มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 1
ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์มาก่อนนะครับ แต่อ่านหนังสือหุ้นมาเป็นตั้งๆแล้ว ของ ดร นิเวศน์แล้วเพลินมาก เล่มที่แปลๆของ วอร์เรนบัฟเฟต หรือคนอื่นๆ ก็อ่านแล้วสนุก
ตอนนี้สนใจพวกเศรษฐศาสตร์ครับ เพราะรู้ว่าตัวเองเอาไปใช้อะไรได้ ลองซื้อของ อ.สุมาอี้ มาอ่าน 3 เล่มแล้ว ก็สนุกดี(เกี่ยวกับ SME 2 เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ 1) แล้วก็ซื้อ เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ที่คนญี่ปุ่นเขียน มาอ่านด้วย อันนี้ไม่เพลินมาก แต่ก็คงพอจะอ่านจบได้
เลยอยากขอคำแนะนำ หนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ที่อ่านง่ายๆ เหมือนหนังสือหุ้นที่พวกเราอ่านกัน อ่านแล้วได้ภาพรวมของเศรษฐกิจ และหรือ วิธีการสร้างธุรกิจ แบบ SME ที่ไม่มีการคำนวนหรือกราฟมากนัก
ขออะไรที่เป็นภาพรวมๆน่ะครับ ไม่ใช่เน้นจุดเล็กๆอย่างใดอย่างหนึ่ง (เช่นวิธีทำร้านกาแฟ วิธีขายของใน ebay หรือ ทั้งเล่มเป็นประเด็นเงินเฟ้ออย่างเดียว อะไรแบบนี้)
แต่ลองเปิดหนังสือของ รศดร วรากรณ์ สามโกเศศ แล้ว รู้สึกว่าไม่ใช่สไตล์ที่ชอบแฮะ
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับศิลป์ หรืออารมณ์ มาตลอดอย่างผม จะกลับกลายมาชอบเศรษฐศาสตร์ได้เลยนะนี่
หนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์หรือธุรกิจ ที่มีในครอบครองตอนนี้
1. Brandage - ดีมากเลย ทำให้รู้ว่าบริษัทใหญ่ๆ เค้าคิดจะขายของให้เรายังไง
2. เริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว อ สุมาอี้ - อันนี้กำลังจะอ่าน
3. วิถีของธุรกิจขนาดเล็ก อ สุมาอี้ - ให้ความรู้เกี่ยวกับ sme ได้บ้าง
4. เศรษฐศาสตร์ในกรุงเทพมหานคร อ สุมาอี้
5. เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ - คนญี่ปุ่นเขียน ก็เข้าใจบ้าง งงบ้าง
มีแต่ไม่ชอบ
Outliers (สัมฤทธิ์พิศวง) ไม่ชอบแบบเล่ายืดยาวๆแล้วค่อยมาสรุปอ่ะ
ช่วยแนะนำทีนะครับ
ตอนนี้สนใจพวกเศรษฐศาสตร์ครับ เพราะรู้ว่าตัวเองเอาไปใช้อะไรได้ ลองซื้อของ อ.สุมาอี้ มาอ่าน 3 เล่มแล้ว ก็สนุกดี(เกี่ยวกับ SME 2 เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ 1) แล้วก็ซื้อ เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ที่คนญี่ปุ่นเขียน มาอ่านด้วย อันนี้ไม่เพลินมาก แต่ก็คงพอจะอ่านจบได้
เลยอยากขอคำแนะนำ หนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ที่อ่านง่ายๆ เหมือนหนังสือหุ้นที่พวกเราอ่านกัน อ่านแล้วได้ภาพรวมของเศรษฐกิจ และหรือ วิธีการสร้างธุรกิจ แบบ SME ที่ไม่มีการคำนวนหรือกราฟมากนัก
ขออะไรที่เป็นภาพรวมๆน่ะครับ ไม่ใช่เน้นจุดเล็กๆอย่างใดอย่างหนึ่ง (เช่นวิธีทำร้านกาแฟ วิธีขายของใน ebay หรือ ทั้งเล่มเป็นประเด็นเงินเฟ้ออย่างเดียว อะไรแบบนี้)
แต่ลองเปิดหนังสือของ รศดร วรากรณ์ สามโกเศศ แล้ว รู้สึกว่าไม่ใช่สไตล์ที่ชอบแฮะ
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับศิลป์ หรืออารมณ์ มาตลอดอย่างผม จะกลับกลายมาชอบเศรษฐศาสตร์ได้เลยนะนี่
หนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์หรือธุรกิจ ที่มีในครอบครองตอนนี้
1. Brandage - ดีมากเลย ทำให้รู้ว่าบริษัทใหญ่ๆ เค้าคิดจะขายของให้เรายังไง
2. เริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว อ สุมาอี้ - อันนี้กำลังจะอ่าน
3. วิถีของธุรกิจขนาดเล็ก อ สุมาอี้ - ให้ความรู้เกี่ยวกับ sme ได้บ้าง
4. เศรษฐศาสตร์ในกรุงเทพมหานคร อ สุมาอี้
5. เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ - คนญี่ปุ่นเขียน ก็เข้าใจบ้าง งงบ้าง
มีแต่ไม่ชอบ
Outliers (สัมฤทธิ์พิศวง) ไม่ชอบแบบเล่ายืดยาวๆแล้วค่อยมาสรุปอ่ะ
ช่วยแนะนำทีนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 2
เหวอ ที่นี่ edit ไม่ได้เหรอนี่
มีอีกเรื่องอยากทราบครับ หนังสือ Intelligent Investor ของ เบนจามิน เกรแฮม ที่แปลไทยเล่มละ 595 หมดแล้วเหรอครับ
ดูในร้าน se-ed กับงานหนังสือ ไม่เห็นมีขายเลย
มีอีกเรื่องอยากทราบครับ หนังสือ Intelligent Investor ของ เบนจามิน เกรแฮม ที่แปลไทยเล่มละ 595 หมดแล้วเหรอครับ
ดูในร้าน se-ed กับงานหนังสือ ไม่เห็นมีขายเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 3
ขอแนะนำหนังสือของทิม ฮาร์ฟอร์ดครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 4
เศรษฐศาสตร์ แห่ง ความจริง โดย เอ็มไนท์ ชยาลามาล เอ๊ย
โดย คุณ พิชัย จาวลา ครับ
อาจจะไม่ตรงประเด็นมากนักแต่คิดว่า มีประโยชน์ดี
โดย คุณ พิชัย จาวลา ครับ
อาจจะไม่ตรงประเด็นมากนักแต่คิดว่า มีประโยชน์ดี
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
- gradius173
- Verified User
- โพสต์: 198
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 6
วิธีการสร้างธุรกิจ แบบ SME
ผมว่าของสมาคมไทยญี่ปุ่น มีเยอะครับ
