ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 31
จริงๆแล้ว ผมเล็งไว้มากกว่า 6 บริษัทฯที่ยกตัวอย่างมาไว้อีกเยอะเลยอ่ะนะ แต่เขียนไม่ไหวแล้ว
ถ้าใครอยากลองมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และมีชื่อใน Settrade
ยังไงก็ลองค้นหาดูนะครับ จากบริษัทที่มี Market Cap. เล็กๆดู
เผลอๆอาจจะเจอเพชรในตม ที่ยังไม่มีใครสนใจก็ได้นะครับ
ผมเองก็เคยมีความฝันคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
และผมก็ได้เริ่มลงมือทำการบ้าน ,ประหยัด/เก็บเงิน และสะสมหุ้นมานาน 2 ปีแล้วครับผม
ปิดสมุดเมื่อไหร่ ก็คงจะมีชื่อผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกแห่งหนึ่งจากบริษัทฯ 6 ตัวอย่างที่ผมยกตัวอย่างมา
"มนุษย์เงินเดือนตัวเล็กๆอย่างเรา อาจจะเกินกำลังที่เราจะสร้างบริษัทฯใหญ่ๆ แล้วนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ด้วยตัวเอง"
แต่ผมแอบเชื่อว่า...
"ทางเดียวที่จะสร้าง Wealth ให้กับตัวเราเองได้ ก็คือการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ดีๆ และมีโอกาสเติบโตสูงนี่แหล่ะครับ"
Enjoy กับการลงทุนทุกท่านครับ
(^_^)
ถ้าใครอยากลองมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และมีชื่อใน Settrade
ยังไงก็ลองค้นหาดูนะครับ จากบริษัทที่มี Market Cap. เล็กๆดู
เผลอๆอาจจะเจอเพชรในตม ที่ยังไม่มีใครสนใจก็ได้นะครับ
ผมเองก็เคยมีความฝันคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
และผมก็ได้เริ่มลงมือทำการบ้าน ,ประหยัด/เก็บเงิน และสะสมหุ้นมานาน 2 ปีแล้วครับผม
ปิดสมุดเมื่อไหร่ ก็คงจะมีชื่อผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกแห่งหนึ่งจากบริษัทฯ 6 ตัวอย่างที่ผมยกตัวอย่างมา
"มนุษย์เงินเดือนตัวเล็กๆอย่างเรา อาจจะเกินกำลังที่เราจะสร้างบริษัทฯใหญ่ๆ แล้วนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ด้วยตัวเอง"
แต่ผมแอบเชื่อว่า...
"ทางเดียวที่จะสร้าง Wealth ให้กับตัวเราเองได้ ก็คือการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ดีๆ และมีโอกาสเติบโตสูงนี่แหล่ะครับ"
Enjoy กับการลงทุนทุกท่านครับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 33
น่าจะ 0.5 % ขึ้นไป..sunrise เขียน:เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่นี่ต้องถือกี่ เปอร์เซ็นต์เหรอครับ :?:
การเติบโตของผลกำไรก็คือเจ้ามือที่ดีที่สุดในระยะยาว....
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 34
ไหนๆก็เขียนแล้ว...งั้นผมจะพยายามเขียนให้ครบ 10 บริษัทฯดีกว่านะขอรับ
(^_^)
==============================================
บริษัทที่ 7 คือ CMO
ราคาพาร์ = 1 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 150,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 198 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 750,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.91 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 682,500 บาท
บริษัทฯนี้ ผมไม่รู้จักมากนัก
เข้าใจว่าเป็นบริษัทฯ ออแกนไนเซอร์ ที่รับจัดงานต่างๆ
บริษัทฯเล็กๆ แต่สามารถรับงานใหญ่ๆได้ เช่น งานปีใหม่ countdown ต่าง และล่าสุดได้รับงานยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง คือ การจัดงานการแสดงแสง เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" ซึ่งจะจัดขึ้นที่บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553- 28 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ปี พ.ศ.2554 จะเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษา 84 พรรษา
ก็น่าปลื้มใจดีนะครับ แต่ผลประกอบการเป็นยังไงบ้าง ผมไม่เคยดูซะด้วยซิครับ
และอย่างที่บางท่านว่าไว้ครับ คือ ดร.นิเวศน์เองเคยมีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯนี้อยู่
แต่ปัจจุบันไม่มีรายชื่อแล้ว ผมเองไม่ทราบที่มาที่ไปเหมือนกันอ่ะนะครับ
เงินไม่ถึง 700,000 บาท คุณก็สามารถมีรายชื่อติดใน Settrade.com ได้เหมือนกันนะครับ
(^_^)
==============================================
บริษัทที่ 7 คือ CMO
ราคาพาร์ = 1 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 150,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 198 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 750,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.91 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 682,500 บาท
บริษัทฯนี้ ผมไม่รู้จักมากนัก
เข้าใจว่าเป็นบริษัทฯ ออแกนไนเซอร์ ที่รับจัดงานต่างๆ
บริษัทฯเล็กๆ แต่สามารถรับงานใหญ่ๆได้ เช่น งานปีใหม่ countdown ต่าง และล่าสุดได้รับงานยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง คือ การจัดงานการแสดงแสง เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" ซึ่งจะจัดขึ้นที่บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553- 28 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ปี พ.ศ.2554 จะเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษา 84 พรรษา
ก็น่าปลื้มใจดีนะครับ แต่ผลประกอบการเป็นยังไงบ้าง ผมไม่เคยดูซะด้วยซิครับ
และอย่างที่บางท่านว่าไว้ครับ คือ ดร.นิเวศน์เองเคยมีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯนี้อยู่
แต่ปัจจุบันไม่มีรายชื่อแล้ว ผมเองไม่ทราบที่มาที่ไปเหมือนกันอ่ะนะครับ
เงินไม่ถึง 700,000 บาท คุณก็สามารถมีรายชื่อติดใน Settrade.com ได้เหมือนกันนะครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 35
บริษัทที่ 8 คือ CHUO
ราคาพาร์ = 5 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 11,250,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 84.38 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 56,250 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 7.50 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 421,875 บาท
จากบริษัทฯออร์แกนเซอร์แล้ว ก็เข้ามาสู๋บริษัทเอเจนซี่แห่งนี้ คือ ชูโอเซนโกะ
บริษัทฯสัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ เป็นเอเจนซี่ที่มีลูกค้าระดับไม่ธรรมดาเช่นกัน
อาทิเช่น HONDA , ไวไว และเชฟรอน โฆษณาและเพลงที่ติดหูพวกเราอยู่ ก็อย่างเช่น โฆษณารถ Honda Jazz ที่มีเพลงและสีโฆษณาที่กระแทกใจดีเหลือเกิน
แต่ล่าสุด บริษัทฯแม่ที่ญี่ปุ่นน่าจะเกิดภาวะล้มละลาย
จึงยังไม่แน่ชัดว่า หุ้นที่มีในเมืองไทย จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ และขายต่อให้ใครหรือไม่ และที่ราคาไหน?
ทุกอย่างยังดูไม่ชัดเจน ราคาจึงอาจย่อลงมาเพื่อรอความชัดเจนอยู่บ้าง
เงินเพียง สี่แสนเศษ!!! (ถูกกว่าซื้อรถ ECO CAR คันหนึ่งเสียอีก) นามสกุลของคุณก็จะปรากฏเป็นชื่อผู้ถือหุ้นใหญ๋ในบริษัทฯเอเจนซี่สัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ทันที
ราคาพาร์ = 5 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 11,250,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 84.38 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 56,250 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 7.50 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 421,875 บาท
จากบริษัทฯออร์แกนเซอร์แล้ว ก็เข้ามาสู๋บริษัทเอเจนซี่แห่งนี้ คือ ชูโอเซนโกะ
บริษัทฯสัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ เป็นเอเจนซี่ที่มีลูกค้าระดับไม่ธรรมดาเช่นกัน
อาทิเช่น HONDA , ไวไว และเชฟรอน โฆษณาและเพลงที่ติดหูพวกเราอยู่ ก็อย่างเช่น โฆษณารถ Honda Jazz ที่มีเพลงและสีโฆษณาที่กระแทกใจดีเหลือเกิน
แต่ล่าสุด บริษัทฯแม่ที่ญี่ปุ่นน่าจะเกิดภาวะล้มละลาย
จึงยังไม่แน่ชัดว่า หุ้นที่มีในเมืองไทย จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ และขายต่อให้ใครหรือไม่ และที่ราคาไหน?
ทุกอย่างยังดูไม่ชัดเจน ราคาจึงอาจย่อลงมาเพื่อรอความชัดเจนอยู่บ้าง
เงินเพียง สี่แสนเศษ!!! (ถูกกว่าซื้อรถ ECO CAR คันหนึ่งเสียอีก) นามสกุลของคุณก็จะปรากฏเป็นชื่อผู้ถือหุ้นใหญ๋ในบริษัทฯเอเจนซี่สัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ทันที
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 36
บริษัทที่ 9 คือ WIN
ราคาพาร์ = 1 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 490,483,540 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 112.81 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 2,453,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.23 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 564,190 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ ฐานะการเงินไม่สู้ดีนัก เรียกว่าอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วงพอสมควร
เนื่องจากบริษัทฯลูกของ win รู้สึกว่า น่าจะอยู่ในกระบวนการยื่นขอฟื้นฟูกิจการฯ
ซึ่งทำให้บริษัทฯแม่ ต้องบันทึกขาดทุนจำนวนมหาศาลเข้ามา (ไท่รู้จะมีโอกาสกลับรายการในอนาคตหรือเปล่านะ)
บริษัทฯนี้เป็นบริษัทฯที่ทำด้าน Logistic และให้เช่าพื้นที่ปลอดภาษี ประมาณนี้มั้งครับ
แต่เดิมบริษัทฯทำเกี่ยวกับการขนส่งทางรถไฟระหว่างมาบตะพุดถึงแหลมฉบัง
แต่ตอนนี้หยุดกิจการส่วนนั้นไปแล้ว
บริษัทฯพยายามอย่างมาก โดยการแต่งตั้ง ผจ.ด้านกลยุทธ คนใหม่
และพยายามหารูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ เช่น การทำเชื้อเพลิงจากขยะ หรือแม้แต่การทำน้ำจืดจากน้ำทะเล
แต่ด้วยคดีที่ยังไม่แล้วเสร็จ ฐานะการเงินที่ย่ำแย่ และ Project ที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะกลายเป็นดาวรุ่งหรือดาวร่วง
ใครจะไปรู้อนาคต...จริงไหมครับ
เงิน 565,000 บาท คุณก็ได้ร่วมฝันไปพร้อมกับบริษัทฯ โดยมีชื่อคุณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วครับ
ราคาพาร์ = 1 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 490,483,540 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 112.81 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 2,453,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.23 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 564,190 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ ฐานะการเงินไม่สู้ดีนัก เรียกว่าอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วงพอสมควร
เนื่องจากบริษัทฯลูกของ win รู้สึกว่า น่าจะอยู่ในกระบวนการยื่นขอฟื้นฟูกิจการฯ
ซึ่งทำให้บริษัทฯแม่ ต้องบันทึกขาดทุนจำนวนมหาศาลเข้ามา (ไท่รู้จะมีโอกาสกลับรายการในอนาคตหรือเปล่านะ)
บริษัทฯนี้เป็นบริษัทฯที่ทำด้าน Logistic และให้เช่าพื้นที่ปลอดภาษี ประมาณนี้มั้งครับ
แต่เดิมบริษัทฯทำเกี่ยวกับการขนส่งทางรถไฟระหว่างมาบตะพุดถึงแหลมฉบัง
แต่ตอนนี้หยุดกิจการส่วนนั้นไปแล้ว
บริษัทฯพยายามอย่างมาก โดยการแต่งตั้ง ผจ.ด้านกลยุทธ คนใหม่
และพยายามหารูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ เช่น การทำเชื้อเพลิงจากขยะ หรือแม้แต่การทำน้ำจืดจากน้ำทะเล
แต่ด้วยคดีที่ยังไม่แล้วเสร็จ ฐานะการเงินที่ย่ำแย่ และ Project ที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะกลายเป็นดาวรุ่งหรือดาวร่วง
ใครจะไปรู้อนาคต...จริงไหมครับ
เงิน 565,000 บาท คุณก็ได้ร่วมฝันไปพร้อมกับบริษัทฯ โดยมีชื่อคุณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 38
บริษัทที่ 10 คือ STAR
ราคาพาร์ = 0.70 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 136,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 172.72 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 680,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.27 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 863,600 บาท
บริษัทฯนี้ น่าจะเป็นบริษัทฯที่ทำสุขภัณฑ์ในห้องน้ำอ่ะนะครับ
ประมาณว่าแข่งกับ American Standard หรือ COTTO อะไรประมาณนี้
บริษัทฯกำลังพยายามจะเปลี่ยนการจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้้าให้เป็นระดับกลางและบน (ระดับ B ถึง A)
ปัจจุบันบริษัทฯขายสินค้าในหลายแบรนด์ เช่น แบรนด์ Star และ แบรนด์ Panda
โดยบริษํทฯมีออฟฟิสอยู่แถวสุทธิสาร และมีโรงงานอยู่ที่ จ.สระบุรี
บริษัทฯเล็กๆ ที่กำลังวิ่งตามหาความสำเร็จทางด้านการตลาด (Marketing)
ใครจะไปรู้ วันดีคืนดี แบรนด์นี้อาจจะติดตลาด หรือประทับใจผู้บริโภคขึ้นมาซักวันก็ได้ ใครจะไปรู้
ส่วนผลประกอบการ และฐานะการเงินของบริษัทฯ ผมไม่ได้ดูละเอียดอ่ะนะครับ
เอาหล่ะครับ ด้วยเงิน 863,600 บาท คุณก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในสำนักงานใหญ่ และโรงงานที่จังหวัดสระบุรีได้แล้วหล่ะครับ
ราคาพาร์ = 0.70 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 136,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 172.72 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 680,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.27 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 863,600 บาท
บริษัทฯนี้ น่าจะเป็นบริษัทฯที่ทำสุขภัณฑ์ในห้องน้ำอ่ะนะครับ
ประมาณว่าแข่งกับ American Standard หรือ COTTO อะไรประมาณนี้
บริษัทฯกำลังพยายามจะเปลี่ยนการจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้้าให้เป็นระดับกลางและบน (ระดับ B ถึง A)
ปัจจุบันบริษัทฯขายสินค้าในหลายแบรนด์ เช่น แบรนด์ Star และ แบรนด์ Panda
โดยบริษํทฯมีออฟฟิสอยู่แถวสุทธิสาร และมีโรงงานอยู่ที่ จ.สระบุรี
บริษัทฯเล็กๆ ที่กำลังวิ่งตามหาความสำเร็จทางด้านการตลาด (Marketing)
ใครจะไปรู้ วันดีคืนดี แบรนด์นี้อาจจะติดตลาด หรือประทับใจผู้บริโภคขึ้นมาซักวันก็ได้ ใครจะไปรู้
ส่วนผลประกอบการ และฐานะการเงินของบริษัทฯ ผมไม่ได้ดูละเอียดอ่ะนะครับ
เอาหล่ะครับ ด้วยเงิน 863,600 บาท คุณก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในสำนักงานใหญ่ และโรงงานที่จังหวัดสระบุรีได้แล้วหล่ะครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 39
สรุปส่งท้าย...
1. DIMET = 639,000 บาท
2. L&E = 1.834,000 บาท
3. PAE = 1,930,000 บาท
4. SLC = 1.060,500 บาท
5. NC = 1,121,325 บาท
6. YCI = 189,000 บาท
7. CMO = 682,000 บาท
8. CHUO = 421,875 บาท
9. WIN = 564,190 บาท
10. STAR = 863,600 บาท
"จริงๆแล้ว ผมฝันอยากจะมีชื่อ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมๆกันทั้ง 10 บริษัทฯในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งนี้"
เอ่อ...
"ว่าแต่ คุณพอจะมีเงินให้ผมยืมซัก 9,395,990 บาทไหมครับ?"
ปล.
1. พูดเล่นนะครับ ใครจะไปซื้อทุกบริษัทฯ เพราะมันมีทั้งบริษัทฯที่ดีและไม่ดีปนๆกันมา
เราต้องไป Scan หุ้นให้ละเอียดอีกครั้งก่อนลงทุนอ่ะนะครับ
2. ผมเขียนจากประสบการณ์ตัวเองเท่านั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะขอรับ
3. พอดีผมไปตอบเนื้อหาเหล่านี้ใน Pantip ผมก็เลยขอนำมาเห็บไว้ในบ้าน ThaiVI ด้วยอ่ะนะครับ คงไม่ว่ากัน
4. หากท่านอื่นๆมีความเห็นแตกต่าง หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ 10 บริษัทนี้ หรืออาจจะมีบริษัทฯอื่นที่น่าสนใจจะแนะนำ ก็เชิญร่วมแสดงความคิดเห็นได้เลยนะขอรับ ยินดีมากๆครับผม
(^_^)
1. DIMET = 639,000 บาท
2. L&E = 1.834,000 บาท
3. PAE = 1,930,000 บาท
4. SLC = 1.060,500 บาท
5. NC = 1,121,325 บาท
6. YCI = 189,000 บาท
7. CMO = 682,000 บาท
8. CHUO = 421,875 บาท
9. WIN = 564,190 บาท
10. STAR = 863,600 บาท
"จริงๆแล้ว ผมฝันอยากจะมีชื่อ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมๆกันทั้ง 10 บริษัทฯในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งนี้"
เอ่อ...
"ว่าแต่ คุณพอจะมีเงินให้ผมยืมซัก 9,395,990 บาทไหมครับ?"
ปล.
1. พูดเล่นนะครับ ใครจะไปซื้อทุกบริษัทฯ เพราะมันมีทั้งบริษัทฯที่ดีและไม่ดีปนๆกันมา
เราต้องไป Scan หุ้นให้ละเอียดอีกครั้งก่อนลงทุนอ่ะนะครับ
2. ผมเขียนจากประสบการณ์ตัวเองเท่านั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะขอรับ
3. พอดีผมไปตอบเนื้อหาเหล่านี้ใน Pantip ผมก็เลยขอนำมาเห็บไว้ในบ้าน ThaiVI ด้วยอ่ะนะครับ คงไม่ว่ากัน
4. หากท่านอื่นๆมีความเห็นแตกต่าง หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ 10 บริษัทนี้ หรืออาจจะมีบริษัทฯอื่นที่น่าสนใจจะแนะนำ ก็เชิญร่วมแสดงความคิดเห็นได้เลยนะขอรับ ยินดีมากๆครับผม
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 227
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 41
ถ้ามีรายชื่ออยู่ในหุ้นปั่น...ผมว่าผมอายนะ ไม่รู้สิ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 42
บริษัทที่ 11 คือ PAF
ราคาพาร์ = 5.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 540,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 540 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 2,700,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.00 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,700,000 บาท
บริษัทฯนี้ เอ้...ผมขอเรียกใหม่ดีกว่าครับว่า "อาณาจักร" แห่งนี้
คนไทยรู้จักกันดีในชื่อของ "รองเท้าแพน" เข้าใจว่ามีโรงงานอยู่หลายที่ ทั้งที่ จ.ลำพูน ,ชลบุรี และปราจีนบุรี(อันนี้ไม่แน่ใจเท่าไหร่ครับ)
เป็นอีกหนึ่งอาณาจักรของกลุ่มสหพัฒน์ แต่คงต้องจัดอยู่ในกลุ่ม "ตะวันตกดิน"
จากที่เคยเฟื่องฟูถึงขีดสุด ในสมัยที่รองเท้าแบรนด์ดังๆ เคยให้ PAF เป็นผู้ผลิตสินค้าให้
แต่เมื่อเค้าย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ก็จบกัน
เพราะบริษัทฯพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป และบริษัทฯมีตลาดภายในประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
บริษัทฯนี้ แต่เดิมก่อร้างสร้างตัวโดย นายณรงค์ โชควัฒนา แต่ภายหลังลาออกจากการเป็น CEO
แต่ก็มิได้ขายหุ้นออกมา กลับกันเค้ายังคงซื้อสะสมหุ้นตัวนี้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
บริษัทฯได้พยายามปรับตัวทุกๆด้าน ทั้งลดค่าใช้จ่าย
หรือแม้แต่ การบุกไปสร้างโรงงานรองเท้าถึงที่ประเทศลาว
น่าเจ็บใจที่สุด คือ บริษัทฯมักข่าวแพลมๆออกมาว่า "ผลประกอบการ Q2 Q3/53 น่าจะดีขึ้น"
แต่ไม่เลย ผลที่ออกดมา ขาดทุนบักโกรกเช่นเดิม
แต่ข้อน่าสนใจของบริษัทฯนี้ คือ ราคา Book Value ที่ยังคงสูงถึง 3.30 บาท!!!!!!
