โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 61

โพสต์

กองทุนยักษ์พาเหรดกลับหุ้นไทย
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=417
กองทุนยักษ์พาเหรดกลับหุ้นไทย

วันจันทร์ที่ 04 ตุลาคม 2010 เวลา 08:58 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - ข่าวหน้า1


โบรกเกอร์สานเสียง นักลงทุนระยะยาวทั้งกองทุนยักษ์ระดับโลก และกองทุนบำนาญ ทยอยเข้าตลาดหุ้นไทยแล้ว  บล.บัวหลวงฯ รับลูกค้ามอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งบริหารกองทุนขนาดใหญ่ระดับแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีนโยบายลงทุน  3-5 ปี  บล.ภัทรฯ และทิสโก้ เผยโรดโชว์ต่างประเทศ กองทุนระยะยาวสนใจฟังตรึม เฮชเอสบีซี เผยผลสำรวจผู้จัดการกองทุนทั่วโลกเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 50 %

           ในช่วง 2 เดือนเศษที่ผ่านมา ที่กระแสเงินทุนไหลเข้าหรือฟันด์โฟลว์ ทะลักเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียนั้น  สำหรับตลาดหุ้นไทยนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสะสมสุทธิแล้วถึง 60,000 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 23 ก.ค.-30 ก.ย.53 )  และจากที่"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจไปยังบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรอบนี้มีกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลกที่มีนโยบายลงทุนระยะยาวทยอยกลับเข้ามาลงทุนแล้ว

       นายไพบูลย์  นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ จำกัด  กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เดินสายนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ต่างประเทศ อย่างต่อเนื่องในปีนี้ เชื่อว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีนักลงทุนระยะยาว ซึ่งรวมถึงกองทุนบำนาญในต่างประเทศ สนใจทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว
   
            ล่าสุดเมื่อวันที่ 15-17 กันยายน ที่ผ่านมา บล.ทิสโก้ฯได้จับมือกับดอยช์แบงก์ โรดโชว์ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จำนวน  5 ราย ร่วมเดินทางไปด้วย คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม  จำกัด(มหาชน)(บมจ.)  บมจ. ปตท.เคมิคอล  บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นส์ โปรดักส์  บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  และบมจ. ทิสโก้ไฟแนลเชียลกรุ๊ป  โดยมีผู้จัดการกองทุนจากทั่วโลกกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน และช่วงที่เหลือของปียังมีแผนเดินสายโรดโชว์อย่างต่อเนื่อง

          อย่างไรก็ตามคาดว่า เม็ดเงินของกองทุนระยะยาวที่เป็นกองทุนบำนาญ อาจจะยังเข้ามาลงทุนไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังเป็นห่วงเรื่องการเมืองไทย ว่าจะสงบได้นานเพียงใด ประกอบกับราคาหุ้น หากเทียบกับอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ที่ระดับ 13 เท่า  ถือว่าใกล้เคียงกับภูมิภาคแล้ว  ทำให้นักลงทุนต่างชาติขอดูความชัดเจนเรื่องการเมือง แม้ว่าพื้นฐานหุ้นไทยยังดีอยู่ก็ตาม
       
        ด้านนายชัยพร  น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.บัวหลวงฯ กล่าวว่า หากประเมินจากผลการโรดโชว์ที่บริษัทจัดขึ้นที่สิงคโปร์เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับมอร์แกน สแตนเลย์  คาดว่ากองทุนต่างชาติที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ได้ทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว โดยสังเกตจากบริษัทที่ร่วมเดินทางไปโรดโชว์ครั้งนี้จำนวน 10 ราย ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นถ้วนหน้า   รวมถึงหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 60 อันดับแรก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เกิน 10,000 ล้านบาทขึ้นไปด้วย

        สำหรับรายชื่อบจ. 10 แห่งที่ร่วมโรดโชว์ อาทิ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ บมจ.ธนาคารทหารไทย  บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม บมจ.ปตท.เคมิคอล  และบมจ.ไทยออยล์ เป็นต้น

