ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1
ตามความเข้าใจของผม เงินบาทที่แข็งขึ้นเกิดจากต่างชาติ แลกเงินบาท(ซื้อเงินบาท)จากusไป บาททำให้บาทมีค่าแพงขึ้น หรือก็คือค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพื่อมาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาด bond น่าจะเป็นแบบนี้เป็นส่วนใหญ่
แต่มีบางช่วงที่เงินไหลเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาด bond แต่ค่าเงินบาทไม่แข็งตรงนี้เกิดจากสาเหตุอะไรครับ
แต่มีบางช่วงที่เงินไหลเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาด bond แต่ค่าเงินบาทไม่แข็งตรงนี้เกิดจากสาเหตุอะไรครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2
ค่าเงินแข็งเกิดจากอะไร
โดย Dr.KOB ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2010 เวลา 12:19 น.
เมื่อ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้แข็งค่าไปอยู่ที่ประมาณ 29.50 บาท / ดอลลาร์ สรอ. นับเป็นการแข็งค่าที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี หลายคนคงสงสัยว่า ค่าเงินแข็งมีสาเหตุมาจากอะไร ทำไมค่าเงินต้องเคลื่อนไหวไปมาด้วย
ใน ประเด็นนี้ อยากให้มองว่า “ค่าของเงินบาท” ไม่ได้แตกต่างจาก “ราคาของสินค้า” ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นราคายางพารา น้ำตาล น้ำมัน หรือสินค้าที่เราซื้อหาได้เป็นปกติธรรมดา เช่น ส้ม มะนาว หมู วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
ราคาสินค้าเหล่านี้ขึ้นลงตามกลไก ตลาดตามความต้องการ ในช่วงที่มีคนต้องการซื้อมาก ราคาก็จะสูงขึ้น ในขณะที่ความต้องการลดลง ราคาก็จะลดลง ส่วนค่าเงินบาทก็เช่นกัน จะขึ้นลงตามความต้องการเงินบาทในตลาด ซึ่งมาจาก 3 สาเหตุหลักๆ
1. ความต้องการด้านการค้าและการท่องเที่ยว จากภาคการส่งออกนำเข้าและท่องเที่ยวของไทย เวลาเราส่งออกได้ดี ต่างชาตินิยมสินค้าไทย ต้องการมาเที่ยวเมืองไทย ความต้องการเงินบาทก็จะมีมากขึ้น เพราะการที่ต่างชาติจะซื้อสินค้าไทยได้ มาเที่ยวเมืองไทย ก็ต้องเอาเงินของเขามาแลกซื้อเงินของเรา ยิ่งเราส่งออกได้ดีเท่าไร (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ส่งออกได้ดีกว่านำเข้า) ภาคท่องเที่ยวดีเท่าไร ความต้องการซื้อเงินบาทก็มากขึ้นเท่านั้น
2. ความต้องการด้านการลงทุน จากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาซื้อกิจการ สร้างโรงงาน รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล อสังหาริมทรัพย์ โดยก่อนที่เขาจะลงทุนได้ นักลงทุนต่างชาติต้องเอาเงินที่มีแลกเป็นเงินบาทก่อนเช่นกัน ยิ่งสินทรัพย์ของเราให้กำไร ผลตอบแทนเป็นที่น่าสนใจมากกว่าการลงทุนในต่างประเทศเท่าไร เงินจากต่างชาติก็จะไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ไทยมากขึ้นเท่านั้น
3. ความต้องการจากการเก็งกำไรในเงินบาท เช่นเดียวกับสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน หุ้น ที่มีการเก็งกำไรเป็นประจำ เงินบาทก็เหมือนกัน ช่วงที่เงินบาทกำลังมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น นักเก็งกำไรก็จะพยายามซื้อเงินบาทเก็บไว้ เงินบาทก็มักจะแข็งค่าขึ้นไปด้วย
ส่วนเงินบาทจะไปในทางไหน ต้องดูสมดุลระหว่าง ความต้องการจากด้านการค้า โอกาสการลงทุน รวมถึงความต้องการในการเก็งกำไรในแต่ละขณะ ซึ่งช่วงที่คนต้องการเงินบาทพร้อมๆ กันมากมาก ดังเช่นปัจจุบัน ที่ส่งออกได้ดี สินทรัพย์ของเราน่าสนใจ อีกทั้งเงินบาทกำลังมีแนวโน้มแข็งค่า ทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่ความต้องการเงินบาทที่เพิ่มขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาทในที่สุด และที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งเงินบาทแข็งค่า ผู้ส่งออกก็ยิ่งเร่งขายดอลลาร์ล่วงหน้า หรือทำการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม ก็จะซ้ำเติมทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วขึ้นเพิ่มเติมจากเดิม
ทั้งนี้ สำหรับผู้เล่นรายสุดท้ายในตลาดเงินบาทก็คือ ทางการ (แบงก์ชาติ) ที่อาจเข้ามาแทรกแซงเพื่อดูแลเงินบาทให้ไม่ผันผวน แข็งค่าขึ้นเร็วจนเกินไปนัก โดยนำเงินบาทออกขายในตลาดเพิ่มให้ตามความต้องการของทุกคน ซึ่งอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็จะเป็นเพียงการชั่วคราวเท่านั้น
ท้ายสุด สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ในการติดตามค่าเงินบาท หลายคนชอบยึดติดกับเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ เป็นสำคัญ (จากการที่ไทยเคยผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์ และการที่เราค้าขาย โดยใช้เงินดอลลาร์เป็นตัวกลาง) แต่เราจะดูเงินบาทเทียบกับเงินสกุลใดสกุลหนึ่งไม่ได้ ต้องดูทุกๆ สกุล
ในช่วงปลายปี 52 เงินบาทอยู่ที่ 33.52 บาท/ดอลลาร์ 0.366 บาท/เยน 23.95 บาท/ดอลลาร์สิงคโปร์ 9.93 บาท/ริงกิต แต่ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 29.95 บาท/ดอลลาร์ 0.367 บาท/เยน บาท/ยูโร 23.28 บาท/ดอลลาร์สิงคโปร์ 9.74 บาท/ริงกิต
จะเห็นได้ว่า แม้จะแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์พอสมควร แต่ว่าเทียบกับเงินสกุลอื่นในเอเชีย เงินบาทไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่าลงจากปัญหาในสหรัฐที่ยังแก้ ไม่จบ ทำให้เงินบาทเราที่ไม่ได้มีปัจจัยเฉพาะอะไรเพิ่มเติมมากดดัน ก็สามารถแข็งค่าได้ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นไปพร้อมกับเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งตรงนี้หมายความว่าการมองทิศทางเงินบาท ต้องทำอย่างระมัดระวัง และประเด็นนี้จะมีนัยต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก และนโยบายของไทย ซึ่งจะได้กลับมาวิเคราะห์ให้ฟังต่อไป
facebook DR kob
โดย Dr.KOB ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2010 เวลา 12:19 น.
เมื่อ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้แข็งค่าไปอยู่ที่ประมาณ 29.50 บาท / ดอลลาร์ สรอ. นับเป็นการแข็งค่าที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี หลายคนคงสงสัยว่า ค่าเงินแข็งมีสาเหตุมาจากอะไร ทำไมค่าเงินต้องเคลื่อนไหวไปมาด้วย
ใน ประเด็นนี้ อยากให้มองว่า “ค่าของเงินบาท” ไม่ได้แตกต่างจาก “ราคาของสินค้า” ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นราคายางพารา น้ำตาล น้ำมัน หรือสินค้าที่เราซื้อหาได้เป็นปกติธรรมดา เช่น ส้ม มะนาว หมู วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
ราคาสินค้าเหล่านี้ขึ้นลงตามกลไก ตลาดตามความต้องการ ในช่วงที่มีคนต้องการซื้อมาก ราคาก็จะสูงขึ้น ในขณะที่ความต้องการลดลง ราคาก็จะลดลง ส่วนค่าเงินบาทก็เช่นกัน จะขึ้นลงตามความต้องการเงินบาทในตลาด ซึ่งมาจาก 3 สาเหตุหลักๆ
