|0 คอมเมนต์
ผมว่า VI เป็นการซื้อหุ้นด้วยการมองที่มูลค่า (จริงๆ ไม่น่าจะใช่คุณค่า) ของกิจการ
ที่แท้จริง ซึ่งมากไปกว่าเพียงงบการเงิน แต่รวมไปถึงธุรกิจทั้งระบบ ซึ่งจะต้องแข่งขัน
ได้อย่างมั่นคง ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยข้อได้เปรียบใดๆ ก็แล้วแต่ (ซึ่งก็จะสะท้อนออกมาใน
งบการเงินส่วนหนึ่ง) แล้วราคาหุ้นนั้นถูกจนกระทั่งถ้าถามเราว่า
ถ้าซื้อทั้งบริษัทได้
จะซื้อหรือไม่ หรือถามว่า
ถ้าซื้อแล้ว ขายไม่ได้เลยนะ จะซื้อหรือไม่ ถ้าตอบ
ว่า
ใช่ กับทั้งสองคำถามนี้ ก็นั่นแหละครับ บริษัทที่น่าจะซื้อ
เพราะอะไรหรือ?
เพราะว่า ถ้าตลาดหุ้นเกิดปิดไปพรุ่งนี้ แล้วเราไม่สามารถขายหุ้นนั้นได้
จำต้องถือไว้ ใบหุ้นก็มีค่าเท่าๆ กับศูนย์บาทนั่นแหละ (ถ้าไม่นับว่าไปตะเกียกตะกาย
ขายกันนอกตลาดนะครับ)
อย่างที่บัฟเฟตต์ บอกนั่นแหละ เขาจะซื้อหุ้นประเภทที่ว่า แม้ตลาดปิดไปสักสิบปี
ก็ยังคงรู้สึกเฉยๆ เพราะราคาที่ซื้อมานั้นมันถูกจริงๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าของความ
สามารถในการทำธุรกิจของบริษัท และบริษัท ก็ยังคงประกอบธุรกิจได้ต่อไป และก็ให้
ผลตอบแทนมาได้เรื่อยๆ (โดยที่ไม่ต้องสนใจตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ที่มักมีแรงเก็งกำไร
กันไปมา - ประเทศไหนก็เป็น)
สำหรับผม ผมเลือกหุ้นที่ราคาถูก, อยู่ได้คงกระพัน, แข่งขันได้, มีข้อได้เปรียบทาง
การค้า อะไรพวกนี้ และแม้ตลาดหุ้นปิดไป ผมก็ยังคงพอใจกับปันผลที่เป็นเงินสดที่จะ
ได้รับทุกๆ ครั้งที่เขาจ่ายกัน อย่างนี้คงไม่เรียกว่าติดหุ้นกระมังครับ ในทางตรงกันข้าม
ผมกลับอยากให้หุ้นของผม (ที่ผมว่าราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ซื้อ) มีราคาอยู่
เท่าๆ เดิมไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ผมยังคงเอาปันผลของตัวมันเองกลับมาซื้อได้ที่ราคา
ไม่แพง และได้หุ้นจำนวนมากครับ
ใครๆ เขาว่าผมบ้า ไม่เหมือนคนอื่น คงจะจริง

แต่ผมคล้ายๆ พ่อแฮะ :lol: :lol: :lol: