การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากกัน
โพสต์ที่ 1
การวิเคราะห์หามูลค่าหุ้นให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดนั้น เราต้องทำตัวเป็นผู้สังเกต(observer)แบบคนวงนอกแล้วหาความสัมพันธ์ของแต่ละปัจจัย จนได้ข้อสรุปออกมา ว่าแต่ละเหตปัจจัยส่งผลอย่างไร การวิเคราะห์ฝรั่งก็พยายามแยกตัวเราออกมาเหลือแค่ข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นทำให้มีแบบจำลองการประเมินมูลค่าหุ้นมากมาย แต่สุดท้ายได้ตัวเลขมาก็มาเห็นความจริงแล้วรับไม่ได้ก็ปรับตัวเลขให้ตรงกับกิเลสตัวเราเองอยู่ดี จึงเป็นข้อสรุปว่าทำไมหุ้นตัวเดียวกันแต่ละคนถึงมีมูลค่าหุ้นในใจไม่เท่ากันให้ใช้เครื่องมือเดียวกันด้วย
สรุปราคาหุ้นก็มาจากใจเรานั่นแหละ เป็นตัวแทนสะท้อนกิเลสเรานั้นเอง แค่มีสติรู้ทันใจตัวเองเห็นหุ้นตามความเป็นจริง เห็นเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่หุ้นตัวนั้น ท่านจะลงทุนในหุ้นได้ระดับบร๊ะเจ้ากันเลยทีเดียว ทฤษฎีเรื่องใจนี่อย่าถามฝรั่งครับเพราะพวกนี้ศึกษาจนรู้ทุกเรื่อง อวกาศก็ไป ทะเลลึกก็ไป ไม่รู้อยู่เรื่องเดียวคือ ใจตัวเอง ก็ต้องมาพึ่งพระพุทธเจ้านี่แหละครับ ท่านวิจัยเรื่องใจจนแจ่มแจ้ง
วิธีการก็ง่ายๆเพียงแค่มีสติรู้ทันใจก็จะสามารถแยกข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นและการปรุงแต่งออกจากกันได้ เห็นเป็นส่วนๆ แล้วจะเห็นหุ้นตามความเป็นจริง
ยกตัวอย่างหุ้น GFPT แล้วกัน ตอนค้นพบครั้งแรก มาจากการกรองหุ้นเอาที่ PE ต่ำๆ ก็ได้หุ้นตัวนี้มา
ข้อเท็จจริง
ราคา 20 บาท
กำไรปีนี้ 8 บาท/หุ้น
PE ตอนนี้ =20/8= 2.5
ข้อคิดเห็น
สมมติให้ปีหน้ากำไรใกล้เคียงเดิมที่ 8 บาท
สมมติให้ foreword PE อยู่ที่ 10 เท่า
10=p/8
ราคาเหมาสมอยู่ที่ p=80 บาท ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 20 บาท
การปรุงแต่ง
มันจะวิ่งไป 4 เท่าต้องขายบ้านขายรถซื้อแล้ว รวย ๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอาเงินไปทำอะไรดีหนอ เที่ยวรอบโลกดีไหม
ตอนนี้คนไม่ค่อยสนใจเก็บหุ้นให้ได้จำนวนก่อนแล้วค่อยไปโพสใน thaivi เดี๋ยวคนก็แห่กันมาซื้อตาม
....
...
..
สรุปราคาหุ้นก็มาจากใจเรานั่นแหละ เป็นตัวแทนสะท้อนกิเลสเรานั้นเอง แค่มีสติรู้ทันใจตัวเองเห็นหุ้นตามความเป็นจริง เห็นเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่หุ้นตัวนั้น ท่านจะลงทุนในหุ้นได้ระดับบร๊ะเจ้ากันเลยทีเดียว ทฤษฎีเรื่องใจนี่อย่าถามฝรั่งครับเพราะพวกนี้ศึกษาจนรู้ทุกเรื่อง อวกาศก็ไป ทะเลลึกก็ไป ไม่รู้อยู่เรื่องเดียวคือ ใจตัวเอง ก็ต้องมาพึ่งพระพุทธเจ้านี่แหละครับ ท่านวิจัยเรื่องใจจนแจ่มแจ้ง
วิธีการก็ง่ายๆเพียงแค่มีสติรู้ทันใจก็จะสามารถแยกข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นและการปรุงแต่งออกจากกันได้ เห็นเป็นส่วนๆ แล้วจะเห็นหุ้นตามความเป็นจริง
ยกตัวอย่างหุ้น GFPT แล้วกัน ตอนค้นพบครั้งแรก มาจากการกรองหุ้นเอาที่ PE ต่ำๆ ก็ได้หุ้นตัวนี้มา
ข้อเท็จจริง
ราคา 20 บาท
กำไรปีนี้ 8 บาท/หุ้น
PE ตอนนี้ =20/8= 2.5
ข้อคิดเห็น
สมมติให้ปีหน้ากำไรใกล้เคียงเดิมที่ 8 บาท
สมมติให้ foreword PE อยู่ที่ 10 เท่า
10=p/8
ราคาเหมาสมอยู่ที่ p=80 บาท ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 20 บาท
การปรุงแต่ง
มันจะวิ่งไป 4 เท่าต้องขายบ้านขายรถซื้อแล้ว รวย ๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอาเงินไปทำอะไรดีหนอ เที่ยวรอบโลกดีไหม
ตอนนี้คนไม่ค่อยสนใจเก็บหุ้นให้ได้จำนวนก่อนแล้วค่อยไปโพสใน thaivi เดี๋ยวคนก็แห่กันมาซื้อตาม
....
...
..
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 4
Mos=margin of satisfaction
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยครับ ขอยกตัวอย่างเสริมให้ดูนิดนึง
เหมือนที่มีคนบอกว่า บางครั้ง VI มัน base on สมมติฐานเยอะเกินไป ตัวเลขทุกตัวที่เราตั้งขึ้น เช่น ถ้า growth stock เติบโต yoy 15% ไปได้ 10 ปี หลังจากนั้นจะโตแค่ 2-3% พอ DCF ออกมาแล้ว intrinsic value ของบริษัทนี้ได้ค่าเป็น X ถ้าสูงกว่า Y ราคาปัจจุบันก็ซื้อ ถ้า X ต่ำกว่า Y ก็ไม่ซื้อ ฟังดูง่ายไหมครับ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าไอ้เลข 15% กับ 10 ปีเราสมมติขึ้นมา บังเิอิญว่าถ้า Y>X แต่เราดันอยากซื้อหุ้นตัวนี้มาก เลยคิดว่าเอาหน่ะ หยวนๆ มันอาจจะโต 16% ต่อปีก็ได้ หรือมันอาจจะ sustain high growth rate ไปได้อีก 11 หรือ 12 ปีก็ได้ พอปรับค่าลง intrinsic value ก็มากขึ้น เมื่อ X สูงขึ้นกว่า Y เราก็ eureka ซื้อหุ้นได้แล้ว เห็นไหม ราคาตอนนี้ถูกกว่ามูลค่ามัน
ถ้ามองในแง่นี้ Philips Fisher กับ Warren Buffett ถึงประสบความสำเร็จเพราะว่า เลือกที่จะซื้อบริษัทที่มี DCA สูงมากๆ มัน sustain growth rate ได้ยาวกว่าที่เราคิด(มาก) แต่ถ้าเราซื้อบริษัทที่มี DCA สูงมากๆไม่ได้อย่างเขาหล่ะ บริษัทแบบที่ life cycle ธรรมดาๆ เกิดมาแล้วดับไปครับ คือจากโต 15% ต่อปีลงมาเหลือ 4-5% ต่อปี ลองดูพวกหุ้นเก่าแก่ อย่าง SUC, DTC, CTW, AFC ดู (ยกเว้น SCC กับ SPC) พวกนี้ปัจจุบัน ส่วนของผู้ถือหุ้นโตขึ้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์ครับ
ไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องฝรั่ง เชื้อชาติไม่เกี่ยวหรอกครับ