1. ความต้องการด้านการค้าและการท่องเที่ยว จากภาคการส่งออกนำเข้าและท่องเที่ยวของไทย เวลาเราส่งออกได้ดี ต่างชาตินิยมสินค้าไทย ต้องการมาเที่ยวเมืองไทย ความต้องการเงินบาทก็จะมีมากขึ้น เพราะการที่ต่างชาติจะซื้อสินค้าไทยได้ มาเที่ยวเมืองไทย ก็ต้องเอาเงินของเขามาแลกซื้อเงินของเรา ยิ่งเราส่งออกได้ดีเท่าไร (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ส่งออกได้ดีกว่านำเข้า) ภาคท่องเที่ยวดีเท่าไร ความต้องการซื้อเงินบาทก็มากขึ้นเท่านั้น
2. ความต้องการด้านการลงทุน จากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาซื้อกิจการ สร้างโรงงาน รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล อสังหาริมทรัพย์ โดยก่อนที่เขาจะลงทุนได้ นักลงทุนต่างชาติต้องเอาเงินที่มีแลกเป็นเงินบาทก่อนเช่นกัน ยิ่งสินทรัพย์ของเราให้กำไร ผลตอบแทนเป็นที่น่าสนใจมากกว่าการลงทุนในต่างประเทศเท่าไร เงินจากต่างชาติก็จะไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ไทยมากขึ้นเท่านั้น
3. ความต้องการจากการเก็งกำไรในเงินบาท เช่นเดียวกับสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน หุ้น ที่มีการเก็งกำไรเป็นประจำ เงินบาทก็เหมือนกัน ช่วงที่เงินบาทกำลังมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น นักเก็งกำไรก็จะพยายามซื้อเงินบาทเก็บไว้ เงินบาทก็มักจะแข็งค่าขึ้นไปด้วย
ส่วนเงินบาทจะไปในทางไหน ต้องดูสมดุลระหว่าง ความต้องการจากด้านการค้า โอกาสการลงทุน รวมถึงความต้องการในการเก็งกำไรในแต่ละขณะ ซึ่งช่วงที่คนต้องการเงินบาทพร้อมๆ กันมากมาก ดังเช่นปัจจุบัน ที่ส่งออกได้ดี สินทรัพย์ของเราน่าสนใจ อีกทั้งเงินบาทกำลังมีแนวโน้มแข็งค่า ทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่ความต้องการเงินบาทที่เพิ่มขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาทในที่สุด และที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งเงินบาทแข็งค่า ผู้ส่งออกก็ยิ่งเร่งขายดอลลาร์ล่วงหน้า หรือทำการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม ก็จะซ้ำเติมทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วขึ้นเพิ่มเติมจากเดิม
ทั้งนี้ สำหรับผู้เล่นรายสุดท้ายในตลาดเงินบาทก็คือ ทางการ (แบงก์ชาติ) ที่อาจเข้ามาแทรกแซงเพื่อดูแลเงินบาทให้ไม่ผันผวน แข็งค่าขึ้นเร็วจนเกินไปนัก โดยนำเงินบาทออกขายในตลาดเพิ่มให้ตามความต้องการของทุกคน ซึ่งอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็จะเป็นเพียงการชั่วคราวเท่านั้น
ท้ายสุด สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ในการติดตามค่าเงินบาท หลายคนชอบยึดติดกับเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ เป็นสำคัญ (จากการที่ไทยเคยผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์ และการที่เราค้าขาย โดยใช้เงินดอลลาร์เป็นตัวกลาง) แต่เราจะดูเงินบาทเทียบกับเงินสกุลใดสกุลหนึ่งไม่ได้ ต้องดูทุกๆ สกุล
ในช่วงปลายปี 52 เงินบาทอยู่ที่ 33.52 บาท/ดอลลาร์ 0.366 บาท/เยน 23.95 บาท/ดอลลาร์สิงคโปร์ 9.93 บาท/ริงกิต แต่ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 29.95 บาท/ดอลลาร์ 0.367 บาท/เยน บาท/ยูโร 23.28 บาท/ดอลลาร์สิงคโปร์ 9.74 บาท/ริงกิต
