นายคิดดู เราตุนหุ้นไว้ 30 ล้านหุ้น 50 ล้านหุ้น ตอนนี้มีคนมาตั้งรอซื้อเยอะๆในราคาสูงๆอย่างงี้ ถ้าไม่ขายตอนนี้ จะให้ไปขายตอนไหนล่ะ”
“แต่ครั้นจะขายโครมลงมา กราฟจะเสียรูป เดี๋ยวขายไม่ได้ราคา อย่ากระนั้นเลย ค่อยๆแอบๆขายดีกว่า เราเคาะขวาสลับบ้าง นิดๆหน่อยๆ ก็ไม่เป็นไรใช่ป่าว ของเราวางไว้เองทั้งนั้น ไอ้ที่ตั้งรอขายอยู่หน่ะ”
“จนเมื่อไหร่ แรงซื้อชักเริ่มเบา คราวนี้ล่ะ เราก็จะรีบขายโครมลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้น อีก 10 ล้านหุ้นที่เหลือจะออกไม่ทัน”
“เออ นายรู้ปล่าว เวลาขาย เจ้านายสั่งไว้ว่าอย่าขายออกมาจนหมด ทายสิว่าทำไม”
“ก็บางคนใจแข็ง ถือทนนะสิ เวลาขายเลยต้องเหลือหุ้นไว้หน่อยนึง เพื่อทิ้งไม้สุดท้าย โครมลงมา ให้หลุดแนวรับลงไปเลย กราฟจะได้สั่งขาย ไม่งั้น เดี๋ยวจะไม่ได้ของคืน”
“พอวันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไม่กี่วัน เดี๋ยวก็มีคนขายคืนเรามาแล้ว”
เมื่อผมฟังเจ้าเพื่อนผมคนนี้มันโม้จบ ก็ได้แต่ถอนใจ
โถ นักวิเคราะห์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามกองโจรโดยไม่ได้เจตนา
ถ้าใครจะเล่นหุ้นให้ได้เงินนะครับ ผมว่านะ อย่าไปรอนักวิเคราะห์เลย กว่านักวิเคราะห์จะแนะนำ ซื้อ มันก็ขึ้นไปไกลจนเขาจะขายกันแล้ว และกว่าที่นักวิเคราะห์จะแนะนำ ขาย มันก็ลงมาลึกจนเขาจะทยอยเก็บคืนกันแล้ว
ทางที่ดีนะครับ เราศึกษากราฟ ทำการบ้าน และดูโวลุ่มประกอบในชั่วโมงเทรดน่าจะดีกว่า อยากได้เงินมันก็ต้องทำงานนะครับ
หลังตลาดปิด ดูกราฟแป๊ปนึงคงไม่เสียเวลามากเท่าไหร่ ดูคร่าวๆสักหน่อยก็ยังดี ว่ากราฟหุ้นตัวไหนมีสัญญาณการสะสม ภาวะตลาดรวมและโวลุ่มเทรดในหุ้นตัวนั้น มันเอื้อต่อการเข้าเก็บแล้วหรือยัง
เก็บหุ้นพร้อมๆเขาดีกว่าครับ อย่าไปรอใครมาเชียร์
ที่มา : ThaiDayTrade
ท่านสามารถตามอ่านบทความที่เหลือทั้งหมดได้ที่ http://www.thaispeculator.com/secret-co ... alyst.html
=============================================================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #12 กลวิธี สงครามกองโจร
“เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม” นอกจากจะนำไปใช้ในการรบแบบสงครามกองโจรแล้ว ยังมีการนำมาใช้ในตลาดหุ้นโดยรายใหญ่เสมอ
จะว่าไปแล้ว กลวิธี สงครามกองโจร ก็แสบไม่แพ้ กลวิธี สวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนะครับ
ต่างกันเพียงการสวนควันปืนเล่นสวนทางมวลชนนั้น จะใช้จิตวิทยาและอำนาจเงิน ควบคุมตลาด ในขณะที่กลวิธีสงครามกองโจร จะใช้ข่าววงในและอำนาจบริหารควบคุมราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ผมสังเกตเห็นตามเว็บบอร์ดหุ้นหลายแห่งมักตั้งข้อสงสัยว่า นักวิเคราะห์บางค่ายเชียร์ซื้อให้รายใหญ่ออกของ เชียร์ขายให้รายใหญ่เข้าเก็บ นักวิเคราะห์แนะให้ซื้อ มันกลับลง พอแนะขาย มันกลับขึ้น
ผมขอฟันธงเลยว่า นักวิเคราะห์ “ส่วนใหญ่” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แต่รายใหญ่ต่างหากที่กำลังทำสงครามกองโจรกับคุณ
การที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้ซื้อแล้วลง เชียร์ให้ขายแล้วขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความรู้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเครื่องมือในการทำงานที่ดีพอนะคับ
ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์การลงทุนของนักวิเคราะห์ ออกจะมีมากมายหลายหลาก
แต่ทุกวันนี้ รายใหญ่ หรือ เจ้าของบริษัท เขามักจะเลือกคนเก่งกราฟมาดูแลราคาหุ้น และใช้เครื่องมือเหล่านั้นมาหาประโยชน์ส่วนตนอีกที
หลังจากรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นจนมากพอ เขาก็จะเริ่มด้วยการไล่ราคาหุ้น จนกระทั่งกราฟ “สั่งซื้อ” จากนั้นเขาก็จะวางขาย รินขาย ไม่หยุดหย่อน และลงเอยด้วยการทุบเปรี้ยงลงมาเลย เมื่อแรงเคาะซื้อเริ่มหมดแรง เพื่อให้กราฟ “สั่งขาย”
หลังจากที่กราฟสั่งขายแล้ว เขาไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลยครับ แค่นั่งรอเวลาเฉยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะได้ซื้อหุ้นคืน ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม …… นี่คือความจริงภาคสนามรบ
หลังจากมีโอกาสได้นัดพบนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาในฐานะผู้รู้ดีที่สุดแล้วในตลาดเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเกรงใจที่ผมเลี้ยงข้าวหรือเปล่านะ ในที่สุดเขาก็เล่าให้ฟัง เมื่อผมถามว่า ทำไมหุ้นของนายถึงกวนบาทาขนาดนี้ เที่ยวซิกแซกรังแกชาวบ้าน
“นายคิดดู ถ้านายเป็นรายใหญ่ ใช้เงินสดซื้อหุ้น ไล่ราคาขึ้นมาตั้งเยอะ แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้ ที่มีหุ้นต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง นายเซ็งไหม”
“นายว่ามันต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมไหมล่ะในการทำราคา หากเจอแต่พวกเดย์เทรดมาจับเสือมือเปล่า กินเงินของนายไปฟรีๆ ในแต่ละวัน”
“เราเลยจำเป็นต้อง ลาก กระชาก ตบ เป็นระยะๆ ไม่งั้นเงินหมดตัวแน่ กว่าราคาหุ้นจะถึงเป้าหมาย ตามที่ “เจ้านาย” สั่ง”
เอ ถ้าผมบอกเจ้านี่ว่าผมจะเอาเรื่องของเขามาเขียนหนังสือ เขาจะเล่าให้ผมฟังรึปล่าวหว่า
เอาล่ะ จากนี้ไปผมยกพื้นที่ให้เขาสาธยายเลยแล้วกัน
“ขั้นแรก เราก็จะต้องสะสมหุ้นก่อน เราจะไปเช็คกราฟจากโปรแกรมเทรด เพื่อหาจุดตัดขาดทุน และแนวรับ จากนั้นเราจะสั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯ หนึ่ง ให้ตั้งซื้อรอไว้หลายๆราคา แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ตั้งรอซื้อไว้ที่แนวรับ แล้วก็สั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ตั้งออร์เดอร์รอ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าจุดตัดขาดทุน”
“เมื่อออร์เดอร์ตั้งรอไว้หนาแน่น เราก็จะสั่งมาร์เก็ตติ้งอีกโบรกฯหนึ่ง ให้ขายโครมลงมาที่ฝั่งบิด นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน แต่ภาพที่ออกมามันน่ากลัวนะ เพราะบิดที่รอไว้เป็นล้านหุ้นโดนขายทิ้งจนหมดในไม้เดียว”
“นายเข้าใจใช่ไหม นี่มันเกิดผลทางจิตวิทยาขึ้นแล้ว คราวนี้คนที่ถือหุ้นต้นทุนต่ำรายอื่น ก็จะขายทิ้งหุ้นลงมาด้วย ทำให้ออร์เดอร์ของเรา ที่ตั้งรอไว้ที่แนวรับ ได้ของมามากพอสมควรเลยล่ะ”
“จากนั้นก็จะสั่งขายหุ้นที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้แหละ โครมลงมาอีกที เพื่อให้หลุดแนวรับ หรือ ให้ถึงจุดที่โปรแกรมจะต้องสั่งขาย …. เมื่อหลุดแนวรับ หรือ เมื่อถึงจุดที่โปรแกรมสั่งขาย คราวนี้ทุกคนที่มีหุ้นอยู่ก็จะขายหนีตาย ราคามันก็จะไหลรูดดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ปริมาณหุ้นที่เราตั้งซื้อไว้ในระดับราคาต่ำๆ จะได้รับคืนจนครบ”
“ถ้ายังได้ไม่ครบ แสดงว่ามีคนใจแข็งทนถืออยู่ เราก็จะสั่งบล็อกราคาซะ ขนหุ้นเอามาวางขายหนาๆที่ฝั่งออฟเฟอร์ แล้วก็ตบมั่ง ทุบลงมามั่ง บีบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้หุ้นครบตามที่เจ้านายสั่ง”
“ตอนนี้กราฟเสียรูปแล้วใช่ปล่าว วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย ให้เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไว้ไม่นาน เดี๋ยวเราก็จะได้ของครบแล้วไง”
แหม ดูเจ้านี่เล่าให้ฟัง มันช่างโหดร้ายเสียจริงๆ
ระหว่างเล่าเรื่อง ดูเหมือนเพื่อนผมจะมีความสุขแกมซาดิสม์ นั่นนะซิ คนที่ควบคุมอะไรได้แบบเบ็ดเสร็จ มักจะคิดว่าตนมีพลัง มักจะคิดว่าตนมีอำนาจ ชี้เป็นชี้ตายทางไหนก็ได้อยู่ในมือ
นี่ข้าวยังกินไม่หมดเลย มันกลับโม้ต่อเป็นการใหญ่ ไปฟังแผนอุบาทว์ของมันกันต่อเลยครับ
“คราวนี้ พอได้ของครบ เราก็จะค่อยๆเคาะซื้อไล่ราคาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แบบไม่ให้ใครสังเกตเห็น ระหว่างนี้ กราฟยังไม่สั่งซื้อนะ คนในตลาดก็จะไม่ค่อยได้สังเกตกัน”
“เมื่อได้ของพอประมาณแล้ว เจ้านายก็จะเริ่มให้ข่าวดีเป็นระยะๆ ผ่านสื่อ แต่ขณะเดียวกัน เราก็จะโทรไปสั่งให้โบรกฯ วางหุ้นหนาๆ ไว้ที่ฝั่งออฟเฟอร์ด้วย แล้วเราก็จะสั่งให้อีกโบรกฯ หนึ่งเคาะซื้อไล่ราคาขึ้นไป นายสังเกตไหมว่า หุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้น เราไม่ได้ใช้เงินมากขึ้นนะ แค่เปลี่ยนหุ้นและเงินไปอยู่ในมือของอีกโบรกฯหนึ่งแทน”
“ข่าวที่ ค่อยๆทยอยออกตามสื่อ กับภาพที่ออกมาดูดี เพราะมีคนกวาดซื้อหมดเกลี้ยงเป็นล้านหุ้นในไม้เดียว นายว่ามันน่าสนรึปล่าวล่ะ ตอนนี้ใครๆก็เริ่มจับตาแล้ว”
“เราก็สั่งโบรกฯ หนึ่งให้ซื้อหุ้นของเรา ที่เราสั่งวางขายไว้กับอีกโบรกฯ หนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ อีกไม่นาน มันก็ผ่านพ้นแนวต้านขึ้นไปได้ คราวนี้ โปรแกรมเทรดก็จะสั่งซื้อแล้วใช่ป่ะ วันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ก็จะออกมาแนะนำ ซื้อ เองแหละ เพราะมันเกิดสัญญาณซื้อ”
“โธ่ นายคิดดู เราตุนหุ้นไว้ 30 ล้านหุ้น 50 ล้านหุ้น ตอนนี้มีคนมาตั้งรอซื้อเยอะๆในราคาสูงๆอย่างงี้ ถ้าไม่ขายตอนนี้ จะให้ไปขายตอนไหนล่ะ”
“แต่ครั้นจะขายโครมลงมา กราฟจะเสียรูป เดี๋ยวขายไม่ได้ราคา อย่ากระนั้นเลย ค่อยๆแอบๆขายดีกว่า เราเคาะขวาสลับบ้าง นิดๆหน่อยๆ ก็ไม่เป็นไรใช่ป่าว ของเราวางไว้เองทั้งนั้น ไอ้ที่ตั้งรอขายอยู่หน่ะ”
“จนเมื่อไหร่ แรงซื้อชักเริ่มเบา คราวนี้ล่ะ เราก็จะรีบขายโครมลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้น อีก 10 ล้านหุ้นที่เหลือจะออกไม่ทัน”
“เออ นายรู้ปล่าว เวลาขาย เจ้านายสั่งไว้ว่าอย่าขายออกมาจนหมด ทายสิว่าทำไม”
“ก็บางคนใจแข็ง ถือทนนะสิ เวลาขายเลยต้องเหลือหุ้นไว้หน่อยนึง เพื่อทิ้งไม้สุดท้าย โครมลงมา ให้หลุดแนวรับลงไปเลย กราฟจะได้สั่งขาย ไม่งั้น เดี๋ยวจะไม่ได้ของคืน”
“พอวันรุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ทุกโบรกฯ ก็จะออกมาแนะนำ ขาย เองแหละ เพราะกราฟมันสั่งขาย เราตั้งรอไม่กี่วัน เดี๋ยวก็มีคนขายคืนเรามาแล้ว”
เมื่อผมฟังเจ้าเพื่อนผมคนนี้มันโม้จบ ก็ได้แต่ถอนใจ
โถ นักวิเคราะห์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามกองโจรโดยไม่ได้เจตนา
ถ้าใครจะเล่นหุ้นให้ได้เงินนะครับ ผมว่านะ อย่าไปรอนักวิเคราะห์เลย กว่านักวิเคราะห์จะแนะนำ ซื้อ มันก็ขึ้นไปไกลจนเขาจะขายกันแล้ว และกว่าที่นักวิเคราะห์จะแนะนำ ขาย มันก็ลงมาลึกจนเขาจะทยอยเก็บคืนกันแล้ว
ทางที่ดีนะครับ เราศึกษากราฟ ทำการบ้าน และดูโวลุ่มประกอบในชั่วโมงเทรดน่าจะดีกว่า อยากได้เงินมันก็ต้องทำงานนะครับ