หนังสือเศรษฐศาสตร์แบบที่อ่านแล้วสามารถเข้าใจเศรษฐกิจหรือมองภาพเศรษฐกิจได้เลยผมว่าไม่มี
ของแบบนี้ต้องอ่านหลายๆเล่ม แล้วบวกประสบการณ์
เพราะนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่าแน่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำนายภาพเศรษฐกิจได้แน่นอน
ส่วนใหญ่ที่เห็นว่าเก่ง มักเป็นพวกที่วิเคราะห์ย้อนหลัง เล่าที่มาที่ไปเป็นฉากๆ
แต่ตอนกำลังเกิดไม่มีใครรู้ว่าเป็นยังไง
บางเรื่องที่มาที่ไปไม่ชัดเจน จับแพะชนแกะบ้าง
เช่นเอาค่าเงินเหรียญไปผูกกับทองกับน้ำมัน
เช่นเงินเหรียญอ่อนทองแพงก็อธิบายแบบหนึ่ง
พอเงินเหรียญแข็งทองยังขึ้นก็อธิบายอย่างหนึ่ง
ดังนั้นผมว่าต้องอาศัยประสบการณ์และเข้าใจทฤษฎีพื้นฐาน
ก็พอจะวิเคราะห์เองได้ระดับหนึ่ง
ผมว่าของสมาคมไทยญี่ปุ่น มีเยอะครับ
หนังสือเศรษฐศาสตร์แบบที่อ่านแล้วสามารถเข้าใจเศรษฐกิจหรือมองภาพเศรษฐกิจได้เลยผมว่าไม่มี
ของแบบนี้ต้องอ่านหลายๆเล่ม แล้วบวกประสบการณ์
เพราะนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่าแน่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำนายภาพเศรษฐกิจได้แน่นอน
ส่วนใหญ่ที่เห็นว่าเก่ง มักเป็นพวกที่วิเคราะห์ย้อนหลัง เล่าที่มาที่ไปเป็นฉากๆ
แต่ตอนกำลังเกิดไม่มีใครรู้ว่าเป็นยังไง
บางเรื่องที่มาที่ไปไม่ชัดเจน จับแพะชนแกะบ้าง
เช่นเอาค่าเงินเหรียญไปผูกกับทองกับน้ำมัน
เช่นเงินเหรียญอ่อนทองแพงก็อธิบายแบบหนึ่ง
พอเงินเหรียญแข็งทองยังขึ้นก็อธิบายอย่างหนึ่ง
ดังนั้นผมว่าต้องอาศัยประสบการณ์และเข้าใจทฤษฎีพื้นฐาน
ก็พอจะวิเคราะห์เองได้ระดับหนึ่ง
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 7
มีของคุณ หนุ่มเมืองจันทร์ออกแนวตลกๆ หน่อย ไม่รู้ชอบหรือเปล่านะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 9
"The real tragedy of the poor is the poverty of their aspirations
Adam Smith
หากจะเอ๋ยถึงหนังสือเศรษศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลก นักเรียนเศรษฐศาสตร์และปรัชญา คงต้องส่งหนังสือเล่มหนึ่งของ อ. อดัม สมิทธ เข้าประกวดด้วยเช่นกัน หนังสือเล่นนี้มีชื่อซะยาว่า An Inquiry into the Nature and Causes of Wealth of Nation หรือที่บางท่านรู้จักกันอย่างสั้นๆ ว่า Wealth of Nation ซึ่งแก่นหลัก ๆของหนังสือเล่มนี้นั้นกลับไม่ยาวเหมือนชื่อแต่หากได้รับการยอมรับอย่างยาวนานจนล่วงเวลากว่า 232 ปี มาเนิ่นนาน และมีทีท่าว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดถึงแม้จะเห้นการ overheat ของ ความคิดท่านที่เกิดในอมเริกาอย่างปีนี้ตาม
โดยที่ท่านอดัม สมิทธ กล่าวไว้ว่า...
"การแข่งขันเพื่อความร่ำรวยจะทำให้ความเป้นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนเกิดจากระบวนการของตลาดที่มีดีมานกับซัฟพลายเป้นตัวขับเคลื่อน เปรียบเสมือนมือซ้ายกับมือขวาแต่เป้นมือที่มองไม่เห็น"
ท่านเกิดที่ สกอตแลนด์ พ่อทำงานที่กรมศุลกากร และได้ศึกษาเรื่องปรัชญาศีลธรรมที่มหาลัยกลาสโกร์ พอเรียนจบก็ยังเป้นอารย์สอนที่นั่นอีกทอดหนึ่ง นี่เท่ากับว่าจะบอกเป้นนัยว่า วิชาเศรษศาสตร์กำเนิดจากวิชาปรัชญาก็พูดอย่างนันได้ ซึ่งไม่ผิดแต่ประการใด เพราะช่วงของท่านเป้นช่วงแห่งหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไม่ว่าเดินไปหมู่ปัญญาชนที่ใดในยุโรป ล้วนต้องได้ยินและพาเข้าสู่การสนทนาเรื่องระบอบการปกครอง ศีลธรรมและสังคมอย่างไม่มีทางเลือก
เรื่องที่เหล่าปรัชญาเหล่านั้นได้ถุกเถียงกันนั้น ถ้าเป็นเราท่านย้อนเวลานั่งทามแมชชีนกลับไปร่วมฟังกับเขาด้วย คงแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะบางเรื่องนั้นในสมัยปัจจุบันกลายเป้นความจริงไปแล้ว แต่ในยุคนั้นยังเป็นเรื่องของวิชาปรัชญาเพราะยังมีเรื่องคลุมเครือไม่ชัดเจนพอให้ถกเถียงกันได้
"ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว แต่ก็ต้องปรับเข้าหากันได้ด้วยเหตุผลเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม"
ในปี 1759 ท่านเขียนหนังสือชื่อ The Theory of the Moral Sentiment ท่านเชื่อว่าความเห้นแก่ตัว ความโลภของคนจะลดลงเมื่อมีความเห้นอกเห้นใจเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ ผลประโยชน์ของเรากับคนอื่นเหมือนกระดานหก จำต้องชั่งน้ำหนักเพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียง แต่สุดท้ายกลับไม่เพียงพอที่จะบังคับใจคนจำต้องมีกฎหมายเข้ามาเป้นตัวกลางเสมอ
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ต้องเอ๋ยถึง เมื่อไปเยี่ยมเยือนเพื่อนของท่านคนหนึ่งซึ่งเป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ ชาล มองเตสซิเออ ทำให้ท่านได้รับอิทธิพลทางความคิดว่าด้วยเรื่อง ควรปล่อยให้การค้าดำเนินโดยอิสระและรัฐไม่ควรผูกขาดทุกอย่างไว้ด้วยภาษี แล้วเมื่อกลับมาอังกฤษท่านก็เริ่มเขียนหนังสือ The Weath of Nation อันลือลั่นสนั่นในเวลาต่อมา
ผมจะขอยกอ้างในหนังสือของท่านตอนหนึ่งนั้นกล่าวไว้ว่าดังนี้...
วิวัฒนาการของคนเราเปลี่ยนด้วยเสมอมาจากการล่าสัตว์มาสู่การปลูกพืช มาสู่การแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน และในที่สุดมาสู่การผลิตที่ซับซ้อน ความมั่งคั่งเกิดได้ด้วยเพราะดีมานกับซัฟฟลาย ซึ่งเป้นแรงพลักดันจากภายในจิตใจของคนที่ต้องต่อสู่เพื่อความอยู่รอดและติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่ลืมตาจากท้องแม่ สิ่งในใจคนนี้เองแล้วแท้จริงก่อให้เกิดกลไกทางสังคมให้สังคมเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยความคิดนี้เป้นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วครับ ปี 1830 อังกฤษเป้นประเทศแรกที่รื้อระบบทุนนิยมแบบเก่าที่คิดค้นขึ้นมาโดยคนยิวตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ตั้งแต่นั้นมาระบบทุนนิยมของคนยิวก็เหมือนติดปีกด้วยความคิดของ อ.อดัม สมิทธ และพาอังกฤษกระโดดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ และกลายเป้นชาติอุตสาหกรรมชาติแรกตั้งแต่โลกเคยรู้จักมา....
credit :
http://en.wikipedia.org/wiki/Adam_Sandlerh
http://en.wikipedia.org/wiki/The_Wealth_of_Nations
http://en.wikipedia.org/wiki/Capitalism
Adam Smith
หากจะเอ๋ยถึงหนังสือเศรษศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลก นักเรียนเศรษฐศาสตร์และปรัชญา คงต้องส่งหนังสือเล่มหนึ่งของ อ. อดัม สมิทธ เข้าประกวดด้วยเช่นกัน หนังสือเล่นนี้มีชื่อซะยาว่า An Inquiry into the Nature and Causes of Wealth of Nation หรือที่บางท่านรู้จักกันอย่างสั้นๆ ว่า Wealth of Nation ซึ่งแก่นหลัก ๆของหนังสือเล่มนี้นั้นกลับไม่ยาวเหมือนชื่อแต่หากได้รับการยอมรับอย่างยาวนานจนล่วงเวลากว่า 232 ปี มาเนิ่นนาน และมีทีท่าว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดถึงแม้จะเห้นการ overheat ของ ความคิดท่านที่เกิดในอมเริกาอย่างปีนี้ตาม
โดยที่ท่านอดัม สมิทธ กล่าวไว้ว่า...
"การแข่งขันเพื่อความร่ำรวยจะทำให้ความเป้นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนเกิดจากระบวนการของตลาดที่มีดีมานกับซัฟพลายเป้นตัวขับเคลื่อน เปรียบเสมือนมือซ้ายกับมือขวาแต่เป้นมือที่มองไม่เห็น"
ท่านเกิดที่ สกอตแลนด์ พ่อทำงานที่กรมศุลกากร และได้ศึกษาเรื่องปรัชญาศีลธรรมที่มหาลัยกลาสโกร์ พอเรียนจบก็ยังเป้นอารย์สอนที่นั่นอีกทอดหนึ่ง นี่เท่ากับว่าจะบอกเป้นนัยว่า วิชาเศรษศาสตร์กำเนิดจากวิชาปรัชญาก็พูดอย่างนันได้ ซึ่งไม่ผิดแต่ประการใด เพราะช่วงของท่านเป้นช่วงแห่งหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไม่ว่าเดินไปหมู่ปัญญาชนที่ใดในยุโรป ล้วนต้องได้ยินและพาเข้าสู่การสนทนาเรื่องระบอบการปกครอง ศีลธรรมและสังคมอย่างไม่มีทางเลือก
เรื่องที่เหล่าปรัชญาเหล่านั้นได้ถุกเถียงกันนั้น ถ้าเป็นเราท่านย้อนเวลานั่งทามแมชชีนกลับไปร่วมฟังกับเขาด้วย คงแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะบางเรื่องนั้นในสมัยปัจจุบันกลายเป้นความจริงไปแล้ว แต่ในยุคนั้นยังเป็นเรื่องของวิชาปรัชญาเพราะยังมีเรื่องคลุมเครือไม่ชัดเจนพอให้ถกเถียงกันได้
"ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว แต่ก็ต้องปรับเข้าหากันได้ด้วยเหตุผลเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม"
ในปี 1759 ท่านเขียนหนังสือชื่อ The Theory of the Moral Sentiment ท่านเชื่อว่าความเห้นแก่ตัว ความโลภของคนจะลดลงเมื่อมีความเห้นอกเห้นใจเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ ผลประโยชน์ของเรากับคนอื่นเหมือนกระดานหก จำต้องชั่งน้ำหนักเพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียง แต่สุดท้ายกลับไม่เพียงพอที่จะบังคับใจคนจำต้องมีกฎหมายเข้ามาเป้นตัวกลางเสมอ
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ต้องเอ๋ยถึง เมื่อไปเยี่ยมเยือนเพื่อนของท่านคนหนึ่งซึ่งเป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ ชาล มองเตสซิเออ ทำให้ท่านได้รับอิทธิพลทางความคิดว่าด้วยเรื่อง ควรปล่อยให้การค้าดำเนินโดยอิสระและรัฐไม่ควรผูกขาดทุกอย่างไว้ด้วยภาษี แล้วเมื่อกลับมาอังกฤษท่านก็เริ่มเขียนหนังสือ The Weath of Nation อันลือลั่นสนั่นในเวลาต่อมา
ผมจะขอยกอ้างในหนังสือของท่านตอนหนึ่งนั้นกล่าวไว้ว่าดังนี้...
วิวัฒนาการของคนเราเปลี่ยนด้วยเสมอมาจากการล่าสัตว์มาสู่การปลูกพืช มาสู่การแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน และในที่สุดมาสู่การผลิตที่ซับซ้อน ความมั่งคั่งเกิดได้ด้วยเพราะดีมานกับซัฟฟลาย ซึ่งเป้นแรงพลักดันจากภายในจิตใจของคนที่ต้องต่อสู่เพื่อความอยู่รอดและติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่ลืมตาจากท้องแม่ สิ่งในใจคนนี้เองแล้วแท้จริงก่อให้เกิดกลไกทางสังคมให้สังคมเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยความคิดนี้เป้นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วครับ ปี 1830 อังกฤษเป้นประเทศแรกที่รื้อระบบทุนนิยมแบบเก่าที่คิดค้นขึ้นมาโดยคนยิวตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ตั้งแต่นั้นมาระบบทุนนิยมของคนยิวก็เหมือนติดปีกด้วยความคิดของ อ.อดัม สมิทธ และพาอังกฤษกระโดดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ และกลายเป้นชาติอุตสาหกรรมชาติแรกตั้งแต่โลกเคยรู้จักมา....
credit :
http://en.wikipedia.org/wiki/Adam_Sandlerh
http://en.wikipedia.org/wiki/The_Wealth_of_Nations
http://en.wikipedia.org/wiki/Capitalism
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 10
John Maynard Keynes, (June 5, 1883 April 21, 1946)
"A study of the history of opinion is a necessary preliminary to the emancipation of the mind."