จะเห็นได้ว่า แม้จะแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์พอสมควร แต่ว่าเทียบกับเงินสกุลอื่นในเอเชีย เงินบาทไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่าลงจากปัญหาในสหรัฐที่ยังแก้ ไม่จบ ทำให้เงินบาทเราที่ไม่ได้มีปัจจัยเฉพาะอะไรเพิ่มเติมมากดดัน ก็สามารถแข็งค่าได้ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นไปพร้อมกับเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งตรงนี้หมายความว่าการมองทิศทางเงินบาท ต้องทำอย่างระมัดระวัง และประเด็นนี้จะมีนัยต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก และนโยบายของไทย ซึ่งจะได้กลับมาวิเคราะห์ให้ฟังต่อไป
facebook DR kob
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3
ส่วนตัวผมว่า ผลจากQE2 ของอเมริกา ในระยะยาว1-2ปีนี้
ยังไงค่าเงินบาทเดี๋ยวก็แข็งขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะ fund flowมันไม่มีที่ไปที่ดีกว่าเอเชีย
ไทยเลยได้อานิสงค์ด้วย
ยังไงค่าเงินบาทเดี๋ยวก็แข็งขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะ fund flowมันไม่มีที่ไปที่ดีกว่าเอเชีย
ไทยเลยได้อานิสงค์ด้วย
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 5
เกี่ยวกับ fund flowหรือไอ้กระแสการไหลของเงินต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นเรา ที่มันเดี๋ยวซื้อ เดี๋ยวมันขาย แถมยังมีนํ้าหนักทำให้ set index ขึ้นลงตามอย่างมีนัยยะ (เนื่องจากเงินต่างชาติมันหนา ซื้อทีขายที ก็สะเทือนsetไปหมด) เรื่องนี้ใครๆก็รู้
แต่ผมมองเห็นประเด็นหนึ่งขึ้นมาที่ทุกคนอาจมองข้ามไป ช่วงก่อนผมยังยึดติดกับการดู fund flow เข้าออกอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มไม่ใช่แล้ว
ยกตัวอย่าง เช่น ตอนปลายปี53 จากสถิติที่ว่าต่างชาติซื้อสุทธิรวมทั้งปีนี้ยังเป็นบวกอยู่ +81,723.80 ล้านบาท แต่พอมาปี54
จากต้นปี 1 Jan - 11 Feb ยอดสะสมรวมจากต้นถึงตอนนี้ -37,704.68 ล้านบาท เนื่องจากต่างชาติเทขายอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีมาเรื่อยๆ
ข้อมูลนี้มันบอกอะไรเรา บางคนใช้พีชคณิตเบื้องต้นมารวมกับ common sense ลบกันเลยว่า 81,723.80 - 37,704.68 จะได้ผลลัพธ์ = 44,019.12 ล้านบาท แล้วก็เหมาว่าต่างชาติยังทิ้งหุ้นไทยไม่หมด ยังเหลืออีกตั้ง 4หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้ คุณติดกับดักแล้วครับ (ผมก็เพิ่งรู้ตัว เพิ่งคิดได้ครับ 555)
ไอ้ที่ว่าเงินต่างชาติที่มาลงทุนในไทยมันเหลืออีกเท่านู้นเท่านี้ แล้วมาคาดการณ์ว่า ต่อไปมันจะเข้ามาเพิ่มหรือมันจะไหลออกนั้น บางทีมันก็ไม่น่าจะเอาข้อมูลเก่ามาใช้คาดการณ์ได้ซักเท่าไหร่
เพราะ เงิน4หมื่นล้านที่เห็น ไม่รู้ว่าผ่านการซื้อขายกี่รอบ ต้นทุนแต่ละรายที่ซื้อก็ไม่เท่ากัน และไม่ใช่ว่าต่างชาติทุกคนจะซื้อแล้วเก็บยาวหมดทุกคน ต่างชาติก็เหมือนคนไทยนี่แหละมีทั้งเล่นสั้น-เล่นยาวแบบเดียวกัน แล้วทีนี้ไอ้คนที่มันขาดทุนก็ต้องมี จริงไหมครับ บางคนซื้อ40,000 แต่อาจเหลือกลับบ้านแค่ 30,000 เพราะขาดทุน จะเห็นว่า ต้นทุนเงินเข้าประเทศกับเงินที่ได้กลับออกไปมันไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แล้วที่ยกตัวอย่างนี่แค่รายเดียวนะครับ ถ้ารวมข้อมูลจากต่างชาติทุกคนมี่มาซื้อขาย ภาพมันจะบิดเบือนไปไกลขนาดไหน เพราะราคาหุนมันไม่ได้อยู่กับที่ แต่มันขึ้นๆลงๆตลอดเวลา