เหมือนที่มีคนบอกว่า บางครั้ง VI มัน base on สมมติฐานเยอะเกินไป ตัวเลขทุกตัวที่เราตั้งขึ้น เช่น ถ้า growth stock เติบโต yoy 15% ไปได้ 10 ปี หลังจากนั้นจะโตแค่ 2-3% พอ DCF ออกมาแล้ว intrinsic value ของบริษัทนี้ได้ค่าเป็น X ถ้าสูงกว่า Y ราคาปัจจุบันก็ซื้อ ถ้า X ต่ำกว่า Y ก็ไม่ซื้อ ฟังดูง่ายไหมครับ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าไอ้เลข 15% กับ 10 ปีเราสมมติขึ้นมา บังเิอิญว่าถ้า Y>X แต่เราดันอยากซื้อหุ้นตัวนี้มาก เลยคิดว่าเอาหน่ะ หยวนๆ มันอาจจะโต 16% ต่อปีก็ได้ หรือมันอาจจะ sustain high growth rate ไปได้อีก 11 หรือ 12 ปีก็ได้ พอปรับค่าลง intrinsic value ก็มากขึ้น เมื่อ X สูงขึ้นกว่า Y เราก็ eureka ซื้อหุ้นได้แล้ว เห็นไหม ราคาตอนนี้ถูกกว่ามูลค่ามัน
ถ้ามองในแง่นี้ Philips Fisher กับ Warren Buffett ถึงประสบความสำเร็จเพราะว่า เลือกที่จะซื้อบริษัทที่มี DCA สูงมากๆ มัน sustain growth rate ได้ยาวกว่าที่เราคิด(มาก) แต่ถ้าเราซื้อบริษัทที่มี DCA สูงมากๆไม่ได้อย่างเขาหล่ะ บริษัทแบบที่ life cycle ธรรมดาๆ เกิดมาแล้วดับไปครับ คือจากโต 15% ต่อปีลงมาเหลือ 4-5% ต่อปี ลองดูพวกหุ้นเก่าแก่ อย่าง SUC, DTC, CTW, AFC ดู (ยกเว้น SCC กับ SPC) พวกนี้ปัจจุบัน ส่วนของผู้ถือหุ้นโตขึ้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์ครับ
ไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องฝรั่ง เชื้อชาติไม่เกี่ยวหรอกครับ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 6
ไอเดียมาจากการปฎิบัติธรรมครับ ถ้าใจตั้งมันเป็นสัมมาสมาธิ จะเห็นขันธ์ 5 แยกเป็นส่วน
รูป คือร่างกายเรา แสง สี เสียง ที่มากระทบ
เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ
สัญญา ความจำได้หมายรู้ ว่านี่คือราคาหุ้น PE BV CFC (ข้อเท็จจริง)
สังขาร การคิด (ข้อคิดเห็น)
วิญญาณ การปรุงแต่ง
ถ้าใจตั้งมันเป็นผู้รู้ผู้ดูต่อไปจะเห็นขันธ์ 5 มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดูต่อหน้าต่อตา เห็นความจริงบ่อยๆ ว่ามันเป็นทุกข์ เพราะมันไม่เทียง และถูกปรุงแต่ไปตามเหตุปัจจัย ใจมันก็จะวางเอง
ถ้าสังเกตใจเราเวลาเราะวิเคราะห์หุ้น แบบไม่มีสติ ทั้งความคิดเห็น ข้อเท็จจริง และ การปรุงแต่งมันจะรวมเป็นก้อนเดียวหมดเลย คิดวนไปวนมาอย่างนั้นแหละ ราคาที่วิเคราะห์ออกมาก็ไม่สะท้อนความเป็นจริง เป็นราคาที่เราอยากให้เป็น bias เต็มไปหมด
ดังนั้นในการวิเคราะห์ถ้าเราเอาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ออกมา ก็จะเป็นการวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลอย่างโดยใช้ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเท่านั้น ราคาที่ออกมาก็จะสะท้อนความจริงมากขึ้น(ตามกรอบความรู้และประสบการณ์ที่เรามีนะ) เหมือนวิเคราะห์จากคนวงนอก
เครื่องมือสำคัญคือสติ การปรุงแต่งหรือกิเลศมันกลัวสติ กิเลศเกิดขึ้นสติมากิเลศดับ วิธีฝึกวิธีแรกคือหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ รู้บ่อยๆ ความโลภเกิดขึ้นให้รู้ ความโกรธเกิดขึ้นให้รู้ ความหลงเกิดขึ้นให้รู้ ฝึกบ่อยๆเวลาวิเคราะห์หุ้น พอความโลภเกิดขึ้นสติจะเกิดแบบ Realtime พอตามทันความโลภมันจะดับไป ก็จะเหลือแต่เหตุผล (ข้อเท็จจริงกับความคิด)
หรืออีกวิธีถ้าไม่สามารถรู้ทันใจขณะวิเคราะห์ได้ก็เขียนแยก เป็นข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และการปรุงแต่งก็ได้ครับ
รูป คือร่างกายเรา แสง สี เสียง ที่มากระทบ
เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ
สัญญา ความจำได้หมายรู้ ว่านี่คือราคาหุ้น PE BV CFC (ข้อเท็จจริง)
สังขาร การคิด (ข้อคิดเห็น)
วิญญาณ การปรุงแต่ง