John Maynard Keynes
ตอนเรียน economics อาจารย์กระผมเคยเล่าให้ฟังว่า Keynes นั้นเป้นคนต้นคิดเริ้องการก่อตั้ง องค์การค้าระหว่างประเทศ ธนาคารโลก และ IMF ท่านเล่าไปสักพัก ก็บอกว่า Keynes เดิมทีเป้นเกย์ แต่เป็นเพราะใน Cambridges สมัยที่เคนส์เรียน การเป็นเกย์นั้นไม่แปลกในสมัยวิกตอเรียนที่เคนส์เกิด เพราะผู้หญิงยังไม่ได้รับการยอมรับให้เขามาเรียนในสายวิทย์หรือคณิตศาสตร์ซึ่งเคมบริดเด่นในเรื่องนี้ ส่วนออกเฟริดก็เด่นในสายศิลป์ แหล่งความรู้ของประเทศจึงมีบรรยากาศคล้ายสำนักสงฆ์ คือ มีแต่ชายล้วนๆ ไม่เคยพบปะผู้หญิงเลย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เหมือนสังคมของไทวิในตอนแรก ๆ และถ้าไทวิจะมีชายรักชายบ้าง ก็คงไม่แปลกแต่ประการใด และคงจะคล้ายลักษณะเดียวกันกับสังคมเคมบริดในสมัยเคนส์ที่การเป็นเกย์ไม่มีใครกล้าปล่าวประกาศ
การกระทำใดๆ ไมสมควรจะถูกเก็บไว้ตลอดชีวิต แต่คนไม่คิดว่าเป้นเรื่อง มือถือสากปากถือศีล อะไรทำนองนั้น เพียงแต่ว่าเป้นสิทธิส่วนบุคลมากว่า ความเป็นธรรมชาติเป้นตัวของตัวเองมีบทบาทน้อยมาก ไม่สามารถทะลุมาถึงผิวน้ำให้คนอื่นเห็นได้เลย ไม่ว่าจะมีจินตนาการอย่างใด ก็ไม่จำเป้นต้องแสดงออก ถ้าท่านนึกไม่ออกว่ายุควิกตอเรียนเป็นแบบใด ให้ไปสิงค์โปร์แล้วท่านจะนึกออกเอง
ยุคที่เคนส์เกิดเรียกว่ายุควิกตอเรียน เป็นยุคที่การแสดงออกทางอารมณ์ไม่ได้รับการยอมรับ การเก็บความรู้สึกไว้คือพฤติกรรมของปัญญาชนที่เป้นมารยาทและศีลธรรมจรรยาในหมู่คนยุควิกตอเรียน ส่วนเรื่องความรักระหว่างชายกับชาย จะไม่เหมือนทุกวันนี้ เพียงเป็นความรักผูกพันธ์ทางจิตใจที่ได้รับการเคารพระหว่างกัน เป้นเรื่อละเอียดอ่อนที่ไม่มีความสัมพนทางกาย เป้นความรักที่สูงส่ง บางครั้งทีมีอารมร์รุนแรงกว่าความสัมพันธ์ทางกาย เรื่องประตูหน้า ประตูหลัง จึงไม่มีข้องเกี่ยวเลย เป้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากว่านั้นมาก คนนอกที่ไม่เข้าใจ จะคิดว่าเรื่องสัมพันอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงพอ ต้องมีเรื่องเซ็กด้วย แต่สังคมของเกย์ในสมัยนั้นเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ที่ยากที่ใคนนอกจะเข้าใจได้
พวกเราสงสัยเรื่องอย่างนี้ทำไมคนนอกอย่างอาจารย์ถึงรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านจึงเฉลยว่า แท้จริงแล้วท่านเป้นลุกศิย์คนหนึ่งของเคนส์เหมือนกันตอนท่านไปเรียนที่ออสเตรีย และเรื่องทั้งหมดนั้นเคนส์เล่าให้ฟังจากปากของท่านเอง พวกเราจึงถึงบางอ้อ ผมก๊เลยติต่างนับว่าเป็นหลานศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ปู่เคนส์คนหนึ่งกับเขาด้วยเหมือนกัน
โดยเนื่อหาทางวิชาการแล้ว..
อาจารย์ปู่อภิวัติโลกเศรษฐศาสตร์ด้วยการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจมหภาค อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบทบาทและแนวนโยบายของรัฐในการบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค และยังมีส่วนผลักดันให้การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์แตกแขนงออกเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค จึงแน่นอนว่าเขาคือ ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น
บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค
ผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์ ได้แก่
- Indian Currency and Finance
- Economic Consequence of the Peace
- Tract on Monetary Reform
- Treatise on Money
- The General Theory of Employment, Interest and Money
อาจารย์ปู่เคนส์ชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นที่ดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้นที่ภาวการณ์จ้างงานเต็มที่เสมอไป นั่นคือขณะใดขณะหนึ่งเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ดุลยภาพโดยที่ยังมีการว่างงาน พร้อมๆกับปัญหาเงินเฟ้อหรือเงินฝืดได้ และในหลายกรณีลำพังกลไกราคาเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน เงินเฟ้อและเงินฝืด หรือภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจได้ หากแต่อยู่ที่การจัดการด้านอุปสงค์มวลรวม ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาบทบาทของรัฐบาลโดยผ่านนโยบายการเงินและการคลัง.....
"A study of the history of opinion is a necessary preliminary to the emancipation of the mind."
John Maynard Keynes
ตอนเรียน economics อาจารย์กระผมเคยเล่าให้ฟังว่า Keynes นั้นเป้นคนต้นคิดเริ้องการก่อตั้ง องค์การค้าระหว่างประเทศ ธนาคารโลก และ IMF ท่านเล่าไปสักพัก ก็บอกว่า Keynes เดิมทีเป้นเกย์ แต่เป็นเพราะใน Cambridges สมัยที่เคนส์เรียน การเป็นเกย์นั้นไม่แปลกในสมัยวิกตอเรียนที่เคนส์เกิด เพราะผู้หญิงยังไม่ได้รับการยอมรับให้เขามาเรียนในสายวิทย์หรือคณิตศาสตร์ซึ่งเคมบริดเด่นในเรื่องนี้ ส่วนออกเฟริดก็เด่นในสายศิลป์ แหล่งความรู้ของประเทศจึงมีบรรยากาศคล้ายสำนักสงฆ์ คือ มีแต่ชายล้วนๆ ไม่เคยพบปะผู้หญิงเลย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เหมือนสังคมของไทวิในตอนแรก ๆ และถ้าไทวิจะมีชายรักชายบ้าง ก็คงไม่แปลกแต่ประการใด และคงจะคล้ายลักษณะเดียวกันกับสังคมเคมบริดในสมัยเคนส์ที่การเป็นเกย์ไม่มีใครกล้าปล่าวประกาศ
การกระทำใดๆ ไมสมควรจะถูกเก็บไว้ตลอดชีวิต แต่คนไม่คิดว่าเป้นเรื่อง มือถือสากปากถือศีล อะไรทำนองนั้น เพียงแต่ว่าเป้นสิทธิส่วนบุคลมากว่า ความเป็นธรรมชาติเป้นตัวของตัวเองมีบทบาทน้อยมาก ไม่สามารถทะลุมาถึงผิวน้ำให้คนอื่นเห็นได้เลย ไม่ว่าจะมีจินตนาการอย่างใด ก็ไม่จำเป้นต้องแสดงออก ถ้าท่านนึกไม่ออกว่ายุควิกตอเรียนเป็นแบบใด ให้ไปสิงค์โปร์แล้วท่านจะนึกออกเอง
ยุคที่เคนส์เกิดเรียกว่ายุควิกตอเรียน เป็นยุคที่การแสดงออกทางอารมณ์ไม่ได้รับการยอมรับ การเก็บความรู้สึกไว้คือพฤติกรรมของปัญญาชนที่เป้นมารยาทและศีลธรรมจรรยาในหมู่คนยุควิกตอเรียน ส่วนเรื่องความรักระหว่างชายกับชาย จะไม่เหมือนทุกวันนี้ เพียงเป็นความรักผูกพันธ์ทางจิตใจที่ได้รับการเคารพระหว่างกัน เป้นเรื่อละเอียดอ่อนที่ไม่มีความสัมพนทางกาย เป้นความรักที่สูงส่ง บางครั้งทีมีอารมร์รุนแรงกว่าความสัมพันธ์ทางกาย เรื่องประตูหน้า ประตูหลัง จึงไม่มีข้องเกี่ยวเลย เป้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากว่านั้นมาก คนนอกที่ไม่เข้าใจ จะคิดว่าเรื่องสัมพันอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงพอ ต้องมีเรื่องเซ็กด้วย แต่สังคมของเกย์ในสมัยนั้นเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ที่ยากที่ใคนนอกจะเข้าใจได้
พวกเราสงสัยเรื่องอย่างนี้ทำไมคนนอกอย่างอาจารย์ถึงรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านจึงเฉลยว่า แท้จริงแล้วท่านเป้นลุกศิย์คนหนึ่งของเคนส์เหมือนกันตอนท่านไปเรียนที่ออสเตรีย และเรื่องทั้งหมดนั้นเคนส์เล่าให้ฟังจากปากของท่านเอง พวกเราจึงถึงบางอ้อ ผมก๊เลยติต่างนับว่าเป็นหลานศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ปู่เคนส์คนหนึ่งกับเขาด้วยเหมือนกัน
โดยเนื่อหาทางวิชาการแล้ว..