             ด้านกองทุนต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้าของมอร์แกน สแตนเลย์  ที่มาร่วมงานโรดโชว์ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ โดยแต่ละรายมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารระดับ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  อาทิ  บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ฯ (เอไอเอ) , พรูเดนเชียล และฟิเดลลิตี้ เป็นต้น "สาเหตุที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน ที่ส่วนใหญ่ยังสามารถเติบโตได้"

           ทั้งนี้ บล.บัวหลวงฯ ได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (EPS) ปี 2554 ของบริษัทจดทะเบียน จาก 15 % เป็น 21 %  อีกทั้งได้ปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน ปี 2553 ขึ้นเป็น 18.46 % จากเดิมคาดว่าเติบโต  16 %

            ดร.ศุภวุฒิ  สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทรฯ กล่าวว่า ในปีนี้หลังจากที่บริษัทได้เดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ  เชื่อว่าเริ่มมีสถาบันต่างประเทศ ที่เป็นนักลงทุนระยะยาว เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว  ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าช่วงที่บริษัทได้เดินสายโรดโชว์นั้น มีกลุ่มนักลงทุนระยะยาวสนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูลด้วย

            อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จะเป็นกลุ่มนักลงทุนระยะยาวแต่หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และกระทบความเชื่อมั่นต่อการลงทุน  นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวก็พร้อมที่จะขายหุ้นออกได้ทันทีเช่นกัน ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดวิกฤติซับไพรม์ และ เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย ทำให้เงินระยะยาวไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเช่นกัน

         ล่าสุด ธนาคารเอชเอสบีซี(HSBC) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประจำไตรมาส 3/2553 จากผู้จัดการกองทุน ที่ทำงานในบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำทั่วโลก 12 แห่งซึ่งมียอดเงินกองทุนภายใต้การบริหารจัดการรวมกันกว่า 3.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 14.8% ของปริมาณเงินลงทุนประมาณการที่มีอยู่ทั่วโลก

           นายบรูโน ลี ผู้อำนวยการบริหาร แผนกบริหารความมั่งคั่ง ฝ่ายบุคคลธนกิจประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ HSBC กล่าวถึงผลสำรวจว่า ในไตรมาส 3/2553 ผู้จัดการกองทุนได้ให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มเป็น 50 % จาก 40 % ในไตรมาส 2/2553 และส่วนใหญ่มองว่า การลงทุนในหุ้นมีแนวโน้มดีกว่าพันธบัตร โดยมี 13% เท่านั้นที่เห็นว่า ตลาดพันธบัตรน่าลงทุนกว่าตลาดหุ้น

         จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้จัดการกองทุน 44% ที่มองว่า หุ้นในตลาดเติบโตเร็วในแถบเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) มีอนาคตสดใส เพิ่มจากการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 38%

         การสำรวจครั้งนี้ ไม่มีผู้จัดการกองทุนรายใด ที่ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น หรือตลาดพันธบัตรเลย แม้ว่าหลายฝ่ายจะยังกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และแม้ว่าจะมีเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนตราสารหนี้ปริมาณสูงมาก

          อย่างไรก็ตาม จากการที่ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ยังคงน้ำหนัก การลงทุนในตลาดพันธบัตรในไตรมาส 3/2553

         ขณะที่การให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในไตรมาสนี้ แม้จะไม่มีผู้จัดการกองทุนรายใดที่ลดน้ำหนักการลงทุน แต่ผลสำรวจพบว่า ผู้จัดการกองทุนที่มองว่า ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มสดใสนั้นมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ผู้จัดการกองทุนที่คงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีมากขึ้น

         สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น มีจำนวนผู้จัดการกองทุนจำนวนเพิ่มขึ้น ที่คงน้ำหนักการลงทุนเช่นเดิมในไตรมาสนี้ ส่วนที่เห็นว่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มร้อนแรง กลับมีจำนวนน้อยลง