ถ้าใจตั้งมันเป็นผู้รู้ผู้ดูต่อไปจะเห็นขันธ์ 5 มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดูต่อหน้าต่อตา เห็นความจริงบ่อยๆ ว่ามันเป็นทุกข์ เพราะมันไม่เทียง และถูกปรุงแต่ไปตามเหตุปัจจัย ใจมันก็จะวางเอง
ถ้าสังเกตใจเราเวลาเราะวิเคราะห์หุ้น แบบไม่มีสติ ทั้งความคิดเห็น ข้อเท็จจริง และ การปรุงแต่งมันจะรวมเป็นก้อนเดียวหมดเลย คิดวนไปวนมาอย่างนั้นแหละ ราคาที่วิเคราะห์ออกมาก็ไม่สะท้อนความเป็นจริง เป็นราคาที่เราอยากให้เป็น bias เต็มไปหมด
ดังนั้นในการวิเคราะห์ถ้าเราเอาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ออกมา ก็จะเป็นการวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลอย่างโดยใช้ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเท่านั้น ราคาที่ออกมาก็จะสะท้อนความจริงมากขึ้น(ตามกรอบความรู้และประสบการณ์ที่เรามีนะ) เหมือนวิเคราะห์จากคนวงนอก
เครื่องมือสำคัญคือสติ การปรุงแต่งหรือกิเลศมันกลัวสติ กิเลศเกิดขึ้นสติมากิเลศดับ วิธีฝึกวิธีแรกคือหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ รู้บ่อยๆ ความโลภเกิดขึ้นให้รู้ ความโกรธเกิดขึ้นให้รู้ ความหลงเกิดขึ้นให้รู้ ฝึกบ่อยๆเวลาวิเคราะห์หุ้น พอความโลภเกิดขึ้นสติจะเกิดแบบ Realtime พอตามทันความโลภมันจะดับไป ก็จะเหลือแต่เหตุผล (ข้อเท็จจริงกับความคิด)
หรืออีกวิธีถ้าไม่สามารถรู้ทันใจขณะวิเคราะห์ได้ก็เขียนแยก เป็นข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และการปรุงแต่งก็ได้ครับ
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 7
ข้อควรระวังคือ ถ้าเอาการปรุงแต่งออกแล้วก็อย่าพึ่งเชื่อความคิดของตัวเองเพราะคนเราก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่อง อาจจมีปัจจัยอีกหลายตัวที่สำคัญแล้วไม่ได้เอามา
ค=คิด
ว=วิเคราะ
ย=แยกแยะ
ป.ล เรื่องฝรั่งก็เขียนขำๆไปอย่างนั้นเอง ฝรั่งก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง คนเอเซียก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่องเหมือนกัน
ค=คิด
ว=วิเคราะ
ย=แยกแยะ
ป.ล เรื่องฝรั่งก็เขียนขำๆไปอย่างนั้นเอง ฝรั่งก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง คนเอเซียก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่องเหมือนกัน
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 8
:lovl: เจอเทคนิคนี้เข้าไป จำขึ้นใจเลยpat4310 เขียน: ค=คิด
ว=วิเคราะ
ย=แยกแยะ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 9
บางครั้งถึงแม้ว่าเราแยกเอาส่วนที่เป็นอารมณ์ออกจากข้อเท็จจริง ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถพิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
ผมคิดว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่ากรอบความคิดที่เรามองด้วย อย่างเช่นคนที่มีประสบการณ์ การศึกษา พื้นฐานนิสัยส่วนตัว ต่างกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อเท็จจริง มันอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ตัวเองว่าไม่ใช้เรื่องของอารมณ์ กิเลส ความกลัว มาพิจารณา
ผมชอบตัวอย่างของ Stephen Covey ในหนังสือ 7 Habits ที่ให้มองรูปผู้หญิงรูปหนึ่งแล้วถามว่าเห็นอะไร บางคนเห็นคนแก่ บางคนเห็นเป็นหญิงสาว ทั้ง ๆสิ่งที่ทุกคนมองคือ รูปเดียวกัน เป็น fact อันเดียวกัน
สำหรับผมพยายามเตือนตัวเองเวลาอยากจะซื้อ หรืออยากจะขาย ถามตัวเองว่าเราโลภหรือเรากลัวอยู่หรือเปล่า ?
แต่ผมชอบนะครับ ที่มองการวิเคราะห์หุ้นด้วยหลักพุทธศาสนา
ผมคิดว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่ากรอบความคิดที่เรามองด้วย อย่างเช่นคนที่มีประสบการณ์ การศึกษา พื้นฐานนิสัยส่วนตัว ต่างกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อเท็จจริง มันอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ตัวเองว่าไม่ใช้เรื่องของอารมณ์ กิเลส ความกลัว มาพิจารณา
ผมชอบตัวอย่างของ Stephen Covey ในหนังสือ 7 Habits ที่ให้มองรูปผู้หญิงรูปหนึ่งแล้วถามว่าเห็นอะไร บางคนเห็นคนแก่ บางคนเห็นเป็นหญิงสาว ทั้ง ๆสิ่งที่ทุกคนมองคือ รูปเดียวกัน เป็น fact อันเดียวกัน
สำหรับผมพยายามเตือนตัวเองเวลาอยากจะซื้อ หรืออยากจะขาย ถามตัวเองว่าเราโลภหรือเรากลัวอยู่หรือเปล่า ?
แต่ผมชอบนะครับ ที่มองการวิเคราะห์หุ้นด้วยหลักพุทธศาสนา
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 12
เป็นบทความที่น่าสนใจตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้วครับ...
คุณ pat4310 มีความเห็นที่เป็นพุทธะมากๆ
จริงๆไม่อยากใช้คำว่า"ความเห็น"เลย เพราะในทางโลกความเห็นย่อมเจือไปด้วยความอยากหรือกิเลสนั้นเอง
แต่ความเห็นของคุณ ผมเองหมายถึง ความเห็นตามความเป็นจริง ครับ...
กลับมาที่เรื่องของแนวทางการลงทุน
สำหรับผมแล้ว....
EPS, Forward EPS = ข้อเท็จจริง
P/E, Forward P/E = ความเห็น หรือ การให้ค่า
ดังนั้นผมจะให้ความสำคัญที่ EPS, Forward EPS....
ส่วนใครจะให้ค่า(P/E, Forward P/E)เท่าไหร่....ก็สุดแล้วแต่ครับ
คุณ pat4310 มีความเห็นที่เป็นพุทธะมากๆ
จริงๆไม่อยากใช้คำว่า"ความเห็น"เลย เพราะในทางโลกความเห็นย่อมเจือไปด้วยความอยากหรือกิเลสนั้นเอง
แต่ความเห็นของคุณ ผมเองหมายถึง ความเห็นตามความเป็นจริง ครับ...
กลับมาที่เรื่องของแนวทางการลงทุน
สำหรับผมแล้ว....
EPS, Forward EPS = ข้อเท็จจริง
P/E, Forward P/E = ความเห็น หรือ การให้ค่า
ดังนั้นผมจะให้ความสำคัญที่ EPS, Forward EPS....
ส่วนใครจะให้ค่า(P/E, Forward P/E)เท่าไหร่....ก็สุดแล้วแต่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
โพสต์ที่ 13
ทั้ง EPS and PE มันเป็นทั้ง FACT และความเห็นครับ
ถ้าเป็นข้อมูลปัจจุบัน มันเป็น FACT แต่ถ้าเป็นอนาคต มันเป็น ความเห็นครับ
แต่การให้ PE ที่เหมาะสมแตกมักแตกต่างกันตามความเห็น ไม่รู้ว่ามาได้ไง บางคนให้ PE 8 บางคน บอก 10 เหมาะสม อันนี้แล้วแต่
ผิดถูกประการใด ให้อภัยหน่อยนะครับ
ถ้าเป็นข้อมูลปัจจุบัน มันเป็น FACT แต่ถ้าเป็นอนาคต มันเป็น ความเห็นครับ
แต่การให้ PE ที่เหมาะสมแตกมักแตกต่างกันตามความเห็น ไม่รู้ว่ามาได้ไง บางคนให้ PE 8 บางคน บอก 10 เหมาะสม อันนี้แล้วแต่
ผิดถูกประการใด ให้อภัยหน่อยนะครับ
The One