บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 5
TTCL ไปอาบูดาบี ครับ
KBANK เพิ่งมารุกมากๆที่ญี่ปุ่น
KBANK เพิ่งมารุกมากๆที่ญี่ปุ่น
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 6
BANPU
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- กาวตราช้าง
- Verified User
- โพสต์: 179
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 14
BH ไปหลายปีแล้ว
จุกกลับมาแล้ว
ข่าวว่ากำลังจะไปอีกแล้ว
จุกกลับมาแล้ว
ข่าวว่ากำลังจะไปอีกแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 983
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 16
LHK กำลังจะไปอินเดีย แต่ดิวยังไม่ลงตัว
เริ่มนับหนึ่ง...
- LittleChicky
- Verified User
- โพสต์: 277
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 17
PTTEP จะไปซื้อเหมือง OIL SAND ที่แคนาดาครับ
นักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ควรซื้อหุ้นสามัญเพียงเพราะว่ามันมีราคาถูก แต่ควรซื้อเฉพาะว่ามันสัญญาว่าจะทำกำไรงดงามให้กับเขา...ฟิลลิป เอ พิชเชอร์
- CHOOKY
- Verified User
- โพสต์: 540
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 18
DELTA มีเกือบทุกทวีป
"ค้นหาคุณค่าให้พบ แล้วซื้อหุ้นกิจการที่ดีนั้น ซึ่งมีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี และยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
- pornchai_w
- Verified User
- โพสต์: 244
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 20
.......ถ้ารัฐบาลปรับระบบภาษี
ให้บริษัทไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศแล้วส่งเงินปันผลกลับไทย
จากเดิมเสียภาษี30% .....เปลี่ยนเป็นไม่เสียภาษี
บริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์เต็มๆ
ให้บริษัทไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศแล้วส่งเงินปันผลกลับไทย
จากเดิมเสียภาษี30% .....เปลี่ยนเป็นไม่เสียภาษี
บริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์เต็มๆ
Blog ของคนใช้เงินเก่ง ^_^
http://pefinance.wordpress.com/about/
http://pefinance.wordpress.com/about/
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: บริษัทไหนเริ่ม Go inter บ้างครับ
โพสต์ที่ 25
CENTEL
'สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์' ปักธง 'เซ็นเทล'
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:12 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
การขยายเครือข่ายของกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กับเป้าหมายเบอร์ 1 เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย เซ็นทารามีกลยุทธ์อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)
++ผุดแบรนด์ใหม่ "เซ็นทรา"
เป้าหมายการทำงานของเซ็นทารา ยังคงมุ่งเน้นไปที่การรับบริหารโรงแรมให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 12 แห่งของกลุ่มแอสทูโด ภายใต้แบรนด์ "เซ็นทารา บูติกคอลเลคชั่น" ล่าสุดได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมและรีสอร์ตของโนวากรุ๊ป (เป็นการร่วมทุนระหว่างโนวากรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและคอนโดมิเนียมในพัทยา และกลุ่มโรงแรมฮารีเลลา เป็นเจ้าของโรงแรมที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ได้แก่ เชอราตัน เบลกราเวีย ลอนดอน, ฮอลิเดย์ อินน์ สีลม กรุงเทพฯ, ฮอลิเดย์ อินน์ ฮ่องกง และเวสติน รีสอร์ท และมาเก๊า กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ) เพื่อรับบริหารโรงแรมและรีสอร์ต 3 แห่งในพัทยา และอีก 1 แห่งในกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ใหม่
ได้แก่ "เซ็นทรา" และ "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท" ประกอบด้วย เซ็นทราพัทยารีสอร์ท 158 ห้อง, โรงแรมเซ็นทราโนวาและสปา พัทยา 79 ห้อง , "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท พัทยา" 130 ห้อง และโรงแรมเซ็นทรา สุขุมวิท 15 กรุงเทพฯ 79 ห้อง โดยทั้ง 4 แห่งนี้จะเปิดให้บริการพร้อมกันในเดือนกรกฎาคม 2554