อาจารย์ปู่อภิวัติโลกเศรษฐศาสตร์ด้วยการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจมหภาค อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบทบาทและแนวนโยบายของรัฐในการบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค และยังมีส่วนผลักดันให้การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์แตกแขนงออกเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค จึงแน่นอนว่าเขาคือ ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น
บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค
ผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์ ได้แก่
- Indian Currency and Finance
- Economic Consequence of the Peace
- Tract on Monetary Reform
- Treatise on Money
- The General Theory of Employment, Interest and Money
อาจารย์ปู่เคนส์ชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นที่ดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้นที่ภาวการณ์จ้างงานเต็มที่เสมอไป นั่นคือขณะใดขณะหนึ่งเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ดุลยภาพโดยที่ยังมีการว่างงาน พร้อมๆกับปัญหาเงินเฟ้อหรือเงินฝืดได้ และในหลายกรณีลำพังกลไกราคาเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน เงินเฟ้อและเงินฝืด หรือภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจได้ หากแต่อยู่ที่การจัดการด้านอุปสงค์มวลรวม ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาบทบาทของรัฐบาลโดยผ่านนโยบายการเงินและการคลัง.....
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 11
หลักความคิดเศรษศาสตร์ปัจจุบันมาจากท่านเคนส่วนใหญ่ครับ
แต่ถ้าพูดถึงท่านเคนแล้ว ไม่พูดถึงท่าน Newton ก็คงไม่เข้าใจรากเหง้าของเศรษฐศาสตร์
ไม่น่าเชื่อว่า ระหว่างสองคนนี้ จะโยงกันได้
นอกจากกฎ 3 ข้อ ของนิวตันแล้ว
ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับ Newton มากนัก อ่านจากไหนสักแห่ง พอจำได้คร่าวๆ ว่า เขาเป้นคนแปลก ปราดเปรื่อง อมทุกข์ หมกหมุ่น นั่งเฉยๆ หลายชัวโมง ชอบคิดคนเดียว หงุดหงิดต่อระเบียบแบบแผน คิดค้น calculas แต่ไม่บอกใครถึง 27 ปี คิด inverse square เรียนรู้ Hebrew หารหัสลับต่างๆ ใน Bible ผมจำประโยคที่เขาบอกว่า
"ข้อเท็จจริงกับกระบวนการคิด กระบวนการคิดน่าสนใจกว่า"
Principia เป้นหนังสือที่สำคัญของโลก และเข้าใจยากที่สุดอีกด้วย กฎ 3 ข้อ ของนิวตันอยู๋ในหนังสือ Principia
สมการที่สวยงามในโลก นอกจาก E=mc^2 ของ Einstein แล้ว ยังมีอีก 2 สมการ ที่กระทัดรัด สวยงาม ของ Newton
F = G mm ^1
--------------
r^2
และสมการของ Keynes...
C+I+G+X-M= GDP or Y
Consumption + Investment + Government Spending + Exports - Imports = Gross Domestic Product
Keynes ชอบสะสมงานของ Isac newton บั้นปลายชีวิต เขาทุ่มเทค้นคว้าเกี่ยวกับ Newton เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ Newton ตอน Keynes ครอบครองเอกสารของ Newton เขาค้นพบว่า Newton กำลังคิดค้นเปลี่ยนโลหะให้เป้นทอง เอกสารทั้งหมด Keynes บริจากให้ King's College ที่ Cambridge ทั้งสองท่านทั้ง Keynes ทั้ง Newton จบจากที่นั่นครับ
แต่ถ้าพูดถึงท่านเคนแล้ว ไม่พูดถึงท่าน Newton ก็คงไม่เข้าใจรากเหง้าของเศรษฐศาสตร์
ไม่น่าเชื่อว่า ระหว่างสองคนนี้ จะโยงกันได้
นอกจากกฎ 3 ข้อ ของนิวตันแล้ว
ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับ Newton มากนัก อ่านจากไหนสักแห่ง พอจำได้คร่าวๆ ว่า เขาเป้นคนแปลก ปราดเปรื่อง อมทุกข์ หมกหมุ่น นั่งเฉยๆ หลายชัวโมง ชอบคิดคนเดียว หงุดหงิดต่อระเบียบแบบแผน คิดค้น calculas แต่ไม่บอกใครถึง 27 ปี คิด inverse square เรียนรู้ Hebrew หารหัสลับต่างๆ ใน Bible ผมจำประโยคที่เขาบอกว่า
"ข้อเท็จจริงกับกระบวนการคิด กระบวนการคิดน่าสนใจกว่า"
Principia เป้นหนังสือที่สำคัญของโลก และเข้าใจยากที่สุดอีกด้วย กฎ 3 ข้อ ของนิวตันอยู๋ในหนังสือ Principia
สมการที่สวยงามในโลก นอกจาก E=mc^2 ของ Einstein แล้ว ยังมีอีก 2 สมการ ที่กระทัดรัด สวยงาม ของ Newton
F = G mm ^1
--------------
r^2
และสมการของ Keynes...
