ในช่วงปลายปี เป็นโอกาสที่ดีที่จะมองย้อนหลังกลับไปว่า ใน 11 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจปี 53 เป็นอย่างไร
ถ้าจะสรุปสั้นๆ คงต้องบอกว่า ปี 53 ไม่ได้ง่าย สบายๆ อย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นปีที่มีความท้าทายผันผวนพอสมควร โดยเงาของวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ยังคงทอดยาวต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และจะส่งผลไปอีกระยะหนึ่ง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า วิกฤตในสหรัฐและยุโรปเป็นวิกฤตสถาบันการเงินและวิกฤตฐานะการเงิน (Balance sheet) ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในภาคสถาบันการเงิน บริษัท ครัวเรือน ซึ่งใช้เวลาสะสมตัวมานาน จากกาารที่ทุกคนเข้าไปเสี่ยงลงทุน ปล่อยสินเชื่อ ขยายกิจการ ใช้จ่ายอย่างเกินตัว เมื่อเกิดวิกฤต จึงไม่น่าแปลกใจว่า การคลี่คลายวิกฤตใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะจะต้องเข้าไปล้างหนี้เสียในระบบออกมาเพื่อให้ฐานะการเงินของทุกคนกลับเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือ ระหว่างที่กระบวนการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูเศรษฐกิจกำลังดำเนินไปนั้น หนี้เสียของภาคเอกชนกำลังถูกโอนย้ายไปยังภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเข้าอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหา การเข้าไปช่วยดูแลบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ต้องตกงาน การให้แรงจูงใจด้านภาษีในการประนอมหนี้ รวมไปถึงความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นผ่านมาตรการต่างๆ ที่ทำให้ฐานะการเงิน (Balance Sheet) ของรัฐบาลเปลี่ยนไป จากเคยดี กลายเป็นปานกลาง และในบางประเทศกลายเป็นน่ากังวลใจ จนถึงขั้นกลายเป็นวิกฤต เช่น ไอซ์แลนด์ กรีซ ไอร์แลนด์ เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อดูแลคนไข้ ประคองเศรษฐกิจให้ไม่ตกต่ำไปกว่านี้ ธนาคารกลางของสหรัฐและยุโรปได้ตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำอย่างที่เคยเป็นมาก่อน (ซึ่งจะต่ำไปอีกนานพอสมควร) และการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมในระบบ (จากที่เคยบอกว่าจะดึงสภาพคล่องกลับ) มาตรการเหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับการเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดโภคภัณฑ์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดพันธบัตร รวมไปถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ในบางประเทศ สร้างความผันผวนกับระบบการเงินโลก ซึ่งเงินเหล่านี้ เมื่อเข้ามาง่าย ก็กลับไปง่าย เมื่อเก็งกำไรขาขึ้นไว้มาก ตอนตกก็ตกได้เร็วและแรง เพิ่มความเสี่ยงในระบบการเงินโลก และกลายเป็นความท้าทายของประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเรา
สำหรับเศรษฐกิจของเอเชียและไทย ที่น่าสนใจก็คือ ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น เราฟื้นตัวได้ดีมาก โดยในปัจจุบัน ระดับการผลิต การบริโภค การลงทุน ดัชนีหลักทรัพย์ได้กลับไปสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤตได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเอเชียไม่ได้มีปัญหาด้านฐานะการเงิน (Balance Sheet) เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่หายไปในช่วงเกิดวิกฤตในระบบเศรษฐกิจโลกเท่านั้น ซึ่งเมื่อช่วงร้ายแรงของวิกฤตผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็กลับพลิกฟื้น เศรษฐกิจก็เดินต่อไปได้ ไม่ต้องพยายามคลี่คลายหรือล้างหนี้เสีย เช่นเดียวกับประเทศที่เกิดวิกฤต
ความท้าทายของเอเชียและไทยอยู่ที่
(1) จะทำอย่างไรในช่วงต่อไป หากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปจะแผ่วลงในปีหน้า และซึมไปอีกระยะหนึ่ง เพราะช่วงของการตีกลับ (Rebound) จากฐานที่ต่ำ ที่ทำให้ดัชนีต่างๆ ขยายตัวอย่างสวยงาม (ส่งออกขยายตัว 40% การผลิตเพิ่มขึ้น 30% การบริโภคขยายตัว 7-8% ลงทุนขยายตัว 20% ทำให้ทุกคนใจชื้น มีกำลังใจมากขึ้น ดังเช่นในช่วงต้นปี) กำลังจะจบลง ต่อไปตัวเลขเศรษฐกิจที่จะออกมา จะเป็นปกติ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ซ้ำร้ายอาจลดลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าด้วยซ้ำไป
(2) เราจะอยู่กับความผันผวนของระบบการเงินโลกอย่างไร โดยค่าเงินที่ผันผวนขึ้น แข็งขึ้น รวมทั้งวิกฤตที่จะเกิดเป็นระยะๆ จะเป็นความท้าทายไปอีกระยะหนึ่ง และ
(3) แล้วเราจะจัดการกับเงินทุนที่รอจะไหลเข้ามาอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหา และเป็นเงื่อนไขนำไปสู่วิกฤตในช่วงต่อไป
สำหรับปัจจัยเฉพาะของไทย เรายังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังไม่จบ หลายคนยังมีเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่โชคดีที่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจสามารถรองรับปัญหาการเมืองได้ดีในระดับหนึ่ง สามารถฟื้นตัวต่อไปได้อย่างน่าพอใจ แต่นั้นคือช่วงที่เราได้รับอานิสงค์ของการตีกลับ (Rebound) จากฐานที่ต่ำ และจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นจากวิกฤต สำหรับช่วงข้างหน้า ขณะที่เศรษฐกิจโลกและไทยเริ่มแผ่วลง ปัญหาการเมืองจะทำให้กระบวนการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคซับซ้อนและเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งขึ้น ยากกว่าปี 53 ตรงนี้ก็ต้องขอเอาใจช่วยทุกคนให้เราสามารถผ่านความท้าทายที่กำลังรออยู่ไปได้ครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำวันที่ 8 ธ.ค. 53
คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร.กอบ