พร้อมกันนี้ ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ยังมีแผนเปิดโรงแรมเซ็นทราแอชลี ป่าตอง ภูเก็ต ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว มูลค่าการลงทุนราว 250 ล้านบาท 108 ห้อง เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับรองลงมา ตั้งเป้ามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 60-70% ต่อปี ทั้งนี้ "เซ็นทรา" เป็นแบรนด์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการห้องพักในราคาไม่แพง แต่ให้บริการที่มีคุณภาพเหนือความคาดหวัง โดยชื่อแบรนด์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทารา เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ โดยยังคงชี้ให้เห็นว่าเป็นแบรนด์ที่เน้นในเรื่องของความคุ้มค่า
ทั้งนี้โรงแรมและรีสอร์ตภายใต้แบรนด์เซ็นทราแต่ละแห่งจะมีห้องอาหาร 1 ห้อง และห้องจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เหมาะสมกับที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง มีห้องพัก 100 ห้องขึ้นไป เพื่อให้ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ทั้งนี้ การมีเซ็นทราอีกแบรนด์ จะทำให้เซ็นทาราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะขยายธุรกิจไปที่พัทยา หัวหิน และกรุงเทพฯ
ส่วนแบรนด์ "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์สวีท" เป็นแบรนด์สำหรับเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของเซ็นทารา โดยแบรนด์นี้จะเน้นทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบาย ดึงลูกค้าจากบริษัทเอกชนที่ต้องการเข้าพักในระยะยาว รวมถึงจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักในระยะยาวอีกด้วย โดยจะดึงดูดตลาดในระดับ 4 ดาว ที่ต้องการความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย
++มุ่งขยายโรงแรมต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หลังจากประสบความสำเร็จกับการเปิดโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ในรูปแบบธีมโฮเต็ลแห่งแรกในไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ลอสท์ เวิลด์ อินเดียน่า โจน ล่าสุดเตรียมเปิด "เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทภูเก็ต" โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว อย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นโรงแรมในรูปแบบธีมโฮเต็ล กับสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปตุกิส สไตล์โคโลเนียล มูลค่าการลงทุนราว 2.3 พันล้านบาท มีห้องพักและวิลล่า 262 ห้อง ทุกห้องพักสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจน ซึ่งการมีทำเลที่ตั้งที่ดีจะส่งผลทำให้โรงแรมประสบผลสำเร็จราว 70%
พร้อมกันนี้ ยังมีความคิดเห็นจากทัวร์โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกว่าเป็นโรงแรมดีที่สุดในภูเก็ต โดยกลุ่มเป้าหมายคือตลาดเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย ทั้งกลุ่มครอบครัวและคู่รัก ตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปี 2554 ทั้งปีราว 60% และเซ็นทารายังมีแผนรับบริหารโรงแรมใหม่ ได้แก่ ครอสทู มะนิลา ในปี 2554 และเดอะซี เกาะกูด ซึ่งจะเปิดในปี 2555 ประกอบกับมีแผน 5 ปี ในการสร้างโรงแรมที่ชะอำ ในพื้นที่ 100 ไร่
สำหรับเส้นทางธุรกิจ แม้ขณะนี้จะเป็นเครือโรงแรมใหญ่ที่สุดทั้งโรงแรมและจำนวนห้อง รวมถึงการเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่เซ็นทาราก็ต้องการเดินไปข้างหน้าสู่ International Market หรือตลาดในระดับนานาชาติ ถึงแม้จะมีโรงแรมที่มัลดีฟส์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ภายในอีก 5 ปี ยังตั้งเป้ามุ่งขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น บาห์เรน ศรีลังกา มาเลเซีย จีน หมู่เกาะซีเชล และสาธารณรัฐมอริเชียส โดยทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทั้งนี้ การขยายโรงแรมไปต่างประเทศ จำเป็นต้องมีออฟฟิศที่นั่นด้วย โดยปกติเซ็นทารามีเซลส์ออฟฟิศ 10 แห่ง เช่น ที่อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง ดูไบ อินเดีย และกำลังจะเปิดเพิ่มเติมเร็วๆ นี้คือ รัสเซีย และเยอรมนี