         ทั้งนี้ HSBC ระบุว่า ในไตรมาส 2/2553 กองทุนที่ลงทุนในหุ้น มีผลประกอบการดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) และตลาดหุ้นเกิดใหม่ ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 10.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 26.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,571  3-6  ตุลาคม พ.ศ. 2553
เกาะไว้แน่นๆ นะครับ  :lol:
chotipat
Verified User
โพสต์: 625
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 62

โพสต์

ตอนนี้เราอยู่ปลายคลื่นลูก 3  ต้องมีปรับฐานลงมาหน่อยก่อนอ่ะครับ ก่อนที่จะไปถึง 1000 จุด อันนี้ส่วนตัวมองไว้เป็นต้นปีหน้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
aviruth
Verified User
โพสต์: 334
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 63

โพสต์

เห็นมีข่าวแบบนี้ทีไรหักหัวทิ่มไม่หันหลังกลับมาอีกหลายครั้งแล้วนะ
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 64

โพสต์

:lol:

อารมณ์ตลาด เนี่ยๆ สุดๆเลยครับ  :lol:
navapon
Verified User
โพสต์: 760
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 65

โพสต์

ถึงตอนนี้ วันนี้ set index 1000 จุด อาจไม่ไกลเกินเอื้อมนะครับ ขึ้นเยอะๆดี ผมชอบ
เราจะได้กำไรกันมากหน่อย อย่ารีบกระโดดหนี ขายหมู กันนะพี่น้อง
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Teeruk
Verified User
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 66

โพสต์

ปรับฐาน แล้วช่วยขายเปลี่ยนมือมาดันหุ้นถูกๆ ขึ้นไปบ้างน่ะคับ
Only one word can change your life...
You want to be greedy when others are fearful. You want to be fearful when others are greedy. It's that simple
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

-ขอบคุณครับ

โพสต์ที่ 67

โพสต์

อ่านแล้วได้ประโยชน์มากครับ
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดอยเต่า
Verified User
โพสต์: 114
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 68

โพสต์

ถ้าทุกโบรคประสานเสียงนี่ยิ่งต้องระวัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 69

โพสต์

ในที่สุดก็ได้เห็น ..  :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
MO101
Verified User
โพสต์: 3226
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 70

โพสต์

เย็นนี้คงปรับเป้าเป็น 1200 จุด
ไม่รู้จะมีใครเวอร์ทาย 1700 จุดบ้างหรือเปล่านะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
unnop.t
Verified User
โพสต์: 924
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 71

โพสต์

Set เป็น leading indicator ของภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งกำไรของบริษัทในปีนี้ส่วน

ใหญ่สูงขึ้นเมื่อเทียบปีก่อน ๆ และสะท้อนเข้าไปในดัชนีแล้ว แต่ถ้าจะขึ้นสูงไป

มากกว่านี้กำไรของบริษัทต้อง support ด้วย บทความของดร. เรื่อง กระทิง หมี

หมู โดนใจจริง ๆ
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 72

โพสต์

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 16:49:03 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หุ้นไทยพุ่งพรวดบวก 18 จุด ทะลุ 1,003จุด ซื้อขายกระฉูด 3.9หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ (1 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,003 จุด เพิ่มขึ้น 18 จุด
มูลค่าการซื้อ-ขายทั้งสิ้น 39,843 ล้านบาท
ภาพประจำตัวสมาชิก
leaderinshadow
Verified User
โพสต์: 1765
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 73

โพสต์

ปรับเป้ากันแล้ว  :lol:

นักวิเคราะห์ เพิ่มเป้าหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,038 จุด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
นักวิเคราะห์ เพิ่มเป้าหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,038 จุด

Posted on Friday, November 05, 2010

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกว่า สมาคมฯได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2553 เป็นเฉลี่ย 1,038 จุด จากคาดการณ์เดิม 849 จุด ส่วนดัชนีสิ้นปี 2554 จะอยู่ที่ 1,133 จุด โดยมีโอกาสพุ่งสูงสุดที่ 1,201 จุด และต่ำสุด 907 จุด ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เอเชีย และเศรษฐกิจโลก ประกอบกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโต และกระแสการไหลเข้าของเงินทุน รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สมาคมฯยังได้ปรับคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้เป็น 7.3% จากเดิมคาด 5.2% และอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ 20.9% จากเดิมที่ 15.4% ขณะที่ใน 2554 คาดว่า จีดีพีจะขยายตัว 4.3%

ทั้งนี้ ภาครัฐควรเร่งแก้ไขปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ปัญหาทางการเมือง และปัญหาน้ำท่วม ควบคู่ไปกับการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ยังต้องเร่งสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจ และเร่งการใช้จ่ายภาครัฐด้วย

สำหรับคำแนะนำในการการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราเงินปันผลสูง และมีแนวโน้มการเติบโตสม่ำเสมอ โดยทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และติดตามข่าวสารข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการกระจายการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง

ส่วนการลงทุนระยะสั้น ควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากตลาดในระยะนี้เป็นตลาดขาขึ้น แนะนำ ให้เลือกหุ้นรายตัว ดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น

โดนหุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ บมจ. บ้านปู (BANPU) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC  เป็นต้น ด้านหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ ธนาคารทหารไทย (TMB) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เป็นต้น
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด

โพสต์ที่ 74

โพสต์

ผวาฟันด์โฟลว์ปั๊มฟองสบู่หุ้น จับตาคลื่นดอลลาร์ปี54

นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนประเมิน ดัชนี 1,200-1,400 จุด โซนอันตรายตลาดหุ้นไทยสู่ภาวะฟองสบู่  ชี้จับตาเงินทุนไหลเข้าปีหน้าเป็นตัวแปรสำคัญ เตือนจุดเสี่ยง  1,160 จุด  ขณะที่เผยปัจจัยพื้นฐานในประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ - การทำกำไรบริษัทจดทะเบียน