หรืออีกตัวอย่าง เอาแค่ต่างชาติคนๆเดียวเหมือนเดิม สมมติซื้อหุ้น xxx ไว้ 100,000 (ฟันโฟวล์เข้า 100,000) พอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หุ้นลง 5เท่า เลยกลายเป็นมีเงิน 20,000 ตกใจเลยขายหมด (นั่นคือฟันโฟวล์ออก 20,000 ถูกไหมครับ) แค่คนๆเดียวเงินเข้ากับ เงินออกยังไม่เท่ากันเลย ถ้ามองจากตรงนี้แบบเดิมๆ ก็จะบอกต่างชาติยังเหลือเงินอยู่ในประเทศไทยอีกตั้ง 80,000 (100,000 - 20,000 = 80,000) แล้วมันถูกตามจริงไหมครับ
เศร้าครับ.... หมดตัวช่วยไปอีกหนึ่ง อย่าไปสนใจฟันโฟวล์มากเลยครับ คงใช้แค่พอช่วยได้นิดหน่อย คงเป็นแต่การเดาซะมากกว่า ไม่มีทางคาดการณ์ได้ถูกอย่างแน่นอน
แต่ผมมองเห็นประเด็นหนึ่งขึ้นมาที่ทุกคนอาจมองข้ามไป ช่วงก่อนผมยังยึดติดกับการดู fund flow เข้าออกอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มไม่ใช่แล้ว
ยกตัวอย่าง เช่น ตอนปลายปี53 จากสถิติที่ว่าต่างชาติซื้อสุทธิรวมทั้งปีนี้ยังเป็นบวกอยู่ +81,723.80 ล้านบาท แต่พอมาปี54
จากต้นปี 1 Jan - 11 Feb ยอดสะสมรวมจากต้นถึงตอนนี้ -37,704.68 ล้านบาท เนื่องจากต่างชาติเทขายอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีมาเรื่อยๆ
ข้อมูลนี้มันบอกอะไรเรา บางคนใช้พีชคณิตเบื้องต้นมารวมกับ common sense ลบกันเลยว่า 81,723.80 - 37,704.68 จะได้ผลลัพธ์ = 44,019.12 ล้านบาท แล้วก็เหมาว่าต่างชาติยังทิ้งหุ้นไทยไม่หมด ยังเหลืออีกตั้ง 4หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้ คุณติดกับดักแล้วครับ (ผมก็เพิ่งรู้ตัว เพิ่งคิดได้ครับ 555)
ไอ้ที่ว่าเงินต่างชาติที่มาลงทุนในไทยมันเหลืออีกเท่านู้นเท่านี้ แล้วมาคาดการณ์ว่า ต่อไปมันจะเข้ามาเพิ่มหรือมันจะไหลออกนั้น บางทีมันก็ไม่น่าจะเอาข้อมูลเก่ามาใช้คาดการณ์ได้ซักเท่าไหร่
เพราะ เงิน4หมื่นล้านที่เห็น ไม่รู้ว่าผ่านการซื้อขายกี่รอบ ต้นทุนแต่ละรายที่ซื้อก็ไม่เท่ากัน และไม่ใช่ว่าต่างชาติทุกคนจะซื้อแล้วเก็บยาวหมดทุกคน ต่างชาติก็เหมือนคนไทยนี่แหละมีทั้งเล่นสั้น-เล่นยาวแบบเดียวกัน แล้วทีนี้ไอ้คนที่มันขาดทุนก็ต้องมี จริงไหมครับ บางคนซื้อ40,000 แต่อาจเหลือกลับบ้านแค่ 30,000 เพราะขาดทุน จะเห็นว่า ต้นทุนเงินเข้าประเทศกับเงินที่ได้กลับออกไปมันไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แล้วที่ยกตัวอย่างนี่แค่รายเดียวนะครับ ถ้ารวมข้อมูลจากต่างชาติทุกคนมี่มาซื้อขาย ภาพมันจะบิดเบือนไปไกลขนาดไหน เพราะราคาหุนมันไม่ได้อยู่กับที่ แต่มันขึ้นๆลงๆตลอดเวลา
หรืออีกตัวอย่าง เอาแค่ต่างชาติคนๆเดียวเหมือนเดิม สมมติซื้อหุ้น xxx ไว้ 100,000 (ฟันโฟวล์เข้า 100,000) พอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หุ้นลง 5เท่า เลยกลายเป็นมีเงิน 20,000 ตกใจเลยขายหมด (นั่นคือฟันโฟวล์ออก 20,000 ถูกไหมครับ) แค่คนๆเดียวเงินเข้ากับ เงินออกยังไม่เท่ากันเลย ถ้ามองจากตรงนี้แบบเดิมๆ ก็จะบอกต่างชาติยังเหลือเงินอยู่ในประเทศไทยอีกตั้ง 80,000 (100,000 - 20,000 = 80,000) แล้วมันถูกตามจริงไหมครับ
เศร้าครับ.... หมดตัวช่วยไปอีกหนึ่ง อย่าไปสนใจฟันโฟวล์มากเลยครับ คงใช้แค่พอช่วยได้นิดหน่อย คงเป็นแต่การเดาซะมากกว่า ไม่มีทางคาดการณ์ได้ถูกอย่างแน่นอน
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Paul Octopus