อย่างไรก็ดี ตั้งเป้าภายใน 5 ปี มีโรงแรม 65 แห่ง จำนวน 1 หมื่นห้อง จากปัจจุบันมีโรงแรม 42 แห่งจำนวนกว่า 7 พันห้อง โดยปีนี้จะมีโรงแรมเพิ่มอีกราว 8-10 แห่ง รวมถึงในปีต่อๆ ไปตั้งเป้ามีโรงแรมเพิ่มขึ้น 10-12 แห่งทุกปี ทั้งในรูปแบบของการลงทุนเอง การร่วมทุน และการรับบริหาร แต่การขยายตัวต่อไปในอนาคต จะเน้นการรับบริหารในต่างประเทศมากขึ้น
ประกอบกับในขณะนี้เซ็นทารากำลังศึกษาการทำโรงแรมชั้นประหยัดหรือบัดเจตโฮเต็ลอีก 1 แบรนด์ ซึ่งบัดเจตโฮเต็ลนี้จะรวมอยู่ในแผนการมีโรงแรม 65 แห่งด้วย โดยตั้งเป้าว่าเซ็นทาราจะลงทุนสร้างบัดเจตโฮเต็ลเอง 2 แห่ง มีมูลค่าลงทุน 300 ล้าน ภายใน 3 ปี แบ่งเป็นแห่งละ 150 ห้อง โดยเป็นการกระจายใน 3 ปี ใช้งบเฉลี่ยปีละราว 100 ล้านบาท จากนั้นจึงจะเซ็นสัญญารับบริหารต่อไป โดยขณะนี้มีเจ้าของโรงแรมมาเสนอให้บริหารราว 6-7 รายแล้ว สำหรับชื่อแบรนด์นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา
'สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์' ปักธง 'เซ็นเทล'
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:12 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
การขยายเครือข่ายของกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กับเป้าหมายเบอร์ 1 เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย เซ็นทารามีกลยุทธ์อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)
++ผุดแบรนด์ใหม่ "เซ็นทรา"
เป้าหมายการทำงานของเซ็นทารา ยังคงมุ่งเน้นไปที่การรับบริหารโรงแรมให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 12 แห่งของกลุ่มแอสทูโด ภายใต้แบรนด์ "เซ็นทารา บูติกคอลเลคชั่น" ล่าสุดได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมและรีสอร์ตของโนวากรุ๊ป (เป็นการร่วมทุนระหว่างโนวากรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและคอนโดมิเนียมในพัทยา และกลุ่มโรงแรมฮารีเลลา เป็นเจ้าของโรงแรมที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ได้แก่ เชอราตัน เบลกราเวีย ลอนดอน, ฮอลิเดย์ อินน์ สีลม กรุงเทพฯ, ฮอลิเดย์ อินน์ ฮ่องกง และเวสติน รีสอร์ท และมาเก๊า กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ) เพื่อรับบริหารโรงแรมและรีสอร์ต 3 แห่งในพัทยา และอีก 1 แห่งในกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ใหม่
ได้แก่ "เซ็นทรา" และ "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท" ประกอบด้วย เซ็นทราพัทยารีสอร์ท 158 ห้อง, โรงแรมเซ็นทราโนวาและสปา พัทยา 79 ห้อง , "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท พัทยา" 130 ห้อง และโรงแรมเซ็นทรา สุขุมวิท 15 กรุงเทพฯ 79 ห้อง โดยทั้ง 4 แห่งนี้จะเปิดให้บริการพร้อมกันในเดือนกรกฎาคม 2554
พร้อมกันนี้ ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ยังมีแผนเปิดโรงแรมเซ็นทราแอชลี ป่าตอง ภูเก็ต ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว มูลค่าการลงทุนราว 250 ล้านบาท 108 ห้อง เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับรองลงมา ตั้งเป้ามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 60-70% ต่อปี ทั้งนี้ "เซ็นทรา" เป็นแบรนด์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการห้องพักในราคาไม่แพง แต่ให้บริการที่มีคุณภาพเหนือความคาดหวัง โดยชื่อแบรนด์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทารา เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ โดยยังคงชี้ให้เห็นว่าเป็นแบรนด์ที่เน้นในเรื่องของความคุ้มค่า
ทั้งนี้โรงแรมและรีสอร์ตภายใต้แบรนด์เซ็นทราแต่ละแห่งจะมีห้องอาหาร 1 ห้อง และห้องจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เหมาะสมกับที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง มีห้องพัก 100 ห้องขึ้นไป เพื่อให้ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ทั้งนี้ การมีเซ็นทราอีกแบรนด์ จะทำให้เซ็นทาราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะขยายธุรกิจไปที่พัทยา หัวหิน และกรุงเทพฯ