และถ้าดูกราฟ จะเห็นแท่งโวลุ่มสูงมากๆ 3 แท่งเข้ามาลุยซื้อหุ้นตัวนี้ และก็ยังไม่ได้ขายทิ้งออกมา
และสำคัญที่สุด ที่ยังต้องคอยแอบมองหุ้นตัวนี้ด้วยปลายตาเสมอๆนั่นก็คือ...
"ถ้าวันใด...บริษัทฯนี้ปรับตัวได้
ถ้าวันใด...บริษัทฯนี้ตั้งหลักได้
กล่าวคือ ถ้าบริษัทฯสามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งนึง
ผมเชื่อเองส่วนตัวว่า..."บริษัทฯนี้น่าจะทำการลดพาร์(ลดทุน) เพื่อนำไปล้างขาดทุนสะสม และจะประกาศจ่ายปันผลทันทีจากกำไรก้อนนั้น!!!!!"
และนั่นคือการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของหุ้นตัวนี้
แพงหน่อยครับสำหรับอาณาจักรแห่งนี้ของ "ตระกูลโชควัฒนา" ก็คือจำนวนเงิน 2,700,000 บาทครับ สำหรับการเกี่ยวดองกับอาณาจักรแห่งนี้
ราคาพาร์ = 5.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 540,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 540 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 2,700,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.00 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,700,000 บาท
บริษัทฯนี้ เอ้...ผมขอเรียกใหม่ดีกว่าครับว่า "อาณาจักร" แห่งนี้
คนไทยรู้จักกันดีในชื่อของ "รองเท้าแพน" เข้าใจว่ามีโรงงานอยู่หลายที่ ทั้งที่ จ.ลำพูน ,ชลบุรี และปราจีนบุรี(อันนี้ไม่แน่ใจเท่าไหร่ครับ)
เป็นอีกหนึ่งอาณาจักรของกลุ่มสหพัฒน์ แต่คงต้องจัดอยู่ในกลุ่ม "ตะวันตกดิน"
จากที่เคยเฟื่องฟูถึงขีดสุด ในสมัยที่รองเท้าแบรนด์ดังๆ เคยให้ PAF เป็นผู้ผลิตสินค้าให้
แต่เมื่อเค้าย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ก็จบกัน
เพราะบริษัทฯพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป และบริษัทฯมีตลาดภายในประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
บริษัทฯนี้ แต่เดิมก่อร้างสร้างตัวโดย นายณรงค์ โชควัฒนา แต่ภายหลังลาออกจากการเป็น CEO
แต่ก็มิได้ขายหุ้นออกมา กลับกันเค้ายังคงซื้อสะสมหุ้นตัวนี้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
บริษัทฯได้พยายามปรับตัวทุกๆด้าน ทั้งลดค่าใช้จ่าย
หรือแม้แต่ การบุกไปสร้างโรงงานรองเท้าถึงที่ประเทศลาว
น่าเจ็บใจที่สุด คือ บริษัทฯมักข่าวแพลมๆออกมาว่า "ผลประกอบการ Q2 Q3/53 น่าจะดีขึ้น"
แต่ไม่เลย ผลที่ออกดมา ขาดทุนบักโกรกเช่นเดิม
แต่ข้อน่าสนใจของบริษัทฯนี้ คือ ราคา Book Value ที่ยังคงสูงถึง 3.30 บาท!!!!!!
และถ้าดูกราฟ จะเห็นแท่งโวลุ่มสูงมากๆ 3 แท่งเข้ามาลุยซื้อหุ้นตัวนี้ และก็ยังไม่ได้ขายทิ้งออกมา
และสำคัญที่สุด ที่ยังต้องคอยแอบมองหุ้นตัวนี้ด้วยปลายตาเสมอๆนั่นก็คือ...
"ถ้าวันใด...บริษัทฯนี้ปรับตัวได้
ถ้าวันใด...บริษัทฯนี้ตั้งหลักได้
กล่าวคือ ถ้าบริษัทฯสามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งนึง
ผมเชื่อเองส่วนตัวว่า..."บริษัทฯนี้น่าจะทำการลดพาร์(ลดทุน) เพื่อนำไปล้างขาดทุนสะสม และจะประกาศจ่ายปันผลทันทีจากกำไรก้อนนั้น!!!!!"
และนั่นคือการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของหุ้นตัวนี้
แพงหน่อยครับสำหรับอาณาจักรแห่งนี้ของ "ตระกูลโชควัฒนา" ก็คือจำนวนเงิน 2,700,000 บาทครับ สำหรับการเกี่ยวดองกับอาณาจักรแห่งนี้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 43
บริษัทที่ 12 คือ PLUS
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 673,0409,0782 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 330 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 3,367,050 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.49 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 1,650,000 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ เดิมชื่อ ซันไชน์คอเปอเรชั่น
มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ คุณฉาย รวมทั้ง GEN และ MIDA ก็ถือหุ้นตัวนี้อยู่ด้วย
ผมไม่รู้จักบริษัทฯนี้เท่าไหร่นัก
แต่บริษัทฯนี้ผ่านตาผมเข้ามา เนื่องจากข่าวที่บริษัทฯนี้จะเข้าซื้อกิจการของโรงพิมพ์ EPCO โดยการทำ Tender Offer แต่เกิดมีปัญหาตะกุกตะกักระหว่างทางบ้าง
รวมทั้งข่าวปัญหาเรื่องที่จอดรถในสนามบินสุวรรณภูมิ
แต่ที่น่าแปลกคือ P/BV = 0.55
หรือราคาทางบัญชีของหุ้นตัวนี้อยู่สูงถึง 0.89 บาท!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่น่าเชื่อว่า หุ้นของคนที่เคยได้สมญานามว่า "เซียนหุ้น" แต่หุ้นของตัวเองกลับมีราคาต่ำกว่าราคาพาร์ และต่ำกว่าราคาบุ๊คแวลู่ได้เช่นในปัจจุบัน
มันน่าแปลกจริงๆ
สงครามยังไม่จบ ก็ยังไม่ควรรีบนับศพทหาร
ละครเรื่องนี้จะจบเช่นไร มันน่าสนใจในการติดตามดูของผมยิ่งนัก
แม้ว่าผมจะไม่มีหุ้นของเค้าก็ตาม
"1.65 ล้านบาท" ครับ กับการถือหุ้นของบริษัทฯที่ชื่อ Profit Plus Profit แห่งนี้
ปล.
ที่ผมโพสต์ไป...
ยังไงก็อ่านเอา "สาระ" บ้าง อ่านเอา "ความบันเทิง" บ้างอ่ะนะขอรับ
(^_^)
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 673,0409,0782 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 330 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 3,367,050 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.49 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 1,650,000 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ เดิมชื่อ ซันไชน์คอเปอเรชั่น
มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ คุณฉาย รวมทั้ง GEN และ MIDA ก็ถือหุ้นตัวนี้อยู่ด้วย
ผมไม่รู้จักบริษัทฯนี้เท่าไหร่นัก
แต่บริษัทฯนี้ผ่านตาผมเข้ามา เนื่องจากข่าวที่บริษัทฯนี้จะเข้าซื้อกิจการของโรงพิมพ์ EPCO โดยการทำ Tender Offer แต่เกิดมีปัญหาตะกุกตะกักระหว่างทางบ้าง
รวมทั้งข่าวปัญหาเรื่องที่จอดรถในสนามบินสุวรรณภูมิ
แต่ที่น่าแปลกคือ P/BV = 0.55
หรือราคาทางบัญชีของหุ้นตัวนี้อยู่สูงถึง 0.89 บาท!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่น่าเชื่อว่า หุ้นของคนที่เคยได้สมญานามว่า "เซียนหุ้น" แต่หุ้นของตัวเองกลับมีราคาต่ำกว่าราคาพาร์ และต่ำกว่าราคาบุ๊คแวลู่ได้เช่นในปัจจุบัน
มันน่าแปลกจริงๆ
สงครามยังไม่จบ ก็ยังไม่ควรรีบนับศพทหาร
ละครเรื่องนี้จะจบเช่นไร มันน่าสนใจในการติดตามดูของผมยิ่งนัก
แม้ว่าผมจะไม่มีหุ้นของเค้าก็ตาม
"1.65 ล้านบาท" ครับ กับการถือหุ้นของบริษัทฯที่ชื่อ Profit Plus Profit แห่งนี้
ปล.
ที่ผมโพสต์ไป...
ยังไงก็อ่านเอา "สาระ" บ้าง อ่านเอา "ความบันเทิง" บ้างอ่ะนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 46
ผมเคยซื้อหุ้นเพราะอยากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยหุ้นตัวนั้นมีความไม่แน่นอนสูง ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ชัดเจน ผลปรากฎว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 47
ใช่ครับ ได้มีรายชื่อเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ ของผมเป็นแบบบังเอิญมากกว่า
เพราะต้องการจำนวนมากพอควร พอดี หุ้นตัวนี้มันเล็ก เก็บไป ไม่เท่าไหร่ ก็เป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วครับ
ผมก็ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยครับ
ก็ถือไปเรื่อยๆครับ เกินมูลค่าเมื่อไหร่ ก็มาประเมินใหม่ ไม่เกี่ยวกับ ถือหุ้นใหญ่หรือเปล่าเลยครับ
เพราะต้องการจำนวนมากพอควร พอดี หุ้นตัวนี้มันเล็ก เก็บไป ไม่เท่าไหร่ ก็เป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วครับ
ผมก็ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยครับ
ก็ถือไปเรื่อยๆครับ เกินมูลค่าเมื่อไหร่ ก็มาประเมินใหม่ ไม่เกี่ยวกับ ถือหุ้นใหญ่หรือเปล่าเลยครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 50
โดยประสพการณ์
บางบริษัทเค้าจะมองเวลาประชุมผู้ถือหุ้น
เหมือนเป็นข้าวนอกนา เอ หมอนี่ไม่มีใครเลยรู้จักมาได้ไง
ผมเคยเจอมาแล้ว แถวๆสี่แยกพญาไท
เวลาเลิกประชุม เรามาจับกลุ่มคุยกัน เขาบอกจะปิดห้องแล้ว
ไล่กันแบบดื้อๆ เสียความรู้สึก
ทำไมแม่บ้านมาไล่เจ้าของบริษัทที่ถือหุ้นของบริษัท
เห็นแล้วก็มึนตึ๊บ ฮา (นี่หรือความภูมิใจที่ได้ถือหุ้นจนติดชื่อ... )
บางแห่งก็น่าอบอุ่น
บางเเห่งเวลาคุยกับกรรมการหรือระดับบริหาร
เขาจะบอกว่าเขาเป็นแค่ลูกจ้าง(ทั้งที่มีตำแหน่งใหญ่)
ฟังแล้วก็ขัดๆหู เพราะเราไปถามเขาว่าพี่อยู่มาตั้งแต่บริษัทเปิดดำเนินการนิครับ
ใช่ครับก็เป็นแค่ลูกจ้างมาตลอด
(ก็พี่ท่านไม่ถือหุ้นบริษัทที่ทำงานเลยจะได้มาเป็นเจ้าของด้วยกัน)
มีอยู่บริษัทหนึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์กีฬา
วันประชุม ไม่มีใครไปเลย มีผมกับภรรยาไป2คน
ที่เหลือคือพนักงานแขวนป้ายที่คอ เวลาเข้าพิธีกรรมเปิดโลง
เอ๊ยเปิดประชุม ผู้บริหาร พนักงาน มองที่เราเป็นจุดหมายเดียว
มองตั้งแต่หัวจรดตีน เลย (ใครมาร่วมประชุมวะสะเหร่อจริงๆบ้านน๊อกบ้านนอก ฮา)
หรือว่าเราถือแต่หุ้นบริษัทไม่โปร่งใสหนอนี่
ที่ดีต้อนรับขับสู้ ที่เจอ ก็
เอ็มเอสซี
เอสโออาร์เคโอเอ็น
ผู้บริหารมาทักทายเป้นกันเอง โอบไหล่เหมือนญาติเลย
บางบริษัทเค้าจะมองเวลาประชุมผู้ถือหุ้น
เหมือนเป็นข้าวนอกนา เอ หมอนี่ไม่มีใครเลยรู้จักมาได้ไง
ผมเคยเจอมาแล้ว แถวๆสี่แยกพญาไท
เวลาเลิกประชุม เรามาจับกลุ่มคุยกัน เขาบอกจะปิดห้องแล้ว
ไล่กันแบบดื้อๆ เสียความรู้สึก
ทำไมแม่บ้านมาไล่เจ้าของบริษัทที่ถือหุ้นของบริษัท
เห็นแล้วก็มึนตึ๊บ ฮา (นี่หรือความภูมิใจที่ได้ถือหุ้นจนติดชื่อ... )
บางแห่งก็น่าอบอุ่น
บางเเห่งเวลาคุยกับกรรมการหรือระดับบริหาร
เขาจะบอกว่าเขาเป็นแค่ลูกจ้าง(ทั้งที่มีตำแหน่งใหญ่)
ฟังแล้วก็ขัดๆหู เพราะเราไปถามเขาว่าพี่อยู่มาตั้งแต่บริษัทเปิดดำเนินการนิครับ
ใช่ครับก็เป็นแค่ลูกจ้างมาตลอด
(ก็พี่ท่านไม่ถือหุ้นบริษัทที่ทำงานเลยจะได้มาเป็นเจ้าของด้วยกัน)
มีอยู่บริษัทหนึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์กีฬา
วันประชุม ไม่มีใครไปเลย มีผมกับภรรยาไป2คน
ที่เหลือคือพนักงานแขวนป้ายที่คอ เวลาเข้าพิธีกรรมเปิดโลง
เอ๊ยเปิดประชุม ผู้บริหาร พนักงาน มองที่เราเป็นจุดหมายเดียว
มองตั้งแต่หัวจรดตีน เลย (ใครมาร่วมประชุมวะสะเหร่อจริงๆบ้านน๊อกบ้านนอก ฮา)
หรือว่าเราถือแต่หุ้นบริษัทไม่โปร่งใสหนอนี่
ที่ดีต้อนรับขับสู้ ที่เจอ ก็
เอ็มเอสซี
เอสโออาร์เคโอเอ็น
ผู้บริหารมาทักทายเป้นกันเอง โอบไหล่เหมือนญาติเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 51
คุณเคยรู้จักหุ้น E บ้างไหม?
บริษัทฯนี้มีชื่อเต็มๆว่า "บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" หรือ E
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 694,000,000 หุ้น
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 53 ราคาหุ้น E อยู่ที่ 0.99 บาท
และเมื่อวานนี้ 25 พ.ย. 53 ราคาหุ้น E มาอยู่ที่ 2.18 บาท
(ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120% ภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ)
เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัท E มี Market Cap. ทั้งหมดเพียง 687 ล้านบาท
แต่วันนี้ Market Cap. ของบริษัทฯนี้สูงถึง 1,513 ล้านบาท!!!
นี่คืออีกมุมหนึ่งของ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" เหล่านี้ มันวิ่งได้ใจจริงๆ ถ้าถึงเวลาของมัน
(แต่อีกมุมหนึ่ง มันก็อาจจะทำให้คุณเจ็บปวดได้เช่นกัน ถ้าคุณจับหุ้นผิดตัว ต้องพึงระวังให้ดี)
มาถึงคุยถึงหุ้น E กันซักนิดนึงนะครับ
บริษัทฯนี้ ผมเข้าใจว่าเดิมคือ "สยามทูยู" หรือ S2Y
แต่ภายหลังน่าจะถูก Takeover ไป หรือจะเรียกว่า ถูกซื้อโครงหรือซื้อซากบริษัทฯไป น่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะเจ้าของใหม่เค้าไม่ต้องไปเสียเวลาตั้งบริษัทฯใหม่ แถมยังได้ "ขาดทุนสะสม" ของเจ้าของเดิมไปใช้ประโยชน์ในด้านภาษีอีกด้วย
ปัจจุบัน ผู้บริหารของ E ก็กลายเป็นฝรั่งต่างชาติไปเกือบทั้งหมดแล้ว
อีกทั้ง การทำธุรกิจก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง (Business Model Change)
ผมเข้าใจว่า วันนี้บริษัทฯ E กลายเป็น "ที่ปรึกษาการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์" ไปเรียบร้อยแล้วครับ ประมาณว่า...
Evolution Capital is a real estate investment advisory and management firm focused on the residential and hospitality sectors, and has ownership interests in projects currently under development in Asia. Evolution has a vertically integrated property advisory platform with an international team of 52 professionals which is able to effectively combine a global perspective with local expertise.
ถ้าใครซักคน จับหุ้นตัวนี้ไว้ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว
ป่านนี้คงนั่งนับเงินเพลินไปแล้วอ่ะนะขอรับ
ตัวนี้มันวิ่งไปแล้ว Market Cap. ก็เกินพันล้านไปแล้ว ผมจึงขอไม่นับว่าเป็น "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" แล้วละกันนะครับ
ว่าแต่ ใครจะรู้ล่วงหน้าหล่ะนะ
เพราะถ้ารู้ พวกเราก็คงรวยกันไปหมดแล้ว
ส่วนมากพวกเราจะ "รู้" กันอยู่อย่างเดียวอ่ะนะครับ
ก็คือ "รู้งี้..." 555+
ขำๆวันหยุดนะครับ
บริษัทฯนี้มีชื่อเต็มๆว่า "บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" หรือ E
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 694,000,000 หุ้น
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 53 ราคาหุ้น E อยู่ที่ 0.99 บาท
และเมื่อวานนี้ 25 พ.ย. 53 ราคาหุ้น E มาอยู่ที่ 2.18 บาท
(ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120% ภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ)
เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัท E มี Market Cap. ทั้งหมดเพียง 687 ล้านบาท
แต่วันนี้ Market Cap. ของบริษัทฯนี้สูงถึง 1,513 ล้านบาท!!!
นี่คืออีกมุมหนึ่งของ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" เหล่านี้ มันวิ่งได้ใจจริงๆ ถ้าถึงเวลาของมัน
(แต่อีกมุมหนึ่ง มันก็อาจจะทำให้คุณเจ็บปวดได้เช่นกัน ถ้าคุณจับหุ้นผิดตัว ต้องพึงระวังให้ดี)
มาถึงคุยถึงหุ้น E กันซักนิดนึงนะครับ
บริษัทฯนี้ ผมเข้าใจว่าเดิมคือ "สยามทูยู" หรือ S2Y
แต่ภายหลังน่าจะถูก Takeover ไป หรือจะเรียกว่า ถูกซื้อโครงหรือซื้อซากบริษัทฯไป น่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะเจ้าของใหม่เค้าไม่ต้องไปเสียเวลาตั้งบริษัทฯใหม่ แถมยังได้ "ขาดทุนสะสม" ของเจ้าของเดิมไปใช้ประโยชน์ในด้านภาษีอีกด้วย
ปัจจุบัน ผู้บริหารของ E ก็กลายเป็นฝรั่งต่างชาติไปเกือบทั้งหมดแล้ว
อีกทั้ง การทำธุรกิจก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง (Business Model Change)
ผมเข้าใจว่า วันนี้บริษัทฯ E กลายเป็น "ที่ปรึกษาการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์" ไปเรียบร้อยแล้วครับ ประมาณว่า...
Evolution Capital is a real estate investment advisory and management firm focused on the residential and hospitality sectors, and has ownership interests in projects currently under development in Asia. Evolution has a vertically integrated property advisory platform with an international team of 52 professionals which is able to effectively combine a global perspective with local expertise.
ถ้าใครซักคน จับหุ้นตัวนี้ไว้ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว
ป่านนี้คงนั่งนับเงินเพลินไปแล้วอ่ะนะขอรับ
ตัวนี้มันวิ่งไปแล้ว Market Cap. ก็เกินพันล้านไปแล้ว ผมจึงขอไม่นับว่าเป็น "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" แล้วละกันนะครับ
ว่าแต่ ใครจะรู้ล่วงหน้าหล่ะนะ
เพราะถ้ารู้ พวกเราก็คงรวยกันไปหมดแล้ว
ส่วนมากพวกเราจะ "รู้" กันอยู่อย่างเดียวอ่ะนะครับ
ก็คือ "รู้งี้..." 555+
ขำๆวันหยุดนะครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 52
บริษัทที่ 13 คือ BROCK
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 1,000,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 720 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 5,000,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.72 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 3,600,000 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ เป็นบริษัทฯของตระกูล "ศิลปรัตน์"
ผมเข้าใจว่า บริษัทฯนี้เค้าเป็นเจ้าของ "ที่ดินแปลงสวยๆ" อยู่หลายแปลงทีเดียว
ผมคุ้นๆว่า รุ่นคุณพ่อที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฯนี้ ท่านน่าจะมีแต่ลูกสาวนะครับ
ปัจจุบันบริษัทฯบริหารงานโดย คุณวิรัตน์ ชินประพินพร
คนนี้เก่งครับ น่าจะเรียนทางสายวิศวะฯมา แล้วไปต่อด้านการบริหารธุรกิจ
บริษัทฯนี้อยู่ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเปิดโครงการที่ จ.ภูเก็ต ,ระยอง และกรุงเทพฯบางแห่ง
ความน่าสนใจของบริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ คือ P/BV = 0.60 เท่านั้น
คือบริษัทฯมีมูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 1.20 บาท
รวมทั้งอย่างที่ผมบอกแต่แรก คือบริษัทฯมีที่ดินแปลงสวยๆอยู่หลายแปลงทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ดินแปลงที่สวยที่สุด คือ ที่ดินบนแหลมยามู จ.ภูเก็ต
เป็นที่ดินขนาดใหญ่ และมีหาดส่วนตัว สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว (น่าจะเรียกว่าเป็นที่ดินเปล่าที่สวยและใหญ่ที่สุดในภูเก็ตแล้วมั้งครับ)
แปลงนี้เป็นของ BROCK ครับ โดยมีข่าวมานานแล้วว่าจะมีการร่วมทุนทำโครงการใหญ่ กับทาง "สวีเดน"
แต่ปัจจุบันเรื่องก็ยังคงยังไม่คืบหน้าครับ
แต่ถ้าโครงการนี้เป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่ บริษัทฯนี้ก็น่าสนใจยิ่งนักครับ
แต่ข้อที่น่าปวดหัวของบริษัทฯนี้คือ...
ผลการดำเนินการในปัจจุบัน ประมาณว่าผลงานทั้งปี มีการรับรู้รายได้จากการขายบ้านได้เพียงหลักสิบหรือหลักร้อยหลังเท่านั้นเอง!!!
ในขณะที่บริษัทฯอื่นเค้าว่ากันที่หลักพันหรือหลักหมื่นหลังกันทั้งนั้น
แต่ก็ไม่แน่ อนาคต เค้าอาจจะกลายเป็นเจ้าของโรงแรม หรือคอนโดมิเนียม บนแหลมยามู นั่งนับเงินสบายไปเลยก็ได้ ใครจะรู้
"3.6 ล้านบาท" ครับ กับการซื้อสไตล์ Asset Play ของบริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมลุ้นในโครงการของแหลมยามูในอนาคตของบริษัทฯนี้ต่อไป
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 1,000,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 720 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 5,000,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.72 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 3,600,000 บาท
บริษัทฯแห่งนี้ เป็นบริษัทฯของตระกูล "ศิลปรัตน์"
ผมเข้าใจว่า บริษัทฯนี้เค้าเป็นเจ้าของ "ที่ดินแปลงสวยๆ" อยู่หลายแปลงทีเดียว
ผมคุ้นๆว่า รุ่นคุณพ่อที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฯนี้ ท่านน่าจะมีแต่ลูกสาวนะครับ
ปัจจุบันบริษัทฯบริหารงานโดย คุณวิรัตน์ ชินประพินพร
คนนี้เก่งครับ น่าจะเรียนทางสายวิศวะฯมา แล้วไปต่อด้านการบริหารธุรกิจ
บริษัทฯนี้อยู่ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเปิดโครงการที่ จ.ภูเก็ต ,ระยอง และกรุงเทพฯบางแห่ง
ความน่าสนใจของบริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ คือ P/BV = 0.60 เท่านั้น
คือบริษัทฯมีมูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 1.20 บาท
รวมทั้งอย่างที่ผมบอกแต่แรก คือบริษัทฯมีที่ดินแปลงสวยๆอยู่หลายแปลงทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ดินแปลงที่สวยที่สุด คือ ที่ดินบนแหลมยามู จ.ภูเก็ต
เป็นที่ดินขนาดใหญ่ และมีหาดส่วนตัว สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว (น่าจะเรียกว่าเป็นที่ดินเปล่าที่สวยและใหญ่ที่สุดในภูเก็ตแล้วมั้งครับ)
แปลงนี้เป็นของ BROCK ครับ โดยมีข่าวมานานแล้วว่าจะมีการร่วมทุนทำโครงการใหญ่ กับทาง "สวีเดน"
แต่ปัจจุบันเรื่องก็ยังคงยังไม่คืบหน้าครับ
แต่ถ้าโครงการนี้เป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่ บริษัทฯนี้ก็น่าสนใจยิ่งนักครับ
แต่ข้อที่น่าปวดหัวของบริษัทฯนี้คือ...
ผลการดำเนินการในปัจจุบัน ประมาณว่าผลงานทั้งปี มีการรับรู้รายได้จากการขายบ้านได้เพียงหลักสิบหรือหลักร้อยหลังเท่านั้นเอง!!!
ในขณะที่บริษัทฯอื่นเค้าว่ากันที่หลักพันหรือหลักหมื่นหลังกันทั้งนั้น
แต่ก็ไม่แน่ อนาคต เค้าอาจจะกลายเป็นเจ้าของโรงแรม หรือคอนโดมิเนียม บนแหลมยามู นั่งนับเงินสบายไปเลยก็ได้ ใครจะรู้
"3.6 ล้านบาท" ครับ กับการซื้อสไตล์ Asset Play ของบริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมลุ้นในโครงการของแหลมยามูในอนาคตของบริษัทฯนี้ต่อไป
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 53
บริษัทที่ 14 คือ BWG
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 320,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 537.6 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 1,600,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.68 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,688,000 บาท
ผมรู้จักบริษัทฯแห่งนี้น้อยมากๆ แต่ที่ต้องเขียนถึงเพราะผมรู้สึกว่า บริษัทฯนี้มีเสน่ห์ และมีความน่าสนใจแฝงตัวอยู่
ผมรู้คร่าวๆแค่เพียงว่า บริษัทฯนี้เป็นบริษัทบริหารจัดการ “ขยะอุตสาหกรรม / กากอุตสาหกรรม”
บริษัทที่ธุรกิจที่น่าจะแรงได้ในอนาคต นั่นก็คือ "Waste Management"
บริษัทฯมีโรงงานตั้งอยู่บนพื้นที่ 250 ไร่ที่ จ.สระบุรี
เข้าใจว่า บริษัทฯน่าจะดำเนินการทั้งในส่วน "กำจัด" และ "ขนส่ง" ขยะต่างๆ รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสียด้วยอ่ะนะขอรับ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นามสกุล "จึงรุ่งเรืองกิจ"
และมีประธานบอร์ด คือ คุณสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ
ราคาหุ้นเรียกว่าน่าจะเรียกได้ว่า "ยังไม่แพง"
เพราะมี P/BV เท่ากับ 0.80 เท่านั้น
มูลค่าหุ้นทางบัญชีจริงๆ อยู่สูงถึง 2.10 บาท
แต่ปัจจุบันน่าจะถูกเรื่อง ความสามารถในการทำกำไร กดดันราคาหุ้นอยู่
รวมทั้งฐานะของบริษัทฯก็ใช้ได้ครับ
บริษัทฯยังคงมีกำไรสะสม และมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นอยู่พอสมควร
ถือว่าเป็นของแถมที่ดีทีเดียวครับผม
แต่ถ้าเมื่อไหร่ฟ้าเปิด บริษัทฯกลับมามีผลประกอบการที่โดดเด่น
เชื่อเหลือเกินว่า นักลงทุนจะหันมาสนใจหุ้นตัวนี้กันมากขึ้นเยอะทีเดียว
"2.7 ล้านบาท" คุณก็จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯที่ช่วยลดมลภาวะของโลกบริษัทฯนี้แล้วนะครับ
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 320,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 537.6 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 1,600,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 1.68 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,688,000 บาท
ผมรู้จักบริษัทฯแห่งนี้น้อยมากๆ แต่ที่ต้องเขียนถึงเพราะผมรู้สึกว่า บริษัทฯนี้มีเสน่ห์ และมีความน่าสนใจแฝงตัวอยู่
ผมรู้คร่าวๆแค่เพียงว่า บริษัทฯนี้เป็นบริษัทบริหารจัดการ “ขยะอุตสาหกรรม / กากอุตสาหกรรม”
บริษัทที่ธุรกิจที่น่าจะแรงได้ในอนาคต นั่นก็คือ "Waste Management"
บริษัทฯมีโรงงานตั้งอยู่บนพื้นที่ 250 ไร่ที่ จ.สระบุรี
เข้าใจว่า บริษัทฯน่าจะดำเนินการทั้งในส่วน "กำจัด" และ "ขนส่ง" ขยะต่างๆ รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสียด้วยอ่ะนะขอรับ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นามสกุล "จึงรุ่งเรืองกิจ"
และมีประธานบอร์ด คือ คุณสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ
ราคาหุ้นเรียกว่าน่าจะเรียกได้ว่า "ยังไม่แพง"
เพราะมี P/BV เท่ากับ 0.80 เท่านั้น
มูลค่าหุ้นทางบัญชีจริงๆ อยู่สูงถึง 2.10 บาท
แต่ปัจจุบันน่าจะถูกเรื่อง ความสามารถในการทำกำไร กดดันราคาหุ้นอยู่
รวมทั้งฐานะของบริษัทฯก็ใช้ได้ครับ
บริษัทฯยังคงมีกำไรสะสม และมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นอยู่พอสมควร
ถือว่าเป็นของแถมที่ดีทีเดียวครับผม
แต่ถ้าเมื่อไหร่ฟ้าเปิด บริษัทฯกลับมามีผลประกอบการที่โดดเด่น
เชื่อเหลือเกินว่า นักลงทุนจะหันมาสนใจหุ้นตัวนี้กันมากขึ้นเยอะทีเดียว
"2.7 ล้านบาท" คุณก็จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯที่ช่วยลดมลภาวะของโลกบริษัทฯนี้แล้วนะครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 54
บริษัทที่ 15 คือ TFD
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 701,357,785 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 575.11 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 3,507,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.82 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,875,000 บาท
บริษัทฯนี้ ผมรู้จักไม่มากครับ ยังไม่เคยเข้าไปแกะงบการเงินอย่างละเอียดซักที
แต่ก็ถือว่าเป็นบริษัทฯขนาดเล็กจี๊ดอีกแห่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่า บริษัทฯทำ ธุรกิจเกี่ยวกับ Industrial Estate ทั้งในส่วนของ General Industrial Zone และ Free Zone
และการสร้างและให้เช่าโรงงาน รวมทั้งเริ่มบุกธุรกิจคอนโดมิเนียมฯ เข้าใจว่าในแบรนด์ที่ชื่อ "59 heritage"
บริษัทฯนี้มีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ได้ธรรมดา เป็นระดับเซียนหุ้นเช่นกัน คือ "ตระกูลวิริยะเมตตากุล" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นตระกูลที่เกี่ยวข้องกับ รพ.วิภาวดี
และผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มคือ "ตระกูลเตชะอุบล"
สองเสือขนาดนี้...แต่หุ้นกลับนิ่งผิดสังเกตุ
เลยทำให้ผมแปลกใจยิ่งนัก
P/BV = 0.69 แปลว่มูลค่าทางบัญชีในปัจจุบันของบริษัทฯอยู่ที่ 1.19 บาท
ปัจจุบันจึงเทรดกันต่ำกว่าราคาพาร์ และต่ำกว่าบุ๊คแวลู่เช่นกัน
เรื่องผลประกอบการ เข้าใจว่าไตรมาสปัจจุบันยังขาดทุนอยู่เล็กน้อย
แต่อนาคต คงยังไม่มีใครทราบ
แต่บริษัทแพลมๆข่าวว่า อาจจะมีการขายที่ดินกว่าร้อยไร่ ในช่วงปลายปีนี้
แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบนะขอรับ
หุ้นตัวนี้ มีเสน่ห์เล็กๆที่ Warrant ของบริษัทฯนี้
ซึ่งมีราคาแปลงสภาพอยู่ที่ 1 บาท แต่อายุวอแรนต์ยาวนานถึงปี 2556!!!
ถือว่าอายุยาวนานทีเดียว
ผมก็ไม่รู้ว่า เจ้าของทำอะไรอยู่ หุ้นของเค้าถึงได้เงียบนัก
ผมยังคอยแอบๆมองอยู่เช่นกัน ว่าวันไหนเค้าจะ "จุดพลุ" เรียกพวกเราให้เหลียวไปมองเค้าบ้าง
เกือบสามล้านบาทครับ สำหรับการมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯแห่งนี้
ราคาพาร์ = 1.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 701,357,785 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 575.11 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 3,507,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 0.82 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,875,000 บาท
บริษัทฯนี้ ผมรู้จักไม่มากครับ ยังไม่เคยเข้าไปแกะงบการเงินอย่างละเอียดซักที
แต่ก็ถือว่าเป็นบริษัทฯขนาดเล็กจี๊ดอีกแห่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่า บริษัทฯทำ ธุรกิจเกี่ยวกับ Industrial Estate ทั้งในส่วนของ General Industrial Zone และ Free Zone
และการสร้างและให้เช่าโรงงาน รวมทั้งเริ่มบุกธุรกิจคอนโดมิเนียมฯ เข้าใจว่าในแบรนด์ที่ชื่อ "59 heritage"
บริษัทฯนี้มีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ได้ธรรมดา เป็นระดับเซียนหุ้นเช่นกัน คือ "ตระกูลวิริยะเมตตากุล" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นตระกูลที่เกี่ยวข้องกับ รพ.วิภาวดี
และผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มคือ "ตระกูลเตชะอุบล"
สองเสือขนาดนี้...แต่หุ้นกลับนิ่งผิดสังเกตุ
เลยทำให้ผมแปลกใจยิ่งนัก
P/BV = 0.69 แปลว่มูลค่าทางบัญชีในปัจจุบันของบริษัทฯอยู่ที่ 1.19 บาท
ปัจจุบันจึงเทรดกันต่ำกว่าราคาพาร์ และต่ำกว่าบุ๊คแวลู่เช่นกัน
เรื่องผลประกอบการ เข้าใจว่าไตรมาสปัจจุบันยังขาดทุนอยู่เล็กน้อย
แต่อนาคต คงยังไม่มีใครทราบ
แต่บริษัทแพลมๆข่าวว่า อาจจะมีการขายที่ดินกว่าร้อยไร่ ในช่วงปลายปีนี้
แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบนะขอรับ
หุ้นตัวนี้ มีเสน่ห์เล็กๆที่ Warrant ของบริษัทฯนี้
ซึ่งมีราคาแปลงสภาพอยู่ที่ 1 บาท แต่อายุวอแรนต์ยาวนานถึงปี 2556!!!
ถือว่าอายุยาวนานทีเดียว
ผมก็ไม่รู้ว่า เจ้าของทำอะไรอยู่ หุ้นของเค้าถึงได้เงียบนัก
ผมยังคอยแอบๆมองอยู่เช่นกัน ว่าวันไหนเค้าจะ "จุดพลุ" เรียกพวกเราให้เหลียวไปมองเค้าบ้าง
เกือบสามล้านบาทครับ สำหรับการมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯแห่งนี้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 55
บริษัทที่ 16 คือ BTNC
ราคาพาร์ = 10.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 12,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 177.6 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 60,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 14.60 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 876,000 บาท
บริษัทฯนี้ก่อตั้งโดยผู้หญิงเก่งคนนึงที่ชื่อ ศิรินา ปวโรฬารวิทยา
เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของ "นายห้างเทียม โชควัฒนา" โดยเรียนจบมาจากประเทศอังกฤษ
จึงถือว่าบริษัทฯนี้เป็นหนึ่งใน "สหพัฒน์ กรุ๊ป" เช่นกัน
บริษัทฯนี้เคยรุ่งเรืองมากๆ แต่ภายหลังมาแป๊กไปพักใหญ่ ตั้งแต่วิกฤตฟองสบู่แตกในปี 40 เป็นต้นมา
ตอนนั้น ถ้าบริษัทฯไหนขยายงานมาก เป็นหนี้ต่างประเทศมาก ก็ยิ่งต้องเจ็บตัวมากเป็นธรรมดา
ซึ่ง BTNC เป็นหนึ่งในนั้น
บริษํทฯนี้เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายเสื้อผ้าในแบรนด์ L'OFFICIEL , C & D (Classic and Difference) และ GUY LAROCHE และอื่นๆอีกมากมาย
มี Shop จำหน่ายมากกว่า 35 แห่ง (เข้าใจว่าตอนนี้ น่าจะมีมากขึ้นไปอีกแล้วนะครับ)
ตอนเสื้อแดง แถวสยามโดนปิด BTNC กระเทือนหนักพอสมควรทีเดียว
เพราะควันไฟจากการเผา ทำลายเสื้อผ้าไปมากทีเดียว
แต่ผลประกอบการที่ออกมา ก็ยังดูดีพอสมควรทีเดียว
มากกว่านั้น บริษัทฯนี้ยังมีธุรกิจ รับออกแบบและตัดเย็บ "ชุด Uniform" อีกด้วย
ประมาณว่าแบงค์ใหญ่ Top 5 ของประเทศ ส่วนมากก็จะเป็นผลงานการออกแบบของบริษัทฯนี้เป็นส่วนใหญ๋
นี่คือบริษัทฯในด้านแฟชั่นเต็มรูปแบบทีเดียวครับ
ปัจจุบันบริษัทฯกำลังมีการถ่ายเลือดช้า จาก "รุ่นคุณแม่" มาสู่ "รุ่นคุณลูก"
ผมเคยได้สัมผัสกับลูกชายของเธอแล้ว เป็นคนคุยสนุก และเป็นคนที่มีความฝัน
ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนนึงทีเดียว
P/BV ของบริษัทฯนี้เท่ากับ 0.44 เท่านั้น
หรือมีมูลค่าทางบัญชีสูงมากถึง 33.18 บาท!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ถ้าไม่นับเรื่องหุ้นไม่มีสภาพคล่องแล้ว หุ้นตัวนี้ถือว่าถูกทีเดียว
แถมยังมีปันผลให้กินชิวล์ๆซะด้วย
"ผมหล่ะชอบจริงๆ ไอ้พวกหุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาทเนี๊ยะ"
เกิดวันไหนผู้บริหารเกิดอยากเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ประกาศ "แตกพาร์(เป็นพาร์ 1 บาท)" เมื่อไหร่หล่ะก้อ
สุโค้ยยยยยยย...แน่นอน
ด้วยเงินแค่ไม่ถึง 900,000 บาทเองครับ!!! กับการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจแฟชั่นของเครือสหพัฒน์แห่งนี้
ราคาพาร์ = 10.0 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 12,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 177.6 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 60,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 14.60 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 876,000 บาท
บริษัทฯนี้ก่อตั้งโดยผู้หญิงเก่งคนนึงที่ชื่อ ศิรินา ปวโรฬารวิทยา
เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของ "นายห้างเทียม โชควัฒนา" โดยเรียนจบมาจากประเทศอังกฤษ
จึงถือว่าบริษัทฯนี้เป็นหนึ่งใน "สหพัฒน์ กรุ๊ป" เช่นกัน
บริษัทฯนี้เคยรุ่งเรืองมากๆ แต่ภายหลังมาแป๊กไปพักใหญ่ ตั้งแต่วิกฤตฟองสบู่แตกในปี 40 เป็นต้นมา
ตอนนั้น ถ้าบริษัทฯไหนขยายงานมาก เป็นหนี้ต่างประเทศมาก ก็ยิ่งต้องเจ็บตัวมากเป็นธรรมดา
ซึ่ง BTNC เป็นหนึ่งในนั้น
บริษํทฯนี้เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายเสื้อผ้าในแบรนด์ L'OFFICIEL , C & D (Classic and Difference) และ GUY LAROCHE และอื่นๆอีกมากมาย
มี Shop จำหน่ายมากกว่า 35 แห่ง (เข้าใจว่าตอนนี้ น่าจะมีมากขึ้นไปอีกแล้วนะครับ)
ตอนเสื้อแดง แถวสยามโดนปิด BTNC กระเทือนหนักพอสมควรทีเดียว
เพราะควันไฟจากการเผา ทำลายเสื้อผ้าไปมากทีเดียว
แต่ผลประกอบการที่ออกมา ก็ยังดูดีพอสมควรทีเดียว
มากกว่านั้น บริษัทฯนี้ยังมีธุรกิจ รับออกแบบและตัดเย็บ "ชุด Uniform" อีกด้วย
ประมาณว่าแบงค์ใหญ่ Top 5 ของประเทศ ส่วนมากก็จะเป็นผลงานการออกแบบของบริษัทฯนี้เป็นส่วนใหญ๋
นี่คือบริษัทฯในด้านแฟชั่นเต็มรูปแบบทีเดียวครับ
ปัจจุบันบริษัทฯกำลังมีการถ่ายเลือดช้า จาก "รุ่นคุณแม่" มาสู่ "รุ่นคุณลูก"
ผมเคยได้สัมผัสกับลูกชายของเธอแล้ว เป็นคนคุยสนุก และเป็นคนที่มีความฝัน
ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนนึงทีเดียว
P/BV ของบริษัทฯนี้เท่ากับ 0.44 เท่านั้น
หรือมีมูลค่าทางบัญชีสูงมากถึง 33.18 บาท!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ถ้าไม่นับเรื่องหุ้นไม่มีสภาพคล่องแล้ว หุ้นตัวนี้ถือว่าถูกทีเดียว
แถมยังมีปันผลให้กินชิวล์ๆซะด้วย
"ผมหล่ะชอบจริงๆ ไอ้พวกหุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาทเนี๊ยะ"
เกิดวันไหนผู้บริหารเกิดอยากเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ประกาศ "แตกพาร์(เป็นพาร์ 1 บาท)" เมื่อไหร่หล่ะก้อ
สุโค้ยยยยยยย...แน่นอน
ด้วยเงินแค่ไม่ถึง 900,000 บาทเองครับ!!! กับการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจแฟชั่นของเครือสหพัฒน์แห่งนี้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 56
บริษัทฯทั้งหมดที่ผมเขียนมา คือ บริษัทที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
ผมมักเรียกหุ้นพวกนี้ว่าเป็น "หุ้นขนาดจิ๋ว" หรือ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด"
ซึ่งน้อยมาก ที่คุณจะได้เห็นบทวิเคราะห์ของหุ้นเหล่านี้ จากโบรคต่างๆ!!!!
ผมเชื่อเอาเองว่า...
"บริษัทฯขนาดจิ๋วเหล่านี้ ไม่ใช่ว่า จะไม่มีบริษัทฯไหนที่ดีเอาซะเลย
แต่นั่นเป็นเพราะ...มันเล็กเกินไป!!!
เล็กเกินไปกว่าที่โบรค หรือชาวต่างชาติจะหันเหลียวเอาหางตามามอง
เพราะบางบริษัทฯ หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าของ รวมทั้วงฟรีโฟทในตลาดก็ต่ำ
เจ้ามือหรือรายใหญ่เองก็มักบอกว่า หุ้น Size ขนาดนี้ บางทีปั่นแล้วได้ไม่คุ้มเหนื่อย
ผมคิดว่า เค้าน่าจะชอบหุ้นขนาดกลางมากกว่าครับ"
แต่อะไรก็ไม่แน่ครับ บางทีหุ้นตัวเล็กจี๊ดเหล่านี้ ก็อาจตกเป็นเครื่องมือของ "จ้าว" ได้เช่นกัน
ต้องคอยสังเกตุ และระวังให้ดีเช่นกัน
หุ้นรองเท้า BATA เอง ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ คือ หุ้นตัวเล็กจี๊ด
แต่ปัจจุบัน บริษัทฯขอออกจากตลาดไปแล้วโดยสมัครใจ
ผมซื้อบาจาที่ราคาประมาณ 4 - 5 บาท ถือไว้ประมาณปีกว่าๆ
แต่เค้าตั้งโต๊ะรับซื้อคืนที่ 17 บาทกว่าๆ!!!!
นั่นคือเหตุผลว่า ผมเอาเงินมาจากไหนมาลงทุนในหุ้น ทั้งๆที่เริ่มต้นจากเงินแค่ 300,000 บาท
และคอยใช้เงินอย่างประหยัดอดออมในทุกๆเดือน รวมทั้งคอยเอาโบนัสบางส่วนในแต่ละปีมาลงทุนให้หุ้นที่(น่าจะ)มีคุณค่าที่เราได้เลือกคัดสรรแล้ว
ที่เค้าเรียกว่า "ตีแตก"
แต่ถ้าเราไม่แน่ใจ เราก็อาจจะกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัวก็ได้นะครับ
ผมยังไม่เคยลืมหุ้นตัวนี้ และทุกวันนี้ผมก็ยังคงใส่รองเท้า Bata อยู่ทุกวันเช่นเดิมอ่ะนะขอรับ
หุ้นวันนี้เปลี่ยนไปจาก "อดีต" ครับ
เพราะวันนี้ เราอยู่ในโลกแห่งข้อมูลและสารสนเทศ
โลกที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
เราเองซื้อหุ้นด้วย "ความโลภ" และมักขายหุ้นเพราะ "ความกลัว"!!!
แต่ผมแอบเชื่อว่า...
1. หุ้นดีควรต้องมีผลประกอบการที่ดี
2. หุ้นที่(อนาคต)น่าจะดี ควรจะต้องมี Story ที่ชัดเจน
และก่อนเราจะซื้อหุ้น
เราควรตอบตัวเองให้ได้ว่า เราซื้อเพราะอะไร???
และเราก็จะรู้เองครับว่า เราควรจะขายมันเมื่อไหร่โดยอัตโนมัติ
แต่บางทีมันก็น่าเบื่อนะ สำหรับหุ้นไม่สภาพคล่อง
คนอื่นเค้าเทรดกันโครมๆ เรานั่งหาวอย่างเดียว มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
และด้วยความที่มันไม่มีสภาพคล่อง มันจึงขายยาก ถ้าเราวิเคราะห์ผิดหล่ะก็...เสียวเหมือนกันนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่นั่งอ่านเรื่องราวความคิดเห็นส่วนตัวของผม
หวังว่าคงจะได้เห็นการลงทุนในอีกแง่มุมหนึ่ง และน่าจะได้ "สาระเล็กๆ" หรือ "ความบันเทิง" ในวันหยุดนี้ไปบ้างนะขอรับ
ผิดถูกอย่างไรก็เสริมหรือแก้ได้เลยนะครับ ผิดถูกอย่างไร ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ
สุดท้าย...
อยากให้มองว่า "หุ้นขนาดเล็กจิ๋ว" หรือ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" เหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งใน "การลงทุนทางเลือก" ที่ผมเองไม่ได้บอกนะครับว่า "มันจะดีที่สุด"
การลงทุนมี "ความเสี่ยง" แต่มันก็มี "ความฝัน" ปะปนอยู่ด้วยเสมอ
Enjoy กับการลงทุนในวันนี้ เพื่ออนาคตของเรากันครับ
(^_^)
ผมมักเรียกหุ้นพวกนี้ว่าเป็น "หุ้นขนาดจิ๋ว" หรือ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด"
ซึ่งน้อยมาก ที่คุณจะได้เห็นบทวิเคราะห์ของหุ้นเหล่านี้ จากโบรคต่างๆ!!!!
ผมเชื่อเอาเองว่า...
"บริษัทฯขนาดจิ๋วเหล่านี้ ไม่ใช่ว่า จะไม่มีบริษัทฯไหนที่ดีเอาซะเลย
แต่นั่นเป็นเพราะ...มันเล็กเกินไป!!!
เล็กเกินไปกว่าที่โบรค หรือชาวต่างชาติจะหันเหลียวเอาหางตามามอง
เพราะบางบริษัทฯ หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าของ รวมทั้วงฟรีโฟทในตลาดก็ต่ำ
เจ้ามือหรือรายใหญ่เองก็มักบอกว่า หุ้น Size ขนาดนี้ บางทีปั่นแล้วได้ไม่คุ้มเหนื่อย
ผมคิดว่า เค้าน่าจะชอบหุ้นขนาดกลางมากกว่าครับ"
แต่อะไรก็ไม่แน่ครับ บางทีหุ้นตัวเล็กจี๊ดเหล่านี้ ก็อาจตกเป็นเครื่องมือของ "จ้าว" ได้เช่นกัน
ต้องคอยสังเกตุ และระวังให้ดีเช่นกัน
หุ้นรองเท้า BATA เอง ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ คือ หุ้นตัวเล็กจี๊ด
แต่ปัจจุบัน บริษัทฯขอออกจากตลาดไปแล้วโดยสมัครใจ
ผมซื้อบาจาที่ราคาประมาณ 4 - 5 บาท ถือไว้ประมาณปีกว่าๆ
แต่เค้าตั้งโต๊ะรับซื้อคืนที่ 17 บาทกว่าๆ!!!!
นั่นคือเหตุผลว่า ผมเอาเงินมาจากไหนมาลงทุนในหุ้น ทั้งๆที่เริ่มต้นจากเงินแค่ 300,000 บาท
และคอยใช้เงินอย่างประหยัดอดออมในทุกๆเดือน รวมทั้งคอยเอาโบนัสบางส่วนในแต่ละปีมาลงทุนให้หุ้นที่(น่าจะ)มีคุณค่าที่เราได้เลือกคัดสรรแล้ว
ที่เค้าเรียกว่า "ตีแตก"
แต่ถ้าเราไม่แน่ใจ เราก็อาจจะกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัวก็ได้นะครับ
ผมยังไม่เคยลืมหุ้นตัวนี้ และทุกวันนี้ผมก็ยังคงใส่รองเท้า Bata อยู่ทุกวันเช่นเดิมอ่ะนะขอรับ
หุ้นวันนี้เปลี่ยนไปจาก "อดีต" ครับ
เพราะวันนี้ เราอยู่ในโลกแห่งข้อมูลและสารสนเทศ
โลกที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
เราเองซื้อหุ้นด้วย "ความโลภ" และมักขายหุ้นเพราะ "ความกลัว"!!!