- Verified User
- โพสต์: 798
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 6
ถ้าเราดูดีๆ เงินที่ใหลเข้าเมืองไทยในช่วงปีที่แล้ว และ ปีนี้เข้าไปในตลาด พันธบัตรเป็นส่วนใหญ่
ซี่งแบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล และ ธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นเงินลงทุนที่ตั้งใจเอาเข้ามาในระยะกลางๆ 12 เดือนจนถึงระยะยาว 10 ปี
ดังนั้น บาทจะแข็งยาวแน่ ไม่ใช่ช่วงสั้นๆ และ อาจแข็งขึ้นเรื่อยๆตราบเท่าที่เรา ยังมีการเติบโต GDP ที่สูงกว่า ยุโรป และ อเมริกา
ซี่งแบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล และ ธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นเงินลงทุนที่ตั้งใจเอาเข้ามาในระยะกลางๆ 12 เดือนจนถึงระยะยาว 10 ปี
ดังนั้น บาทจะแข็งยาวแน่ ไม่ใช่ช่วงสั้นๆ และ อาจแข็งขึ้นเรื่อยๆตราบเท่าที่เรา ยังมีการเติบโต GDP ที่สูงกว่า ยุโรป และ อเมริกา
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 7
ผมก็พึ่งรู้เหมือนกันเป็นความเห็นที่ดีมากครับ อยากเรียนถามต่อว่าการอ่อนค่าหรือแข็งค่าของเงินบาทสามารถบอกทิศทาง funก flow ได้หรือไม่อย่างไรครับnavapon เขียน:เกี่ยวกับ fund flowหรือไอ้กระแสการไหลของเงินต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นเรา ที่มันเดี๋ยวซื้อ เดี๋ยวมันขาย แถมยังมีนํ้าหนักทำให้ set index ขึ้นลงตามอย่างมีนัยยะ (เนื่องจากเงินต่างชาติมันหนา ซื้อทีขายที ก็สะเทือนsetไปหมด) เรื่องนี้ใครๆก็รู้
แต่ผมมองเห็นประเด็นหนึ่งขึ้นมาที่ทุกคนอาจมองข้ามไป ช่วงก่อนผมยังยึดติดกับการดู fund flow เข้าออกอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มไม่ใช่แล้ว
ยกตัวอย่าง เช่น ตอนปลายปี53 จากสถิติที่ว่าต่างชาติซื้อสุทธิรวมทั้งปีนี้ยังเป็นบวกอยู่ +81,723.80 ล้านบาท แต่พอมาปี54
จากต้นปี 1 Jan - 11 Feb ยอดสะสมรวมจากต้นถึงตอนนี้ -37,704.68 ล้านบาท เนื่องจากต่างชาติเทขายอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีมาเรื่อยๆ
ข้อมูลนี้มันบอกอะไรเรา บางคนใช้พีชคณิตเบื้องต้นมารวมกับ common sense ลบกันเลยว่า 81,723.80 - 37,704.68 จะได้ผลลัพธ์ = 44,019.12 ล้านบาท แล้วก็เหมาว่าต่างชาติยังทิ้งหุ้นไทยไม่หมด ยังเหลืออีกตั้ง 4หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้ คุณติดกับดักแล้วครับ (ผมก็เพิ่งรู้ตัว เพิ่งคิดได้ครับ 555)
ไอ้ที่ว่าเงินต่างชาติที่มาลงทุนในไทยมันเหลืออีกเท่านู้นเท่านี้ แล้วมาคาดการณ์ว่า ต่อไปมันจะเข้ามาเพิ่มหรือมันจะไหลออกนั้น บางทีมันก็ไม่น่าจะเอาข้อมูลเก่ามาใช้คาดการณ์ได้ซักเท่าไหร่
เพราะ เงิน4หมื่นล้านที่เห็น ไม่รู้ว่าผ่านการซื้อขายกี่รอบ ต้นทุนแต่ละรายที่ซื้อก็ไม่เท่ากัน และไม่ใช่ว่าต่างชาติทุกคนจะซื้อแล้วเก็บยาวหมดทุกคน ต่างชาติก็เหมือนคนไทยนี่แหละมีทั้งเล่นสั้น-เล่นยาวแบบเดียวกัน แล้วทีนี้ไอ้คนที่มันขาดทุนก็ต้องมี จริงไหมครับ บางคนซื้อ40,000 แต่อาจเหลือกลับบ้านแค่ 30,000 เพราะขาดทุน จะเห็นว่า ต้นทุนเงินเข้าประเทศกับเงินที่ได้กลับออกไปมันไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แล้วที่ยกตัวอย่างนี่แค่รายเดียวนะครับ ถ้ารวมข้อมูลจากต่างชาติทุกคนมี่มาซื้อขาย ภาพมันจะบิดเบือนไปไกลขนาดไหน เพราะราคาหุนมันไม่ได้อยู่กับที่ แต่มันขึ้นๆลงๆตลอดเวลา
