หรือว่าราคาน้ำมันส์จะมันส์มากจนราคาปิโตรเคมีมีผลกับต้นทุนของ
pet film หุ้นเลยทรุดอีกครั้งครับ ผู้รู้ช่วยตอบทีครับ

ถ้าน้ำมันดิบไป $70 ... จริงๆ ... ผมเกรงว่าจะไม่ใช่เฉพาะ PET แล้วครับที่ซวย ... เหอๆ ... ภาวะเงินตึง(เฟ้อ + ฝืด )รออยู่กระมังครับ ถ้าไปแบบนั้นCK เขียน:อ้อ อีกเรื่องครับเม็ดพลาสติกราคาพุ่งพรวดขึ้นมาเพราะราคาน้ำมัน
ไปกวัดแกว่งอยู่แถว $51 ถ้าราคาน้ำมันดิบขึ้นไป $70 จริงๆ ก็เตรียม
ผ้าห่มกันไว้เยอะๆ นะครับ
ส่วน gap ราคาระหว่าง PTL กับ AJ น่าสนใจมากครับ PTL ควรจะมี
premium เหนือ AJ สัก 20% แต่กลับราคาเกือบเท่ากันเลย ตอนนี้
ถ้าผมถือหุ้น AJ อยู่ น่า convert ส่วนหนึ่งมาเป็น PTL นะครับ
เกียบซื้อตามคุณคัดท้ายไปแล้ว แต่ผมตั้งรับแถวๆ 5.9 บาทครับ แฮ่ๆ
stockms เขียน:อ้าวใจตรงกันหมดเลยหรือครับ ผมก็เข้าไปติดกับเหมียนกัน รายย่อยช่วยกันติดหุ้นสงสัยจะติดกันนานแน่เลยครับ
เกียรตินาคิน เขียน:PTL: การปรับราคาจาก 9.4 บาท/หุ้นเป็น 6.85 บาท/หุ้น - บล.เกียรตินาคิน
ยังคงประมาณการเดิมแต่ปรับราคาเหมาะสมลงจาก 9.4 บาท/หุ้น เป็น 6.85 บาท/หุ้น จากการคิด PE กลุ่ม
ภาวะอุตสาหกรรม
ปริมาณความต้องการแผ่นฟิล์ม PET ในตลาดโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจากระดับ 1.1 ล้านตันในปี 99 มาเป็น 1.32 ล้านตันในปี 03 โดยคาดว่าการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 4.6% ต่อปี ซึ่งความต้องการในแผ่นฟิล์มดังกล่าวเป็นความต้องการจากแผ่นฟิล์มชนิดบางมากที่สุดถึงกว่า 80% เพื่อนำไปใช้ในภาคธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ภาคอุตสาหกรรม และภาคอุปกรณ์ไฟฟ้า (หรือกลุ่ม PIE) ที่มีความต้องการรวมกันกว่า 80% ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ย 8.15% ต่อปี และมาจากภูมิภาคเอเชียมากที่สุดถึงกว่า 57% ของปริมาณความต้องการทั้งหมดในปี 03
ขณะเดียวกันกำลังการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ของโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น ยังเพิ่มขึ้นไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการ โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.45 ล้านตันในปี 99 สู่ระดับ 1.61 ล้านตันในปี 03 หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 2.65% ต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้มาจากกำลังการผลิตในส่วนแผ่นฟิล์มชนิดบางกว่า 75% ของกำลังการผลิตรวม ทั้งนี้กำลังการผลิตส่วนใหญ่จะมาจากการภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก (กว่า 68% ของกำลังการผลิตรวม) นับเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวมากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนที่มาจากกลุ่มประเทศเอเชียอื่น (ยกเว้นญี่ปุ่นและเกาหลี) ที่มีการเติบโตของกำลังการผลิตสูงที่สุดถึงกว่า 7.42% ต่อปี เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหม่เกิดขึ้น สายการผลิตเพิ่มขึ้นและการขยายกำลังการผลิตในอินเดีย จีน และประเทศกำลังพัฒนาบางราย
แนวโน้มในอนาคต เราคาดว่าความต้องการใช้แผ่นฟิล์มชนิดบางจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลดีจากการขยายตัวในภาคบรรจุภัณฑ์ ภาคอุตสาหกรรมและภาคอุปกรณ์ไฟฟ้า (กลุ่ม PIE) ที่มีอัตราการขยายตัวสูง เป็นหลัก และเมื่อพิจารณาถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตแผ่นฟิล์มชนิดบางในปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 88% แล้ว ถือว่าค่อนข้างตึงตัวพอสมควร อันส่งผลให้มีแนวโน้มที่กำลังการผลิตใหม่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงการขยายกำลังการผลิตจากผู้ผลิตรายเดิม โดยเราคาดว่ากำลังการผลิตส่วนเพิ่มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจะมาจากภูมิภาคเอเชียเป็นสำคัญ โดยพิจารณาจากปริมาณความต้องการรวมทั้งแนวโน้มของกำลังการผลิตที่มาจาก ภูมิภาคดังกล่าวมากที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะการแข่งขันที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในภูมิภาคนี้
โครงการลงทุนในอนาคต
บริษัทมีโครงการขยายกำลังการผลิต PET Film อีก 9,000 ตัน/ปี บนพื้นที่โรงงานเดิมในไทย คาดแล้วเสร็จ ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 48,000 ตัน/ปี นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการเปิดโรงงาน PET Film ใหม่ที่ประเทศตุรกีกำลังการผลิต 24,000 ตัน/ปี ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 72,000 ตัน/ปี
บริษัทมีโครงการขยายกำลังการผลิต PET Resins ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต PET film โดยจะขยายกำลัง การผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 52,500 ตัน/ปี ภายในสิ้นปีนี้จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 7,000 ตัน/ปี
นอกจากนี้บริษัทมีโครงการผลิตแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะ (Metalliser) ภายในพื้นที่โรงงานในไทย ถือเป็นการเพิ่มมูลค่า ให้กับผลิตภัณฑ์ โดยการนำแผ่นฟิล์ม PET ที่ผลิตมาเคลือบด้วยอะลูมิเนียม มีกำลังการผลิต 4,800 ตัน/ปี และคาดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2005 ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท โครงการลงทุนทั้งในส่วนการขยายกำลังการผลิต PET Film และ PET Resins ดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ และช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดีโดยกำลังการ ผลิต PET Film ส่วนเพิ่มทั้งจากโรงงานที่ไทยและที่ตุรกี จะเป็นการตอบสนองต่อปริมาณความต้องการที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังช่วยในการขยายตลาดไปยังทวีปยุโรปได้สะดวกมากขึ้น และในส่วนกำลังการผลิต PET Resins ส่วนเพิ่มนั้น ก็จะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิต จากเดิมที่ต้องจัดซื้อวัตถุดิบ PTA และ MEG เพื่อนำมาผลิต PET Resins จากแหล่งภายนอก นอกจากนี้ในส่วน Metalliser Film ซึ่งถือเป็นมูล ค่าเพิ่มของ PET Film นั้นก็จะเป็นส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง
โครงการลงทุนทั้งในส่วนการขยายกำลังการผลิต PET Film และ PET Resins ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และช่วยลดต้นทุน ในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี โดยกำลังการผลิต PET Film ส่วนเพิ่มทั้งจากโรงงานที่ไทยและที่ตุรกีจะเป็นการตอบสนองต่อปริมาณความต้องการที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องรวมทั้งยังช่วยในการขยายตลาดไปยังทวีปยุโรปได้สะดวกมากขึ้น และในส่วนกำลังการผลิต PET Resins ส่วนเพิ่มนั้นก็จะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตจากเดิมที่ต้องมีการนำเข้าจากแหล่งPET Resins ส่วนเพิ่มนั้นก็จะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตจากเดิมที่ต้องมีการนำเข้าจากแหล่งรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง
คาดผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และปรับราคาที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับ PE กลุ่ม เป็น 6.85 บาท/หุ้น
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น เรามีมุมมองเป็นบวกต่ออุตสาหกรรมแผ่นฟิล์ม ฟอย์ล์ และแถบพลาสติก ว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมนี้ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการแข่งขันสูง โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำทำให้ราคาถูก แต่ด้อยคุณภาพเข้ามาตีตลาด ซึ่งเรามองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจีนจะสามารถยกระดับสินค้าของตนเองให้มีคุณภาพมากขึ้น
ความน่ากังวลอีกประการหนึ่งสำหรับธุรกิจที่เน้นการส่งออกอย่าง PTL คือ อุปสรรคในการแข่งขัน กฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่น สหรัฐอเมริกาอาจมีการเรียกเก็บภาษีการทุ่มตลาด (anti-dumping duties) ซึ่งปัจจุบันสินค้าถุงพลาสติกจาก ไทย มาเลเซีย และจีน กำลังถูกพิจารณาอยู่