C+I+G+X-M= GDP or Y
Consumption + Investment + Government Spending + Exports - Imports = Gross Domestic Product
Keynes ชอบสะสมงานของ Isac newton บั้นปลายชีวิต เขาทุ่มเทค้นคว้าเกี่ยวกับ Newton เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ Newton ตอน Keynes ครอบครองเอกสารของ Newton เขาค้นพบว่า Newton กำลังคิดค้นเปลี่ยนโลหะให้เป้นทอง เอกสารทั้งหมด Keynes บริจากให้ King's College ที่ Cambridge ทั้งสองท่านทั้ง Keynes ทั้ง Newton จบจากที่นั่นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 12
เคนส์หลงไหลในหลักกระบวนการคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์แบบนิวตันมาก แต่เศรษศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ นี่คือจุดอ่อนในสิ่งที่เคนสอนและต้องระมัดระวังอย่างมาก
ผมขอขยายความเป้นนิยายที่สมมุติขึ้น เป้นการสนทนาบัฟเฟตและจอร์จ รอสโซ่ ที่จะเล่าต่อไปนี้ครับ
---------------------
บทที่ ๔
แมลงวันติดสารนิโคตินตัวหนึ่งกำลังตอมเศษขี้ยาเส้นที่บ้ฟเฟททำล่นไว้บนโต๊ะ เขาเติมยาเส้นยัดลงกล้องเข้าไปอีกอย่างช้าๆ แล้วอธิบายความคิดของตัวเอง
ผมคิดว่าเศรษฐกิจที่ไร้สมดุลกระทันหันนี้มีความซับซ้อนน้อยกว่าที่ผมรู้สึกในตอนแรกอยู่มากโข บัฟเฟตกล่าว
เขาหยุด ก่อนจะพุดต่อ
ผมพูดถึงว่า ไร้สมดุล เพราะในความคิดผมมันมีแค่เรื่องเดียว ราคาทองคำ โลหะเงิน ทองแดง สังกะสี และน้ำมันที่ต่างมีราคาทะลุระดับสูงสุด กดดันการพุ่งขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า, ความกังวลในสภาวะดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ และ---ที่ผมไม่ลืม---ความลึกลับของเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ด้งนี้แล้ว ในความคิดของผม ทั้งหมดที่ต้องทำคือค้นให้พบสายโซ่ที่ร้อยเชื่อมภาคส่วนต่างๆให้เป็นเรืองเดียวกัน เป็นข้อเท็จริงที่จะพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของแบบแผนวีธีการทั้งหมด การเผิกเฉยของคุณทิวาวงศ์ผู้บัญชาการการเงินการคลัง ซึ่งมีความคิดเห็นที่ออกจะผิวเผิน---มองเห็นความเป็นหนึ่งเดียวนี้ไปในเรื่องการผันผวนชั่วคราวตามปกติเพื่อเข้าจุดดุลยภาพใหม่ ทำให้ผมไม่พอใจ
แล้วที่นี้? จอร์ส รอสโซ่พูด
ที่นี้ ในความคิดของผม บัฟเฟทตอบตรงไปตรงมา ลักษณะของเหตุการณ์ตื่นเต้นทั้งหมดเป็นฝีมือเฉพาะตัว การจงใจวางแผนของคุณ แม้จะยังไม่เป็นที่เข้าใจกัน---เพื่อสร้างเหตุการณ์นั้นขึ้นในสถานที่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณได้เลือกไว้แล้ว.....เรื่อง
เพื่อที่จะโผล่มาอีกครั้ง ในที่ที่พิลึกเช่นที่นี่ โรซอสหัวเราะ
เรื่องนี้มีสิ่งที่อยู่เหนือกว่าการวางแผนสิ่งนั้นคือความจำเป็น----เงื่อนไขอย่างหนึ่งซึ่งชี้ขาดความสำเร็จ
คุณจะไม่ลองสาธยายให้ฟังสักหน่อยหรือ
สบายมาก ถ้าคุณไม่ขัดจังหวะผมพูดอีก.....ก็อย่างเช่น ตั้งแต่แรกคุณรู้ว่านักเศรษฐศาสตร์อย่าง คุณทิวาวงศ์เป็นพวก Keynesianism ที่ใช้แบบจำลองเศรษฐมิติขนาดใหญ่เพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังว่า แบบจำลองเหล่านั้นถูกประมาณค่าจากข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต และสมมุติว่าพฤติกรรมของคนในระบอบเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไปมากเนื่องจากนโยบายประชานิยมใช้จ่ายเกินตัว ที่รัฐบาลนี้นำออกมาใช้ การพยากรณ์โดยพึ่งพาแบบจำลองเศรษฐกิจอย่างเดียวจึงอาจให้ภาพที่บิดเบือน ผมอ่านใจคุณออก หลายปีที่ผ่านมา คุณพยายามเผยแพร่แนวความคิดของในหนังสือของคุณ แต่ในมุมมองของคุณทิวาวงศ์ ไม่ได้เห็นภาพนายโรซอสเป็นนักคิดที่น่าเลื่อมใสแต่ประการใด บัฟเฟท หยุดพูดแป๊ปหนึ่งเพื่อเกาปาก
ขอโทษที่ต้องพูดแทงใจดำ แนวความคิดคุณแตกต่างจากทฤษฎี Efficient Market Hypothesis ซึ่งเป็นเสาหลักของการเงินยุคทักษิโณมิคมากเกินไป มันเรียกเสียง ยี้ จากนักเศรษฐศาสตร์ผู้เกรียงไกรอย่างเขาได้ไม่ยาก ทั้งๆที่คุณพยายามกระตุ้นให้เขาลองหันมาวิเคราะห์สนใจทฤษฎีของคุณบ้าง
ใช่ สิ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถแสดงสูตรคณิตศาสตร์ให้คนอย่างนั้นตื่นตาตื่นใจได้ โรซอสยืนยันความเชื่อมั่นในทฤษฎีของเขา เพราะมันเป็นเคล็ดลับวิชาการทำเงินจากการลงทุนของเขา
บัฟเฟทติดลมบนยังไม่หยุด อธิบายต่อ
คุณเชื่อว่า Keynesian มีจุดบกพร่อง ชอบนำวิธีทางวิทยาศาสตร์มาใช้แยก ความจริงก็คือมนุษย์อึเหม็นอย่างคุณกะผม ออกจาก ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นบัญชีเดินสะพัด คุณรู้ว่าพวกเขาภูมิใจสาขาของพวกเขาว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด การศึกษาเกี่ยวกับคนเป็นการศึกษาทางสังคมศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ คนมีความคิดทำให้ไม่สามารถแยกการศึกษาระหว่างตัวเลขเหล่านั้นออกจากคนได้ เพราะการรับรู้ถึงตัวเลขต่างๆที่ประกาศออกมา มีผลกระทบต่อจิตวิทยาของคนที่ปรากฏ ระบบเศรษฐกิจที่มีคนจำนวนเป็นล้านเป็นผู้เล่นอยู่จึงไม่สามารถเข้าสู่ดุลยภาพตามที่คุณทิวาวงศ์กล่าวอ้างได้ แต่มักจะอยู่ในภาวะไร้ดุลยภาพสลับไปสลับมาอยู่ตลอด ความจริงก็คือภาพสะท้อนนั้นไม่เคยเป็นภาพเดียวกัน อย่างที่คุณทิวาวงศ์เข้าใจ ความแตกต่างกันของภาพทั้งสองนี้เองที่คุณใช้เป็นเครื่องมือหาเงิน ถูกไหม
ฮ่า..ฮ่า...นับถือ ด้วยความคารวะจากผม
เชอะ! บัฟเฟทอุทานเมื่อได้รับการเยินยอ แค่ความคิดใคร่ครวญนิดๆ หน่อยๆเอง บัฟเฟทหน้าแดงปลาบปลื้ม
เมืองไทยนอกจากจะเป็นแหล่งหาเงินที่ หมู แล้วยังเป็นเสมือนห้องทดลองเพื่อทดสอบวิชาของผมอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่สำคัญ ผมจะใช้วิชาภาพสะท้อนที่บรรลุขั้นสูงสุดของผม ลงโทษรัฐบาลไทยที่ประพฤติตรงข้ามดื้อดึงสู้หัวชนฝากับแนวความคิดผม ชักนำประเทศเข้าสู่วิกฤตหายนะอีกครั้ง ผมจะให้รางวัลแก่ประเทศที่เชื่อฟังผม อย่าง มาเลเชลีย ไงละ ครั้งก่อนผู้นำหัวรั้นอย่างมาหาเดะ ยังรู้จักประจบประแจงเชลียผม เพื่อเอาตัวรอด เขาฉลาดมากที่รู้จักเจรจาต่อรองกับผม คนอย่างทิวาวงศ์ไม่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์ที่พยายามขับรถไปข้างหน้า โดยชอบมองกระจกหลัง เขาขาดจินตนาการ เชื่อผิดๆว่าผมจะใช้รูปแบบยุทธวิธีเดิมๆเหมือนครั้งที่แล้วอีก ยิ่งมีความเชื่อมั่นในแบบจำลองไร้ชีวิตที่ปั่นตัวเลขออกมามากเท่าใด โอกาศที่เขาจะขับรถตกเขาก็มีมากเท่านั้น โรซอสดูเบิกบานแล้วพูดต่อ
ถึงแม้คุณถอดรหัสความคิดรู้เคล็ดลับวิชาผม แต่คุณไม่รู้กระบวนท่ากลยุทธ์การหาจังหวะโจมตีของผม ผมสาบานได้ว่าคุณเอาชนะ Untouchable อย่างผมไม่ได้หรอก ลาก่อนนะ ผมไม่มีเวลาจะเสียแม้แต่นาทีเดียว
ทำไมผมจะไม่รู้ มันง่ายมาก เป็นเพียงปัญหาอะไรเอ๋ยสำหรับทายเด็ก ป.4 เท่านั้น บัฟเฟทท้วงก่อนโรซอสจะผละจากไป กลยุทธ์ของคุณที่ทำคือจับ Trend ความปั่นป่วนให้ได้ก่อนคนอื่น แต่สิ่งที่แตกต่างคือคนอื่นที่อาจเห็น Trend เหมือนกันจะเริ่มทำกลยุทธ์อย่างละนิดอย่างละหน่อย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรคนอื่นจะแห่ตามมา ซึ่งเป็นการหาจังหวะตลาดสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคุณ
ดังนั้น?....