ยังแกร่ง เผย 9 เดือนแรก โชว์กำไร 4.27 แสนล้าน พุ่งเฉียด 30 % กบข.รับปีหน้าลงทุนลำบาก เหตุหุ้น 40-50 ตัว ราคาแพงแล้ว "ศุภวุฒิ"ชี้ปี 2554 ธปท.ต้องสกัดเงินไหลเข้า ล่าสุดหุ้นดิ่งผวาจีนสกัดฟองสบู่
           กระแสความกังวลต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมหุ้นไทยยังมีต่อเนื่อง  แม้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดจะลดความร้อนแรงลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค จากความกังวลกรณีประเทศจีนออกมาตรการสกัดฟองสบู่ และอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมถึงความกังวลกรณีประเทศในภูมิภาคจะออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าหรือฟันด์โฟลว์  
       ความกังวลถึงภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังสหรัฐอเมริกาเดินหน้ามาตรการเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯเข้าระบบอีกระลอก(QE2) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันปัญหาค่าเงินในประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ดร.อัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ย้ำว่า ธปท.ยังคงติดตามและเตรียมมาตรการจำนวนมากไว้รับมือสถานการณ์อย่างเข้มงวดและรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว โดยธปท.ไม่ได้เพิกเฉยต่อกระบวนการทำให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปยืนในระดับปกติ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบเวลานี้ เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว (อ่านรายละเอียดข่าว ธปท.เพิ่มมาตรการคุมเงินไหลเข้า... หน้า 14)
สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553   ส่งผลให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดวิกฤติปี  2540 ทำให้ในรอบเกือบ 11 เดือนของปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแล้วถึง 42 %
***ดัชนี 1,400 จุด เป็นฟองสบู่
          "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจไปยังนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุน ที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาดหุ้นมานาน ต่างมองตรงกันว่า ฟองสบู่ยังไม่ก่อตัวในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยอมรับว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป ขณะที่มองตรงกันอีกว่า ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น คือ ปัจจัยจากภายนอก นั่นคือ เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เงินทุนหนีเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย
          นายกวี  ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (มหาชน)(บมจ.) กล่าวว่า สำหรับสัญญาณหรือตัวบ่งชี้การเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย คือ ราคาหุ้นปรับขึ้นไปมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ จนทำให้ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือพีอี เรโช อยู่ที่ 17 เท่า   และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,400 จุด
          อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะต้องจับตา คือ กระแสเงินทุนไหลเข้าในปี 2554  และมาตรการของภาครัฐ ในการควบคุมการเกิดภาวะฟองสบู่กับเศรษฐกิจของประเทศ จากกระแสเงินที่ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ การป้องกันไม่นำเงินร้อนที่เป็นเงินระยะสั้น มาใช้ในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง อาทิ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะต้องมีการควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ซึ่งยอมรับว่าสัญญาณจากความเสี่ยงจากกลุ่มสถาบันการเงินก็ยังไม่มี เนื่องจากเอ็นพีแอลยังต่ำ และมีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งเงินสำรองของธนาคารก็ยังสูงกว่าในช่วงเกิดฟองสบู่ในอดีต
       ส่วนกระแสเงินร้อนของต่างชาติ แม้ว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นจนส่งผลต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนไม่มาก และเปรียบได้กับเป็นกลุ่มคนมีเงิน เพียงส่งผลให้กำไรลดลงเท่านั้นหากฟองสบู่แตก  ขณะที่ยอมรับว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะเต็มมูลค่าแล้ว หากอิงจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปีนี้ที่ระดับ 1,030-1,040 จุด
***หุ้นขึ้นอีก 200 จุด อันตราย
             ด้านมุมมองของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้น  กล่าวว่า ช่วง 2 ปีมานี้ (ปี 2552-2553 )หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นตอนนี้จึงอยู่ในภาวะที่ต้องยอมรับว่าไม่ถูกแล้ว แต่ก็ไม่แพงจนเกินไป  อย่างไรก็ตามในความเห็นส่วนตัวมองว่าหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับขึ้นอีก 20 % (หรือดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,200 จุด โดยคำนวณจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวันที่ 16 พ.ย.53 ปิดที่ 1,000.73 จุด)  ถือว่าอันตราย เพราะเป็นฟองสบู่แล้ว
              อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากปัจจัยในประเทศ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)เอง พบว่าหุ้นไทยมีความเสี่ยงไม่สูงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่  หากแต่มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกคือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ยังชะลอตัว  และการทยอยดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE2 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตในระดับที่ค่อนข้างดี แม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะจูงใจให้มีเงินลงทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจจะดันให้ตลาดหุ้นเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่ได้