หลังตลาดปิด ดูกราฟแป๊ปนึงคงไม่เสียเวลามากเท่าไหร่ ดูคร่าวๆสักหน่อยก็ยังดี ว่ากราฟหุ้นตัวไหนมีสัญญาณการสะสม ภาวะตลาดรวมและโวลุ่มเทรดในหุ้นตัวนั้น มันเอื้อต่อการเข้าเก็บแล้วหรือยัง
เก็บหุ้นพร้อมๆเขาดีกว่าครับ อย่าไปรอใครมาเชียร์
ที่มา : ThaiDayTrade
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 46
ชอบการอธิบายราคาหุ้นในเชิงคณิตศาตร์ครับ เป็นบทความที่มีคุณค่าน่าอ่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 48
ริมถนนนักลงทุน
๐ ริมถนนนักลงทุน "สเปเชียล" ฉบับรวม "วาทะเด็ด..เซียนหุ้น" ฉบับที่ 186 ประจำวันที่ 4- 10 มกราคม 2551 ๐ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ทุกท่าน และครอบครัว ประสบความสุขความเจริญ ด้วยจตุรพิธพรชัยตลอดไป
๐ "...คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่าคนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะทำให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี..." ๐ ตอนหนึ่งใน "พระราชดำรัส" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทีมงาน "ถนนนักลงทุน" (ทุกคน) ขอยืนหยัดจะทำคุณความดี แม้เราจะเป็นแค่เทียนเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งในสังคม
๐ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) : "ยุทธวิธีในการเล่นหุ้นของผม จะลงทุนโดยเน้นคุณค่าของหุ้น โดยเราให้ความสำคัญกับ "ตัวหุ้น" เป็นอันดับแรก เลือกการลงทุนเป็นรายบริษัท ลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่บริหารโดยผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถ และควรดูประวัติการทำกำไรเฉลี่ยย้อนหลัง 5-7 ปีขึ้นไป..บริษัทที่จ่ายเงินปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า บริษัทนั้นมีความแข็งแกร่ง และมีความเสี่ยงต่ำ"
๐ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) : "จังหวะเข้า-ออก ผมจะคิดสวนกับตลาดโดยทั่วไป เราจะต้องมีหุ้นอยู่ในใจหลายๆ ตัว (ทำการบ้านล่วงหน้า) เมื่อมีข่าวร้ายอะไรมากระทบกับตลาด แล้วดัชนี SET ลงแรงๆ ผมจะเข้าไปซื้อเก็บ แต่เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้นต้องลงต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ ยิ่งลงเรายิ่งทยอยซื้อ ถ้าลงฟลอร์ ผมก็จะซื้อเยอะ ถ้าเป็นไปได้จะซื้อเต็มพอร์ต"
๐ น.พ.บุญ วนาสิน : "เคล็ดลับในการซื้อหุ้นข้อหนึ่งของผม จะเข้าไปซื้อในวันที่ดัชนี SET ปรับตัวลงมาหนักๆ 4-5% (ตื่นตระหนก) เราจึงค่อยเข้าไปช้อน (ซื้อ) และเมื่อใดที่ดัชนี หรือราคาหุ้น ปรับตัวขึ้นไป 8-12% ก็จะขายออกมาทันที โดยไม่รอช้า แนวทางการลงทุนในลักษณะนี้ กำไรงามยิ่งกว่าดอกเบี้ยเสียอีก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาโดยตลอด..การลงทุนด้วยวิธีนี้ สร้างผลกำไรเฉลี่ยให้ผมถึง 11% ของมูลค่าการลงทุนต่อปี และหากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่า 3% ก็จะรีบ Cut Loss ทิ้งทันที นี่คือหลักการ"
๐ ทวีฉัตร จุฬางกูร : "ในส่วนของพอร์ตหุ้นพื้นฐาน (ลงทุนระยะยาว) ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง จะทำการบ้านอย่างหนัก โดยขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทที่สนใจเข้าลงทุน (Company Visit) แต่การพบผู้บริหารของบริษัทอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะติดต่อขอพบกับผู้ส่งวัตถุดิบ (ซัพพลายเออร์) ให้กับบริษัทนั้น รวมไปถึงบริษัทคู่แข่งขันด้วย โดยต้องดูให้แน่ชัดว่าธุรกิจที่จะเอาเงินไปลงทุนระยะยาวด้วยนั้น เป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ใช่อยู่ในช่วงขาลง"
๐ สีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู) : "เราต้องรู้ว่าหุ้นตัวใด ใคร (รายใหญ่คนไหน) เล่นอยู่บ้าง แล้วเราก็เล่นตามเขาไป เรื่องนี้พี่ถนัด ซึ่งหุ้นทุกตัวมีเจ้ามือหมด ไม่เว้นแม้แต่หุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ถ้าไม่มี..พี่ก็ไม่เข้า เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นมันยาก ทำให้เกิด Opportunity Cost (ต้นทุนค่าเสียโอกาส) สู้เอาเงินไปลงทุนในตัวที่ดูแล้วน่าจะขึ้นดีกว่า"
๐ สีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู) : "หุ้น (ไอพีโอ) ตัวที่เพิ่งเข้ามาเทรดใหม่ๆ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า Bid (ช่องเสนอซื้อ) กับ Offer (ช่องเสนอขาย) มันวนๆ กันอยู่ บ่งบอกได้ว่า จำนวนหุ้นอยู่กับเจ้ามือเยอะมาก แบบนี้ถือว่าอันตรายไม่น่าเข้า แต่ถ้าจะเข้าไปเล่นเก็งกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก็พอได้"
๐ ชาญ บูลกุล (มาชานลี) : "ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ ควรยึดเคล็ดลับง่ายๆ 3 ประการ คือ 1.ต้องยอมเสียเวลาศึกษาข้อมูล (อย่างละเอียด) ก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าทำตัวเป็น "ปลิง" เพื่อนไปไหน "ข้าไปด้วย" 2.ต้องดูแลหุ้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ หรือ "เชื่อใจ" คนอื่นมากเกินไป เพราะคนเล่นหุ้นแบบนี้ไม่มีทางรวย และ 3.ต้องเกาะติดสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด เช่น หากรู้ว่าจะมีเลือกตั้งตอนสิ้นปี ก็ควรเข้าไปเก็บหุ้นพื้นฐานดีไว้ล่วงหน้า 3-6 เดือน ถ้ามาซื้อตอนใกล้วันเลือกตั้ง ก็คือวันที่คนอื่นขาย เป็นต้น"
๐ ชาญ บูลกุล (มาชานลี) : "นักลงทุนไทยต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจาก "ซื้อแพง ขายแพงกว่า" มาเป็น "ซื้อถูก ขายแพง" เพราะการซื้อแพงสุดท้ายก็ต้องหั่นขายแบบขาดทุนสุดๆ ขณะเดียวกันต้องเปลี่ยนจาก "เล่นสั้น" มาเป็น "ถือยาว" จากประสบการณ์ ไม่มีนักลงทุนรายใดรวยจากการซื้อขายหุ้นเพียงวันเดียวหรอก"
๐ ฉาย บุนนาค : "ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน ดังนั้น..เราต้องสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ทั้งนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะยาว เพื่อจัดและไดเวอร์วิฟายด์พอร์ต ให้สอดคล้องตามสภาวะตลาด เปรียบเหมือนถ้าเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ถ้าเป็นปลาก็ต้องเป็นทั้งปลาน้ำจืดน้ำเค็ม"
๐ ฉาย บุนนาค : "สูตรการลงทุนผมจะซื้อหุ้นตามจังหวะฟันด์โฟลว์ (เล่นตามน้ำ) และเป็นหุ้นที่ต้องมี “สตอรี่” (เรื่องราว) ซัพพอร์ตดีๆ..หุ้นต่อให้ดีแค่ไหน แต่ถ้า "ฟันด์" ยังไม่ "โฟลว์" เข้ามา ก็เหมือนกับของมันดีแต่คนยังไม่สนใจ หุ้นก็ยังขึ้นไม่ได้ หรือถ้าเปรียบหุ้นเหมือนผู้หญิง..ถึงสวย แต่ไม่รู้จักโปรโมทตัวเอง ก็ไม่มีประโยชน์ บางคนไม่สวย แต่ป๊อปปูล่าร์มาก มีแต่คนรู้จัก ก็ไปได้ไกล"
๐ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ (เสี่ยแตงโม) : "ยุทธวิธีในการซื้อหุ้น ผมจะใช้สูตร 5-3-2 ผมจะซื้อ 3 ครั้ง ซื้อครั้งแรกคือ 50% ถ้ามันขึ้นซื้ออีก 30% ถ้ามันขึ้นอีกก็ซื้ออีก 20% แต่ถ้าเกิดผมซื้อไปแล้วถ้ามันลง ผมจะหยุดซื้อทันที แล้วจะรอดู ถ้าซื้อไปแล้วมันไม่ขึ้นต่อ คือ ซื้อแล้วมีคนขายแล้วออเดอร์ผมไม่สามารถทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้ แสดงว่าเราเจอผู้ที่อยากขายใหญ่กว่า ผมจะถอย แต่ถ้าซื้อแล้วขึ้นก็ลงทุนต่อ (Let the Profit Run) ถ้าซื้อแล้วลง..ผมเลิกทันที"
๐ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ (เสี่ยแตงโม) : "โดยปกติถ้าขาดทุน 5% ผมจะ Cut Loss ทันที ถ้าขาขึ้นไม่มีลิมิต เพราะเราไม่สามารถรู้ว่าหุ้นจะขึ้นไปได้เท่าไร ช่วงที่ขาย คือ ช่วงที่หุ้นปรับตัว หรือเริ่มอ่อนตัว ถ้าเห็นสัญญาณว่าราคาเริ่มอ่อนตัว ผมจะ Take Profit ทันที คือ ขายเกลี้ยงพอร์ต เหมือนกันถ้าเวลาหุ้นตกผมจะไม่ซื้อ จะรอให้หุ้นลงจนนอนก้น แล้วเริ่มหักหัวขึ้นเมื่อไรแล้วค่อยซื้อ ผมถือคติว่า..น้ำกำลังเชี่ยว อย่าเอาเรือไปขวาง"
๐ จเรรัฐ ปิงคลาศัย : "กฎง่ายๆ 5 ข้อ โปรดจำไว้ให้ขึ้นใจ...1.เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้นจ่ายเงินปันผล "ทุกปี" และมีอัตรา "สูงกว่า" ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2.เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้น "ซื้อง่ายขายคล่อง" ถ้าหุ้นไม่มีสภาพคล่อง คุณอาจติด “ยอดดอย” ได้ง่ายๆ 3.เราต้องไม่ดูอนาคต (อย่าเชื่ออนาคต ให้เชื่อแต่ปัจจุบัน) เพราะหากมีสถานการณ์อะไรเข้ามากระทบ ก็จะทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปได้ทันที 4.อย่าเข้าไปเล่นหุ้น "ไอพีโอ" เนื่องจากหุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมี "เจ้าภาพ" ถ้าหาก “ขาใหญ่” พร้อมใจกัน "ออกของ" เราในฐานะรายย่อย จะตกเป็น "เหยื่อ" ได้ง่ายๆ และกฎข้อสุดท้าย คุณต้อง "หูไวตาไว” พูดง่ายๆ ต้องมีเครือข่ายอยู่ในแวดวงเดียวกัน เพราะเขาย่อมรู้ข้อมูลดีกว่าเรา"
๐ จเรรัฐ ปิงคลาศัย : "การเล่นหุ้น "เก็งกำไร" ให้ได้กำไร เราควรถือคติว่า “โลภแต่พองาม” (อย่าโลภมาก) สำหรับตัวผมเอง จะใช้เทคนิเคิลในการเทรดหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้น-ลง 10% ก็ขายแล้ว สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ระยะฝึกฝนให้เทรดหุ้น "บลูชิพ" ไปก่อน เมื่อเก่งแล้วค่อยขยับไปเล่นหุ้นที่มี "เจ้าภาพ" ดูแล"
หมายเหตุ : ตัดข้อมูลนำมาจาก คห.ของคุณ thirdwave ครับผม
๐ ริมถนนนักลงทุน "สเปเชียล" ฉบับรวม "วาทะเด็ด..เซียนหุ้น" ฉบับที่ 186 ประจำวันที่ 4- 10 มกราคม 2551 ๐ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ทุกท่าน และครอบครัว ประสบความสุขความเจริญ ด้วยจตุรพิธพรชัยตลอดไป
๐ "...คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่าคนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะทำให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี..." ๐ ตอนหนึ่งใน "พระราชดำรัส" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทีมงาน "ถนนนักลงทุน" (ทุกคน) ขอยืนหยัดจะทำคุณความดี แม้เราจะเป็นแค่เทียนเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งในสังคม
๐ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) : "ยุทธวิธีในการเล่นหุ้นของผม จะลงทุนโดยเน้นคุณค่าของหุ้น โดยเราให้ความสำคัญกับ "ตัวหุ้น" เป็นอันดับแรก เลือกการลงทุนเป็นรายบริษัท ลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่บริหารโดยผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถ และควรดูประวัติการทำกำไรเฉลี่ยย้อนหลัง 5-7 ปีขึ้นไป..บริษัทที่จ่ายเงินปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า บริษัทนั้นมีความแข็งแกร่ง และมีความเสี่ยงต่ำ"