แต่ผมแอบเชื่อว่า...
1. หุ้นดีควรต้องมีผลประกอบการที่ดี
2. หุ้นที่(อนาคต)น่าจะดี ควรจะต้องมี Story ที่ชัดเจน
และก่อนเราจะซื้อหุ้น
เราควรตอบตัวเองให้ได้ว่า เราซื้อเพราะอะไร???
และเราก็จะรู้เองครับว่า เราควรจะขายมันเมื่อไหร่โดยอัตโนมัติ
แต่บางทีมันก็น่าเบื่อนะ สำหรับหุ้นไม่สภาพคล่อง
คนอื่นเค้าเทรดกันโครมๆ เรานั่งหาวอย่างเดียว มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
และด้วยความที่มันไม่มีสภาพคล่อง มันจึงขายยาก ถ้าเราวิเคราะห์ผิดหล่ะก็...เสียวเหมือนกันนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่นั่งอ่านเรื่องราวความคิดเห็นส่วนตัวของผม
หวังว่าคงจะได้เห็นการลงทุนในอีกแง่มุมหนึ่ง และน่าจะได้ "สาระเล็กๆ" หรือ "ความบันเทิง" ในวันหยุดนี้ไปบ้างนะขอรับ
ผิดถูกอย่างไรก็เสริมหรือแก้ได้เลยนะครับ ผิดถูกอย่างไร ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ
สุดท้าย...
อยากให้มองว่า "หุ้นขนาดเล็กจิ๋ว" หรือ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" เหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งใน "การลงทุนทางเลือก" ที่ผมเองไม่ได้บอกนะครับว่า "มันจะดีที่สุด"
การลงทุนมี "ความเสี่ยง" แต่มันก็มี "ความฝัน" ปะปนอยู่ด้วยเสมอ
Enjoy กับการลงทุนในวันนี้ เพื่ออนาคตของเรากันครับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 57
ไม่ได้ดีที่สุดของเค้า แต่ก็ดีที่สุดของเรา ปล่อยมุขเสี่ยวหน่อย :lol:pak เขียน:
สุดท้าย...
อยากให้มองว่า "หุ้นขนาดเล็กจิ๋ว" หรือ "หุ้นตัวเล็กจี๊ด" เหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งใน "การลงทุนทางเลือก" ที่ผมเองไม่ได้บอกนะครับว่า "มันจะดีที่สุด"
การลงทุนมี "ความเสี่ยง" แต่มันก็มี "ความฝัน" ปะปนอยู่ด้วยเสมอ
Enjoy กับการลงทุนในวันนี้ เพื่ออนาคตของเรากันครับ
(^_^)
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 51
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 58
ขอบคุณมากๆครับสำหรับข้อมูลดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้สึกเมื่อมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
โพสต์ที่ 60
บริษัทที่ 17 คือ OFM
ราคาพาร์ = 1.00 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 80,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 568 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 400,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 7.10 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,840,000 บาท
ถ้าไม่เขียนถึงบริษัทฯแห่งนี้ ผมคงไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
แม้ผมจะไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลบริษัทฯนี้อย่างจริงจังเท่าไหร่นัก!!!
แต่ผมมองว่าบริษัทฯนี้น่าสนใจยิ่งนัก และไม่น่าจะมองข้ามไปเฉยๆ
เพราะนี้คือบริษัทฯเล็กจิ๋วอีกแห่งหนึ่ง แต่มี Business Model ที่น่าสนใจ
ธุรกิจนี้ก่อตั้งโดย "ตระกูลอุ่นใจ" โดยเริ่มต้นจากร้านขายเครื่องเขียนธรรมดา
ปัจจุบันมีหัวเรือใหญ่คือ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ เป็นเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของบริษัทฯ
แถมยังควบมาด้วยตำแหน่งทางสังคม คือ "อุปนายกสมาคม E-Commerce ไทย"
(ผมแอบชอบส่วนตัวนะครับสำหรับ บริษัทฯที่มี CEO เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อ่ะนะครับ เพราะผมเชื่อว่าเค้าจะทำงานเต็มที่เพื่อตัวเค้าเองด้วย)
บริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ มีลูกค้าที่น่าทึ่งเช่นกัน เช่น PTT , SCB , KBANK และอื่นๆอีกมากมายจริงๆ
รวมทั้งหน่วยยังมีลูกค้างานราชการต่างๆ ไปยันมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
บริษัทฯให้บริการทั้ง e-Commerce และ e-Procurement
นอกจากรูปแบบธุรกิจแบบ B2B แล้ว บริษัทฯยังจะรุกเข้าสู่ B2C ด้วย ประมาณว่า มาเก็บลูกค้ารายบุคคลทั่วไปด้วยอ่ะนะครับ
บริษัทฯมีออฟฟิสอยู่แถวสวนหลวง และมีคลังสินค้า/ศูนย์กระจายสินค้าอยู่ย่านหนองจอก
เพราะบริษัทฯจะนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าถึงที่เลยทีเดียว
เมื่อก่อนผมเคยแอบชอบ CPALL หรือ 7-eleven มาก่อน เพราะเค้าเป็นบริษัทฯที่ทำหน้าที่เป็น "คนกลาง/ตัวกลาง" ระหว่าง Supplier กับลูกค้า
เปรียบเสมือนเป็นคนนั่งเก็บค่าผ่านทาง...เสือกินเปล่าดีๆนี่เองขอรับ
ผมคิดเอาเองว่า OFM ก็มีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่หลายอย่างนะ
บางคนแอบคิดแอบฝัน หรือเอาไปเปรียบเทียบกับ Amazon.com ในต่างประเทศเลยทีเดียว
แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้แค่ไหน?
มันคือคำตอบในอนาคต แต่มันยังคงเป็นความลับหรือปริศนาในปัจจุบันอ่ะนะครับ
"เงิน 2.84 ล้านบาท" ครับ(ราคาพอๆกับคอนโด 1 Bedroom ติดรถไฟฟ้าซักห้องนึง) คุณก็จะได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของธุรกิจแห่งอนาคตแห่งนี้แล้วหล่ะครับ
ราคาพาร์ = 1.00 บาท
จำนวนหุ้นทั้งหมด = 80,000,000 หุ้น
Market Cap. ในปัจจุบัน = 568 ล้านบาท
จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่คุณต้องมี = 400,000 หุ้น
(นั่นคือคุณจะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 0.5%ของหุ้นทั้งหมด ในกรณีถ้าคุณอยากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่)
ราคาปิดเมื่อวาน = 7.10 บาท
ดังนั้นจำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ในการซื้อ(โดยประมาณ) = 2,840,000 บาท
ถ้าไม่เขียนถึงบริษัทฯแห่งนี้ ผมคงไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
แม้ผมจะไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลบริษัทฯนี้อย่างจริงจังเท่าไหร่นัก!!!
แต่ผมมองว่าบริษัทฯนี้น่าสนใจยิ่งนัก และไม่น่าจะมองข้ามไปเฉยๆ
เพราะนี้คือบริษัทฯเล็กจิ๋วอีกแห่งหนึ่ง แต่มี Business Model ที่น่าสนใจ
ธุรกิจนี้ก่อตั้งโดย "ตระกูลอุ่นใจ" โดยเริ่มต้นจากร้านขายเครื่องเขียนธรรมดา
ปัจจุบันมีหัวเรือใหญ่คือ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ เป็นเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของบริษัทฯ
แถมยังควบมาด้วยตำแหน่งทางสังคม คือ "อุปนายกสมาคม E-Commerce ไทย"
(ผมแอบชอบส่วนตัวนะครับสำหรับ บริษัทฯที่มี CEO เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อ่ะนะครับ เพราะผมเชื่อว่าเค้าจะทำงานเต็มที่เพื่อตัวเค้าเองด้วย)
บริษัทฯเล็กๆแห่งนี้ มีลูกค้าที่น่าทึ่งเช่นกัน เช่น PTT , SCB , KBANK และอื่นๆอีกมากมายจริงๆ
รวมทั้งหน่วยยังมีลูกค้างานราชการต่างๆ ไปยันมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
บริษัทฯให้บริการทั้ง e-Commerce และ e-Procurement
นอกจากรูปแบบธุรกิจแบบ B2B แล้ว บริษัทฯยังจะรุกเข้าสู่ B2C ด้วย ประมาณว่า มาเก็บลูกค้ารายบุคคลทั่วไปด้วยอ่ะนะครับ
บริษัทฯมีออฟฟิสอยู่แถวสวนหลวง และมีคลังสินค้า/ศูนย์กระจายสินค้าอยู่ย่านหนองจอก
เพราะบริษัทฯจะนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าถึงที่เลยทีเดียว
เมื่อก่อนผมเคยแอบชอบ CPALL หรือ 7-eleven มาก่อน เพราะเค้าเป็นบริษัทฯที่ทำหน้าที่เป็น "คนกลาง/ตัวกลาง" ระหว่าง Supplier กับลูกค้า
เปรียบเสมือนเป็นคนนั่งเก็บค่าผ่านทาง...เสือกินเปล่าดีๆนี่เองขอรับ
ผมคิดเอาเองว่า OFM ก็มีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่หลายอย่างนะ
บางคนแอบคิดแอบฝัน หรือเอาไปเปรียบเทียบกับ Amazon.com ในต่างประเทศเลยทีเดียว
แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้แค่ไหน?
มันคือคำตอบในอนาคต แต่มันยังคงเป็นความลับหรือปริศนาในปัจจุบันอ่ะนะครับ
"เงิน 2.84 ล้านบาท" ครับ(ราคาพอๆกับคอนโด 1 Bedroom ติดรถไฟฟ้าซักห้องนึง) คุณก็จะได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของธุรกิจแห่งอนาคตแห่งนี้แล้วหล่ะครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."