   นายยิ่งยง  นิลเสนา รองเลขาธิการ กลุ่มงานบริหารเงินกองทุน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)กล่าวว่า ปี 2554  คาดว่ากระแสเงินลงทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นกบข.ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย และตลาดหุ้นเกิดใหม่หรืออีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต ที่ระดับ "มากกว่าตลาด" อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ปี 2554 การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะยากขึ้น  เนื่องจากหุ้นที่กบข.ลงทุน 40-50 ตัวนั้น ราคาเริ่มใกล้เต็มมูลค่าแล้ว  
***ระวัง!สภาพคล่องล้น
          นายแอนดรูว์ เยทส์ หัวหน้าฝ่ายขายหุ้นระหว่างประเทศ บล. เอเซีย พลัสฯ กล่าวว่า ในปีหน้าจะเห็นปัจจัยบวกหลายประการ แต่ปัจจัย สำคัญจะขึ้นอยู่กับตลาดต่างประเทศ รวมทั้งขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ และภาวะฟองสบู่ด้านสภาพคล่อง
           ขณะที่คาดว่าปีหน้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นไปแตะ 1,200  จุด และอาจจะพุ่งขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย ด้วยแรงหนุนจากสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี ถ้าหากเกิดภาวะฟองสบู่ ปีหน้าก็จะจบลงอย่างเลวร้าย และดัชนีก็อาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงได้โดยง่ายก่อนสิ้นปี
*** ดัชนี 1,160 จุด เข้าเขตเสี่ยง          
             นายสุกิจ  อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ฯ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่เร่งการเกิดความเสี่ยงให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทยปีหน้าที่สำคัญคือ กระแสเงินลงทุนของต่างชาติ ที่ไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย จากมาตรการอัดฉีดเงินของ สหรัฐอเมริกา  สำหรับปีนี้ยอมรับว่า ราคาหุ้น ณ ระดับดัชนีที่ 1,000-1,040 จุด เข้าใกล้ระดับเต็มมูลค่าแล้ว
        อย่างไรก็ตามหากฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง จนทำให้ระดับราคาหุ้นสูงขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือพี/อี เกิน 14 เท่าในปี 2554  ถือว่าเป็นความเสี่ยง ซึ่งอิงจากการเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ปี 2554  ที่อัตรา 15 % หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่ระดับ 1,160 จุด
             ขณะที่หากประเมินกระแสเงินลงทุนต่างชาติ ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในปี 2554  ประมาณกว่า 80,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะไม่ร้อนแรงเท่าปีนี้  ทั้งนี้เพราะปัจจุบันราคาหุ้นไทยถือว่าปรับขึ้นไปมากแล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง  ดังนั้น แรงจูงใจการลงทุนของต่างชาติเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค คงไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบตลาดหุ้นจีน เกาหลีใต้ ที่ปีนี้ยังปรับขึ้นไม่มาก
              ด้านสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ล่าสุด โดยคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2554 ปิดที่ระดับ 1,133 จุด  ประเมินดัชนีสูงสุดที่ 1,201 จุด และต่ำสุดที่ 907 จุด  ขณะที่ประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิบจ. ปีหน้าที่ 15 %
          สำหรับผลประกอบการบจ.งวด 9 เดือนปี 2553  บล.เอเซีย พลัสฯ รายงานว่า บจ.จำนวน 441 บริษัทจากทั้งหมด 549 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 427,617.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 979,83.5 ล้านบาท คิดเป็น 29.72 % จากช่วงเดียวกันของปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 329,634 ล้านบาท
*** "ปีหน้าธปท.ต้องสกัดเงินไหลเข้า
         ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ และประธานสายงานวิจัย  บล.ภัทรฯ กล่าวว่า แนวโน้มระยะยาวเงินบาทน่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง แม้ช่วงสั้นจะเห็นการอ่อนค่าของเงินบาทมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตาม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ข่าวการออกมาตรการคิวอี 2 ของสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศยุโรป และความเสี่ยงของไอซ์แลนด์ ที่เริ่มก่อตัวจนส่งผลถึงกรีซและประเทศอื่น ๆ ด้วย
            อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ยังยืนยันออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อ นั่นหมายถึงจะมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบต่อเนื่อง จะส่งผลให้เงินทุนยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยเช่นเดิม เพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) คงจะต้องมีการออกมาตรการควบคุมเงินไหลเข้า
         "ไตรมาส 3 ปีนี้ เม็ดเงินต่างชาติได้ไหลเข้ามาในไทยมากถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บวกกับการเกินดุลบัญชีเกินสะพัด 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นว่า บาทจะยังคงแข็งค่าขึ้น ถ้าสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้ามาอีก และจีนยังไม่ยอมร่วมมือ ในการปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นบ้าง และถ้าไทยไม่ยอมก็ต้องไหลเข้าสู่สินค้าโภคภัณฑ์ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายไทยก็ต้องรับภาระ และเอกชนน่าจะลำบากในการปรับตัว" ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,584 18-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=417