๐ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) : "จังหวะเข้า-ออก ผมจะคิดสวนกับตลาดโดยทั่วไป เราจะต้องมีหุ้นอยู่ในใจหลายๆ ตัว (ทำการบ้านล่วงหน้า) เมื่อมีข่าวร้ายอะไรมากระทบกับตลาด แล้วดัชนี SET ลงแรงๆ ผมจะเข้าไปซื้อเก็บ แต่เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้นต้องลงต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ ยิ่งลงเรายิ่งทยอยซื้อ ถ้าลงฟลอร์ ผมก็จะซื้อเยอะ ถ้าเป็นไปได้จะซื้อเต็มพอร์ต"
๐ น.พ.บุญ วนาสิน : "เคล็ดลับในการซื้อหุ้นข้อหนึ่งของผม จะเข้าไปซื้อในวันที่ดัชนี SET ปรับตัวลงมาหนักๆ 4-5% (ตื่นตระหนก) เราจึงค่อยเข้าไปช้อน (ซื้อ) และเมื่อใดที่ดัชนี หรือราคาหุ้น ปรับตัวขึ้นไป 8-12% ก็จะขายออกมาทันที โดยไม่รอช้า แนวทางการลงทุนในลักษณะนี้ กำไรงามยิ่งกว่าดอกเบี้ยเสียอีก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาโดยตลอด..การลงทุนด้วยวิธีนี้ สร้างผลกำไรเฉลี่ยให้ผมถึง 11% ของมูลค่าการลงทุนต่อปี และหากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่า 3% ก็จะรีบ Cut Loss ทิ้งทันที นี่คือหลักการ"
๐ ทวีฉัตร จุฬางกูร : "ในส่วนของพอร์ตหุ้นพื้นฐาน (ลงทุนระยะยาว) ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง จะทำการบ้านอย่างหนัก โดยขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทที่สนใจเข้าลงทุน (Company Visit) แต่การพบผู้บริหารของบริษัทอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะติดต่อขอพบกับผู้ส่งวัตถุดิบ (ซัพพลายเออร์) ให้กับบริษัทนั้น รวมไปถึงบริษัทคู่แข่งขันด้วย โดยต้องดูให้แน่ชัดว่าธุรกิจที่จะเอาเงินไปลงทุนระยะยาวด้วยนั้น เป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ใช่อยู่ในช่วงขาลง"
๐ สีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู) : "เราต้องรู้ว่าหุ้นตัวใด ใคร (รายใหญ่คนไหน) เล่นอยู่บ้าง แล้วเราก็เล่นตามเขาไป เรื่องนี้พี่ถนัด ซึ่งหุ้นทุกตัวมีเจ้ามือหมด ไม่เว้นแม้แต่หุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ถ้าไม่มี..พี่ก็ไม่เข้า เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นมันยาก ทำให้เกิด Opportunity Cost (ต้นทุนค่าเสียโอกาส) สู้เอาเงินไปลงทุนในตัวที่ดูแล้วน่าจะขึ้นดีกว่า"
๐ สีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู) : "หุ้น (ไอพีโอ) ตัวที่เพิ่งเข้ามาเทรดใหม่ๆ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า Bid (ช่องเสนอซื้อ) กับ Offer (ช่องเสนอขาย) มันวนๆ กันอยู่ บ่งบอกได้ว่า จำนวนหุ้นอยู่กับเจ้ามือเยอะมาก แบบนี้ถือว่าอันตรายไม่น่าเข้า แต่ถ้าจะเข้าไปเล่นเก็งกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก็พอได้"
๐ ชาญ บูลกุล (มาชานลี) : "ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ ควรยึดเคล็ดลับง่ายๆ 3 ประการ คือ 1.ต้องยอมเสียเวลาศึกษาข้อมูล (อย่างละเอียด) ก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าทำตัวเป็น "ปลิง" เพื่อนไปไหน "ข้าไปด้วย" 2.ต้องดูแลหุ้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ หรือ "เชื่อใจ" คนอื่นมากเกินไป เพราะคนเล่นหุ้นแบบนี้ไม่มีทางรวย และ 3.ต้องเกาะติดสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด เช่น หากรู้ว่าจะมีเลือกตั้งตอนสิ้นปี ก็ควรเข้าไปเก็บหุ้นพื้นฐานดีไว้ล่วงหน้า 3-6 เดือน ถ้ามาซื้อตอนใกล้วันเลือกตั้ง ก็คือวันที่คนอื่นขาย เป็นต้น"
๐ ชาญ บูลกุล (มาชานลี) : "นักลงทุนไทยต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจาก "ซื้อแพง ขายแพงกว่า" มาเป็น "ซื้อถูก ขายแพง" เพราะการซื้อแพงสุดท้ายก็ต้องหั่นขายแบบขาดทุนสุดๆ ขณะเดียวกันต้องเปลี่ยนจาก "เล่นสั้น" มาเป็น "ถือยาว" จากประสบการณ์ ไม่มีนักลงทุนรายใดรวยจากการซื้อขายหุ้นเพียงวันเดียวหรอก"
๐ ฉาย บุนนาค : "ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน ดังนั้น..เราต้องสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ทั้งนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะยาว เพื่อจัดและไดเวอร์วิฟายด์พอร์ต ให้สอดคล้องตามสภาวะตลาด เปรียบเหมือนถ้าเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ถ้าเป็นปลาก็ต้องเป็นทั้งปลาน้ำจืดน้ำเค็ม"
๐ ฉาย บุนนาค : "สูตรการลงทุนผมจะซื้อหุ้นตามจังหวะฟันด์โฟลว์ (เล่นตามน้ำ) และเป็นหุ้นที่ต้องมี “สตอรี่” (เรื่องราว) ซัพพอร์ตดีๆ..หุ้นต่อให้ดีแค่ไหน แต่ถ้า "ฟันด์" ยังไม่ "โฟลว์" เข้ามา ก็เหมือนกับของมันดีแต่คนยังไม่สนใจ หุ้นก็ยังขึ้นไม่ได้ หรือถ้าเปรียบหุ้นเหมือนผู้หญิง..ถึงสวย แต่ไม่รู้จักโปรโมทตัวเอง ก็ไม่มีประโยชน์ บางคนไม่สวย แต่ป๊อปปูล่าร์มาก มีแต่คนรู้จัก ก็ไปได้ไกล"
๐ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ (เสี่ยแตงโม) : "ยุทธวิธีในการซื้อหุ้น ผมจะใช้สูตร 5-3-2 ผมจะซื้อ 3 ครั้ง ซื้อครั้งแรกคือ 50% ถ้ามันขึ้นซื้ออีก 30% ถ้ามันขึ้นอีกก็ซื้ออีก 20% แต่ถ้าเกิดผมซื้อไปแล้วถ้ามันลง ผมจะหยุดซื้อทันที แล้วจะรอดู ถ้าซื้อไปแล้วมันไม่ขึ้นต่อ คือ ซื้อแล้วมีคนขายแล้วออเดอร์ผมไม่สามารถทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้ แสดงว่าเราเจอผู้ที่อยากขายใหญ่กว่า ผมจะถอย แต่ถ้าซื้อแล้วขึ้นก็ลงทุนต่อ (Let the Profit Run) ถ้าซื้อแล้วลง..ผมเลิกทันที"
๐ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ (เสี่ยแตงโม) : "โดยปกติถ้าขาดทุน 5% ผมจะ Cut Loss ทันที ถ้าขาขึ้นไม่มีลิมิต เพราะเราไม่สามารถรู้ว่าหุ้นจะขึ้นไปได้เท่าไร ช่วงที่ขาย คือ ช่วงที่หุ้นปรับตัว หรือเริ่มอ่อนตัว ถ้าเห็นสัญญาณว่าราคาเริ่มอ่อนตัว ผมจะ Take Profit ทันที คือ ขายเกลี้ยงพอร์ต เหมือนกันถ้าเวลาหุ้นตกผมจะไม่ซื้อ จะรอให้หุ้นลงจนนอนก้น แล้วเริ่มหักหัวขึ้นเมื่อไรแล้วค่อยซื้อ ผมถือคติว่า..น้ำกำลังเชี่ยว อย่าเอาเรือไปขวาง"
๐ จเรรัฐ ปิงคลาศัย : "กฎง่ายๆ 5 ข้อ โปรดจำไว้ให้ขึ้นใจ...1.เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้นจ่ายเงินปันผล "ทุกปี" และมีอัตรา "สูงกว่า" ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2.เราต้องดูว่าหุ้นตัวนั้น "ซื้อง่ายขายคล่อง" ถ้าหุ้นไม่มีสภาพคล่อง คุณอาจติด “ยอดดอย” ได้ง่ายๆ 3.เราต้องไม่ดูอนาคต (อย่าเชื่ออนาคต ให้เชื่อแต่ปัจจุบัน) เพราะหากมีสถานการณ์อะไรเข้ามากระทบ ก็จะทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปได้ทันที 4.อย่าเข้าไปเล่นหุ้น "ไอพีโอ" เนื่องจากหุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมี "เจ้าภาพ" ถ้าหาก “ขาใหญ่” พร้อมใจกัน "ออกของ" เราในฐานะรายย่อย จะตกเป็น "เหยื่อ" ได้ง่ายๆ และกฎข้อสุดท้าย คุณต้อง "หูไวตาไว” พูดง่ายๆ ต้องมีเครือข่ายอยู่ในแวดวงเดียวกัน เพราะเขาย่อมรู้ข้อมูลดีกว่าเรา"
๐ จเรรัฐ ปิงคลาศัย : "การเล่นหุ้น "เก็งกำไร" ให้ได้กำไร เราควรถือคติว่า “โลภแต่พองาม” (อย่าโลภมาก) สำหรับตัวผมเอง จะใช้เทคนิเคิลในการเทรดหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้น-ลง 10% ก็ขายแล้ว สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ระยะฝึกฝนให้เทรดหุ้น "บลูชิพ" ไปก่อน เมื่อเก่งแล้วค่อยขยับไปเล่นหุ้นที่มี "เจ้าภาพ" ดูแล"
หมายเหตุ : ตัดข้อมูลนำมาจาก คห.ของคุณ thirdwave ครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 50
"นี่คือกฏเลยนะ...
คนที่ Concentrate ใน Cycle เล็ก...จะพลาดใน Cycle ใหญ่
คนที่ Concentrate หรือโฟกัสใน Cycle ใหญ่ๆ...จะเสียใน Cycle เล็ก
คือเราต้องเลือกล่ะ!!!...ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซนต์
แต่คนส่วนใหญ่ คนจำนวนมากเลย ที่พยายามจะได้ทั้งในกรอบเล็กและในกรอบใหญ่ ท้ายที่สุดเราจะไม่ได้อะไรเลย"
นี่คือ...อีกหนึ่งคลิปที่เราควรดู ,รับฟัง และควรศึกษาให้มาก
กับแนวคิดเรื่อง "ระบบผลประโยชน์"
ซึ่งผมมองว่า "ระบบผลประโยชน์" กับ "จ้าวที่" มีอะไรในบางแง่มุมที่เหมือนกันอยู่นะครับ
กับแนวคิดนี้ของคุณ "พิชัย จาวลา"
พลาดไม่ได้จริงๆครับผม
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=Z42J48cG ... r_embedded#!
Credit : K.สายเป็นอาชีพ จาก Pantip.com
คนที่ Concentrate ใน Cycle เล็ก...จะพลาดใน Cycle ใหญ่
คนที่ Concentrate หรือโฟกัสใน Cycle ใหญ่ๆ...จะเสียใน Cycle เล็ก
คือเราต้องเลือกล่ะ!!!...ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซนต์
แต่คนส่วนใหญ่ คนจำนวนมากเลย ที่พยายามจะได้ทั้งในกรอบเล็กและในกรอบใหญ่ ท้ายที่สุดเราจะไม่ได้อะไรเลย"
นี่คือ...อีกหนึ่งคลิปที่เราควรดู ,รับฟัง และควรศึกษาให้มาก
กับแนวคิดเรื่อง "ระบบผลประโยชน์"
ซึ่งผมมองว่า "ระบบผลประโยชน์" กับ "จ้าวที่" มีอะไรในบางแง่มุมที่เหมือนกันอยู่นะครับ
กับแนวคิดนี้ของคุณ "พิชัย จาวลา"
พลาดไม่ได้จริงๆครับผม
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=Z42J48cG ... r_embedded#!
Credit : K.สายเป็นอาชีพ จาก Pantip.com
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 51
เทปนี้ ก็น่าฟังมากๆเช่นกันครับ (คุณได้พิชัยพูดไว้เมื่อวันที่ 10 กย. 54)
ไม่น่าพลาดเช่นกันครับ
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=C_YUlQzj ... re=related
ถ้ายังไงลองพยายามตามฟังไปเรื่อยๆนะครับ สำหรับคุณพิชัย จาวลา
ผมว่าเจ๋งมากครับ
(^_^)
ไม่น่าพลาดเช่นกันครับ
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=C_YUlQzj ... re=related
ถ้ายังไงลองพยายามตามฟังไปเรื่อยๆนะครับ สำหรับคุณพิชัย จาวลา
ผมว่าเจ๋งมากครับ
(^_^)
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 53
ขอบคุณมากครับ
มีประโยชน์มาก
มีประโยชน์มาก
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 54
ขอบคุณครับ ได้มุมมองหลากหลายดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 55
"เทปคุณพิชัย จาวลา" ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2554
ชื่อตอน : 5 ตำราระดับโลก...โยกเงินสู่ดอลลาร์
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=nJj1KWmf ... ded#at=190
ชื่อตอน : 5 ตำราระดับโลก...โยกเงินสู่ดอลลาร์
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=nJj1KWmf ... ded#at=190
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 56
Subject : "ปั่น" เป็นคำกิริยา(Verb) ไม่ใช่คำนาม
By pak
ผมมองว่า หลายๆท่านยังคงยึดติดกับภาพเดิมๆว่า...
"หุ้นปั่น คือ หุ้นเน่า" เท่านั้น!!!
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่า..."หุ้นดี ก็เอามาปั่นได้"
ยิ่งถ้าหุ้นดีที่มี mos ด้วยแล้ว เจ้ามือยิ่งมั่นใจได้เลยว่า กำไรเห็นๆ
อยู่ที่จะกำไรน้อย หรือกำไรมากเท่านั้นเอง
การปั่นหุ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกๆก๊วน คือ "ราคาเป้าหมาย"
แต่จากราคาปัจจุบัน เชื่อได้ว่า เค้าจะไม่รีบลากไปที่เป้าหมายสุดท้ายทันที
เพราะมันกำไรก็จริง แต่กำไรน้อยเกินไป
ผมมองว่าเค้าจะลากเป็น Step มากกว่า
ลากขึ้นบ้าง ทุบลงบ้าง ปล่อยให้ซึมๆบ้าง หลอกล่อนักลงทุนไปเรื่อยๆต่างหาก ที่เจ้ามือจะได้นั่งนับเงินมากกว่า
ราคาที่เหวี่ยงขึ้นลง ทำให้เจ้ามือมี Gap ส่วนต่างจากรายย่อย
ซึ่งมีทั้ง VI และ Speculator และแบบผสมผสาน
เจ้ามือค่อยๆไต่ราคาทีละ Step เจ้ามือย่อมจะรวยมากกว่า
เช่น JAS
ลากไป 2 บาท ทุบเหลือบาทต้นๆ แล้วค่อยกระชากกลับมาอีกครั้งนึง
บางที เล่นขาลง เจ้ามือบอกว่า ได้กำไรมากกว่าขาขึ้นด้วยซ้ำไป
ผมมองว่า "ช่องว่างตรงนี้" มันคือเงินทั้งนั้น
การปั่นแท้จริงแล้ว คือ การจุดพลุสร้างความน่าสนใจให้กับหุ้นซักตัว
เช่นราคาที่ขึ้นลงหวือหวา น่าเก็งกำไร สภาพคล่องสูง
การทำให้มี Bid รับมหาศาล เพื่อให้ดูไม่เสี่ยง และนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น
สุดท้าย...ก็จะพาหุ้นไปสู่จุดที่ราคาเกินพื้นฐาน
แอบบออกของ และเชือดทิ้งให้ย่อยติดดอยไม้สุดท้าย
Bid ที่มี , Offer ที่เห็น กับ โวลุ่มที่เกิด ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น
พื้นฐาน และ Value ต่างหากที่สำคัญที่สุด
แต่คนเรามองพื้นฐานต่างกัน ทำให้เกิดช่องว่างสำหรับเจ้ามือ
เป็นเจ้ามือ ไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจาก...
1. ตรูจะทำยังไงให้ได้หุ้นจำนวนมากที่สุด ในต้นทุนที่ถูกที่สุด?
2. พอได้ของมาเต็มปอดแล้ว ก็คิดต่อว่า ตรูจะออกของยังไง เมื่อไหร่ ใช้ข่าวไหนดีฟร่ะ?
3. ปั่นตัวนี้จบแล้ว ตรูเอาเงินต่อเงิน ไปปั่นตัวไหนต่อดีหว่า?
สรุป...
ผมก็ไม่ได้ตอบคำถาม จขกท. อยู่ดี ว่าเจ้ารายนี้เป็นอย่างไร น่าจะมีกี่คน ใช้มาร์เท่าไหร่
เพราะผมไม่เคยดูหุ้นตัวนี้นั่นเอง
แต่อยากเข้ามาแชร์ว่า...
"ปั่น" เป็นคำกิริยา(Verb) ไม่ใช่คำนาม
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว........"หุ้นดีแค่ไหน ก็ปั่นได้ครับ!!!!"
จะว่าไปอีกที อย่าว่าแต่หุ้นเลย...
"ทอง" ,"น้ำมัน" กับ "ค่าเงิน" ผมก็ว่า "ปั่น" ได้ครับผม
By pak
ผมมองว่า หลายๆท่านยังคงยึดติดกับภาพเดิมๆว่า...
"หุ้นปั่น คือ หุ้นเน่า" เท่านั้น!!!
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่า..."หุ้นดี ก็เอามาปั่นได้"
ยิ่งถ้าหุ้นดีที่มี mos ด้วยแล้ว เจ้ามือยิ่งมั่นใจได้เลยว่า กำไรเห็นๆ
อยู่ที่จะกำไรน้อย หรือกำไรมากเท่านั้นเอง
การปั่นหุ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกๆก๊วน คือ "ราคาเป้าหมาย"
แต่จากราคาปัจจุบัน เชื่อได้ว่า เค้าจะไม่รีบลากไปที่เป้าหมายสุดท้ายทันที
เพราะมันกำไรก็จริง แต่กำไรน้อยเกินไป
ผมมองว่าเค้าจะลากเป็น Step มากกว่า
ลากขึ้นบ้าง ทุบลงบ้าง ปล่อยให้ซึมๆบ้าง หลอกล่อนักลงทุนไปเรื่อยๆต่างหาก ที่เจ้ามือจะได้นั่งนับเงินมากกว่า
ราคาที่เหวี่ยงขึ้นลง ทำให้เจ้ามือมี Gap ส่วนต่างจากรายย่อย
ซึ่งมีทั้ง VI และ Speculator และแบบผสมผสาน
เจ้ามือค่อยๆไต่ราคาทีละ Step เจ้ามือย่อมจะรวยมากกว่า
เช่น JAS
ลากไป 2 บาท ทุบเหลือบาทต้นๆ แล้วค่อยกระชากกลับมาอีกครั้งนึง
บางที เล่นขาลง เจ้ามือบอกว่า ได้กำไรมากกว่าขาขึ้นด้วยซ้ำไป
ผมมองว่า "ช่องว่างตรงนี้" มันคือเงินทั้งนั้น
การปั่นแท้จริงแล้ว คือ การจุดพลุสร้างความน่าสนใจให้กับหุ้นซักตัว
เช่นราคาที่ขึ้นลงหวือหวา น่าเก็งกำไร สภาพคล่องสูง
การทำให้มี Bid รับมหาศาล เพื่อให้ดูไม่เสี่ยง และนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น
สุดท้าย...ก็จะพาหุ้นไปสู่จุดที่ราคาเกินพื้นฐาน
แอบบออกของ และเชือดทิ้งให้ย่อยติดดอยไม้สุดท้าย
Bid ที่มี , Offer ที่เห็น กับ โวลุ่มที่เกิด ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น
พื้นฐาน และ Value ต่างหากที่สำคัญที่สุด
แต่คนเรามองพื้นฐานต่างกัน ทำให้เกิดช่องว่างสำหรับเจ้ามือ
เป็นเจ้ามือ ไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจาก...
1. ตรูจะทำยังไงให้ได้หุ้นจำนวนมากที่สุด ในต้นทุนที่ถูกที่สุด?
2. พอได้ของมาเต็มปอดแล้ว ก็คิดต่อว่า ตรูจะออกของยังไง เมื่อไหร่ ใช้ข่าวไหนดีฟร่ะ?
3. ปั่นตัวนี้จบแล้ว ตรูเอาเงินต่อเงิน ไปปั่นตัวไหนต่อดีหว่า?
สรุป...
ผมก็ไม่ได้ตอบคำถาม จขกท. อยู่ดี ว่าเจ้ารายนี้เป็นอย่างไร น่าจะมีกี่คน ใช้มาร์เท่าไหร่
เพราะผมไม่เคยดูหุ้นตัวนี้นั่นเอง
แต่อยากเข้ามาแชร์ว่า...
"ปั่น" เป็นคำกิริยา(Verb) ไม่ใช่คำนาม
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว........"หุ้นดีแค่ไหน ก็ปั่นได้ครับ!!!!"
จะว่าไปอีกที อย่าว่าแต่หุ้นเลย...
"ทอง" ,"น้ำมัน" กับ "ค่าเงิน" ผมก็ว่า "ปั่น" ได้ครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 57
ปั่นหุ้น" เขาทำกันอย่างไร
credit : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =2&gblog=5
แมลงเม่า หมายถึง ปลวกในวัยเจริญพันธุ์ มีปีก ชอบบินเข้าเล่นแสงไฟในยามค่ำคืน และมักจบชีวิตในเปลวไฟ
นักลงทุนรายย่อย หมายถึง ผู้คนซึ่งพอจะมีสตางค์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพราะทนต่อความยั่วยวนของราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาไม่ได้ สุดท้ายมักจะหมดตัวไปกับหุ้นปั่น
ส่วนนิยามโดยสรุปของการปั่นหุ้น คือ การล่อ และลวงนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้น ที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าสภาวะปกติ โดยเจตนาไม่สุจริต การเปรียบนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นแมลงเม่า จึงเหมาะสมด้วยประการฉะนี้
ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น
1) มีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำ จะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคา
2) ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดี เพื่อที่นักลงทุนสถาบันจะไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณ และราคาหุ้น
3) มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา เช่น หุ้นถูกไล่ราคา จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นมา 100% แล้ว แต่คนยังรู้สึกว่าไม่แพง เพราะยังถูกกว่าราคาพาร์ ( PAR )
4) ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบัน มักมีต้นทุนที่ราคาพาร์ หรือสูงกว่า แม้หุ้นจะขึ้นมามาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจดี เขามักจะไม่ขาย ( ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่ดี เขาก็ขายทิ้งไปนานแล้ว ) ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงในการซื้อขาย
5) มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมปริมาณหุ้นได้ตามที่ต้องการ
6) ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว จึงไม่สนใจเมื่อราคาหุ้นขึ้น หรือลงหวือหวามีข่าวดีมารองรับ ระยะหลังเริ่มมีการใช้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมาเป็นตัวล่อใจนักลงทุนรายย่อย เพื่อให้ตายใจว่าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาสมเหตุสมผล เช่น ข่าวการปรับโครงสร้างหนี้ ,ข่าวการร่วมกิจการ , กำไรรายไตรมาสที่พุ่งขึ้นสูงเป็นต้น
ขั้นตอนในการปั่นหุ้น
1) การเลือกตัวหุ้น นอกจากจะต้องเลือกตัวหุ้นที่มีลักษณะตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว ยังต้องมีการนับหุ้นด้วยว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้มีใครถืออยู่ในสัดส่วนเท่าไร หากจะเข้ามาปั่นหุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ความร่วมมือด้วยก็จะง่ายขึ้น
2) การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกัน มักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น คนขับรถ , เสมียน , คนสวน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้
3) การเก็บสะสมหุ้น มีหลายวิธีทั้งวิธีสุจริต และผิดกฎหมายในลักษณะการลวงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ราคาหุ้นตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น มีวิธีดังต่อไปนี้
* การทยอยรับหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่น วันละแสนหุ้น ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน วิธีนี้เป็นวิธีสุจริตไม่ผิดกฎหมาย จะใช้เวลาในการเก็บหุ้นตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน การกดราคาหุ้น ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้น ยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เริ่มมีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้ ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นการวัดใจ นักลงทุนรายย่อยมักมีอารมณ์อ่อนไหว เห็นว่าถือหุ้นตัวนี้อยู่ 2 - 3 วันแล้วหุ้นยังไม่ไปไหน แถมยังมีการขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา ก็จะขายหุ้นทิ้งแล้วเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นแทน สุดท้ายหุ้นก็ตกอยู่ในมือรายใหญ่หมด วิธีนี้จะใช้เวลา 5 - 10 วัน การเก็บแล้วกด วิธีนี้มักใช้เมื่อมีข่าววงใน ( INSIDE NEWS ) ว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะมีข่าวดีเข้ามาหนุน ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่อง จะใช้วิธีโยนหุ้นไปมาระหว่างพอร์ตของตนที่เปิดทิ้งไว้รายย่อยเมื่อเห็นว่าเริ่มมีการซื้อขายคึกคัก ก็จะเข้าผสมโรงด้วย คนที่ถือหุ้นอยู่แล้ว ก่อนนี้ไม่มีสภาพคล่อง จะขายหุ้นก็ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อ พอมีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก็รีบขายหุ้นออก บางคนถือหุ้นมาตั้งแต่บาทหุ้นตกลงมาถึง 5 บาท พอเห็นหุ้นตีกลับขึ้นไป 5.5 บาท ก็รีบขายออก คิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้ขายที่ราคาต่ำสุด ช่วงนี้รายใหญ่จะเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการ
ขณะเดียวกันต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นมีราคาขึ้นไปเกิน 10 % เพื่อไม่ให้ต้นทุนของตนสูงเกินไปถ้าเกิดราคาสูงขึ้นมากจะใช้วิธีโยนขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา โดยให้พวกเดียวกันที่ตั้งซื้อ ( BID ) อยู่แล้วเป็นคนรับเมื่อได้จำนวนหุ้นตามที่ต้องการแล้ว สุดท้ายจะกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมายังจุดเดิม โดยใช้วิธีโยนขายหุ้นโดยให้พวกเดียวกันตั้งซื้อเหมือนเดิม แต่จะทำอย่างหนักหน่วง และรวดเร็วกว่า ทำให้ราคาหุ้นลดอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้จะใช้เวลา 3 - 5 วัน รายย่อยบางคนคิดว่าหมดรอบแล้ว จะรีบขายหุ้นออกมาด้วย