ดังนั้น.... บัฟเฟทใช้เวลาคิดคำตอบราวกับว่าเขาพึ่งคิดออก ในที่สุดก็ลองเสี่ยงพูดว่า ดังนั้นคุณจะ ทุ่ม สุดตัวแบบบ้าคลั่ง คุณเชื่อว่าความคิดของคุณ เปลี่ยนตลาดได้ แต่คุณไม่ใช่ชาวสวน ทีชอบสวนตลาด คุณเป็นชาวไล่ต่างหาก คุณจะทั้งไล่ทั้งเร่งกระทืบเท้าให้การเก็งกำไรเกิดก่อนปกติ ทำกำไรมหาศาลจากการเข้าและออกจากตลาดก่อนคนอื่น นี่เองที่ทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ค่อนข้างสังคมรังเกลียดทั่วโลก เมื่อเทียบกับผม value investor no 1 ของโลก บัฟเฟทยิ้มเยาะ
ที่ชอบฉวยโอกาศช้อนหุ้นเก็บ โรซอสแทรกขึ้น เวลาตลาดตกต่ำจากการกระทำของผม คุณจะช้อนหุ้นเก็บ เป็นคนคอยอุ้มตลาด ทุกคนจะคิด ยกย่องคุณเป็นอัศวินม้าขาว คุณหลอกผมไม่ได้ มีแต่พวกโง่เขลาเบาปัญญา
หมายความว่า......? บัฟเฟทถาม
หมายความว่า............ " ท่านผู้อ่านมีคำตอบอยู่แล้ว เติมเอาเองครับ
สวัสดีครับ............
ผมขอขยายความเป้นนิยายที่สมมุติขึ้น เป้นการสนทนาบัฟเฟตและจอร์จ รอสโซ่ ที่จะเล่าต่อไปนี้ครับ
---------------------
บทที่ ๔
แมลงวันติดสารนิโคตินตัวหนึ่งกำลังตอมเศษขี้ยาเส้นที่บ้ฟเฟททำล่นไว้บนโต๊ะ เขาเติมยาเส้นยัดลงกล้องเข้าไปอีกอย่างช้าๆ แล้วอธิบายความคิดของตัวเอง
ผมคิดว่าเศรษฐกิจที่ไร้สมดุลกระทันหันนี้มีความซับซ้อนน้อยกว่าที่ผมรู้สึกในตอนแรกอยู่มากโข บัฟเฟตกล่าว
เขาหยุด ก่อนจะพุดต่อ
ผมพูดถึงว่า ไร้สมดุล เพราะในความคิดผมมันมีแค่เรื่องเดียว ราคาทองคำ โลหะเงิน ทองแดง สังกะสี และน้ำมันที่ต่างมีราคาทะลุระดับสูงสุด กดดันการพุ่งขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า, ความกังวลในสภาวะดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ และ---ที่ผมไม่ลืม---ความลึกลับของเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ด้งนี้แล้ว ในความคิดของผม ทั้งหมดที่ต้องทำคือค้นให้พบสายโซ่ที่ร้อยเชื่อมภาคส่วนต่างๆให้เป็นเรืองเดียวกัน เป็นข้อเท็จริงที่จะพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของแบบแผนวีธีการทั้งหมด การเผิกเฉยของคุณทิวาวงศ์ผู้บัญชาการการเงินการคลัง ซึ่งมีความคิดเห็นที่ออกจะผิวเผิน---มองเห็นความเป็นหนึ่งเดียวนี้ไปในเรื่องการผันผวนชั่วคราวตามปกติเพื่อเข้าจุดดุลยภาพใหม่ ทำให้ผมไม่พอใจ
แล้วที่นี้? จอร์ส รอสโซ่พูด
ที่นี้ ในความคิดของผม บัฟเฟทตอบตรงไปตรงมา ลักษณะของเหตุการณ์ตื่นเต้นทั้งหมดเป็นฝีมือเฉพาะตัว การจงใจวางแผนของคุณ แม้จะยังไม่เป็นที่เข้าใจกัน---เพื่อสร้างเหตุการณ์นั้นขึ้นในสถานที่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณได้เลือกไว้แล้ว.....เรื่อง
เพื่อที่จะโผล่มาอีกครั้ง ในที่ที่พิลึกเช่นที่นี่ โรซอสหัวเราะ
เรื่องนี้มีสิ่งที่อยู่เหนือกว่าการวางแผนสิ่งนั้นคือความจำเป็น----เงื่อนไขอย่างหนึ่งซึ่งชี้ขาดความสำเร็จ
คุณจะไม่ลองสาธยายให้ฟังสักหน่อยหรือ
สบายมาก ถ้าคุณไม่ขัดจังหวะผมพูดอีก.....ก็อย่างเช่น ตั้งแต่แรกคุณรู้ว่านักเศรษฐศาสตร์อย่าง คุณทิวาวงศ์เป็นพวก Keynesianism ที่ใช้แบบจำลองเศรษฐมิติขนาดใหญ่เพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังว่า แบบจำลองเหล่านั้นถูกประมาณค่าจากข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต และสมมุติว่าพฤติกรรมของคนในระบอบเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไปมากเนื่องจากนโยบายประชานิยมใช้จ่ายเกินตัว ที่รัฐบาลนี้นำออกมาใช้ การพยากรณ์โดยพึ่งพาแบบจำลองเศรษฐกิจอย่างเดียวจึงอาจให้ภาพที่บิดเบือน ผมอ่านใจคุณออก หลายปีที่ผ่านมา คุณพยายามเผยแพร่แนวความคิดของในหนังสือของคุณ แต่ในมุมมองของคุณทิวาวงศ์ ไม่ได้เห็นภาพนายโรซอสเป็นนักคิดที่น่าเลื่อมใสแต่ประการใด บัฟเฟท หยุดพูดแป๊ปหนึ่งเพื่อเกาปาก
ขอโทษที่ต้องพูดแทงใจดำ แนวความคิดคุณแตกต่างจากทฤษฎี Efficient Market Hypothesis ซึ่งเป็นเสาหลักของการเงินยุคทักษิโณมิคมากเกินไป มันเรียกเสียง ยี้ จากนักเศรษฐศาสตร์ผู้เกรียงไกรอย่างเขาได้ไม่ยาก ทั้งๆที่คุณพยายามกระตุ้นให้เขาลองหันมาวิเคราะห์สนใจทฤษฎีของคุณบ้าง
ใช่ สิ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถแสดงสูตรคณิตศาสตร์ให้คนอย่างนั้นตื่นตาตื่นใจได้ โรซอสยืนยันความเชื่อมั่นในทฤษฎีของเขา เพราะมันเป็นเคล็ดลับวิชาการทำเงินจากการลงทุนของเขา