หรืออีกตัวอย่าง เอาแค่ต่างชาติคนๆเดียวเหมือนเดิม สมมติซื้อหุ้น xxx ไว้ 100,000 (ฟันโฟวล์เข้า 100,000) พอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หุ้นลง 5เท่า เลยกลายเป็นมีเงิน 20,000 ตกใจเลยขายหมด (นั่นคือฟันโฟวล์ออก 20,000 ถูกไหมครับ) แค่คนๆเดียวเงินเข้ากับ เงินออกยังไม่เท่ากันเลย ถ้ามองจากตรงนี้แบบเดิมๆ ก็จะบอกต่างชาติยังเหลือเงินอยู่ในประเทศไทยอีกตั้ง 80,000 (100,000 - 20,000 = 80,000) แล้วมันถูกตามจริงไหมครับ
เศร้าครับ.... หมดตัวช่วยไปอีกหนึ่ง อย่าไปสนใจฟันโฟวล์มากเลยครับ คงใช้แค่พอช่วยได้นิดหน่อย คงเป็นแต่การเดาซะมากกว่า ไม่มีทางคาดการณ์ได้ถูกอย่างแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 8
ผมว่าส่วนใหญ่ก็ไปตามกันนะ ... แล้วเราได้ประโยชน์อะไรจากการวิเคราะห์นี้ครับ 

-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งกับเงินทุนไหนเข้าหน่อยครับ
โพสต์ที่ 9
ผมว่าการอ่านปริมาณการซื้อขายสะสมของต่างชาติ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไหร่ ดังที่ผมอธิบายไว้ข้างต้น
แต่การอ่านทิศทางฟันโฟวล์จากข้อมูลอื่นๆ ก็ยังน่าจะมีประโยชน์อยู่ครับ เพราะเป็นการอ่านทิศทางเศรษฐศาสตร์หมภาคอย่างหนึ่ง บางท่านอาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับผมมันมีประโยชน์ครับ
สำหรับเรื่องฟันโฟวล์และทิศทางค่าเงินบาท ขอลองตอบว่า มันน่าจะไปทิศทางเดียวกัน + เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน นั่นคือ
ฟันโฟวล์ต่างชาติที่ไหลเข้าไทยนั้นทำให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็ง และ บาทยิ่งแข็งก็ยิ่งทำให้ฟันโฟวล์ไหลเข้าด้วย
ลองดูนะครับ ถ้าต่างชาติมองว่าดอลล่าห์น่าจะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เขาต้องถ่ายเททรัพย์สินที่เก็บอยู่ในรูปเงินดอลล่าห์ของเขาไปถือครองอย่างอื่น เช่น มาลงทุนทั้งหุ้น และ/หรือ ตราสารหนี้ของไทย เพราะดีกว่าปล่อยให้ค่าเงินดอล์เสื่อมลงไป แล้วเทียบเท่ากับตัวเองจนลง
ทีนี้ถ้าต่างชาติคนอื่นๆเขาก็แห่กันซื้อเงินบาทหรือมาลงทุนในไทยมากขึ้นเช่นกัน demand> supply ค่าเงินบาทก็ต้องแข็งขึ้น คนซื้อก่อนก็ต้นทุนตํ่ากว่า(แบบเดียวกับหุ้นเลย) คนแห่ตามมาซื้อทีหลังเพราะอยากได้บ้าง ก็เป็นตัวผลักดันให้ค่าเงินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าฟองสบู่จะแตกและคนเลิกสนมาลงทุนในไทยนั่นแหละ ตรงนี้อธิบายว่า ฟันโฟวล์ต่างชาติที่ไหลเข้าไทยนั้นทำให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็ง
ส่วนที่อธิบายว่า ค่าเงินบาทแข็งทำให้ฟันโฟวล์ยิ่งไหลเข้า ก็คือ สมมติ ว่าตอนนี้ 1 usd = 30 baht ต่างชาติคนหนึ่งจึงเอาเงิน 1 usd ของเขามาซื้อเงินบาทเก็บไว้ นั่นคือเขาจะมี 30 baht (สมมติแค่ง่ายๆแค่มาซื้อเงินไทย ไม่ต้องซื้อหุ้นหรือพันธบัตร จะได้ดูง่ายดี) ต่อมาถ้าค่าเงินแข็งขึ้น สมมติอัตราแลกเปลี่ยนใหม่เป็น 1usd = 20 baht ต่างชาติคนนี้เขามี 30 baht เขาก็จะแลกกลับเป็นเงิน usd ได้ = 1.5 usd เอาเงินมา 1usd ได้เงินกลับบ้าน 1.5 usd อ่าฮ้า คนก็ยิ่งแห่ซื้อตามสิ ยิ่งคาดว่าคนอื่นเขาเข้ามาซื้อเก็งเหมือนกับตัวเอง ตามกระแส จึงรีบชิงซื้อก่อน คนที่มาทีหลังเห็นคนแรกซื้อบาทไว้แลกกลับเป็นดอลล่าห์แล้วได้กำไร ก็จะแห่ซื้อตามๆกันมาเรื่อยๆ (แย่งกันซื้อให้ได้ก่อนคนอื่นๆเพราะคาดว่าคนอื่นจะซื้อตาม แล้วจะได้กินส่วนต่างค่าเงินที่มากกว่า) ส่วนต่างชาติคนที่มาซื้อทีหลัง ค่าเงินบาทไม่ค่อยพุ่งแล้ว ก็กำไรน้อยและติดยอดดอย รอฟองสบู่ค่าเงินบาทแตก ก็คงเป็นตอนที่ต่างชาติคนอื่นๆเขาเลิกสนไทยและเอเชีย แล้วขนเงินกลับจริงๆ เช่น เมื่อจีนเศษฐกิจพัง หรือ อเมริกาพลิกฟื้นจริงๆ เป็นต้น