รายใหญ่ก็จะมาตั้งรับที่ราคาต่ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการไล่ซื้อ หรือไม่ก็หยุดการซื้อขายไปเลยให้เรื่องเงียบสัก 4 - 5 วันเป็นการสร้างภาพว่าก่อนข่าวดีจะออกมา ไม่มีใครได้ข่าววงในมาก่อนเลย รอจนวันข่าวดีประกาศเป็นทางการ จึงค่อยเข้ามาไล่ราคาหุ้น
วิธีสังเกตว่าในขณะนั้นเริ่มมีการสะสมหุ้นแล้วคือ ปริมาณซื้อขายจะเริ่มมากขึ้นผิดปกติ จากวันละไม่กี่หมื่นหุ้น เป็นวันละหลายแสนหุ้น ราคาเริ่มจะขยับแต่ไปไม่ไกลประมาณ 5-10% มองดูเหมือนการโยนหุ้นกันมากกว่า กดราคาหุ้นจนกว่าจะเก็บได้มากพอ แล้วค่อยไล่ราคาหุ้น
ข้อระวังอย่างหนึ่ง คือ มีหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆ นักลงทุนรายใหญ่มีข่าวอินไซด์ว่า ผลประกอบการงวดใหม่ที่จะประกาศออกมาแย่มาก หากภาวะการซื้อขายหุ้นตอนนั้นซึมเซา เขาจะเข้ามาไล่ซื้อ โยนหุ้นกันระหว่าง 2-3 พอร์ตที่เขาเปิดไว้ ให้ดูเหมือนรายใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บสะสมหุ้นรายย่อยจะแห่ตาม รุ่งขึ้นรายใหญ่จะเทขายหุ้นขนานใหญ่ รายย่อยเริ่มลังเลใจ ขอดูเหตุการณ์อีกวัน
พอผลประกอบการประกาศออกมา ราคาก็หุ้นดิ่งเหวแล้ว รายย่อยจึงถูกดึงเข้าติดหุ้นราคาสูงในที่สุด
* การไล่ราคาหุ้น เมื่อได้ปริมาณหุ้นมากพอ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการไล่ราคา แต่การไล่ราคาต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน หากจังหวะนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอ รายย่อยก็จะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงพอประมาณ แต่หากหาเหตุผลมารองรับได้ รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้น น่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัว ปรากฏว่ารายใหญ่ขายหุ้นทิ้งหมดแล้ว เหตุผลหรือจังหวะที่ใช้ในการไล่ราคา มักจะใช้ 3 เรื่องนี้
- ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี มีข่าวลือ ซึ่งปล่อยโดยนักปั่นหุ้นว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น
การไล่ราคา คือ การทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการคือ จะมีการเคาะซื้อครั้งละมากๆ แบบยกแถว แล้วตามด้วยการเสนอซื้อ ( BID ) ยันครั้งละหลายๆ แสนหุ้นจนถึงล้านหุ้น เพื่อข่มขวัญไม่ให้รายย่อยขายสวนลงมา
รายย่อยเห็นว่าแรงซื้อแน่น จะถือหุ้นรอขายที่ราคาสูงกว่านี้ รายใหญ่บางคนอาจจะแหย่รายย่อยด้วยการเทขายหุ้นครั้งละหลายแสนหุ้น เหมือนแลกหมัดกับหุ้นที่ตนเองตั้งซื้อไว้เอง รายย่อยอาจเริ่มสับสนว่ามีคนเข้ามาซื้อแต่เจอรายใหญ่ขายสวน ราคาจึงไม่ไปไหน สู้ขายทิ้งไปเสียดีกว่า รายใหญ่จะโยนหุ้นแหย่รายย่อยอยู่สัก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจะตามมาด้วยการไล่ราคาอย่างจริงจังทีละขั้นราคา ( STEP )
ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตลาด คนชอบซื้อขายกัน การไล่ราคาจะไล่แบบช้าๆ แต่ปริมาณ ( VALUME ) จะสูง ราคาเป้าหมายมักจะสูงขึ้นประมาณ 20-25% หากภาวะตลาดกระทิง ราคาเป้าหมายอาจจะสูงถึง 50% แต่ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตัวเล็กพื้นฐานไม่ค่อยดี ปริมาณการซื้อในช่วงเวลาปกติมีไม่มาก การไล่ราคาจะทำอย่างรวดเร็ว ราคาเป้าหมายมักจะสูงถึง 40-50% ถ้าเป็นภาวะกระทิง ราคาเป้าหมายอาจขยับสูงถึง 100%
ช่วงไล่ราคานี้อาจจะกินเวลา3 วันถึง1 เดือนขึ้นกับว่าเป็นหุ้นอะไรภาวะตลาดอย่างไรเช่นถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะกินเวลาสั้นแต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีจะใช้เวลานานกว่าและถ้าเป็นภาวะกระทิงนักปั่นหุ้นจะยิ่งทอดเวลาออกไปเพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่ตั้งเป้าเอาไว้
ในช่วงต้นของการไล่ราคานักลงทุนรายใหญ่อาจยังคงมีการสะสมหุ้นเพิ่มอยู่บ้างแต่รวมกันต้องไม่เกิน5% ของทุนจดทะเบียนในแต่ละพอร์ตที่ใช้ปั่นหุ้นอยู่พอปลายๆมือจะใช้วิธีไล่ราคาแบบไม่เก็บของคือตั้งขายเองเคาะซื้อเองเมื่อซื้อได้ก็จะนำหุ้นจำนวนนี้ย้อนไปตั้งขายอีกในราคาที่สูงขึ้นและเคาะซื้อตามอีก
ทำเช่นนี้หลายๆรอบสลับกันไปมาระหว่างพอร์ตต่างๆของตนเองค่อยๆดันราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากมีหุ้นของรายย่อยถูกซื้อติดเข้ามาจนรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไปก็อาจมีการเทขายระบายของออกไปบ้างแต่เป็นการขายไม้เล็กๆในลักษณะค่อยๆรินออกไปเพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยตกใจเทขายตามมากเกินไปตัวหุ้นเองจะได้มีการปรับฐานตามหลักเทคนิคเพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่ได้ซื้อจะได้กล้าเข้ามาซื้อ
การปล่อยหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นมาได้80% ของราคาเป้าหมายแล้วระยะทางที่เหลืออีก20% ของราคาคือช่วงของการทยอยปล่อยหุ้นช่วงนี้จะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายการลงทุนของนักปั่นหุ้นถ้าทำพลาดนักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทันหรือตลาดไม่เป็นใจเช่นเกิดสงครามโดยไม่คาดฝันนักปั่นหุ้นเองที่จะเป็นผู้ติดหุ้นอยู่บนยอดไม้จะขายก็ไม่มีใครมารับซื้ออาจต้องรออีก6 เดือนถึง1 ปีกว่าจะมีภาวะกระทิงเป็นจังหวะให้ออกของได้อีกครั้งอีกทั้งอาจจะไม่ได้ราคาดีเท่าเดิมหรือถึงกับขาดทุนก็ได้
วิธีการปล่อยหุ้นเริ่มจากการรอจังหวะที่ข่าวดีจะประกาศออกมาเป็นทางการนักปั่นหุ้นซึ่งรู้มาก่อนแล้วจะเริ่มไล่ราคาอย่างรุนแรง4-5 ช่วงราคามีการโยนหุ้นเคาะซื้อเคาะขายกันเองครั้งละหลายแสนหุ้นปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อดึงดูดความสนใจของรายย่อย
เมื่อรายย่อยเริ่มเข้าผสมโรงนักลงทุนรายใหญ่จะตั้งขายหุ้นในแต่ละช่วงราคาไว้หลายๆแสนหุ้นและจะเริ่มเคาะนำส่งสัญญาณไล่ซื้อครั้งละ100 หุ้นบ้าง3,000 หุ้นบ้างหรือแม้แต่ครั้งละ100,000 หุ้นหลายๆครั้งเมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมดเขาจะเคาะซื้อยกแถวพร้อมกับตั้งซื้อยันรับที่ราคานั้นทันทีครั้งละหลายแสนหุ้นถามว่าเขาตั้งซื้อครั้งละหลายแสนหุ้นเขากลัวไหมว่าจะมีคนหรือนักลงทุนสถาบันขายสวนลงมาคำตอบคือกลัวแต่เขาก็ต้องวัดใจดูเหมือนกันหากมีการขายสวนก็ต้องใช้วิธีเคาะซื้อแต่ไม่ใช้วิธีตั้งซื้อนักลงทุนรายย่อยเมื่อสังเกตว่ามีการไล่ซื้อจะเข้ามาซื้อตามนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคอยนับหุ้นอยู่พอเห็นมีเหยื่อมาติดจะเคาะนำที่ราคาใหม่ที่สูงขึ้นอีกแต่เพื่อให้ไม่ต้องซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่มเขาจะเคาะซื้อไม้หนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขายอยู่เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเองสมมติตนเองตั้งขายไว้500,000 หุ้นเมื่อได้รับการยืนยันจากเทรดเดอร์ว่าเริ่มมีการเคาะซื้อจากนักลงทุนอื่นถึงคิวหุ้นของตนแล้วเช่นอาจมีคนเคาะซื้อเข้ามา10,000 หุ้นเขาจะทำทีเคาะซื้อเองตามอีก200,000 หุ้นเพื่อให้รายย่อยฮึกเหิมเมื่อซื้อแล้วเขาก็จะเอาหุ้น200,000 หุ้นนี้มาตั้งขายใหม่ยอมเสียค่านายหน้าซื้อมาขายไปเพียง0.5% แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรตั้ง50-100% เพราะฉะนั้นการไล่ซื้อช่วงนี้จึงเป็นการซื้อหนักก็ต่อเมื่อซื้อหุ้นตนเองตบตารายย่อยขณะที่ค่อยๆเติมหุ้นขายไปทีละแสนสองแสนหุ้น
ส่วนการตั้งซื้อ( BID ) ที่ตบตารายย่อยว่าแรงซื้อแน่นนั้นหากสังเกตดีๆจะพบว่าเมื่อตั้งซื้อเข้ามาสองแสนหุ้นสามแสนหุ้นสักพักจะมีการถอนคำสั่งซื้อออกแล้วเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้การซื้อนั้นไปเข้าคิวใหม่อยู่คิวสุดท้ายและจะทำอย่างนี้หลายๆครั้งนักลงทุนรายย่อยที่ตั้งซื้อเข้ามาจะถูกดันไปอยู่คิวแรกๆหมดและถ้าเขาเห็นว่านักลงทุนอื่นมีการตั้งซื้อเข้ามามากพอสมควรแล้วนักลงทุนรายใหญ่ก็จะมีการเทขายสลับเป็นบางครั้งเรียกได้ว่ามีทั้งการตั้งขายและเคาะขายพร้อนกันเลยทีเดียว
หากจะสรุปวิธีการที่ใช้ในช่วงปล่อยหุ้นนี้สามารถแบ่งออกได้4 วิธีการย่อย
มีการตั้งขายหุ้น( OFFER ) ไว้ล่วงหน้าหลายแสนหุ้นในแต่ละขั้นเวลาเริ่มเคาะซื้อนำครั้งละ100 หุ้น2-3 ครั้งและจะเคาะซื้อหนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขาย( OFFER ) เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเมื่อซื้อได้จะรีบนำมาตั้งขายต่อและจะมีการเติมขายหุ้นตลอดเวลาเมื่อหุ้นที่เสนอขาย( OFFER ) ใกล้หมดจะเคาะซื้อยกแถวแล้วตั้งเสนอขาย( BID )เข้ามายันหลายแสนหุ้นแต่จะทยอยถอนออกแล้วเติมเข้าตลอดเวลา
4) เมื่อหุ้นของคนอื่นที่ตั้งซื้อ( BID ) มีจำนวนมากพอจะมีการเทขายสวนลงมาเป็นจังหวะๆ
เขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหุ้นในพอร์ตของตนเองจะค่อยๆถูกระบายออกไปและในสุดท้ายเมื่อข่าวดีได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นเขาจะทำทีเคาะไล่ซื้อหุ้นตนเองอย่างหนักแต่จะไม่ตั้งซื้อแล้วเพราะกลัวถูกขายดังนั้นจึงเป็นภาพเหมือนมีคนมาไล่ซื้ออย่างรุนแรงแล้วอยู่ๆก็หยุดไปเฉยๆถามว่าแล้วเขาปล่อยหุ้นไปตอนไหนคำตอบคือเขาทยอยตั้งขายไปในระหว่างที่เขาทำทีซื้อนั่นเองผู้เคราะห์ร้ายคือรายย่อยที่ไปเคาะซื้อตามแต่รีรอที่จะขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อแน่นอยู่สุดท้ายต้องติดหุ้นในที่สุด
บทสรุป
ตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญของประเทศชาติประชาชนทุกคนได้รับโอกาสให้นำเงินออมเข้ามาลงทุนกับบริษัทชั้นดีในตลาดหลักทรัพย์หากเขาเหล่านั้นลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจย่อมสามารถสร้างผลกำไรและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวแต่ถ้าเข้ามาลงทุนด้วยวิธีเก็งกำไรโดยปราศจากความรู้ย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของนักปั่นหุ้นที่มีอยู่มากมายในตลาดหุ้นได้
เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวเปรียบได้ดั่งสายฝนซู่ใหญ่ที่พัดสาดเข้ามาอีกครั้งแสงระยิบระยับของกระดานหุ้นเร้าใจแมลงเม่าไม่แพ้แสงไฟในฤดูฝนเหล่าแมลงเม่าน้อยใหญ่พากันโบยบินเข้าตลาดหุ้นและแล้วตำนานเรื่องเดิมของเหล่าแมลงเม่าก็เริ่มต้นอีกครั้ง
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=20080
============================================================
นำมาจาก Blog ของคุณ vizion
ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =2&gblog=5
credit : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =2&gblog=5
แมลงเม่า หมายถึง ปลวกในวัยเจริญพันธุ์ มีปีก ชอบบินเข้าเล่นแสงไฟในยามค่ำคืน และมักจบชีวิตในเปลวไฟ
นักลงทุนรายย่อย หมายถึง ผู้คนซึ่งพอจะมีสตางค์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพราะทนต่อความยั่วยวนของราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาไม่ได้ สุดท้ายมักจะหมดตัวไปกับหุ้นปั่น
ส่วนนิยามโดยสรุปของการปั่นหุ้น คือ การล่อ และลวงนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้น ที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าสภาวะปกติ โดยเจตนาไม่สุจริต การเปรียบนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นแมลงเม่า จึงเหมาะสมด้วยประการฉะนี้
ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น
1) มีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำ จะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคา
2) ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดี เพื่อที่นักลงทุนสถาบันจะไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณ และราคาหุ้น
3) มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา เช่น หุ้นถูกไล่ราคา จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นมา 100% แล้ว แต่คนยังรู้สึกว่าไม่แพง เพราะยังถูกกว่าราคาพาร์ ( PAR )
4) ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบัน มักมีต้นทุนที่ราคาพาร์ หรือสูงกว่า แม้หุ้นจะขึ้นมามาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจดี เขามักจะไม่ขาย ( ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่ดี เขาก็ขายทิ้งไปนานแล้ว ) ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงในการซื้อขาย
5) มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมปริมาณหุ้นได้ตามที่ต้องการ
6) ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว จึงไม่สนใจเมื่อราคาหุ้นขึ้น หรือลงหวือหวามีข่าวดีมารองรับ ระยะหลังเริ่มมีการใช้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมาเป็นตัวล่อใจนักลงทุนรายย่อย เพื่อให้ตายใจว่าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาสมเหตุสมผล เช่น ข่าวการปรับโครงสร้างหนี้ ,ข่าวการร่วมกิจการ , กำไรรายไตรมาสที่พุ่งขึ้นสูงเป็นต้น
ขั้นตอนในการปั่นหุ้น
1) การเลือกตัวหุ้น นอกจากจะต้องเลือกตัวหุ้นที่มีลักษณะตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว ยังต้องมีการนับหุ้นด้วยว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้มีใครถืออยู่ในสัดส่วนเท่าไร หากจะเข้ามาปั่นหุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ความร่วมมือด้วยก็จะง่ายขึ้น
2) การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกัน มักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น คนขับรถ , เสมียน , คนสวน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้
3) การเก็บสะสมหุ้น มีหลายวิธีทั้งวิธีสุจริต และผิดกฎหมายในลักษณะการลวงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ราคาหุ้นตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น มีวิธีดังต่อไปนี้
* การทยอยรับหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่น วันละแสนหุ้น ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน วิธีนี้เป็นวิธีสุจริตไม่ผิดกฎหมาย จะใช้เวลาในการเก็บหุ้นตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน การกดราคาหุ้น ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้น ยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เริ่มมีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้ ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นการวัดใจ นักลงทุนรายย่อยมักมีอารมณ์อ่อนไหว เห็นว่าถือหุ้นตัวนี้อยู่ 2 - 3 วันแล้วหุ้นยังไม่ไปไหน แถมยังมีการขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา ก็จะขายหุ้นทิ้งแล้วเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นแทน สุดท้ายหุ้นก็ตกอยู่ในมือรายใหญ่หมด วิธีนี้จะใช้เวลา 5 - 10 วัน การเก็บแล้วกด วิธีนี้มักใช้เมื่อมีข่าววงใน ( INSIDE NEWS ) ว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะมีข่าวดีเข้ามาหนุน ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่อง จะใช้วิธีโยนหุ้นไปมาระหว่างพอร์ตของตนที่เปิดทิ้งไว้รายย่อยเมื่อเห็นว่าเริ่มมีการซื้อขายคึกคัก ก็จะเข้าผสมโรงด้วย คนที่ถือหุ้นอยู่แล้ว ก่อนนี้ไม่มีสภาพคล่อง จะขายหุ้นก็ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อ พอมีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก็รีบขายหุ้นออก บางคนถือหุ้นมาตั้งแต่บาทหุ้นตกลงมาถึง 5 บาท พอเห็นหุ้นตีกลับขึ้นไป 5.5 บาท ก็รีบขายออก คิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้ขายที่ราคาต่ำสุด ช่วงนี้รายใหญ่จะเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการ
ขณะเดียวกันต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นมีราคาขึ้นไปเกิน 10 % เพื่อไม่ให้ต้นทุนของตนสูงเกินไปถ้าเกิดราคาสูงขึ้นมากจะใช้วิธีโยนขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา โดยให้พวกเดียวกันที่ตั้งซื้อ ( BID ) อยู่แล้วเป็นคนรับเมื่อได้จำนวนหุ้นตามที่ต้องการแล้ว สุดท้ายจะกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมายังจุดเดิม โดยใช้วิธีโยนขายหุ้นโดยให้พวกเดียวกันตั้งซื้อเหมือนเดิม แต่จะทำอย่างหนักหน่วง และรวดเร็วกว่า ทำให้ราคาหุ้นลดอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้จะใช้เวลา 3 - 5 วัน รายย่อยบางคนคิดว่าหมดรอบแล้ว จะรีบขายหุ้นออกมาด้วย
รายใหญ่ก็จะมาตั้งรับที่ราคาต่ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการไล่ซื้อ หรือไม่ก็หยุดการซื้อขายไปเลยให้เรื่องเงียบสัก 4 - 5 วันเป็นการสร้างภาพว่าก่อนข่าวดีจะออกมา ไม่มีใครได้ข่าววงในมาก่อนเลย รอจนวันข่าวดีประกาศเป็นทางการ จึงค่อยเข้ามาไล่ราคาหุ้น
วิธีสังเกตว่าในขณะนั้นเริ่มมีการสะสมหุ้นแล้วคือ ปริมาณซื้อขายจะเริ่มมากขึ้นผิดปกติ จากวันละไม่กี่หมื่นหุ้น เป็นวันละหลายแสนหุ้น ราคาเริ่มจะขยับแต่ไปไม่ไกลประมาณ 5-10% มองดูเหมือนการโยนหุ้นกันมากกว่า กดราคาหุ้นจนกว่าจะเก็บได้มากพอ แล้วค่อยไล่ราคาหุ้น
ข้อระวังอย่างหนึ่ง คือ มีหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆ นักลงทุนรายใหญ่มีข่าวอินไซด์ว่า ผลประกอบการงวดใหม่ที่จะประกาศออกมาแย่มาก หากภาวะการซื้อขายหุ้นตอนนั้นซึมเซา เขาจะเข้ามาไล่ซื้อ โยนหุ้นกันระหว่าง 2-3 พอร์ตที่เขาเปิดไว้ ให้ดูเหมือนรายใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บสะสมหุ้นรายย่อยจะแห่ตาม รุ่งขึ้นรายใหญ่จะเทขายหุ้นขนานใหญ่ รายย่อยเริ่มลังเลใจ ขอดูเหตุการณ์อีกวัน
พอผลประกอบการประกาศออกมา ราคาก็หุ้นดิ่งเหวแล้ว รายย่อยจึงถูกดึงเข้าติดหุ้นราคาสูงในที่สุด
* การไล่ราคาหุ้น เมื่อได้ปริมาณหุ้นมากพอ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการไล่ราคา แต่การไล่ราคาต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน หากจังหวะนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอ รายย่อยก็จะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงพอประมาณ แต่หากหาเหตุผลมารองรับได้ รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้น น่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัว ปรากฏว่ารายใหญ่ขายหุ้นทิ้งหมดแล้ว เหตุผลหรือจังหวะที่ใช้ในการไล่ราคา มักจะใช้ 3 เรื่องนี้
- ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี มีข่าวลือ ซึ่งปล่อยโดยนักปั่นหุ้นว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น
การไล่ราคา คือ การทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการคือ จะมีการเคาะซื้อครั้งละมากๆ แบบยกแถว แล้วตามด้วยการเสนอซื้อ ( BID ) ยันครั้งละหลายๆ แสนหุ้นจนถึงล้านหุ้น เพื่อข่มขวัญไม่ให้รายย่อยขายสวนลงมา
รายย่อยเห็นว่าแรงซื้อแน่น จะถือหุ้นรอขายที่ราคาสูงกว่านี้ รายใหญ่บางคนอาจจะแหย่รายย่อยด้วยการเทขายหุ้นครั้งละหลายแสนหุ้น เหมือนแลกหมัดกับหุ้นที่ตนเองตั้งซื้อไว้เอง รายย่อยอาจเริ่มสับสนว่ามีคนเข้ามาซื้อแต่เจอรายใหญ่ขายสวน ราคาจึงไม่ไปไหน สู้ขายทิ้งไปเสียดีกว่า รายใหญ่จะโยนหุ้นแหย่รายย่อยอยู่สัก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจะตามมาด้วยการไล่ราคาอย่างจริงจังทีละขั้นราคา ( STEP )
ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตลาด คนชอบซื้อขายกัน การไล่ราคาจะไล่แบบช้าๆ แต่ปริมาณ ( VALUME ) จะสูง ราคาเป้าหมายมักจะสูงขึ้นประมาณ 20-25% หากภาวะตลาดกระทิง ราคาเป้าหมายอาจจะสูงถึง 50% แต่ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตัวเล็กพื้นฐานไม่ค่อยดี ปริมาณการซื้อในช่วงเวลาปกติมีไม่มาก การไล่ราคาจะทำอย่างรวดเร็ว ราคาเป้าหมายมักจะสูงถึง 40-50% ถ้าเป็นภาวะกระทิง ราคาเป้าหมายอาจขยับสูงถึง 100%
ช่วงไล่ราคานี้อาจจะกินเวลา3 วันถึง1 เดือนขึ้นกับว่าเป็นหุ้นอะไรภาวะตลาดอย่างไรเช่นถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะกินเวลาสั้นแต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีจะใช้เวลานานกว่าและถ้าเป็นภาวะกระทิงนักปั่นหุ้นจะยิ่งทอดเวลาออกไปเพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่ตั้งเป้าเอาไว้
ในช่วงต้นของการไล่ราคานักลงทุนรายใหญ่อาจยังคงมีการสะสมหุ้นเพิ่มอยู่บ้างแต่รวมกันต้องไม่เกิน5% ของทุนจดทะเบียนในแต่ละพอร์ตที่ใช้ปั่นหุ้นอยู่พอปลายๆมือจะใช้วิธีไล่ราคาแบบไม่เก็บของคือตั้งขายเองเคาะซื้อเองเมื่อซื้อได้ก็จะนำหุ้นจำนวนนี้ย้อนไปตั้งขายอีกในราคาที่สูงขึ้นและเคาะซื้อตามอีก
ทำเช่นนี้หลายๆรอบสลับกันไปมาระหว่างพอร์ตต่างๆของตนเองค่อยๆดันราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากมีหุ้นของรายย่อยถูกซื้อติดเข้ามาจนรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไปก็อาจมีการเทขายระบายของออกไปบ้างแต่เป็นการขายไม้เล็กๆในลักษณะค่อยๆรินออกไปเพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยตกใจเทขายตามมากเกินไปตัวหุ้นเองจะได้มีการปรับฐานตามหลักเทคนิคเพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่ได้ซื้อจะได้กล้าเข้ามาซื้อ
การปล่อยหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นมาได้80% ของราคาเป้าหมายแล้วระยะทางที่เหลืออีก20% ของราคาคือช่วงของการทยอยปล่อยหุ้นช่วงนี้จะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายการลงทุนของนักปั่นหุ้นถ้าทำพลาดนักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทันหรือตลาดไม่เป็นใจเช่นเกิดสงครามโดยไม่คาดฝันนักปั่นหุ้นเองที่จะเป็นผู้ติดหุ้นอยู่บนยอดไม้จะขายก็ไม่มีใครมารับซื้ออาจต้องรออีก6 เดือนถึง1 ปีกว่าจะมีภาวะกระทิงเป็นจังหวะให้ออกของได้อีกครั้งอีกทั้งอาจจะไม่ได้ราคาดีเท่าเดิมหรือถึงกับขาดทุนก็ได้
วิธีการปล่อยหุ้นเริ่มจากการรอจังหวะที่ข่าวดีจะประกาศออกมาเป็นทางการนักปั่นหุ้นซึ่งรู้มาก่อนแล้วจะเริ่มไล่ราคาอย่างรุนแรง4-5 ช่วงราคามีการโยนหุ้นเคาะซื้อเคาะขายกันเองครั้งละหลายแสนหุ้นปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อดึงดูดความสนใจของรายย่อย
เมื่อรายย่อยเริ่มเข้าผสมโรงนักลงทุนรายใหญ่จะตั้งขายหุ้นในแต่ละช่วงราคาไว้หลายๆแสนหุ้นและจะเริ่มเคาะนำส่งสัญญาณไล่ซื้อครั้งละ100 หุ้นบ้าง3,000 หุ้นบ้างหรือแม้แต่ครั้งละ100,000 หุ้นหลายๆครั้งเมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมดเขาจะเคาะซื้อยกแถวพร้อมกับตั้งซื้อยันรับที่ราคานั้นทันทีครั้งละหลายแสนหุ้นถามว่าเขาตั้งซื้อครั้งละหลายแสนหุ้นเขากลัวไหมว่าจะมีคนหรือนักลงทุนสถาบันขายสวนลงมาคำตอบคือกลัวแต่เขาก็ต้องวัดใจดูเหมือนกันหากมีการขายสวนก็ต้องใช้วิธีเคาะซื้อแต่ไม่ใช้วิธีตั้งซื้อนักลงทุนรายย่อยเมื่อสังเกตว่ามีการไล่ซื้อจะเข้ามาซื้อตามนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคอยนับหุ้นอยู่พอเห็นมีเหยื่อมาติดจะเคาะนำที่ราคาใหม่ที่สูงขึ้นอีกแต่เพื่อให้ไม่ต้องซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่มเขาจะเคาะซื้อไม้หนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขายอยู่เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเองสมมติตนเองตั้งขายไว้500,000 หุ้นเมื่อได้รับการยืนยันจากเทรดเดอร์ว่าเริ่มมีการเคาะซื้อจากนักลงทุนอื่นถึงคิวหุ้นของตนแล้วเช่นอาจมีคนเคาะซื้อเข้ามา10,000 หุ้นเขาจะทำทีเคาะซื้อเองตามอีก200,000 หุ้นเพื่อให้รายย่อยฮึกเหิมเมื่อซื้อแล้วเขาก็จะเอาหุ้น200,000 หุ้นนี้มาตั้งขายใหม่ยอมเสียค่านายหน้าซื้อมาขายไปเพียง0.5% แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรตั้ง50-100% เพราะฉะนั้นการไล่ซื้อช่วงนี้จึงเป็นการซื้อหนักก็ต่อเมื่อซื้อหุ้นตนเองตบตารายย่อยขณะที่ค่อยๆเติมหุ้นขายไปทีละแสนสองแสนหุ้น
ส่วนการตั้งซื้อ( BID ) ที่ตบตารายย่อยว่าแรงซื้อแน่นนั้นหากสังเกตดีๆจะพบว่าเมื่อตั้งซื้อเข้ามาสองแสนหุ้นสามแสนหุ้นสักพักจะมีการถอนคำสั่งซื้อออกแล้วเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้การซื้อนั้นไปเข้าคิวใหม่อยู่คิวสุดท้ายและจะทำอย่างนี้หลายๆครั้งนักลงทุนรายย่อยที่ตั้งซื้อเข้ามาจะถูกดันไปอยู่คิวแรกๆหมดและถ้าเขาเห็นว่านักลงทุนอื่นมีการตั้งซื้อเข้ามามากพอสมควรแล้วนักลงทุนรายใหญ่ก็จะมีการเทขายสลับเป็นบางครั้งเรียกได้ว่ามีทั้งการตั้งขายและเคาะขายพร้อนกันเลยทีเดียว
หากจะสรุปวิธีการที่ใช้ในช่วงปล่อยหุ้นนี้สามารถแบ่งออกได้4 วิธีการย่อย
มีการตั้งขายหุ้น( OFFER ) ไว้ล่วงหน้าหลายแสนหุ้นในแต่ละขั้นเวลาเริ่มเคาะซื้อนำครั้งละ100 หุ้น2-3 ครั้งและจะเคาะซื้อหนักๆก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขาย( OFFER ) เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเมื่อซื้อได้จะรีบนำมาตั้งขายต่อและจะมีการเติมขายหุ้นตลอดเวลาเมื่อหุ้นที่เสนอขาย( OFFER ) ใกล้หมดจะเคาะซื้อยกแถวแล้วตั้งเสนอขาย( BID )เข้ามายันหลายแสนหุ้นแต่จะทยอยถอนออกแล้วเติมเข้าตลอดเวลา
4) เมื่อหุ้นของคนอื่นที่ตั้งซื้อ( BID ) มีจำนวนมากพอจะมีการเทขายสวนลงมาเป็นจังหวะๆ
เขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหุ้นในพอร์ตของตนเองจะค่อยๆถูกระบายออกไปและในสุดท้ายเมื่อข่าวดีได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นเขาจะทำทีเคาะไล่ซื้อหุ้นตนเองอย่างหนักแต่จะไม่ตั้งซื้อแล้วเพราะกลัวถูกขายดังนั้นจึงเป็นภาพเหมือนมีคนมาไล่ซื้ออย่างรุนแรงแล้วอยู่ๆก็หยุดไปเฉยๆถามว่าแล้วเขาปล่อยหุ้นไปตอนไหนคำตอบคือเขาทยอยตั้งขายไปในระหว่างที่เขาทำทีซื้อนั่นเองผู้เคราะห์ร้ายคือรายย่อยที่ไปเคาะซื้อตามแต่รีรอที่จะขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อแน่นอยู่สุดท้ายต้องติดหุ้นในที่สุด
บทสรุป
ตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญของประเทศชาติประชาชนทุกคนได้รับโอกาสให้นำเงินออมเข้ามาลงทุนกับบริษัทชั้นดีในตลาดหลักทรัพย์หากเขาเหล่านั้นลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจย่อมสามารถสร้างผลกำไรและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวแต่ถ้าเข้ามาลงทุนด้วยวิธีเก็งกำไรโดยปราศจากความรู้ย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของนักปั่นหุ้นที่มีอยู่มากมายในตลาดหุ้นได้
เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวเปรียบได้ดั่งสายฝนซู่ใหญ่ที่พัดสาดเข้ามาอีกครั้งแสงระยิบระยับของกระดานหุ้นเร้าใจแมลงเม่าไม่แพ้แสงไฟในฤดูฝนเหล่าแมลงเม่าน้อยใหญ่พากันโบยบินเข้าตลาดหุ้นและแล้วตำนานเรื่องเดิมของเหล่าแมลงเม่าก็เริ่มต้นอีกครั้ง
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=20080
============================================================
นำมาจาก Blog ของคุณ vizion
ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =2&gblog=5
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 59
บทความด้านล่างนี้น่าอ่านนะครับ
v
v
======================================
หุ้นผีบอก : มนตรี นิพิฐวิทยา
คำว่าผีบอกนี้เรามักจะเห็นอยู่ในคำจำพวก ยาผีบอก ซึ่งมักจะเป็นพวกยาหม้อพื้นบ้าน และพวกคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยที่หมดความหวังแล้วมักจะยินดีใช้ยาพวกนี้กัน เนื่องด้วยเป็นเพราะหมดความหวังที่จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันแล้วกระมัง ยาผีบอกจึงมักจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยให้โรคร้ายได้หายกันที ซึ่งก็มีบ้างที่หายโรค และบางรายก็หายไปจากโลกนี้เลยก็มากมาย
ในตลาดหุ้นแล้วมักจะมีความหวังกันได้ทุกวัน และก็มักจะมีข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวโน้นตัวนี้ไม่ได้ขาด ทั้งนี้เพื่อจรรโลงให้นักเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น ได้มีความหวังกระชุ่มกระชวยขึ้นมา และพร้อมที่จะยึดเอาข่าวปล่อยทั้งหลายนั้น เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนเป็นประจำ
และนี่เองก็คือ บ่อเกิดของหุ้นผีบอก ที่มีการกระจายอยู่ทั่วไปตามห้องค้า ทางสายโทรศัพท์ซึ่งเกิดจากการบอกต่อๆกันไป จนเกิดการรับข่าวสารจากหลายกระแส ซึ่งผู้รับข่าวรุ่นหลังๆนี้จึงเกิดเข้าใจไปเองว่านี่แหละข่าวจริง เพราะมันถูกยืนยันจากหลายที่ด้วยกัน ซึ่งคิดให้ดีๆก็คือ มันมาจากแหล่งเดียวนั่นแหละ แต่มันถูกกระจายออกไปหลายที่ปากต่อปาก เราจึงรับข่าวจากหลายที่ในที่สุด
เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากที่คนเรามักเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ทบทวนเนื้อหา ความน่าจะเป็น บ่อยครั้งที่ทำตามข่าวนั้นก็เพราะมีคนทำตามหลายคน เพื่อนเยอะดี และถ้าเจ๊งก็ไม่ได้เจ๊งคนเดียวมีเพื่อนเพียบเลย การกระทำตามๆกันหมู่มากนี้ ฝรั่งเรียกว่า “พฤติกรรมของพวกเลมมิ่ง” ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทหนูที่มักทำอะไรตามๆกัน เดินลงทะเลไปตายก็จะตามกัน ดังนั้น เขาจึงเอามาเปรียบเทียบนักเล่นหุ้นที่ชอบแห่ตามกันแย่งซื้อแย่งขายจนเกิด “การตื่นซื้อ ตื่นขาย” จนเป็นหนทางให้กลุ่มพวกที่ชักใยอยู่เบื้องหลังหากินกับพวกเลมมิ่งได้ตลอดมา
จากพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบตามแห่ ไทยมุง ฝรั่งมุง เจ็กตื่นไฟ ประกอบกับหุ้นผีบอกแล้ว ทุกอย่างลงตัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ และใช้ได้ผลมาโดยตลอด มิได้ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย
ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่อยากจะเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้คุณๆได้ทราบเอาไว้ ผมเองก็ปุถุชนคนสามัญเช่นกัน ผมเองก็เคยถูกหุ้นผีบอกนี้เล่นงานปางตายมาแล้วเช่นกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมได้รับข่าวจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาส่งข่าวว่าหุ้น xyz เพิ่งกลับเข้ามาซื้อขายได้ไม่นาน และมีคนดูแลเพื่อให้ราคาวิ่งไปหลายเท่าตัว ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของผู้ที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ช่วยซื้อหุ้นเอาไว้ ผมเองได้ข่าวก็ดูข้อมูลพื้นฐานแล้วก็ต้องส่ายหัว มิกล้าจริงๆ พื้นฐานไม่ดีเลย ไม่น่าขึ้นได้ ถ้าว่ากันตามพื้นฐาน จึงไม่ได้สนใจ เวลาผ่านไปไม่นาน ปรากฏว่าหุ้นบริษัทนี้ติด Top Gainer เกือบทุกวัน ขึ้นที่ละหลายเปอร์เซ็นต์ ผมจึงเกิดความโลภขึ้นตามไปดูด้วยใจสั่นๆ ว่า จะเข้าไปติดดอยกับเขาไหมหว่า?
เพื่อนผมก็คอยส่งข่าวทุกวันครับ ว่าวันนี้ถ้ายืนเท่านั้นเท่านี้ได้ก็เล่นได้ ผมเข้าเล่นตามทุกวัน และนั่งเฝ้าหน้าจอทุกวัน ต้องบอกเลยว่า “หุ้นผีบอก” นี่มันแรงจริงๆ เปิดกระโดดทุกเช้า โยกขึ้นโยกลง โยนไปโยนมา แช่ทิ้งให้ใจสั่นได้ตลอดทั้งวัน และมักจะทำปิดให้ราคากระโดดตอนปิดตลาดทุกวันเช่นกัน แต่นักเล่นหุ้นก็มักจะออกก่อนจึงพลาดกำไรงามๆ ตอนท้ายทุกทีไป
คนดูแลเหมือนจะวางแผนเผด็จศึกเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ พอเหยื่อตกหลุมพรางที่วางล่อเอาไว้ วันหนึ่งมีนักเล่นหุ้นมั่นใจมากซื้อดักตอนเย็นเอาไว้ขายตอนปิดตลาดกันมาก หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วยแหละ และแล้วเมื่อปลาติดเบ็ดผู้คุมเกมก็จัดการกระตุกเบ็ด ดันราคาปิดลงต่ำแบบไม่น่าเชื่อทำเอาแมงเม่าทั้งหลายปีกไหม้ไปตามๆกัน รวมผมด้วย จริงๆแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำได้ขนาดนั้น เห็นๆราคากะพริบสูงขึ้นๆ แต่ดันปิดต่ำลงมามาก ทำเอาขาดทุนนาทีสุดท้ายกันเพียบ
บทเรียนสำคัญชิ้นนี้ ผมจำไม่ลืมและไม่มีวันจะเข้าไปร่วมวงอีกเป็นอันขาด งานนั้นถือว่าโง่มาก รู้ทั้งรู้ว่ามันมีคนทำราคาอยู่แต่ก็ดันโดนจนได้ สรุปรวมความแล้วกำไรที่ได้มาวันก่อน ทีละเล็กละน้อย คืนเจ้ามือแถมเงินค่านั่งทำราคาให้เราลุ้นตัวโก่งไปอีกหลายทีเดียว
เรื่องหุ้นผีบอกยังมีอีกมาก เพื่อนผมอีกคนหนึ่งก็มักจะมีหุ้นผีบอกมาบ่อยๆ แต่ข่าวของเขามักจะล้าสมัยไปทุกที เขาเล่นกันไปเรียบร้อยแล้วนายคนนี้เพิ่งได้ข่าว ติดดอยนอนหนาวเป็นประจำมิได้ขาด
เท่าที่ผมรู้ๆ และพูดคุยกับผู้อื่นบ่อยๆ ก็ยังพบนักเล่นหุ้น(ยืนยันว่าไม่ใช่นักลงทุน)ที่ชอบซื้อหุ้นตามคนอื่นอยู่อีกมาก เห็นเขาว่าดีก็ตามเขา ตัวเองยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นมีอะไรดี อะไรไม่ดี นักเล่นหุ้นพวกนี้เป็นกลุ่มที่น่ากลัวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าควรจะซื้อที่ราคาไหน ขายที่ราคาไหน เพราะอะไรจึงต้องขาย เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่า ไอ้ที่เขามาบอกคุณน่ะเขาซื้อไปแล้ว บางทีก็ซื้อถูกกว่าคุณมากด้วย และเวลาเขาขายเขาก็ไม่บอกคุณหรอก บางที่ขายแล้วยังมาปล่อยข่าวทุบหุ้นเพื่อกลับไปเก็บใหม่อีกต่างหาก
ดังนั้น ทางที่ดีและจะทำให้คุณอยู่ในโลกของการลงทุนได้อย่างปลอดภัยและมั่งคั่งก็คือ….