บัฟเฟทติดลมบนยังไม่หยุด อธิบายต่อ
คุณเชื่อว่า Keynesian มีจุดบกพร่อง ชอบนำวิธีทางวิทยาศาสตร์มาใช้แยก ความจริงก็คือมนุษย์อึเหม็นอย่างคุณกะผม ออกจาก ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นบัญชีเดินสะพัด คุณรู้ว่าพวกเขาภูมิใจสาขาของพวกเขาว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด การศึกษาเกี่ยวกับคนเป็นการศึกษาทางสังคมศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ คนมีความคิดทำให้ไม่สามารถแยกการศึกษาระหว่างตัวเลขเหล่านั้นออกจากคนได้ เพราะการรับรู้ถึงตัวเลขต่างๆที่ประกาศออกมา มีผลกระทบต่อจิตวิทยาของคนที่ปรากฏ ระบบเศรษฐกิจที่มีคนจำนวนเป็นล้านเป็นผู้เล่นอยู่จึงไม่สามารถเข้าสู่ดุลยภาพตามที่คุณทิวาวงศ์กล่าวอ้างได้ แต่มักจะอยู่ในภาวะไร้ดุลยภาพสลับไปสลับมาอยู่ตลอด ความจริงก็คือภาพสะท้อนนั้นไม่เคยเป็นภาพเดียวกัน อย่างที่คุณทิวาวงศ์เข้าใจ ความแตกต่างกันของภาพทั้งสองนี้เองที่คุณใช้เป็นเครื่องมือหาเงิน ถูกไหม
ฮ่า..ฮ่า...นับถือ ด้วยความคารวะจากผม
เชอะ! บัฟเฟทอุทานเมื่อได้รับการเยินยอ แค่ความคิดใคร่ครวญนิดๆ หน่อยๆเอง บัฟเฟทหน้าแดงปลาบปลื้ม
เมืองไทยนอกจากจะเป็นแหล่งหาเงินที่ หมู แล้วยังเป็นเสมือนห้องทดลองเพื่อทดสอบวิชาของผมอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่สำคัญ ผมจะใช้วิชาภาพสะท้อนที่บรรลุขั้นสูงสุดของผม ลงโทษรัฐบาลไทยที่ประพฤติตรงข้ามดื้อดึงสู้หัวชนฝากับแนวความคิดผม ชักนำประเทศเข้าสู่วิกฤตหายนะอีกครั้ง ผมจะให้รางวัลแก่ประเทศที่เชื่อฟังผม อย่าง มาเลเชลีย ไงละ ครั้งก่อนผู้นำหัวรั้นอย่างมาหาเดะ ยังรู้จักประจบประแจงเชลียผม เพื่อเอาตัวรอด เขาฉลาดมากที่รู้จักเจรจาต่อรองกับผม คนอย่างทิวาวงศ์ไม่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์ที่พยายามขับรถไปข้างหน้า โดยชอบมองกระจกหลัง เขาขาดจินตนาการ เชื่อผิดๆว่าผมจะใช้รูปแบบยุทธวิธีเดิมๆเหมือนครั้งที่แล้วอีก ยิ่งมีความเชื่อมั่นในแบบจำลองไร้ชีวิตที่ปั่นตัวเลขออกมามากเท่าใด โอกาศที่เขาจะขับรถตกเขาก็มีมากเท่านั้น โรซอสดูเบิกบานแล้วพูดต่อ
ถึงแม้คุณถอดรหัสความคิดรู้เคล็ดลับวิชาผม แต่คุณไม่รู้กระบวนท่ากลยุทธ์การหาจังหวะโจมตีของผม ผมสาบานได้ว่าคุณเอาชนะ Untouchable อย่างผมไม่ได้หรอก ลาก่อนนะ ผมไม่มีเวลาจะเสียแม้แต่นาทีเดียว
ทำไมผมจะไม่รู้ มันง่ายมาก เป็นเพียงปัญหาอะไรเอ๋ยสำหรับทายเด็ก ป.4 เท่านั้น บัฟเฟทท้วงก่อนโรซอสจะผละจากไป กลยุทธ์ของคุณที่ทำคือจับ Trend ความปั่นป่วนให้ได้ก่อนคนอื่น แต่สิ่งที่แตกต่างคือคนอื่นที่อาจเห็น Trend เหมือนกันจะเริ่มทำกลยุทธ์อย่างละนิดอย่างละหน่อย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรคนอื่นจะแห่ตามมา ซึ่งเป็นการหาจังหวะตลาดสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคุณ
ดังนั้น?....
ดังนั้น.... บัฟเฟทใช้เวลาคิดคำตอบราวกับว่าเขาพึ่งคิดออก ในที่สุดก็ลองเสี่ยงพูดว่า ดังนั้นคุณจะ ทุ่ม สุดตัวแบบบ้าคลั่ง คุณเชื่อว่าความคิดของคุณ เปลี่ยนตลาดได้ แต่คุณไม่ใช่ชาวสวน ทีชอบสวนตลาด คุณเป็นชาวไล่ต่างหาก คุณจะทั้งไล่ทั้งเร่งกระทืบเท้าให้การเก็งกำไรเกิดก่อนปกติ ทำกำไรมหาศาลจากการเข้าและออกจากตลาดก่อนคนอื่น นี่เองที่ทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ค่อนข้างสังคมรังเกลียดทั่วโลก เมื่อเทียบกับผม value investor no 1 ของโลก บัฟเฟทยิ้มเยาะ
ที่ชอบฉวยโอกาศช้อนหุ้นเก็บ โรซอสแทรกขึ้น เวลาตลาดตกต่ำจากการกระทำของผม คุณจะช้อนหุ้นเก็บ เป็นคนคอยอุ้มตลาด ทุกคนจะคิด ยกย่องคุณเป็นอัศวินม้าขาว คุณหลอกผมไม่ได้ มีแต่พวกโง่เขลาเบาปัญญา
หมายความว่า......? บัฟเฟทถาม
หมายความว่า............ " ท่านผู้อ่านมีคำตอบอยู่แล้ว เติมเอาเองครับ
สวัสดีครับ............
- กระทิงแดง
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่านง่ายๆสนุก เหมือนหนังสือหุ้นมั้ยครับ?
โพสต์ที่ 13
Naked Economics ครับ
เป็นภาษาอังกฤษ อ่านง่าย และยกตัวอย่างในชีวิตประจำวันมาประกอบ
ทำให้เข้าใจ เศรษฐศาสตร์ได้ง่ายขึ้นครับ
เป็นภาษาอังกฤษ อ่านง่าย และยกตัวอย่างในชีวิตประจำวันมาประกอบ
ทำให้เข้าใจ เศรษฐศาสตร์ได้ง่ายขึ้นครับ
"The enemy is a very good teacher" Dalai Lama
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"