แต่ตอนนี้ อัตราคนว่างงานในอเมริกา ~ 10% ส่วนไทยแค่ 1% คุณว่าต่างชาติเขาจะมาลงทุนที่ไหนล่ะ
สรุป ผมว่า..ยังไงต่างชาติก็ยังมาลงทุนในไทยต่อไป ยังไม่ออกไปง่ายๆครับ
แต่การอ่านทิศทางฟันโฟวล์จากข้อมูลอื่นๆ ก็ยังน่าจะมีประโยชน์อยู่ครับ เพราะเป็นการอ่านทิศทางเศรษฐศาสตร์หมภาคอย่างหนึ่ง บางท่านอาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับผมมันมีประโยชน์ครับ
สำหรับเรื่องฟันโฟวล์และทิศทางค่าเงินบาท ขอลองตอบว่า มันน่าจะไปทิศทางเดียวกัน + เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน นั่นคือ
ฟันโฟวล์ต่างชาติที่ไหลเข้าไทยนั้นทำให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็ง และ บาทยิ่งแข็งก็ยิ่งทำให้ฟันโฟวล์ไหลเข้าด้วย
ลองดูนะครับ ถ้าต่างชาติมองว่าดอลล่าห์น่าจะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เขาต้องถ่ายเททรัพย์สินที่เก็บอยู่ในรูปเงินดอลล่าห์ของเขาไปถือครองอย่างอื่น เช่น มาลงทุนทั้งหุ้น และ/หรือ ตราสารหนี้ของไทย เพราะดีกว่าปล่อยให้ค่าเงินดอล์เสื่อมลงไป แล้วเทียบเท่ากับตัวเองจนลง
ทีนี้ถ้าต่างชาติคนอื่นๆเขาก็แห่กันซื้อเงินบาทหรือมาลงทุนในไทยมากขึ้นเช่นกัน demand> supply ค่าเงินบาทก็ต้องแข็งขึ้น คนซื้อก่อนก็ต้นทุนตํ่ากว่า(แบบเดียวกับหุ้นเลย) คนแห่ตามมาซื้อทีหลังเพราะอยากได้บ้าง ก็เป็นตัวผลักดันให้ค่าเงินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าฟองสบู่จะแตกและคนเลิกสนมาลงทุนในไทยนั่นแหละ ตรงนี้อธิบายว่า ฟันโฟวล์ต่างชาติที่ไหลเข้าไทยนั้นทำให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็ง
ส่วนที่อธิบายว่า ค่าเงินบาทแข็งทำให้ฟันโฟวล์ยิ่งไหลเข้า ก็คือ สมมติ ว่าตอนนี้ 1 usd = 30 baht ต่างชาติคนหนึ่งจึงเอาเงิน 1 usd ของเขามาซื้อเงินบาทเก็บไว้ นั่นคือเขาจะมี 30 baht (สมมติแค่ง่ายๆแค่มาซื้อเงินไทย ไม่ต้องซื้อหุ้นหรือพันธบัตร จะได้ดูง่ายดี) ต่อมาถ้าค่าเงินแข็งขึ้น สมมติอัตราแลกเปลี่ยนใหม่เป็น 1usd = 20 baht ต่างชาติคนนี้เขามี 30 baht เขาก็จะแลกกลับเป็นเงิน usd ได้ = 1.5 usd เอาเงินมา 1usd ได้เงินกลับบ้าน 1.5 usd อ่าฮ้า คนก็ยิ่งแห่ซื้อตามสิ ยิ่งคาดว่าคนอื่นเขาเข้ามาซื้อเก็งเหมือนกับตัวเอง ตามกระแส จึงรีบชิงซื้อก่อน คนที่มาทีหลังเห็นคนแรกซื้อบาทไว้แลกกลับเป็นดอลล่าห์แล้วได้กำไร ก็จะแห่ซื้อตามๆกันมาเรื่อยๆ (แย่งกันซื้อให้ได้ก่อนคนอื่นๆเพราะคาดว่าคนอื่นจะซื้อตาม แล้วจะได้กินส่วนต่างค่าเงินที่มากกว่า) ส่วนต่างชาติคนที่มาซื้อทีหลัง ค่าเงินบาทไม่ค่อยพุ่งแล้ว ก็กำไรน้อยและติดยอดดอย รอฟองสบู่ค่าเงินบาทแตก ก็คงเป็นตอนที่ต่างชาติคนอื่นๆเขาเลิกสนไทยและเอเชีย แล้วขนเงินกลับจริงๆ เช่น เมื่อจีนเศษฐกิจพัง หรือ อเมริกาพลิกฟื้นจริงๆ เป็นต้น
แต่ตอนนี้ อัตราคนว่างงานในอเมริกา ~ 10% ส่วนไทยแค่ 1% คุณว่าต่างชาติเขาจะมาลงทุนที่ไหนล่ะ
สรุป ผมว่า..ยังไงต่างชาติก็ยังมาลงทุนในไทยต่อไป ยังไม่ออกไปง่ายๆครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