คุณต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการลงทุนอย่างเด็ดขาด แทนที่จะคอยเฝ้าหาข่าวก็เปลี่ยนมาคอยศึกษาพื้นฐานกิจการ เพื่อเราจะได้กำหนดจังหวะซื้อขายที่เหมาะสม ไม่ต้องพึ่งหุ้นผีบอก ซึ่งบางทีจะกลายเป็นหุ้นผีผลัก
เรื่องหุ้นผีบอกนี้ นักลงทุนตัวยงอย่าง Warren Buffett กล่าวเตือนสติพวกเราไว้ดีมากครับ
“เมื่อส่วนผสมของความโลภและข่าววงในที่มากพอลงตัวกันเมื่อไร เมื่อนั่นความพินาศจะมาเยือนโดยมิได้นัดหมาย”
จำเอาไว้ครับสาธุชนทั้งหลาย นั่นคือความเป็นจริงแท้แน่ทีเดียว
ยาผีบอกนั้น โชคดีคุณก็จะรอด โชคร้ายคุณจะเป็นผีเสียเอง แต่หุ้นผีบอกนั้น โชคดีคุณอาจจะได้เงินใช้ ถ้าโชคร้ายผีซ้ำด้ามพลอยละก็ เบาะๆ ก็โดนเมียด่า รุนแรงก็อาจหมดตัวได้นะ… ขอบอก
หุ้นผีบอก
VALUE WAY
มนตรี นิพิฐวิทยา
==================================================
Credit : นำมาจากกระทู้ของคุณคนจนที่อยากรวย (พันทิพ)
v
v
======================================
หุ้นผีบอก : มนตรี นิพิฐวิทยา
คำว่าผีบอกนี้เรามักจะเห็นอยู่ในคำจำพวก ยาผีบอก ซึ่งมักจะเป็นพวกยาหม้อพื้นบ้าน และพวกคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยที่หมดความหวังแล้วมักจะยินดีใช้ยาพวกนี้กัน เนื่องด้วยเป็นเพราะหมดความหวังที่จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันแล้วกระมัง ยาผีบอกจึงมักจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยให้โรคร้ายได้หายกันที ซึ่งก็มีบ้างที่หายโรค และบางรายก็หายไปจากโลกนี้เลยก็มากมาย
ในตลาดหุ้นแล้วมักจะมีความหวังกันได้ทุกวัน และก็มักจะมีข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวโน้นตัวนี้ไม่ได้ขาด ทั้งนี้เพื่อจรรโลงให้นักเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น ได้มีความหวังกระชุ่มกระชวยขึ้นมา และพร้อมที่จะยึดเอาข่าวปล่อยทั้งหลายนั้น เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนเป็นประจำ
และนี่เองก็คือ บ่อเกิดของหุ้นผีบอก ที่มีการกระจายอยู่ทั่วไปตามห้องค้า ทางสายโทรศัพท์ซึ่งเกิดจากการบอกต่อๆกันไป จนเกิดการรับข่าวสารจากหลายกระแส ซึ่งผู้รับข่าวรุ่นหลังๆนี้จึงเกิดเข้าใจไปเองว่านี่แหละข่าวจริง เพราะมันถูกยืนยันจากหลายที่ด้วยกัน ซึ่งคิดให้ดีๆก็คือ มันมาจากแหล่งเดียวนั่นแหละ แต่มันถูกกระจายออกไปหลายที่ปากต่อปาก เราจึงรับข่าวจากหลายที่ในที่สุด
เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากที่คนเรามักเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ทบทวนเนื้อหา ความน่าจะเป็น บ่อยครั้งที่ทำตามข่าวนั้นก็เพราะมีคนทำตามหลายคน เพื่อนเยอะดี และถ้าเจ๊งก็ไม่ได้เจ๊งคนเดียวมีเพื่อนเพียบเลย การกระทำตามๆกันหมู่มากนี้ ฝรั่งเรียกว่า “พฤติกรรมของพวกเลมมิ่ง” ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทหนูที่มักทำอะไรตามๆกัน เดินลงทะเลไปตายก็จะตามกัน ดังนั้น เขาจึงเอามาเปรียบเทียบนักเล่นหุ้นที่ชอบแห่ตามกันแย่งซื้อแย่งขายจนเกิด “การตื่นซื้อ ตื่นขาย” จนเป็นหนทางให้กลุ่มพวกที่ชักใยอยู่เบื้องหลังหากินกับพวกเลมมิ่งได้ตลอดมา
จากพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบตามแห่ ไทยมุง ฝรั่งมุง เจ็กตื่นไฟ ประกอบกับหุ้นผีบอกแล้ว ทุกอย่างลงตัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ และใช้ได้ผลมาโดยตลอด มิได้ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย
ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่อยากจะเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้คุณๆได้ทราบเอาไว้ ผมเองก็ปุถุชนคนสามัญเช่นกัน ผมเองก็เคยถูกหุ้นผีบอกนี้เล่นงานปางตายมาแล้วเช่นกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมได้รับข่าวจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาส่งข่าวว่าหุ้น xyz เพิ่งกลับเข้ามาซื้อขายได้ไม่นาน และมีคนดูแลเพื่อให้ราคาวิ่งไปหลายเท่าตัว ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของผู้ที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ช่วยซื้อหุ้นเอาไว้ ผมเองได้ข่าวก็ดูข้อมูลพื้นฐานแล้วก็ต้องส่ายหัว มิกล้าจริงๆ พื้นฐานไม่ดีเลย ไม่น่าขึ้นได้ ถ้าว่ากันตามพื้นฐาน จึงไม่ได้สนใจ เวลาผ่านไปไม่นาน ปรากฏว่าหุ้นบริษัทนี้ติด Top Gainer เกือบทุกวัน ขึ้นที่ละหลายเปอร์เซ็นต์ ผมจึงเกิดความโลภขึ้นตามไปดูด้วยใจสั่นๆ ว่า จะเข้าไปติดดอยกับเขาไหมหว่า?
เพื่อนผมก็คอยส่งข่าวทุกวันครับ ว่าวันนี้ถ้ายืนเท่านั้นเท่านี้ได้ก็เล่นได้ ผมเข้าเล่นตามทุกวัน และนั่งเฝ้าหน้าจอทุกวัน ต้องบอกเลยว่า “หุ้นผีบอก” นี่มันแรงจริงๆ เปิดกระโดดทุกเช้า โยกขึ้นโยกลง โยนไปโยนมา แช่ทิ้งให้ใจสั่นได้ตลอดทั้งวัน และมักจะทำปิดให้ราคากระโดดตอนปิดตลาดทุกวันเช่นกัน แต่นักเล่นหุ้นก็มักจะออกก่อนจึงพลาดกำไรงามๆ ตอนท้ายทุกทีไป
คนดูแลเหมือนจะวางแผนเผด็จศึกเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ พอเหยื่อตกหลุมพรางที่วางล่อเอาไว้ วันหนึ่งมีนักเล่นหุ้นมั่นใจมากซื้อดักตอนเย็นเอาไว้ขายตอนปิดตลาดกันมาก หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วยแหละ และแล้วเมื่อปลาติดเบ็ดผู้คุมเกมก็จัดการกระตุกเบ็ด ดันราคาปิดลงต่ำแบบไม่น่าเชื่อทำเอาแมงเม่าทั้งหลายปีกไหม้ไปตามๆกัน รวมผมด้วย จริงๆแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำได้ขนาดนั้น เห็นๆราคากะพริบสูงขึ้นๆ แต่ดันปิดต่ำลงมามาก ทำเอาขาดทุนนาทีสุดท้ายกันเพียบ
บทเรียนสำคัญชิ้นนี้ ผมจำไม่ลืมและไม่มีวันจะเข้าไปร่วมวงอีกเป็นอันขาด งานนั้นถือว่าโง่มาก รู้ทั้งรู้ว่ามันมีคนทำราคาอยู่แต่ก็ดันโดนจนได้ สรุปรวมความแล้วกำไรที่ได้มาวันก่อน ทีละเล็กละน้อย คืนเจ้ามือแถมเงินค่านั่งทำราคาให้เราลุ้นตัวโก่งไปอีกหลายทีเดียว
เรื่องหุ้นผีบอกยังมีอีกมาก เพื่อนผมอีกคนหนึ่งก็มักจะมีหุ้นผีบอกมาบ่อยๆ แต่ข่าวของเขามักจะล้าสมัยไปทุกที เขาเล่นกันไปเรียบร้อยแล้วนายคนนี้เพิ่งได้ข่าว ติดดอยนอนหนาวเป็นประจำมิได้ขาด
เท่าที่ผมรู้ๆ และพูดคุยกับผู้อื่นบ่อยๆ ก็ยังพบนักเล่นหุ้น(ยืนยันว่าไม่ใช่นักลงทุน)ที่ชอบซื้อหุ้นตามคนอื่นอยู่อีกมาก เห็นเขาว่าดีก็ตามเขา ตัวเองยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นมีอะไรดี อะไรไม่ดี นักเล่นหุ้นพวกนี้เป็นกลุ่มที่น่ากลัวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าควรจะซื้อที่ราคาไหน ขายที่ราคาไหน เพราะอะไรจึงต้องขาย เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่า ไอ้ที่เขามาบอกคุณน่ะเขาซื้อไปแล้ว บางทีก็ซื้อถูกกว่าคุณมากด้วย และเวลาเขาขายเขาก็ไม่บอกคุณหรอก บางที่ขายแล้วยังมาปล่อยข่าวทุบหุ้นเพื่อกลับไปเก็บใหม่อีกต่างหาก
ดังนั้น ทางที่ดีและจะทำให้คุณอยู่ในโลกของการลงทุนได้อย่างปลอดภัยและมั่งคั่งก็คือ….
คุณต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการลงทุนอย่างเด็ดขาด แทนที่จะคอยเฝ้าหาข่าวก็เปลี่ยนมาคอยศึกษาพื้นฐานกิจการ เพื่อเราจะได้กำหนดจังหวะซื้อขายที่เหมาะสม ไม่ต้องพึ่งหุ้นผีบอก ซึ่งบางทีจะกลายเป็นหุ้นผีผลัก
เรื่องหุ้นผีบอกนี้ นักลงทุนตัวยงอย่าง Warren Buffett กล่าวเตือนสติพวกเราไว้ดีมากครับ
“เมื่อส่วนผสมของความโลภและข่าววงในที่มากพอลงตัวกันเมื่อไร เมื่อนั่นความพินาศจะมาเยือนโดยมิได้นัดหมาย”
จำเอาไว้ครับสาธุชนทั้งหลาย นั่นคือความเป็นจริงแท้แน่ทีเดียว
ยาผีบอกนั้น โชคดีคุณก็จะรอด โชคร้ายคุณจะเป็นผีเสียเอง แต่หุ้นผีบอกนั้น โชคดีคุณอาจจะได้เงินใช้ ถ้าโชคร้ายผีซ้ำด้ามพลอยละก็ เบาะๆ ก็โดนเมียด่า รุนแรงก็อาจหมดตัวได้นะ… ขอบอก
หุ้นผีบอก
VALUE WAY
มนตรี นิพิฐวิทยา
==================================================
Credit : นำมาจากกระทู้ของคุณคนจนที่อยากรวย (พันทิพ)
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 60
ผมชอบ Comment นี้ของคุณ Juj ใน พันทิพนะครับ
เขียนให้คิดได้ดีเหลือเกิน ในเรื่องที่รายใหญ่สามารถเอาเปรียบรายย่อยได้
ลองอ่านดูครับ
v
v
==============================================
มาบอกให้คิด ว่าโจรเสื้อสูท มันทำอะไร
1. เพิ่มทุนที่ราคาต่ำสุด หลัง ลดจำนวนหุ้นด้วยการรวมพาร์
2. พวกมันขายทิ้งไปก่อนแล้ว ตั้งแต่ การเพิ่มทุนรวบ 0.06 โดยขายทิ้งก่อนเพิ่มทุน ที่ ราคา 0.40
3. เพราะรายย่อยที่ถือหุ้นรอบก่อน โหวตล้มดีล ขายเพิ่มทุนให้มิสสะเตอXXXในราคาถูก ดังนั้นจึงกวาดล้างเสี้ยนหนาม ให้หมด ในรอบนี้
4. ถ้ารายย่อยไปใช้สิทธิ เพิ่มทุนกัน มหึมา กวาดไปก้อนโต เหล่าโจรเสื้อสูท ยินดีรับเงินเพิ่มทุนเข้าบริษัท แล้วไปนั่งรอในซุ้มเงียบๆๆ แล้ว จะเพิ่มทุน ฉบับ กระอักเลือดในรอบต่อไป อาจจะเจอ ลดทุนลดหุ้นล้างขาดทุนสะสมคงค้างอีกรอบ ถ้ารายย่อย ยังแห่ไปซื้อเพิ่มทุนกันเนืองแน่น
5. ถ้ารายย่อย ยอมแพ้ ยกหุ้นสุดดี สุดถูก ให้แก่เจ้า (ผู้ที่ประกาศว่า คุณกรูขายทิ้งแล้วตั้งแต่ 0.40 นั่น) ได้รับซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาถูกไป 0.35 แบบเต็มๆๆ TEEN คาดว่าคงจะพยุงมูลค่าของบริษัท ไปที่ ต้นทุนเดิมของผู้เพิ่มทุนคราวก่อน(รอบ 0.06)
ผมยังยืนยัน ว่า อยากให้หุ้นนี้หยุดตก รายย่อยไม่ควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนรอบนี้ แม้แต่หุ้นเดียว
แล้วราคาที่ท่านติดดอย ก็ จะหลุดดอยได้เอง แค่ รอเวลาหน่อย เท่านั้น
ไม่เชื่อ เก็บคำแนะนำของผม พิมพ์แนบไว้ แล้วท่านคอยดูผล
จากคุณ : Juj
เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 54 18:51:39
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 60010.html
เขียนให้คิดได้ดีเหลือเกิน ในเรื่องที่รายใหญ่สามารถเอาเปรียบรายย่อยได้
ลองอ่านดูครับ
v
v
==============================================
มาบอกให้คิด ว่าโจรเสื้อสูท มันทำอะไร
1. เพิ่มทุนที่ราคาต่ำสุด หลัง ลดจำนวนหุ้นด้วยการรวมพาร์
2. พวกมันขายทิ้งไปก่อนแล้ว ตั้งแต่ การเพิ่มทุนรวบ 0.06 โดยขายทิ้งก่อนเพิ่มทุน ที่ ราคา 0.40
3. เพราะรายย่อยที่ถือหุ้นรอบก่อน โหวตล้มดีล ขายเพิ่มทุนให้มิสสะเตอXXXในราคาถูก ดังนั้นจึงกวาดล้างเสี้ยนหนาม ให้หมด ในรอบนี้
4. ถ้ารายย่อยไปใช้สิทธิ เพิ่มทุนกัน มหึมา กวาดไปก้อนโต เหล่าโจรเสื้อสูท ยินดีรับเงินเพิ่มทุนเข้าบริษัท แล้วไปนั่งรอในซุ้มเงียบๆๆ แล้ว จะเพิ่มทุน ฉบับ กระอักเลือดในรอบต่อไป อาจจะเจอ ลดทุนลดหุ้นล้างขาดทุนสะสมคงค้างอีกรอบ ถ้ารายย่อย ยังแห่ไปซื้อเพิ่มทุนกันเนืองแน่น
5. ถ้ารายย่อย ยอมแพ้ ยกหุ้นสุดดี สุดถูก ให้แก่เจ้า (ผู้ที่ประกาศว่า คุณกรูขายทิ้งแล้วตั้งแต่ 0.40 นั่น) ได้รับซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาถูกไป 0.35 แบบเต็มๆๆ TEEN คาดว่าคงจะพยุงมูลค่าของบริษัท ไปที่ ต้นทุนเดิมของผู้เพิ่มทุนคราวก่อน(รอบ 0.06)
ผมยังยืนยัน ว่า อยากให้หุ้นนี้หยุดตก รายย่อยไม่ควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนรอบนี้ แม้แต่หุ้นเดียว
แล้วราคาที่ท่านติดดอย ก็ จะหลุดดอยได้เอง แค่ รอเวลาหน่อย เท่านั้น
ไม่เชื่อ เก็บคำแนะนำของผม พิมพ์แนบไว้ แล้วท่านคอยดูผล
จากคุณ : Juj
เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 54 18:51:39
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 60010.html