นอกจากนี้ความเสี่ยงเรื่องของความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งปัจจุบันราคาปิโตรเคมียังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในช่วงขาขึ้น วัตถุดิบที่ใช้ผลิตเม็ดพลาสติก PET (เป็นวัตถุดิบที่ใช้ทำการผลิตแผ่นฟิล์ม PET) ประกอบด้วย Purified terephthalic acid (PTA) และ Mono ethylene glycol (MEG)
เราคาดว่าผลประกอบการในปีนี้ (2004/05) บริษัทน่าจะมีรายได้อยู่ที่ 3,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 684 ล้านบาท คาดเป็นกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.85 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 86% นอกจากนี้จากนโยบายในการจ่ายเงินปันผล 40% เราคาดว่าบริษัทน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลขั้นต่ำที่ประมาณ 0.34 บาท/หุ้น
นอกจากนี้ในปีหน้า (2005/06) เราคาดว่าบริษัทน่าจะมีการเติบโตของรายได้อยู่ที่ 32% อยู่ที่ 3,972 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ 806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.01 บาท/หุ้น เราคาดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลขั้นต่ำที่ 0.40 บาท/หุ้น ที่ Dividend Pay-out Ratio ประมาณ 40% เช่นกัน
เราปรับราคาที่เหมาะสมจากเดิมที่เราใช้ APER ที่ 11 เท่า ซึ่งเป็น APER ของกลุ่มเคมีภัณฑ์ เราใช้ APER ของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ที่มี APER ที่ประมาณ 8 เท่า ให้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 6.85 สำหรับผลประกอบการปี 2004/05 เราแนะนำ ซื้อลงทุน เนื่องจากแม้ว่าเราจะมองว่าแนวโน้มการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต แต่เราเชื่อว่าทางบริษัทจะสามารถรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ จากความได้เปรียบที่มีต่อคู่แข่ง โดยแบ่งออกเป็น
1. ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง ทั้งด้านการผลิตที่มีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำจากเทคโนโลยีของเครื่องจักรที่ดีกว่าและการใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ก่อให้เกิดการประหยัด ต่อขนาด (Economies of Scale) และต้นทุนในการก่อสร้างที่ต่ำจากการที่มีเทคโนโลยีและ Know How เป็นของตัวเองอีกทั้งที่ตั้งโรงงานที่อยู่ในแหล่งที่มีค่าจ้างแรงงานและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำ
2. คุณภาพของสินค้าอยู่ในระดับพรีเมี่ยม เนื่องจาก PET Film มีคุณสมบัติที่ดีกว่าแผ่น BOPP Film ที่ถือเป็นสินค้าทดแทนที่สำคัญ ทั้งคุณลักษณะทางกายภาพและการใช้งาน
3. มีนโยบายทางการตลาดที่ชัดเจน จากการที่เน้นลูกค้าในกลุ่ม PIE (บรรจุภัณฑ์, อุตสาหกรรม และอุปกรณ์ไฟฟ้า) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมทั้งการตั้งโรงงานในตุรกีก็จะเป็นการช่วยขยายตลาดไปยังภูมิภาคยุโรปได้สะดวกมากขึ้น
ขอบคุณพี่ลิ้นจี่ มากครับ สำหรับข้อมูลlychee เขียน:วัตถุดิบต้นน้ำคือ Paraxylene ยังคงอยูในระดับสูง ส่วนใน MEG ก็ต้องใช้ Ethylene Monomer ซึ่งก็อยูใรระดับสูงมาก
Paraxylene ใช้ผลิต PTA ซึ่งเป็นวัตถุดิบของ PET
คงอธิบายได้นะว่า ต้นทุนสูงขึ้น แต่ไม่รู้จะขึ้นราคาได้ไวแค่ใหน
อนึ่ง Benzene ก็ขึ้นบ้าเลือดเหมือนกันครับ
คิดว่ามีแน่นอนครับ อย่างน้อยก็ไอ้พวกตัวใหญ่ๆ ที่วิ่งบ้าเลือดกันช่วงวัน 2 วันนี่แหละCK เขียน:Stagflation เงินแฟ่บ มักจะเกิดขึ้นตามหลังราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่
จะมีสักกี่บริษัทครับ ที่ทนทานภาวะ stagflation ได้ แถมมีอัตราการเติบโตอีก
พอรายย่อยเริ่มรามือ..ท่านนักลงทุนรายใหญ่ก็เข้ามาตอดซะทีนึง(มั๊ง) วันนี้stockms เขียน:รายย่อยช่วยกันรับแบบนี้ เจ้ามือคงบีบเราจนหน้าเขียวแน่ครับ....สู้โว้ย
ดูพอดีเลยครับ อิอิ คนเชียร์ทำเอาหนุ่มๆเคลิ้มไล่ตามกันไปเลย ... อิอิFinancial Engineer เขียน:วันนี้มี "คนเชียร์แขก" ออกทีวีให้แล้วนะครับ
พรุ่งนี้จะมี "กระดาษห่อไฟ (ไว้ล่อแมงเม่า)" เขียนลงหน้าหนึ่งให้ด้วย
มาดูกันครับ ว่า 2-3 วันให้หลังจะเห็น นิวโล มั้ย 8)