ส่วนแบรนด์ "เซ็นทาราเรสซิเดนซ์ แอนด์สวีท" เป็นแบรนด์สำหรับเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของเซ็นทารา โดยแบรนด์นี้จะเน้นทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบาย ดึงลูกค้าจากบริษัทเอกชนที่ต้องการเข้าพักในระยะยาว รวมถึงจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักในระยะยาวอีกด้วย โดยจะดึงดูดตลาดในระดับ 4 ดาว ที่ต้องการความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย
++มุ่งขยายโรงแรมต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หลังจากประสบความสำเร็จกับการเปิดโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ในรูปแบบธีมโฮเต็ลแห่งแรกในไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ลอสท์ เวิลด์ อินเดียน่า โจน ล่าสุดเตรียมเปิด "เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทภูเก็ต" โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว อย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นโรงแรมในรูปแบบธีมโฮเต็ล กับสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปตุกิส สไตล์โคโลเนียล มูลค่าการลงทุนราว 2.3 พันล้านบาท มีห้องพักและวิลล่า 262 ห้อง ทุกห้องพักสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจน ซึ่งการมีทำเลที่ตั้งที่ดีจะส่งผลทำให้โรงแรมประสบผลสำเร็จราว 70%
พร้อมกันนี้ ยังมีความคิดเห็นจากทัวร์โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกว่าเป็นโรงแรมดีที่สุดในภูเก็ต โดยกลุ่มเป้าหมายคือตลาดเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย ทั้งกลุ่มครอบครัวและคู่รัก ตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปี 2554 ทั้งปีราว 60% และเซ็นทารายังมีแผนรับบริหารโรงแรมใหม่ ได้แก่ ครอสทู มะนิลา ในปี 2554 และเดอะซี เกาะกูด ซึ่งจะเปิดในปี 2555 ประกอบกับมีแผน 5 ปี ในการสร้างโรงแรมที่ชะอำ ในพื้นที่ 100 ไร่
สำหรับเส้นทางธุรกิจ แม้ขณะนี้จะเป็นเครือโรงแรมใหญ่ที่สุดทั้งโรงแรมและจำนวนห้อง รวมถึงการเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่เซ็นทาราก็ต้องการเดินไปข้างหน้าสู่ International Market หรือตลาดในระดับนานาชาติ ถึงแม้จะมีโรงแรมที่มัลดีฟส์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ภายในอีก 5 ปี ยังตั้งเป้ามุ่งขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น บาห์เรน ศรีลังกา มาเลเซีย จีน หมู่เกาะซีเชล และสาธารณรัฐมอริเชียส โดยทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทั้งนี้ การขยายโรงแรมไปต่างประเทศ จำเป็นต้องมีออฟฟิศที่นั่นด้วย โดยปกติเซ็นทารามีเซลส์ออฟฟิศ 10 แห่ง เช่น ที่อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง ดูไบ อินเดีย และกำลังจะเปิดเพิ่มเติมเร็วๆ นี้คือ รัสเซีย และเยอรมนี
อย่างไรก็ดี ตั้งเป้าภายใน 5 ปี มีโรงแรม 65 แห่ง จำนวน 1 หมื่นห้อง จากปัจจุบันมีโรงแรม 42 แห่งจำนวนกว่า 7 พันห้อง โดยปีนี้จะมีโรงแรมเพิ่มอีกราว 8-10 แห่ง รวมถึงในปีต่อๆ ไปตั้งเป้ามีโรงแรมเพิ่มขึ้น 10-12 แห่งทุกปี ทั้งในรูปแบบของการลงทุนเอง การร่วมทุน และการรับบริหาร แต่การขยายตัวต่อไปในอนาคต จะเน้นการรับบริหารในต่างประเทศมากขึ้น
ประกอบกับในขณะนี้เซ็นทารากำลังศึกษาการทำโรงแรมชั้นประหยัดหรือบัดเจตโฮเต็ลอีก 1 แบรนด์ ซึ่งบัดเจตโฮเต็ลนี้จะรวมอยู่ในแผนการมีโรงแรม 65 แห่งด้วย โดยตั้งเป้าว่าเซ็นทาราจะลงทุนสร้างบัดเจตโฮเต็ลเอง 2 แห่ง มีมูลค่าลงทุน 300 ล้าน ภายใน 3 ปี แบ่งเป็นแห่งละ 150 ห้อง โดยเป็นการกระจายใน 3 ปี ใช้งบเฉลี่ยปีละราว 100 ล้านบาท จากนั้นจึงจะเซ็นสัญญารับบริหารต่อไป โดยขณะนี้มีเจ้าของโรงแรมมาเสนอให้บริหารราว 6-7 รายแล้ว สำหรับชื่อแบรนด์นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา