มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 1
ความจริงมีคนถามในpantipแต่ผมไม่ได้สมัครสมาชิกไว้และขี้เกียจสมัครเลยไม่รู้จะตอบเค้ายังไงดี เลยขอพื้นที่ในนี้พิมพิ์บอกละกันเพราะผมเชื่อว่าเืพื่อนที่ถามหรือสงสัยคงจะเข้ามาอ่านเจอแต่ถ้าใครจะช่วยเอาไปลงใน สินธร ผมยินดีมากเลยครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 38971.html
เนื่องจากประเด็นที่เค้าตั้งโจทย์ว่าอายุ 24 ทำงานมา 2 ปี เงินเดือนเก็บยังไงก็ไม่เกินหลักแสน อันนี้ผมขอตอบว่า
"ก็ผมไม่ได้กินเงินเดือนนิครับ และผมก็ไม่ได้หาเงินมาแค่ 2 ปีที"
อ้าวแบบนี้ผมหาเงินตั้งแต่ตอนไหนคงเป็นคำถามต่อมาที่จะได้ยิน จะตอบคำถามนี้ผมคงต้องเล่าเรื่องตั้งแต่เด็กของผมเลยหละ ผมว่ามันอาจเป็นประโยนชน์ต่อเพื่อนๆที่จะเอาไว้สอนลูกสอนหลานในอนาคตจึงพิมพิ์บทความนี้ขึ้นมา ไม่ได้เป็การอวดรวยหรืออะไร ก่อนพิมพิ์ผมก็นั่งคิดดีแล้วว่าในสังคมคงมีทั้งคน อยากรู้จริงๆ และคนที่อิจฉา หลังจากลงกระทู้นี้แล้ว คงมีทั้งคนยินดีที่ได้ความรู้ และคนอิจฉาที่จะลงกระทู้ด่า ไม่เป็นไรผมชั่งน้ำหนักดูแล้วมันคุ้มเพราะจะทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมมากกว่าถ้าใครสามารถเอาไปใช้ได้
ผมขอเริ่มเล่าเรื่องราวของผมเลยนะครับ
ไม่เห็นค่าของเงิน
วัยเด็กผมจำเหตุการณ์พวกนี้ไม่ได้แต่ผู้ใหญ่มักเอามาล้อ ในเวลาที่ใครก็ตามให้เงินผมผมจะตอบกลับไปว่า ไม่เอาครับที่บ้านมีเยอะแล้ว พ่อและแม่ก็ต้องคอยเก็บเงินเหล่านั้นไว้ให้ เพราะความที่เป็นเด็กพึ่งพ้นวัยหัดพูดได้ไม่นาน เงินมันคืออะไร มันคงไม่มีค่าเลยในเวลานั้นสำหรับเด็กคนหนึ่ง
วันที่เห็นค่าของเงิน
ต่อมาผมเริ่มจำได้ลางๆเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือความฝันในวัยเด็ก คือวันที่แม่เปิดประตูบ้านตึกแถวออกมาให้ผมออกไปเล่นนอกบ้านได้ ผมวิ่งไปหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมียายแก่ๆกำลังนั่งขายขนมอยู่ ผมก็ถามแกว่าผมจะเอาขนม ยายก็บอกราคามาผมยืน งง คิดในใจราคาคืออะไร??? แกก็เริ่มรำคาญเพราะคงรู้ว่าผมไม่มีเงิน เลยตะคอกไล่ผมว่าถ้าไม่มีเงินก็ไม่ให้ ไปผมตกใจอะไรกันทำไมหลายๆคำถามประดังเข้ามาในหัวผมร้องไห้วิ่งไปถามแม่เงินคืออะไร
จุดเริ่มของการเก็บเงินอย่างบ้าคลั่ง
แม่ก็ตอบให้ฟังว่าเงินคือ สิ่งที่ใช้ซื้อของถ้าไม่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แม่ถามว่าจะซื้ออะไร ผมตอบว่าขนมครับ แต่ตอนนี้ไม่ซื้อแล้วเพราะผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง หลังจากนั้นแม่ก็บอกผม เงินเป็นสิ่งสำคัญ หายาก บางคนหาได้น้อย บางคนหาได้เยอะ ชีวิตจะสบายจะลำบากเจ้านี้แหละคือสิ่งสำคัญ ผมเลยถามต่อว่าแล้วเงินมันได้มายังไง ทำงานไงลูกถ้าทำงานแบบพ่อก็มีเงิน แล้วผมจะเริ่มทำงานอย่างพ่อได้ยังไง ไม่ได้ลูกๆยังเด็ก ทำงานไม่ได้แล้วจะมีเงินได้ไง แม่ก็หัวเราะกลับความซื่อของผม แม่บอกต้องตั้งใจเรียนก่อนพอเรียนดีอนาคตดี ก็จะได้งานดี แต่ละงานได้เงินเดือนไม่เท่ากัน ผมถามทันทีว่าแล้วงานไหนได้เงินดีสุด แม่บอกหมอลูกได้เงินดีสุด แต่ต้องเรียนเก่งมากถึงได้เป็น เย็นวันเดียวกันหลังจากพ่อกลับจากงานราชการแล้วแม่คงเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังพ่อเลยเรียกผมมาคุยด้วย เกี่ยวกับเรื่องเิงิน พ่อผมบอกถ้าอยากได้เงินต้องทำงานถ้าไม่อยากลำบากให้ตั้งใจเรียนตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้าพ่อแม่ตายไปก็จะไม่มีใครให้เงินลูกอีก มีเงินยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองไม่ต้องพึ่งใครดีที่สุด ไม่มีเงินต้องไปหยิบยืมคนอื่นมันไม่ดี ถึงประโยคเกี่ยวกับวันหนึ่งพ่อแม่ตายผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์กลัว อารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เอาแล้วเราต้องตั้งใจเรียนเป็นหนทางเดียวเลย เอาแล้วแต่เรียนมันคืออะไร???
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 38971.html
เนื่องจากประเด็นที่เค้าตั้งโจทย์ว่าอายุ 24 ทำงานมา 2 ปี เงินเดือนเก็บยังไงก็ไม่เกินหลักแสน อันนี้ผมขอตอบว่า
"ก็ผมไม่ได้กินเงินเดือนนิครับ และผมก็ไม่ได้หาเงินมาแค่ 2 ปีที"
อ้าวแบบนี้ผมหาเงินตั้งแต่ตอนไหนคงเป็นคำถามต่อมาที่จะได้ยิน จะตอบคำถามนี้ผมคงต้องเล่าเรื่องตั้งแต่เด็กของผมเลยหละ ผมว่ามันอาจเป็นประโยนชน์ต่อเพื่อนๆที่จะเอาไว้สอนลูกสอนหลานในอนาคตจึงพิมพิ์บทความนี้ขึ้นมา ไม่ได้เป็การอวดรวยหรืออะไร ก่อนพิมพิ์ผมก็นั่งคิดดีแล้วว่าในสังคมคงมีทั้งคน อยากรู้จริงๆ และคนที่อิจฉา หลังจากลงกระทู้นี้แล้ว คงมีทั้งคนยินดีที่ได้ความรู้ และคนอิจฉาที่จะลงกระทู้ด่า ไม่เป็นไรผมชั่งน้ำหนักดูแล้วมันคุ้มเพราะจะทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมมากกว่าถ้าใครสามารถเอาไปใช้ได้
ผมขอเริ่มเล่าเรื่องราวของผมเลยนะครับ
ไม่เห็นค่าของเงิน
วัยเด็กผมจำเหตุการณ์พวกนี้ไม่ได้แต่ผู้ใหญ่มักเอามาล้อ ในเวลาที่ใครก็ตามให้เงินผมผมจะตอบกลับไปว่า ไม่เอาครับที่บ้านมีเยอะแล้ว พ่อและแม่ก็ต้องคอยเก็บเงินเหล่านั้นไว้ให้ เพราะความที่เป็นเด็กพึ่งพ้นวัยหัดพูดได้ไม่นาน เงินมันคืออะไร มันคงไม่มีค่าเลยในเวลานั้นสำหรับเด็กคนหนึ่ง
วันที่เห็นค่าของเงิน
ต่อมาผมเริ่มจำได้ลางๆเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือความฝันในวัยเด็ก คือวันที่แม่เปิดประตูบ้านตึกแถวออกมาให้ผมออกไปเล่นนอกบ้านได้ ผมวิ่งไปหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมียายแก่ๆกำลังนั่งขายขนมอยู่ ผมก็ถามแกว่าผมจะเอาขนม ยายก็บอกราคามาผมยืน งง คิดในใจราคาคืออะไร??? แกก็เริ่มรำคาญเพราะคงรู้ว่าผมไม่มีเงิน เลยตะคอกไล่ผมว่าถ้าไม่มีเงินก็ไม่ให้ ไปผมตกใจอะไรกันทำไมหลายๆคำถามประดังเข้ามาในหัวผมร้องไห้วิ่งไปถามแม่เงินคืออะไร
จุดเริ่มของการเก็บเงินอย่างบ้าคลั่ง
แม่ก็ตอบให้ฟังว่าเงินคือ สิ่งที่ใช้ซื้อของถ้าไม่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แม่ถามว่าจะซื้ออะไร ผมตอบว่าขนมครับ แต่ตอนนี้ไม่ซื้อแล้วเพราะผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง หลังจากนั้นแม่ก็บอกผม เงินเป็นสิ่งสำคัญ หายาก บางคนหาได้น้อย บางคนหาได้เยอะ ชีวิตจะสบายจะลำบากเจ้านี้แหละคือสิ่งสำคัญ ผมเลยถามต่อว่าแล้วเงินมันได้มายังไง ทำงานไงลูกถ้าทำงานแบบพ่อก็มีเงิน แล้วผมจะเริ่มทำงานอย่างพ่อได้ยังไง ไม่ได้ลูกๆยังเด็ก ทำงานไม่ได้แล้วจะมีเงินได้ไง แม่ก็หัวเราะกลับความซื่อของผม แม่บอกต้องตั้งใจเรียนก่อนพอเรียนดีอนาคตดี ก็จะได้งานดี แต่ละงานได้เงินเดือนไม่เท่ากัน ผมถามทันทีว่าแล้วงานไหนได้เงินดีสุด แม่บอกหมอลูกได้เงินดีสุด แต่ต้องเรียนเก่งมากถึงได้เป็น เย็นวันเดียวกันหลังจากพ่อกลับจากงานราชการแล้วแม่คงเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังพ่อเลยเรียกผมมาคุยด้วย เกี่ยวกับเรื่องเิงิน พ่อผมบอกถ้าอยากได้เงินต้องทำงานถ้าไม่อยากลำบากให้ตั้งใจเรียนตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้าพ่อแม่ตายไปก็จะไม่มีใครให้เงินลูกอีก มีเงินยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองไม่ต้องพึ่งใครดีที่สุด ไม่มีเงินต้องไปหยิบยืมคนอื่นมันไม่ดี ถึงประโยคเกี่ยวกับวันหนึ่งพ่อแม่ตายผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์กลัว อารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เอาแล้วเราต้องตั้งใจเรียนเป็นหนทางเดียวเลย เอาแล้วแต่เรียนมันคืออะไร???
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 2
พ่อก็บอกต่อว่างานนะพอทำแล้วเค้าจะให้เงินเดือนมา ให้มาเป็นเดือนๆ พ่อทำราชการได้เงินเดือนน้อย ต่างกับคนที่ทำเอกชนได้เงินเยอะ แต่พ่อมั่นคงกว่าถ้าไม่ได้ทำผิดอะไรก็อยู่กันไปยันอายุ 60 ผมรีบถามต่อแล้ว 60 หลังจากนั้นหละทำยังไง พ่อบอกราชการเค้าให้บำนาญไปอีกทุกเดือนแต่น้อยกว่าตอนที่เราทำงานอยู่นะน้อยกว่ามาก ผมเลยถามพ่อสองเรื่องพ่ออายุเท่าไหร่อีกกี่ปีเกษียณ กับพ่อได้เงินเดือนเท่าไหร่ พ่อไม่ยอมบอกเรื่องเงินเดือนบอกว่าไว้โตกว่านี้พ่อจึงจะบอก แล้วพ่อก็บอกว่าถ้าหาเงินได้แล้วเก็บไว้เรื่อยๆมันก็จะกลายเป็นเงินก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ พ่อบอกว่าตอนนี้ผมยังเด็กเล็กมากยังทำงานไม่ได้เงินก็ไม่มีเอางี้ลูกลองเก็บเงินจากเหรียญหน้าตู้โชว์ที่พ่อมาวางทิ้งทุกวันหลังจากลับจากที่ทำงานดู
หลังจากนั้นหลายปีผมก็เริ่มเก็บมันทุกเหรียญไม่เฉพาะของคุณพ่อ แต่รวมทั้งของแม่ ของพี่ ผมเก็บหมดจนเหรียญเต็มกล่องดีใจสุดๆ พ่อครับมันเต็มกล่องแล้วเอาไปอวดอย่างดีใจพ่อก็บอกไหนลองนับดูไม่ถึงพันแต่ผมดีใจสุดๆ เหมือนทำอะไรซักอย่างสำเร็จ ประมาณว่าคิดว่าเรามีเงินแล้วเยอะด้วย พ่อโชว์เงินที่เป็นกระดาษให้ดูนี้เงินที่เป็นกระดาษนี้มีมูลค่าเท่ากับ 100 บาท 500 บาท อุแม่เจ้าเงินเยอะๆที่เราเห็นมันมีค่าเป็นเงินกระดาษแค่ไม่กี่ใบนี้เองหรือ
จุดเปลี่ยนแนวคิด
พ่อคงจับได้ถึงอารมณ์ท้อของผมจึงเล่าเรื่องปู่ว่าต้องลำบากมากเป็นคนจีนถึงจะไม่ได้เสื่อผืนหมอนใบแต่ก็ทำการค้าขายต่อสู้อย่างยากลำบากกว่าจะเลี้ยงเมีย 3 คน ลูกอีกเยอะมาก สุดท้ายพวกพี่ๆพ่อไม่ได้เรียนต่อกันซักคนต้องมาหาเงินช่วยทางบ้าน ผมตะโกนทันทีไม่ได้เรียนหาเงินได้ด้วยหรือพ่อไหนบอกต้องเรียนถึงจะได้งานไงแล้วเท่าที่ผมจำความได้พวกลุงๆนี้รวยกันทุกคนเลยนะ พ่อยิ้มๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องในอดีตซึ่งคือการทำงานหนักทุกชนิดของที่บ้านจนเริ่มมีฐานะ ปู่พูดจีนได้สามารถติดต่อเอาสินค้าจากกรุงเทพ(สำเพ็ง)ไปขายที่บ้าน(นครศรีธรรมราช)ได้เครดิตดีเพราะเป็นคนจีนเล่ายาวมากทั้งไปเมืองจีนเอาสินค้ามาขายในตลาด อ. ฉวาง ถ้าจะซื้อสินค้าอะไรก็ต้องมาซื้อกลับปู่เพราะเราทำมันทุกอย่างไม่ว่ากิจการร้านค้าอะไรขายของชำ ขายยาแผนโบราณ เครื่องสังฆภัณฑ์ เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ทำโรงภาพยนตร์ โรงสีข้าว ทำมันทั้งหมดนั้นแหละจนรวยมาก พวกคุณลุงเค้าต้องลำบากมากนะก่อนที่อะไรๆจะดีนี้ถึงกลับต้องไปรับจ้างถอนหญ้าที่โรงเรียนงานเล็กงานน้อยเค้าทำกันหมด เรียนน้อยโอกาสน้อยมีงานต้องรีบทำรีบเก็บครอบครัวใหญ่มาก พ่อผมเป็นน้องเล็กสุดของบ้านเป็นคนเดียวที่ได้เรียนต่อเพราะฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นแล้ว พ่อผมบอกเค้าตั้งใจมากตื่นตั้งแต่ตี 4 อ่านหนังสือพอเริ่มเช้าก่อนไปโรงเรียนต้องเอาอาหารให้หมูกินพอกลับจากโรงเรียนต้องมาเฝ้าหน้าโรงหนังเก็บเงินค่าเข้าเป็นเด็กเฝ้าโรงหนังชีวิตวนเวียนอย่างนี้ตั้งแต่ยังเรียนประถม "แบบนี้พ่อกับคุณลุงหาเงินกันได้ตั้งแต่เด็กแล้วนี้ผมก็ต้องหาได้ซิ แถมพ่อก็เรียนเยอะสุดในบ้านทำไมถึงไม่รวยแบบคุณลุง" พ่อก็ตอบว่าใช่เพราะสมัยนั้นกลับตอนนี้มันต่างกันถ้าลูกไปหาเงินตอนนี้มันยากและลูกก็ยังมีพ่อตั้งใจเรียนก็พอส่วนเรื่องรวยนะเพราะคุณลุงเค้าค้าขายได้เงินดี แต่พ่อรับเงินเดือนมันคนละแบบได้เงินทั้งชีวิตก็จะได้ไม่มากเกินกว่านี้
จุดนี้ละครับผมเริ่มคิดเราเก็บเงินจากเศษตังของพ่อวันละนิดแปลว่าพ่อต้องหามาได้มากกว่านี้ถ้าเรายังเอาเงินพ่อมันก็เท่ากับรายได้ในบ้านเท่าเดิมไม่มีอะไรเพิ่มเก็บมาจนเราอยู่ประถมแล้ว พ่อลุงทำงานกันตั้งแต่ประถมงั้นก็หมายความว่าถ้าเราหาเองตั้งแต่ตอนนี้เริ่มเก็บมันต้องมากกว่ากล่องใบเดียวแน่ถ้าเราอยากรวยก็ต้องรีบหารีบเก็บ
เริ่มสร้างรายได้
ในตอนช่วงประมาณ ป3 ผมได้รับสมุดแสตมป์จากพี่ชายที่เลิกเล่นเลิกสะสมไปซะอย่างนั้น กับมรดกหนังสือการ์ตูนครบชุดจำนวนมาก ผมไม่รอช้าเอาไปขายเพื่อนทันทีแสตมป์ขายได้เยอะแต่ได้เงินน้อยและเราไม่รู้ราคาขายมันเอาตามความพอใจของผู้ซื้อเลยผมเลือกเฉพาะที่มันซ้ำกันเยอะๆ ส่วนหนังสือการ์ตูนนี้พอดีเพื่อนมันบอกร้านเช่าการ์ตูนรับซื้อผมก็แบกเอาไปขายได้เงินมาอีกนิดหน่อย แต่ทั้งหมดถ้ามาดูตอนนี้ขายขาดทุนอย่างมาก
ทั้งการเก็บเงินเหรียญจากที่บ้านและรายได้ตรงนี้เชื่อมั๊ยเงินค่าอั่งเปาหรือเงินที่ผู้ใหญ่ให้ผมเก็บหมด เงินค่าขนมผมก็ไม่ใช้เก็บอย่างเดียวโดยมีแม่ค่อยเอาเข้าธนาคารให้ผมมีเงินหลักหมื่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
พอดีตอนช่วง ป3 ผมเกิดทำคะแนนได้ดีได้ที่หนึ่งของห้องคณิตผิดไปแค่ 2 ข้อ เลยได้ย้ายห้องไปห้องคิง โอ้เพื่อนใหม่เยอะมาก
ความฉลาดหาเงินได้มากกว่า
ผมมาห้องใหม่ก็ไม่ค่อยชินกับเพื่อนใหม่ๆ แต่เห็นเพื่อนบ้างคนในห้องเก่งมากเลย เค้าเอาเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บมาที่โรงเรียนเป็นถุงใหญ่ๆ แล้วเอามาขายเพื่อนพอเพื่อนซื้อไปแผ่นละบาท เค้าเอามาเป่ายิ้งฉุบกัน ใครชนะได้ผ้าของอีกฝ่ายเชื่อมั๊ยเศษผ้าแท้ๆเค้าเอามาทำเงินได้เยอะมากผมนั่งมองดูความฉลาดของเค้า ต่อมาผมสังเกตุเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเค้าเอาของที่ไม่จำเป็นมาขายทั้งปากกาทั้งยางลบอะไรก็ไม่รู้เยอะเลย ขายมันทุกอย่าง และก็มีเพื่อนอีกคนเอาของมานั่งเปิดให้คนจับฉลากมีของไม่เยอะส่วนใหญ๋ของไม่มีราคาเท่าไรแต่เพื่อนสนใจกันเยอะ
ผมมานั่งคิด
1.คนแรกเอาของเหลือใช้มาสร้างเงิน - กำไรดีแต่เค้าทำเป็นขบวนการ คือแกล้งทำเป็นเล่นกันให้เพื่อนอยากเล่นตาม แถมมันเป็นการพนันพอสมควร ผมมันตัวคนเดียวทำไม่ได้
2.อะไรก็เอามาขาย - ขายได้ไม่กี่ชิ้น
3.จับฉลากคนสนใจแต่เก็บค่าเล่นน้อยไป เงินยังได้น้อย รางวัลมีไม่มาก
จากทั้งหมดผมเลยกลับบ้านมานั่งตัดกระดาษเขียนเลขลงไปทำฉลาก เอาของเหลือใช้ในบ้านนั้นก็คือของที่เค้าแถมมากับพวกของที่ซื้อ ประเภทแก้วน้ำ กล่องดินสอพลาสติก ปากกาสวยๆ หรืออื่นๆจำไม่ค่อยได้แล้วแบกเอาไปโรงเรียน เพื่อนให้ความสนใจดีมีคนเล่นมากผมเปิดแบบนี้อยู่จนของหมดได้เท่าไหร่จำไม่ได้ มีถูกโกงด้วยแต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะเราพลาดเองที่แค่เขียนเลขลงไปไม่ได้เซ็นต์กำกับเพื่อนเลยแอบเอากระดาษเขียนเลขเองมาหลอกแต่ผมจำลายมือได้แต่ก็นั้นแหละถ้าไม่เอามาทำอย่างนี้มันก็รกบ้านหรือไม่ก็ต้องรอเอาไปบริจาค ที่จริงอยากจะเอาไปแจกด้วยซ้ำเลยแกล้งโง่ให้ไป
เงินที่ได้มากกว่าตอนขายหนังสือขายแสตมป์มากนัก
ให้เงินทำงานแทน
ต่อมาพอดีน้าทำธุรกิจเงินขาดมือเลยโทรมายืมแม่แต่แม่ไม่มีเลยขอยืมผมพอดีผมมีเท่าที่น้าต้องการ ผมเลยให้ไปหมดตัวเลย โดยที่เสียดายมากกลัวไม่ได้คืนแค่เดือนเดียวน้าก็เอามาคืนพร้อมให้ดอกเบี้ยผมตกใจมากการยืมเงินกันเค้าได้ดอกเบี้ยขนาดนี้เลยหรือมันดีกว่าฝากแบงค์อีกนะแม่ แม่ก็บอกว่าก็แบงค์เค้าเอาเงินฝากเราไปให้คนกู้และลงทุนในหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ อ้าวงั้นทำไมเราไม่ลงเองเลยหละระหว่างที่แม่พูดอยู่นั้นพ่อผ่านมาได้ยินก็เลยอารมณ์เสียแล้วเรียกผมไปคุย ผมก็ งง อารมณ์เสียเรื่องอะไร แล้วพ่อก็เล่าเรื่องอดีตให้ฟัง เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีแนวคิดผิดไปพอสมควร คือเรื่องการให้คนยืมเงินพ่อเล่าพร้อมเอาสัญญาเงินกู้ออกมาจากโต๊ะจำนวนหลายฉบับ พ่อให้คนรู้จักยืมไปประมาณ 10 ราย ให้แบบไม่ได้หวังได้คืนใน 10 รายมีคนพยายามคืนแค่คนเดียว นั้นเป็นอัตราส่วนที่เลวร้ายมากยิ่งถ้าได้เห็นจำนวนเงินแล้วนี้มันคือหายนะชัดๆผมคิดในใจ พ่อไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วมาพูดเรื่องที่สองพ่อเล่าเรื่องเพื่อนที่ทำงานที่ลงทุนในกองทุนอสังหาแล้วเจ๊งหมดตัวโดยที่พ่อก็ไม่ได้รู้รายละเอียดรู้แต่ว่าหมดตัว และเล่าเรื่องแม่ซึ่งเคยเทรดหุ้นหนักๆในยุคที่ก๋วยเตี๋ยวยังชามละ 50 สตางค์ ไปนั่งสั่งให้เค้าเคาะกระดานทุกวัน ด้วยเป็นนักธุรกิจในวงการนี้อยู่แล้วเลยทำให้ได้มาร์จิ้นมากและเปิดมันทุกโบรก และคนที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นได้ในตอนนั้นมีน้อยจึงมีพวกคุณหญิงคุณนายหลายคนมาฝากเล่นในบัญชีแม่ แม่ก็ใจดีรับทุกคน พอร์ตหุ้นใหญ่มากในตอนนั้น คนพวกนี้เล่นหุ้นไม่ค่อยเป็นแต่อยากเล่นเพราะในตอนนั้นคนรวยเค้ากำลังเห่อเล่นหุ้นถ้าไม่เล่นแล้วอายเข้าสังคมลำบาก อยู่ๆหุ้นตกแม่ผมรีบขายหุ้นทิ้งทั้งหมดแต่ของคนอื่นที่อยู่ในบัญชีซิจะขายของเค้าก็ไม่ได้เลยพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ซึ่งในขณะนั้นคนมีโทรศัพท์บ้านคือคนรวยมาก (แม่บอกว่าเบอร์ที่บ้านนี้ก็ขอมาต้องจ่ายตั้งสองหมื่นถึงได้เบอร์มาใช้ ผิดกับเดียวนี้ขอฟรีเลย) มีหลายคนไม่ขายบอกปล่อยไว้ก่อนเดียนจบการเงินมาจากเมืองนอกมั่นใจว่าราคากลับมาได้แน่ เดียนไม่ขายเจอไปรายสองรายไม่ยอมขายบอกค่าดอกเบี้ยเดี๊ยวช่วยจ่ายให้ให้แม่ออกไปก่อน บัญชีชื่อแม่ แม่ผมก็ต้องจ่ายไป จ่ายไป จนมันมากเิกินจ่ายไหวก็บอกเค้าว่าต้องขายแล้วแม่จ่ายไม่ไหวแล้ว เค้าก็เอาแต่จะฆ๋าตัวตายบ้างอะไรบ้าง สรุปคือไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม่ผมต้องแบกหนี้ชนิดที่เรียกว่าหนักมาก ขนาดที่ว่าโบรกนั้นก็ต้องปิดตัวเองเลย แม่เลยไม่ได้ทำธุรกิจอีกเลยเพราะพยายามทำหลายอย่างแล้วก็ไม่สำเร็จ...
ผมฟังมาดังนี้ ทำให้ผมกลัวสุดขีด กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว ทำธุรกิจมันบรรลัยได้เพียงนี้เลยเหรอ เล่นหุ้นมันน่ากลัวมาก ปล่อยกู้แล้วจะได้คืนยังไงถ้าเค้าไม่มีจ่ายซะอย่าง งั้นฝากแบงค์ให้เค้าดูแลแทนดีกว่า
หลังจากนั้นหลายปีผมก็เริ่มเก็บมันทุกเหรียญไม่เฉพาะของคุณพ่อ แต่รวมทั้งของแม่ ของพี่ ผมเก็บหมดจนเหรียญเต็มกล่องดีใจสุดๆ พ่อครับมันเต็มกล่องแล้วเอาไปอวดอย่างดีใจพ่อก็บอกไหนลองนับดูไม่ถึงพันแต่ผมดีใจสุดๆ เหมือนทำอะไรซักอย่างสำเร็จ ประมาณว่าคิดว่าเรามีเงินแล้วเยอะด้วย พ่อโชว์เงินที่เป็นกระดาษให้ดูนี้เงินที่เป็นกระดาษนี้มีมูลค่าเท่ากับ 100 บาท 500 บาท อุแม่เจ้าเงินเยอะๆที่เราเห็นมันมีค่าเป็นเงินกระดาษแค่ไม่กี่ใบนี้เองหรือ
จุดเปลี่ยนแนวคิด
พ่อคงจับได้ถึงอารมณ์ท้อของผมจึงเล่าเรื่องปู่ว่าต้องลำบากมากเป็นคนจีนถึงจะไม่ได้เสื่อผืนหมอนใบแต่ก็ทำการค้าขายต่อสู้อย่างยากลำบากกว่าจะเลี้ยงเมีย 3 คน ลูกอีกเยอะมาก สุดท้ายพวกพี่ๆพ่อไม่ได้เรียนต่อกันซักคนต้องมาหาเงินช่วยทางบ้าน ผมตะโกนทันทีไม่ได้เรียนหาเงินได้ด้วยหรือพ่อไหนบอกต้องเรียนถึงจะได้งานไงแล้วเท่าที่ผมจำความได้พวกลุงๆนี้รวยกันทุกคนเลยนะ พ่อยิ้มๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องในอดีตซึ่งคือการทำงานหนักทุกชนิดของที่บ้านจนเริ่มมีฐานะ ปู่พูดจีนได้สามารถติดต่อเอาสินค้าจากกรุงเทพ(สำเพ็ง)ไปขายที่บ้าน(นครศรีธรรมราช)ได้เครดิตดีเพราะเป็นคนจีนเล่ายาวมากทั้งไปเมืองจีนเอาสินค้ามาขายในตลาด อ. ฉวาง ถ้าจะซื้อสินค้าอะไรก็ต้องมาซื้อกลับปู่เพราะเราทำมันทุกอย่างไม่ว่ากิจการร้านค้าอะไรขายของชำ ขายยาแผนโบราณ เครื่องสังฆภัณฑ์ เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ทำโรงภาพยนตร์ โรงสีข้าว ทำมันทั้งหมดนั้นแหละจนรวยมาก พวกคุณลุงเค้าต้องลำบากมากนะก่อนที่อะไรๆจะดีนี้ถึงกลับต้องไปรับจ้างถอนหญ้าที่โรงเรียนงานเล็กงานน้อยเค้าทำกันหมด เรียนน้อยโอกาสน้อยมีงานต้องรีบทำรีบเก็บครอบครัวใหญ่มาก พ่อผมเป็นน้องเล็กสุดของบ้านเป็นคนเดียวที่ได้เรียนต่อเพราะฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นแล้ว พ่อผมบอกเค้าตั้งใจมากตื่นตั้งแต่ตี 4 อ่านหนังสือพอเริ่มเช้าก่อนไปโรงเรียนต้องเอาอาหารให้หมูกินพอกลับจากโรงเรียนต้องมาเฝ้าหน้าโรงหนังเก็บเงินค่าเข้าเป็นเด็กเฝ้าโรงหนังชีวิตวนเวียนอย่างนี้ตั้งแต่ยังเรียนประถม "แบบนี้พ่อกับคุณลุงหาเงินกันได้ตั้งแต่เด็กแล้วนี้ผมก็ต้องหาได้ซิ แถมพ่อก็เรียนเยอะสุดในบ้านทำไมถึงไม่รวยแบบคุณลุง" พ่อก็ตอบว่าใช่เพราะสมัยนั้นกลับตอนนี้มันต่างกันถ้าลูกไปหาเงินตอนนี้มันยากและลูกก็ยังมีพ่อตั้งใจเรียนก็พอส่วนเรื่องรวยนะเพราะคุณลุงเค้าค้าขายได้เงินดี แต่พ่อรับเงินเดือนมันคนละแบบได้เงินทั้งชีวิตก็จะได้ไม่มากเกินกว่านี้
จุดนี้ละครับผมเริ่มคิดเราเก็บเงินจากเศษตังของพ่อวันละนิดแปลว่าพ่อต้องหามาได้มากกว่านี้ถ้าเรายังเอาเงินพ่อมันก็เท่ากับรายได้ในบ้านเท่าเดิมไม่มีอะไรเพิ่มเก็บมาจนเราอยู่ประถมแล้ว พ่อลุงทำงานกันตั้งแต่ประถมงั้นก็หมายความว่าถ้าเราหาเองตั้งแต่ตอนนี้เริ่มเก็บมันต้องมากกว่ากล่องใบเดียวแน่ถ้าเราอยากรวยก็ต้องรีบหารีบเก็บ
เริ่มสร้างรายได้
ในตอนช่วงประมาณ ป3 ผมได้รับสมุดแสตมป์จากพี่ชายที่เลิกเล่นเลิกสะสมไปซะอย่างนั้น กับมรดกหนังสือการ์ตูนครบชุดจำนวนมาก ผมไม่รอช้าเอาไปขายเพื่อนทันทีแสตมป์ขายได้เยอะแต่ได้เงินน้อยและเราไม่รู้ราคาขายมันเอาตามความพอใจของผู้ซื้อเลยผมเลือกเฉพาะที่มันซ้ำกันเยอะๆ ส่วนหนังสือการ์ตูนนี้พอดีเพื่อนมันบอกร้านเช่าการ์ตูนรับซื้อผมก็แบกเอาไปขายได้เงินมาอีกนิดหน่อย แต่ทั้งหมดถ้ามาดูตอนนี้ขายขาดทุนอย่างมาก
ทั้งการเก็บเงินเหรียญจากที่บ้านและรายได้ตรงนี้เชื่อมั๊ยเงินค่าอั่งเปาหรือเงินที่ผู้ใหญ่ให้ผมเก็บหมด เงินค่าขนมผมก็ไม่ใช้เก็บอย่างเดียวโดยมีแม่ค่อยเอาเข้าธนาคารให้ผมมีเงินหลักหมื่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
พอดีตอนช่วง ป3 ผมเกิดทำคะแนนได้ดีได้ที่หนึ่งของห้องคณิตผิดไปแค่ 2 ข้อ เลยได้ย้ายห้องไปห้องคิง โอ้เพื่อนใหม่เยอะมาก
ความฉลาดหาเงินได้มากกว่า
ผมมาห้องใหม่ก็ไม่ค่อยชินกับเพื่อนใหม่ๆ แต่เห็นเพื่อนบ้างคนในห้องเก่งมากเลย เค้าเอาเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บมาที่โรงเรียนเป็นถุงใหญ่ๆ แล้วเอามาขายเพื่อนพอเพื่อนซื้อไปแผ่นละบาท เค้าเอามาเป่ายิ้งฉุบกัน ใครชนะได้ผ้าของอีกฝ่ายเชื่อมั๊ยเศษผ้าแท้ๆเค้าเอามาทำเงินได้เยอะมากผมนั่งมองดูความฉลาดของเค้า ต่อมาผมสังเกตุเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเค้าเอาของที่ไม่จำเป็นมาขายทั้งปากกาทั้งยางลบอะไรก็ไม่รู้เยอะเลย ขายมันทุกอย่าง และก็มีเพื่อนอีกคนเอาของมานั่งเปิดให้คนจับฉลากมีของไม่เยอะส่วนใหญ๋ของไม่มีราคาเท่าไรแต่เพื่อนสนใจกันเยอะ
ผมมานั่งคิด
1.คนแรกเอาของเหลือใช้มาสร้างเงิน - กำไรดีแต่เค้าทำเป็นขบวนการ คือแกล้งทำเป็นเล่นกันให้เพื่อนอยากเล่นตาม แถมมันเป็นการพนันพอสมควร ผมมันตัวคนเดียวทำไม่ได้
2.อะไรก็เอามาขาย - ขายได้ไม่กี่ชิ้น
3.จับฉลากคนสนใจแต่เก็บค่าเล่นน้อยไป เงินยังได้น้อย รางวัลมีไม่มาก
จากทั้งหมดผมเลยกลับบ้านมานั่งตัดกระดาษเขียนเลขลงไปทำฉลาก เอาของเหลือใช้ในบ้านนั้นก็คือของที่เค้าแถมมากับพวกของที่ซื้อ ประเภทแก้วน้ำ กล่องดินสอพลาสติก ปากกาสวยๆ หรืออื่นๆจำไม่ค่อยได้แล้วแบกเอาไปโรงเรียน เพื่อนให้ความสนใจดีมีคนเล่นมากผมเปิดแบบนี้อยู่จนของหมดได้เท่าไหร่จำไม่ได้ มีถูกโกงด้วยแต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะเราพลาดเองที่แค่เขียนเลขลงไปไม่ได้เซ็นต์กำกับเพื่อนเลยแอบเอากระดาษเขียนเลขเองมาหลอกแต่ผมจำลายมือได้แต่ก็นั้นแหละถ้าไม่เอามาทำอย่างนี้มันก็รกบ้านหรือไม่ก็ต้องรอเอาไปบริจาค ที่จริงอยากจะเอาไปแจกด้วยซ้ำเลยแกล้งโง่ให้ไป
เงินที่ได้มากกว่าตอนขายหนังสือขายแสตมป์มากนัก
ให้เงินทำงานแทน
ต่อมาพอดีน้าทำธุรกิจเงินขาดมือเลยโทรมายืมแม่แต่แม่ไม่มีเลยขอยืมผมพอดีผมมีเท่าที่น้าต้องการ ผมเลยให้ไปหมดตัวเลย โดยที่เสียดายมากกลัวไม่ได้คืนแค่เดือนเดียวน้าก็เอามาคืนพร้อมให้ดอกเบี้ยผมตกใจมากการยืมเงินกันเค้าได้ดอกเบี้ยขนาดนี้เลยหรือมันดีกว่าฝากแบงค์อีกนะแม่ แม่ก็บอกว่าก็แบงค์เค้าเอาเงินฝากเราไปให้คนกู้และลงทุนในหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ อ้าวงั้นทำไมเราไม่ลงเองเลยหละระหว่างที่แม่พูดอยู่นั้นพ่อผ่านมาได้ยินก็เลยอารมณ์เสียแล้วเรียกผมไปคุย ผมก็ งง อารมณ์เสียเรื่องอะไร แล้วพ่อก็เล่าเรื่องอดีตให้ฟัง เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีแนวคิดผิดไปพอสมควร คือเรื่องการให้คนยืมเงินพ่อเล่าพร้อมเอาสัญญาเงินกู้ออกมาจากโต๊ะจำนวนหลายฉบับ พ่อให้คนรู้จักยืมไปประมาณ 10 ราย ให้แบบไม่ได้หวังได้คืนใน 10 รายมีคนพยายามคืนแค่คนเดียว นั้นเป็นอัตราส่วนที่เลวร้ายมากยิ่งถ้าได้เห็นจำนวนเงินแล้วนี้มันคือหายนะชัดๆผมคิดในใจ พ่อไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วมาพูดเรื่องที่สองพ่อเล่าเรื่องเพื่อนที่ทำงานที่ลงทุนในกองทุนอสังหาแล้วเจ๊งหมดตัวโดยที่พ่อก็ไม่ได้รู้รายละเอียดรู้แต่ว่าหมดตัว และเล่าเรื่องแม่ซึ่งเคยเทรดหุ้นหนักๆในยุคที่ก๋วยเตี๋ยวยังชามละ 50 สตางค์ ไปนั่งสั่งให้เค้าเคาะกระดานทุกวัน ด้วยเป็นนักธุรกิจในวงการนี้อยู่แล้วเลยทำให้ได้มาร์จิ้นมากและเปิดมันทุกโบรก และคนที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นได้ในตอนนั้นมีน้อยจึงมีพวกคุณหญิงคุณนายหลายคนมาฝากเล่นในบัญชีแม่ แม่ก็ใจดีรับทุกคน พอร์ตหุ้นใหญ่มากในตอนนั้น คนพวกนี้เล่นหุ้นไม่ค่อยเป็นแต่อยากเล่นเพราะในตอนนั้นคนรวยเค้ากำลังเห่อเล่นหุ้นถ้าไม่เล่นแล้วอายเข้าสังคมลำบาก อยู่ๆหุ้นตกแม่ผมรีบขายหุ้นทิ้งทั้งหมดแต่ของคนอื่นที่อยู่ในบัญชีซิจะขายของเค้าก็ไม่ได้เลยพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ซึ่งในขณะนั้นคนมีโทรศัพท์บ้านคือคนรวยมาก (แม่บอกว่าเบอร์ที่บ้านนี้ก็ขอมาต้องจ่ายตั้งสองหมื่นถึงได้เบอร์มาใช้ ผิดกับเดียวนี้ขอฟรีเลย) มีหลายคนไม่ขายบอกปล่อยไว้ก่อนเดียนจบการเงินมาจากเมืองนอกมั่นใจว่าราคากลับมาได้แน่ เดียนไม่ขายเจอไปรายสองรายไม่ยอมขายบอกค่าดอกเบี้ยเดี๊ยวช่วยจ่ายให้ให้แม่ออกไปก่อน บัญชีชื่อแม่ แม่ผมก็ต้องจ่ายไป จ่ายไป จนมันมากเิกินจ่ายไหวก็บอกเค้าว่าต้องขายแล้วแม่จ่ายไม่ไหวแล้ว เค้าก็เอาแต่จะฆ๋าตัวตายบ้างอะไรบ้าง สรุปคือไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม่ผมต้องแบกหนี้ชนิดที่เรียกว่าหนักมาก ขนาดที่ว่าโบรกนั้นก็ต้องปิดตัวเองเลย แม่เลยไม่ได้ทำธุรกิจอีกเลยเพราะพยายามทำหลายอย่างแล้วก็ไม่สำเร็จ...
ผมฟังมาดังนี้ ทำให้ผมกลัวสุดขีด กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว ทำธุรกิจมันบรรลัยได้เพียงนี้เลยเหรอ เล่นหุ้นมันน่ากลัวมาก ปล่อยกู้แล้วจะได้คืนยังไงถ้าเค้าไม่มีจ่ายซะอย่าง งั้นฝากแบงค์ให้เค้าดูแลแทนดีกว่า
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 3
ล้มแล้วต้องซ้ำ กรรมติดจรวด
มิหนำซ้ำธุรกิจคอมมอดิตี้สินค้าเกษตรเปิดเป็นบริษัทอยู่ที่ข้างๆตลาดหุ้นเก่าตอนนั้นยังผิดกฎหมายเพราะกฎหมายที่เกี่ยวกับยังไม่มี ได้ทำร่วมกับพวกธนาคารนึงผมไม่ขอเอยชื่อ พอรู้ว่าแม่ติดลบเท่านั้นแหละ เชิญแม่ไปพบที่ห้องทำงานแล้วเอาลูกน้องมายืนในห้องด้วย 4 คน ทุกคนทำเป็นโชว์ปืนบังคับให้แม่เซ็นต์โอนหุ้นทั้งหมดของบริษัทให้ (พอล้มแล้วซ้ำ) เท่ากับถูกปล้นทรัพย์สินไปแบบหน้าด้านๆเลยถ้าขายหุ้นต่อยังพอเอามาใช้หนี้ได้บ้าง แล้วต่อมาธนาคารเค้าก็เจ๊ง ในชีวิตแม่ผมเจอแบบนี้เยอะแต่สุดท้ายแล้วกรรมมันเห็นผลทันตา หลายคนเป็นบ้า บ้างคนหมดตัว แม่เลยเชื่อเรื่องกรรมมาก ติดมาถึงผมด้วย
จากตรงนี้ทำให้ผมสงสารคนที่เป็นหนี้มากรู้เลยว่าลำบากขนาดไหน
และสงสารคนที่ปล่อยกู้ด้วย โอกาสได้คืนมันน้อยมากแถมยังกดดันมากพวกธนาคารเค้าเก่งนะต้องให้เครดิตที่เค้าปล่อยกู้กันได้ แต่จากที่เห็นมาคนเป็นหนี้มากๆแล้วกฎหมายก็คุ้มครองทำให้ไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มจำนวนก็มาก
เลยไม่ค่อยอยากเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้
ในช่วงนั้นอยู่ๆก็มีการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากประจำของแบงค์ที่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผมก็เลยเอาเงินทั้งหมดฝากประจำไว้ได้เงินดอกเบี้ยเป็นกรอบเป็นกำพอๆกับที่น้าจ่ายดอกให้เลย เลยขึ้นขึ้นมาในใจแบงค์เอาไปปล่อยกู้นี้ถ้าให้ดอกขนาดนี้จะเอากำไรจากไหน
แตกความคิดและหาข้อมูลเพิ่มเติม
ผมจึงหาข่าวอ่านค้นหนังสือต่างๆ จนเข้าใจในหุ้นที่พ่อได้เล่า อันความเป็นเด็กทำให้สิ่งที่เล่ามาเข้าใจน้อยเหลือเกินจนต้องมาศึกษาเอง จนรู้ว่าเงินเฟ้อ เงินฝืด คืออะไร หุ้นมันขึ้นลงเหมือนดีมานต์ของสินค้า บนโลกที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการไม่จำกัด สินค้าเหล่านั้นยอมต้องแย่งกันมากขึ้น เลยทำให้ผมสนใจเพราะอยากรู้จริงๆว่าแม่เราเจ๊งเพราะหุ้นได้ยังไง มาร์จิ้นคำนี้มันคืออะไร แต่ความกลัวทำให้ผมไม่กล้าลงทุนในหุ้น แต่อ่านข่าวเศรษฐกิจอย่างสนใจทุกวัน
เรียนรู้เพิ่มเติม เพิ่มความสามารถ รู้จักใช้จ่าย
ต่อมาพอผมโตขึ้นขอคอมพิวเตอร์พ่อซื้อให้ตอน ม. 2 ผม บอกพ่อว่าเรียนเรื่องคอมมาแล้วตอนอยู่ ป5 ป6 ถ้าซื้อมาได้ใช้แน่ แต่พอซื้อมาผม งง มากเค้าใส่กล่องมาต้องเสียบปลักเองที่บ้านอ้าวเวรกรรมตอนเรียนกดปุ่มเดียวเปิดเครื่องได้ ตอนนี้อะไรนี้ต้องต่อเองหมดแต่มันไม่ยากเกินไปผมพยายามต่อเองจนเสร็จแบบมั่วๆตามคู่มือภาษาอังกฤษที่อ่านก็ไม่ออกดูรูปเอา และพอมีรายงานกลุ่มรายงานเดี่ยวผมพิมพิ์หมดเพราะอยากพิมพิ์ให้มันคล่องๆเลยไม่เคยเกี่ยง จนต่อมาเริ่มได้เงินจากการพิมพิ์รายงานให้เพื่อนบ้างอะไรๆนิดหน่อยเก็บอย่างเดียว ค่าขนมพอขึ้นมัธยมผมได้เพิ่มขึ้นเยอะเลยก็เก็บเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องมีซื้ออาหารค่ารถบ้างอันนี้ทำให้ผมเริ่มสนใจรายจ่ายมากขึ้น แต่ผมได้ตัวอย่างที่ดีจากพ่อ พ่อผมไปฟุ่มเฟื่อยอาหารนี้รู้หมดร้านไหนถูกผมก็ได้นิสัย(ขี้งก)มาจากพ่อนี้แหละซื้อของต้องต่อ ต่อเก่งด้วยเพราะพ่อเคยค้าขายมาก่อนตั้งแต่เด็กๆต่อชนิดบางที่พูดต้นทุนที่รัานค้ารับมาแบบถูกต้องจนเจ้าของร้านหน้าซีดก็มี เอากำไรจากพ่อผมยาก บางร้านค้าที่พ่อผมซื้อประจำนี้ถ้าให้ คนอื่นไปซื้อแทนนี้ถึงกับต้องบอกชื่อพ่อผมก่อนว่าพ่อฝากมาซื้อแล้วจะได้ราคามหัศจรรย์เลยที่เดียว
ผมจึงกินข้าว 15 บาทต่อวันพยายามเดินเอาครึ่งทางได้ประหยัดค่ารถได้เก็บเงินได้เพิ่มขึ้นตอนเย็นไม่รีบนี้เดินกลับเลยไกลก็เดินอยากเก็บเงินแหละผมกลัวที่สุดคือเห็นคนตกงานในข่าวเยอะมากฆ่าตัวตายเยอะมากช่วง 40 แต่ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจมาตลอดเลยเห็นอะไรชัดพอสมควรและเข้าใจชนิดที่ผู้ใหญ่บางคนนักธุรกิจได้คุยกับผมถึงกับอึ่งมันรู้ได้ไง
ต่อมาผมสังเกตุเห็นเพื่อนในห้องมีเพื่อนคนนึงพยายามหาความรักจากเพื่อนๆด้วยเงินและสิ่งของซึ่งมันไม่ดีอันนี้ผมเก็บไว้เป็นตัวอย่างในใจ และมีเพื่อนอีกคนบ้านรวยเหมือนกันแต่เงินสตางค์นี้น้อยมากนะผมว่ามีคนยืมเค้าไป ทุกครั้งที่เจอหน้าเค้าจะทวงอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อนในห้องจะหัวเราะกัน ผมได้คิดเลยว่าเศษเงินมันก็มีค่านะเค้ารักเงินเค้ากับอีกคนไม่รักเงิน เงินมันจะอยู่กับใครละ
แต่แล้วช่วง ม3 ขึ้น ม4 ก็มีญาติฝั่งแม่มาขอยืมเงิน 20000 ผมก็ให้ไปแต่ใจนี้กลัวมากเพราะเรื่องที่พ่อเล่ายังฝั่งใจ แม่เล่าว่าญาติคนนี้สามีเล่นพนันเค้าโดนซ้อม โดนเรียกค่าเช่าบ้าน ฯลฯ ผมสงสารแต่ก็มองไม่ออกว่าจะหามาคืนอย่างไรแต่สภาพที่แม่เล่าคือโดนซ้อมมาเลย ผมเลยให้ไป และนั้นคือหนี้สูญก้อนแรกของผม ในเวลาต่อมาเหมือนเค้าจะมีเงินแล้วเพราะลูกชายได้ออกเทปแต่เค้าก็ไม่คืน เป็นบทเรียนให้ผมกลัวการให้ใครกู้เงินมากๆ และตอนนั้นผมติดอินเตอร์เน็ตแล้ว และได้อ่านบทความคำกล่าวสั้นๆดีๆมากมาย มีอยู่อันหนึ่งที่ผมจำขึ้นใจเลยคือ "ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงินคุณจะเสียเพื่อน แต่ถ้าคุณให้เค้ายืมเงินคุณจะเสียทั้งเงินและเพื่อน"
ต้องขอบคุณบทความในพันทิพย์ที่มีคนบอกไม่นานมานี้เองเกี่ยวกับการกู้ยืมว่า "ให้คนที่กู้ไปทำธุรกิจยังมีโอกาสได้คืน แต่ถ้า เอาไปใช้จ่าย หรือการพนันอย่าหวัง" อันนี้ผมเห็นจริงด้วย เพราะจากประสบการณ์ 2 เคสข้างต้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ญาติเหมือนกัน คนนึงทำธุรกิจ อีกคนเอาไปใช้จ่ายและการพนัน มันจึงไม่ได้คืน
มิหนำซ้ำธุรกิจคอมมอดิตี้สินค้าเกษตรเปิดเป็นบริษัทอยู่ที่ข้างๆตลาดหุ้นเก่าตอนนั้นยังผิดกฎหมายเพราะกฎหมายที่เกี่ยวกับยังไม่มี ได้ทำร่วมกับพวกธนาคารนึงผมไม่ขอเอยชื่อ พอรู้ว่าแม่ติดลบเท่านั้นแหละ เชิญแม่ไปพบที่ห้องทำงานแล้วเอาลูกน้องมายืนในห้องด้วย 4 คน ทุกคนทำเป็นโชว์ปืนบังคับให้แม่เซ็นต์โอนหุ้นทั้งหมดของบริษัทให้ (พอล้มแล้วซ้ำ) เท่ากับถูกปล้นทรัพย์สินไปแบบหน้าด้านๆเลยถ้าขายหุ้นต่อยังพอเอามาใช้หนี้ได้บ้าง แล้วต่อมาธนาคารเค้าก็เจ๊ง ในชีวิตแม่ผมเจอแบบนี้เยอะแต่สุดท้ายแล้วกรรมมันเห็นผลทันตา หลายคนเป็นบ้า บ้างคนหมดตัว แม่เลยเชื่อเรื่องกรรมมาก ติดมาถึงผมด้วย
จากตรงนี้ทำให้ผมสงสารคนที่เป็นหนี้มากรู้เลยว่าลำบากขนาดไหน
และสงสารคนที่ปล่อยกู้ด้วย โอกาสได้คืนมันน้อยมากแถมยังกดดันมากพวกธนาคารเค้าเก่งนะต้องให้เครดิตที่เค้าปล่อยกู้กันได้ แต่จากที่เห็นมาคนเป็นหนี้มากๆแล้วกฎหมายก็คุ้มครองทำให้ไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มจำนวนก็มาก
เลยไม่ค่อยอยากเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้
ในช่วงนั้นอยู่ๆก็มีการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากประจำของแบงค์ที่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผมก็เลยเอาเงินทั้งหมดฝากประจำไว้ได้เงินดอกเบี้ยเป็นกรอบเป็นกำพอๆกับที่น้าจ่ายดอกให้เลย เลยขึ้นขึ้นมาในใจแบงค์เอาไปปล่อยกู้นี้ถ้าให้ดอกขนาดนี้จะเอากำไรจากไหน
แตกความคิดและหาข้อมูลเพิ่มเติม
ผมจึงหาข่าวอ่านค้นหนังสือต่างๆ จนเข้าใจในหุ้นที่พ่อได้เล่า อันความเป็นเด็กทำให้สิ่งที่เล่ามาเข้าใจน้อยเหลือเกินจนต้องมาศึกษาเอง จนรู้ว่าเงินเฟ้อ เงินฝืด คืออะไร หุ้นมันขึ้นลงเหมือนดีมานต์ของสินค้า บนโลกที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการไม่จำกัด สินค้าเหล่านั้นยอมต้องแย่งกันมากขึ้น เลยทำให้ผมสนใจเพราะอยากรู้จริงๆว่าแม่เราเจ๊งเพราะหุ้นได้ยังไง มาร์จิ้นคำนี้มันคืออะไร แต่ความกลัวทำให้ผมไม่กล้าลงทุนในหุ้น แต่อ่านข่าวเศรษฐกิจอย่างสนใจทุกวัน
เรียนรู้เพิ่มเติม เพิ่มความสามารถ รู้จักใช้จ่าย
ต่อมาพอผมโตขึ้นขอคอมพิวเตอร์พ่อซื้อให้ตอน ม. 2 ผม บอกพ่อว่าเรียนเรื่องคอมมาแล้วตอนอยู่ ป5 ป6 ถ้าซื้อมาได้ใช้แน่ แต่พอซื้อมาผม งง มากเค้าใส่กล่องมาต้องเสียบปลักเองที่บ้านอ้าวเวรกรรมตอนเรียนกดปุ่มเดียวเปิดเครื่องได้ ตอนนี้อะไรนี้ต้องต่อเองหมดแต่มันไม่ยากเกินไปผมพยายามต่อเองจนเสร็จแบบมั่วๆตามคู่มือภาษาอังกฤษที่อ่านก็ไม่ออกดูรูปเอา และพอมีรายงานกลุ่มรายงานเดี่ยวผมพิมพิ์หมดเพราะอยากพิมพิ์ให้มันคล่องๆเลยไม่เคยเกี่ยง จนต่อมาเริ่มได้เงินจากการพิมพิ์รายงานให้เพื่อนบ้างอะไรๆนิดหน่อยเก็บอย่างเดียว ค่าขนมพอขึ้นมัธยมผมได้เพิ่มขึ้นเยอะเลยก็เก็บเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องมีซื้ออาหารค่ารถบ้างอันนี้ทำให้ผมเริ่มสนใจรายจ่ายมากขึ้น แต่ผมได้ตัวอย่างที่ดีจากพ่อ พ่อผมไปฟุ่มเฟื่อยอาหารนี้รู้หมดร้านไหนถูกผมก็ได้นิสัย(ขี้งก)มาจากพ่อนี้แหละซื้อของต้องต่อ ต่อเก่งด้วยเพราะพ่อเคยค้าขายมาก่อนตั้งแต่เด็กๆต่อชนิดบางที่พูดต้นทุนที่รัานค้ารับมาแบบถูกต้องจนเจ้าของร้านหน้าซีดก็มี เอากำไรจากพ่อผมยาก บางร้านค้าที่พ่อผมซื้อประจำนี้ถ้าให้ คนอื่นไปซื้อแทนนี้ถึงกับต้องบอกชื่อพ่อผมก่อนว่าพ่อฝากมาซื้อแล้วจะได้ราคามหัศจรรย์เลยที่เดียว
ผมจึงกินข้าว 15 บาทต่อวันพยายามเดินเอาครึ่งทางได้ประหยัดค่ารถได้เก็บเงินได้เพิ่มขึ้นตอนเย็นไม่รีบนี้เดินกลับเลยไกลก็เดินอยากเก็บเงินแหละผมกลัวที่สุดคือเห็นคนตกงานในข่าวเยอะมากฆ่าตัวตายเยอะมากช่วง 40 แต่ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจมาตลอดเลยเห็นอะไรชัดพอสมควรและเข้าใจชนิดที่ผู้ใหญ่บางคนนักธุรกิจได้คุยกับผมถึงกับอึ่งมันรู้ได้ไง
ต่อมาผมสังเกตุเห็นเพื่อนในห้องมีเพื่อนคนนึงพยายามหาความรักจากเพื่อนๆด้วยเงินและสิ่งของซึ่งมันไม่ดีอันนี้ผมเก็บไว้เป็นตัวอย่างในใจ และมีเพื่อนอีกคนบ้านรวยเหมือนกันแต่เงินสตางค์นี้น้อยมากนะผมว่ามีคนยืมเค้าไป ทุกครั้งที่เจอหน้าเค้าจะทวงอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อนในห้องจะหัวเราะกัน ผมได้คิดเลยว่าเศษเงินมันก็มีค่านะเค้ารักเงินเค้ากับอีกคนไม่รักเงิน เงินมันจะอยู่กับใครละ
แต่แล้วช่วง ม3 ขึ้น ม4 ก็มีญาติฝั่งแม่มาขอยืมเงิน 20000 ผมก็ให้ไปแต่ใจนี้กลัวมากเพราะเรื่องที่พ่อเล่ายังฝั่งใจ แม่เล่าว่าญาติคนนี้สามีเล่นพนันเค้าโดนซ้อม โดนเรียกค่าเช่าบ้าน ฯลฯ ผมสงสารแต่ก็มองไม่ออกว่าจะหามาคืนอย่างไรแต่สภาพที่แม่เล่าคือโดนซ้อมมาเลย ผมเลยให้ไป และนั้นคือหนี้สูญก้อนแรกของผม ในเวลาต่อมาเหมือนเค้าจะมีเงินแล้วเพราะลูกชายได้ออกเทปแต่เค้าก็ไม่คืน เป็นบทเรียนให้ผมกลัวการให้ใครกู้เงินมากๆ และตอนนั้นผมติดอินเตอร์เน็ตแล้ว และได้อ่านบทความคำกล่าวสั้นๆดีๆมากมาย มีอยู่อันหนึ่งที่ผมจำขึ้นใจเลยคือ "ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงินคุณจะเสียเพื่อน แต่ถ้าคุณให้เค้ายืมเงินคุณจะเสียทั้งเงินและเพื่อน"
ต้องขอบคุณบทความในพันทิพย์ที่มีคนบอกไม่นานมานี้เองเกี่ยวกับการกู้ยืมว่า "ให้คนที่กู้ไปทำธุรกิจยังมีโอกาสได้คืน แต่ถ้า เอาไปใช้จ่าย หรือการพนันอย่าหวัง" อันนี้ผมเห็นจริงด้วย เพราะจากประสบการณ์ 2 เคสข้างต้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ญาติเหมือนกัน คนนึงทำธุรกิจ อีกคนเอาไปใช้จ่ายและการพนัน มันจึงไม่ได้คืน
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 4
โอกาสและดวง
ผมเรียนในโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนเยอะมากย้ำว่าเยอะมาก อยู่ๆเพื่อนสนิทคนนึงของผมก็อยากทำการไร้ท์ซีดีเพลงขายไปไรท์เพลงจากแผ่นผีนี้แหละทำแล้วเจ๊งเลยเลิกไป ผมก็บอกงั้นผมขอทำนะมันยินดีอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่ออยู่ๆพอรู้กันว่าผมทำเท่านั้นแหละเพื่อนมันฝากไร้ท์กันเยอะมาก ตอนแรกผมกะจะหาซื้อแผ่นมาเป็นต้นฉบับที่ไหนได้เพื่อนมันมีคนซื้อมาแล้วบอกว่าถ้าคนอื่นยืมแผ่นมันทั้งไม่ได้คืนทั้งกลับมาก็เสียเลยทำให้เกิด คนคิดแบบนี้กันเยอะมากและตอนนั้นเพื่อนที่ไร้ท์เป็นมันไม่มีเลยผมซื้อ cd ไร้ท์เกรด A ไว้เยอะด้วยก็ลงทุนนิซื้อเยอะเลยได้ราคาถูกคอมก็เก่าแล้วเปลี่ยนแค่เครื่องไร้ท์แถมเพื่อนกันผมเอาแค่ 20 ไม่น่าเชื่อคนสั่งกันกระจาย เพราะใครก็ยอมจ่ายเพราะทุกคนคิดว่าเอาซื้อ 20 ถูกกว่าไปซื้อของปลอมแถมไม่ต้องมานั่งทะเลาะเรื่องคืนยัง ยังไม่คืน แผ่นดูเสร็จ ใช้เสร็จแทบโยนทิ้งกันเลย บางคนฉลาดเอาไปขายต่อบอกต่อรุ่นน้อง เอาไปขายต่อแถวบ้านอีก ตอนนั้นผมทำเล่นๆ กลับบ้านแทบไม่ได้นอนซักคืนมันขยายขนาดที่ผมเองไม่อาจคาดคิดเลยที่จริงเงินที่ได้ไม่ได้มากไปกว่าทำงานเงินเดือนแค่ผมยังไม่มีค่าใช้จ่ายเลยเก็บอย่างเดียวทำอยู่ 3 ปี เห็นอะไรก็มาก เพื่อนบ้างคนไปเปิดโต๊ะแทงบอลในห้องเสียบ้างได้บ้างสุดท้ายได้หลักหมื่น เพื่อนบ้างคนเปิดเหมือนบ่อนเลยกลางโรงเรียนท้าทายมาก มันโชว์เงินให้ดูแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบเป็นกำมือแต่สุดท้ายเรียนไม่จบถูกไล่ออก เพื่อนบางคนค้ายาเงินนี้ได้ชนิดอู้ฟู่เลย แต่มันเล่นเองด้วยไม่เหลือ เงินได้มาง่ายเลยใช้กันสนุกมือ มือถือเครื่องละหมื่นหายในผับได้ทุกวัน บางคนลูกนักการเมืองแต่งรถแข่งตอนกลางคืน กินรถกันอะไรก็ไม่รู้ผมไม่กล้าถามมากแต่เค้าบอกขับแบบเค้าก็ได้เงินถ้าเค้ามีเงินแต่งรถได้ขนาดนั้นคงได้เยอะอยู่ผมไม่รู้นะอันนี้สนิทกันไม่มาก ไม่กล้าถาม แถมผมไม่เที่ยวกลางคืนเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไ่หร่
ก่อนผมจะจบรุ่นน้องมีมารุมกันโอ้โหพยายามให้ผมทำต่อผมก็บอกเทคนิคไปเยอะ การลดต้นทุนการหาต้นฉบับไม่รู้ทำต่อรึเปล่า
แต่ตอนนี้คงไม่คุ้มเพราะพอผมจบได้ไม่เท่าไหร่ก็มี bit torrent เกิดขึ้น คนเลยดาวโหลดกันเองเลยทีนี้
พอจบมาเข้ามหาลัยผมเลือกเรียนรามตามที่พ่อขอไม่ให้ไปเรียนมหาลัยที่เอ็นติดเพราะไกลและอื่นๆอันเป็นเหตุผลเกี่ยวกับการทะเลาะกันของพี่น้องเรื่องมรดก ทั้งที่พ่อผมไม่เอามรดกติดตัวมาซักอย่าง พวกพี่น้องพ่อก็มีบางคนเข้าใจผิด บางคนรู้ บางคนระแวง เอาเป็นว่าผมไม่ควรไป และถ้าผมอยู่ตรงกรุงเทพพ่อแม่สบายใจมากกว่าเพราะพี่ชายก็เป็นทหารแยกไปอยู่คอนโดของนายทหารคนเดียวไปแล้วเหลือแต่ผมที่จะดูแลท่าน ด้วยท่านมีผมตอน 40กว่าๆ พอผมเรียนจบท่านก็เกษียณพอดีท่านกะไว้แบบนั้น
ในระหว่างเรียนรามซึ่งผมยังไม่เคยไปเรียนเลยไปแต่สอบทำให้ผมว่างมากและคณะที่เลือกเรียนคือบริหารการบัญชีผมเลยได้เรียนรู้เรื่องบัญชีและภาษีเลยพยายามต่อยอดความรู้ในเน็ตหาเองว่างจัดเลยเข้าใจในหลายเรื่อง(แต่เรื่องบัญชีนี้บอกตามตรงยังอ่อนมากสอบไม่ผ่านเลยเปลี่ยนไปการตลาดแทน) และได้ลองความรู้ด้วยการบอกพ่อว่าพ่อกรขอลองวิชาเครดิตภาษีนะ ผมเลยขอเงินจากการเครดิตภาษีจากพ่อนะถ้าผมทำเงินได้พ่อให้พร้อมหัวเราะผมเริ่มทำตามที่อ่านมาคือไปธนาคารขอหลักฐานหักภาษีจากเงินฝากประจำซึ่งพ่อผมท่านไปด้วยเวลายื่นภาษีทุกอย่างตามขั้นตอน รอหลายเดือนได้เงินมาหลายพันเลย พ่อหัวเราะพร้อมชมว่าเก่ง และผมก็ทำแบบเดียวกันกับเงินในบัญชีของพี่ชาย นั้นก็เป็นอีกรายได้หนึ่งของผม แต่รายได้หลักที่เคยได้จากซีดีผมไม่มีแล้วเคว้งอยู่พักโชคเข้าข้างเจ้านายเก่าน้าไปทำรายการสารคดีโทรทัศน์ต้องการไร้ท์ซีดีรายการเพื่อการกุศล(เอาไปแจกโรงเรียนต่างๆ) ออร์เดอร์มากๆมาอีกแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกแล้วแถมแน่นอนด้วยว่าจะมีรายได้อย่างนี้ทั้งปีทำได้ปีนึง(รายได้ถูกหักภาษี ณ.ที่จ่าย) ด้วยรายการหมดสัญญาเจ้านายน้าไม่ทำต่อผมก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย...
แต่ผมก็มีเงินเยอะพอสมควรแล้วละหลังจากนั้นก็มีรายได้เล็กน้อยเล็กน้อยเข้ามาเรื่อยๆแต่น้อยมากโชคดีที่ไม่มีรายจ่าย เรื่องเรียนตอนนั้นผมท้อพอสมควรขนาดย้ายมาการตลาดมาเจอข้อสอบถามว่าบริษัทที่เชิญมาในห้องเรียนควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร อ้าวเราไม่เคยเข้าห้องเรียนเลยอ่านเอาแต่ในหนังสือเจออย่างนี้หลายตัวเลยตอนนั้นเครียดมากว่าเอ้เราเรียนรามจบช้าหางานไม่ได้แน่เลย แถมคงต้องย้ายคณะเพราะไม่สะดวกที่จะไปเรียน ตอนนั้นพ่อเริ่มไม่สบายมากแล้ว แม่ก็เกือบอัมพาตโชคดีที่ผมช่วยส่งโรงพยาบาลได้ทัน ถัดมาอีกปีหลังจากย้ายคณะเพื่อนๆที่เข้ามาพร้อมกันไม่เหลือเลยเลิกเรียนกันไปหมดผมก็ย้ายมารัฐศาสตร์ทั้งที่จริงการบัญชี การตลาดผมอ่านมันหมดแล้วทุกเล่มนั้นแหละ พอมารัฐศาสตร์เวลาเหลืออื้อเลย ผมผ่านได้ทุกวิชาอย่างง่ายๆยกเว้นกฎหมายปกครองติดมันอยู่นั้นแหละพึ่งผ่านเมื่อเทอมก่อนหน้านี้เองต้องไปเรียนพิเศษพี่มันก็บอกตั้งแต่วิชาบัญชีแล้วว่าให้ไปเรียนผมไม่มีเวลาเอง
และเกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นเมื่อผมเช่าพระเครื่องของ ลพ คูณ มาทั้งที่ไม่ได้รู้จักท่านหรือดูพระเป็นเลยแค่อยากลองเช่าพระผ่านเน็ต แถมคนขายก็บอกไม่ใช่รุ่นนิยมราคาถูกมาก (คือจะดูว่าค้าขายผ่านเน็ตทำยังไงเลยลองเป็นผู้ซื้อก่อน) ในวันที่ได้รับผมหลับฝันเห็นข้างทีวีมีอะไรตัวเล็กๆนึกว่าจิ้งจกแต่ไม่ใช่นั้นคือ ลพ คูณ (อาจไม่ใช่ท่านเองก็ได้อาจเป็นเทวดาหรือใครก็ตามแต่แปลงมารูปนั้นผมไม่รู้หรืออาจเป็นความเห่อของผมที่เก็บไปฝันเองก็ได้) และท่านก็พูดบางอย่างกับผมเป็นข้อความยาวมาก แต่ผมจะไม่เล่าทั้งหมดนะเอาเท่าที่ท่านพูดแล้วเกิดขึ้นแล้วพอละกัน เดียวจะกลายเป็นประเด็นไม่ต้องถามผมไม่เล่า "ท่านบอกเศรษฐกิจจะตกต่ำ หุ้นจะตก อย่าเล่นหุ้น" แค่นี้พอนะนอกนั้นมันยังไม่เกิดผมขอเก็บไว้เชื่อคนเดียวพอ ผมลงไปเล่าพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องที่ฝัน พ่อแม่หัวเราะบอกมันเพ้อไปแล้ว ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่เกินอาทิตย์หุ้นตกอย่างหนักจากวิกฤตของสหรัฐที่เราพึ่งผ่านกันมานั้นแหละ พ่อแม่ผมตกใจใหญ่เลยไม่คิดว่าจะเกิดจริง
และตั้งแต่เด็กมาจากที่แม่เล่าผมเคยจับหวยให้ยายชื่อปรากฎว่าถูกรางวัล ผมเริ่มคิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงต้องมีดวงเข้ามาเกี่ยวบ้าง ยิ่งถ้าใครได้ใกล้ชิดจะรู้ว่าหลายครั้งในชีวิตของผมมันดวงแท้ๆ
วิกฤติมันต้องมีโอกาส
ในช่วงนั้นผมได้ดาวโหลดหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาหลายเล่มเลยจากbittorrent เพราะคิดว่าวิกฤติมันต้องมีโอกาส ผมอ่านเยอะมากสุดท้ายการเป็นคนรวยนั้นสรุปก็คือ
1. เข้าถือครองสินทรัพย์ที่มีอยู่อยู่อย่างจำกัด
2. ค้าขายในสินค้าที่ไม่ถูกกดราคา กำไรมากขายน้อย กับกำไรน้อยขายมาก
3. ใช้เวลาผลิตน้อย ผลิตงานออกมาได้มากแล้วขายมันออกไป (โรงงาน)
4. ใช้เงินทำงานแทน
จากบทความใช้เงินทำงานแทนเค้าได้อธิบายเรื่องหุ้นซึ่งผมกลัวมันมากเพราะญาติพี่น้องทุกคนกลัวหุ้นกันหมดแถมถูกปลูกฝั่งให้กลัวหุ้นมาแต่เด็ก
มันทำลายกำแพงใจลงได้บ้างแต่ยังไม่มากพอให้เข้าลงทุน
ผมเลยพยายามศึกษาในตอนแรกผมมีโปรเจ็คจะลงทุนเปิดเว็บไซท์ซึ่งโอกาสขาดทุนสูง กำไรต่ำแต่สังคมจะดีขึ้น ด้วยความพยายามให้เพื่อนทำแล้วก็ไม่เสร็จ ไปจ้างคนเขียนเว็บแล้วก็ไม่เสร็จเหมือนดวงไม่ให้ทำ เงินในบัญชีเลยกองอยู่อย่างนั้นไม่ได้ใช้อะไร จะซื้อทองก็ไม่มีปัญญารักษาดูแล(กล้วโจร) เลยได้แต่ศึกษาข่าวหุ้นก็ตกลงทุกวันๆ
เหตุผลที่อยากลงทุนทำเว็บนั้นก็ง่ายมากเห็นคนรวยจากเว็บจากไอทีเยอะและเราก็มีความรู้ด้านนี้พอสมควร
ผมมาสะดุดบทความในเน็ตเกี่ยวกับบัฟเฟตผมไม่รู้จักเค้าเลยแต่เห็นชื่อเค้าต่อมาจาก billgate ตลอด พึ่งมารู้ว่าเค้าลงทุนในหุ้นจนรวยก็จากบทความนี้
ผมสะดุดใจคือ ปีเตอร์ลิน อ. ของบัฟเฟต แม่ขาดทุนหุ้นจนหมดตัวอะไรประมาณนี้เค้ายังกล้าลงทุนเลยผมก็มานั่งคิดผมจะกลัวอะไรกำแพงใจผมถูกทำลายลงแล้ว ศึกษามันอย่างจริงจังดีกว่าบวกกับที่ศึกษามาแล้วตั้งแต่เด็กขาดแต่การลองของจริงโอกาสเปิดเพราะผมได้ลองเทรดใน click to win โอ้โหมันง่ายกว่าเล่นเกมอีกแค่ลองให้รู้ว่าซื้อขายอย่างไร (ซื้อตั้งสิบล้านกำไรหลักร้อยเอง) เรื่องดูกราฟพอดูได้ เรื่องบัญชีพอรู้บ้าง เรื่อง pe p/bv ไม่รู้เลย แต่ในบทความได้เขียนวิธีหาหุ้นของบัฟเฟต ได้อธิบายเรื่อง PE P/BV ไว้พอเข้าใจซึ่งผมยึดตามนั้นเป็นแนวหลักแต่ก็มีที่ต่างกันบ้าง
วิกฤตเศรษฐกิจซัดวิกฤตทางบ้านเริ่มก่อตัวเมื่อพ่อไอเป็นเลือด ไม่นานท่านก็เสีย หลังวันพ่อไม่กี่วัน โชคดีที่ผมไม่ไปเรียนต่างจังหวัดนอกจากช่วยแม่ไม่ให้เป็นอัมพาต จะมีซักกี่คนที่ได้กราบเท้าพ่อก่อนท่านเสียในวันพ่อแห่งชาติที่จริงคืนก่อนวันพ่อผมอยู่ในห้องไอซียูพ่อยังพูดได้ยังหัวเราะแม้ไอเป็นเลือดแล้ว มองดูนาฬิกาข้ามผ่านเข้าวันใหม่ "วันพ่อนี้"ผมเอยขึ้นและหยอกพ่อด้วยการกราบเท้าท่านงามๆบนเตียงคนไข้ท่านหัวเราะ ดราม่านอกเรื่องยาวแล้วเข้าเรื่องเลย
รายจ่ายสำคัญ
พอหลังจากนั้นพ่อเสีย ภาระภายในบ้านตกอยู่กับผมทันที
1. ค่า รพ.ประมาณ 400,000 บาท โชคดีพี่สาวลูกคุณลุงแกออกให้ (พี่แกเป็นเจ้าของโรงเรียนไพบูลย์วิทยาที่ อ.ฉวาง และเป็นลูกของคุณลุงที่ผมได้เล่าในตอนแรกที่ต้องรับจ้างถอนหญ้าโรงเรียนในตอนเด็กพอหลังจากพ่อผมจบมาโรงเรียนก็ต้องเลิกไป คุณลุงคนนี้เก็บเงินจนมากพอซื้อมานั้นคือโรงเรียนฉวางสงเคราะห์ในปัจจุบันให้เด็กเรียนฟรีอยู่)
2. ค่างานพระราชทานเพลิงศพ 300,000 บาท อันนี้เท่ากับเงินบริจาคในงานเลย
3.ค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อปี 300,000 บาทได้ โชคดีมีเงินช่วยเหลือจากราชการหลายๆอย่างรวมกันพอดี จบไปปีนั้น
หลังจากนั้นเหตุการณ์เริ่มบังคับให้ผมต้องพยายามหารายได้หลักให้กับครอบครัวเงินที่ตัวเองหามาได้มันก็ 7 หลักอยู่แล้ว บวกกับเงินที่พ่อโอนให้ผมตั้งแต่ก่อนเสียชีวิตอีกก็ 7 หลัก ที่จริงมันไม่มากหรอก
แต่โชคดีที่ผมมีบ้านแล้วไม่ต้องเช่าใคร
รถผมไม่คิดจะซื้อ เพราะพ่อผมตอนเรียนมหาลัยเชียงใหม่เป็นรุ่นแรกด้วย(มช07)และตอนทำงานใหม่ๆตอนนั้นท่านไม่ใช้คน งก อย่างนี้ ด้วยความที่ทางบ้านรวยมากจึงไม่ต่างกับเด็กเดี๊ยวนี้ที่ใช้เงินฟุ่มเฟื่อย ใช้รถราคาแพงแต่พอมาทำงานหาเงินเองถึงได้รู้ว่าต้องประหยัด และสุดท้ายพอเลิกใช้รถยนตร์เงินก็เก็บได้มากขึ้นค่าน้ำมัน ค่าซ่อม ค่าบำรุง เงินทั้งนั้นเก็บเงินได้มากขึ้นหลังเลิกใช้รถ นี้แหละจุดสำคัญขนาดไม่ได้ซื้อรถแบบผ่อนค่าใช้จ่ายยังมากถ้าต้องผ่อนด้วยแบบคนสมัยนี้ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง
มือถือพอพ่อผมตายผมเลิกใช้ประหยัดไปได้ นสพ ผมไม่รับอ่านเอาในเน็ต
แม่มีเบอร์หลายเบอร์ผมขอให้เหลือเบอร์เดียว
แล้วเอาเงินมาซื้อหุ้นกว่าจะจัดการเรื่องต่างๆเสร็จก็เข้าเดือนกุมภาปี2552 ทำเรื่องเปิดบัญชีด้วยความไม่รู้เรื่องของผมดันเอาบัีญชีและหรือไปให้โบรกทำเรื่องเอกสารกันอยู่ตั้งนานพอดีผมเข้าซื้อขายได้ในวันแรกของเดือนมีนาพอดี หุ้นมันก็เริ่มขึ้นแล้ว กำไรจากหุ้นและเงินปันผลก็มากอยู่
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ รายจ่ายที่ผมลดทั้งหมดแล้วก็ต้องมาหนักจากบ้านที่เก่าต้องซ่อมแซมสรุปเป็นอีกปีที่ผมต้องจ่ายเงิน 1,000,000 บาทแต่มันก็ลงกับบ้านครึ่งนึงค่าใช้จ่ายอื่นด้วยซึ่งผมมองว่าคุ้มค่าและมันยังจ่ายไหวเพราะน้อยกว่าที่ได้มาและซ่อมทีเดียวอยู่ยาวเกิน 10 ปี
และคิดว่าปีนี้จะเก็บได้เยอะขึ้น ที่ไหนได้แม่เป็นมะเร็งต้องผ่าตัดซึ่งผมโดนไป 200,000 กว่าบาทโชคดีที่ได้เครดิตภาษีของปีที่แล้วช่วยไว้ได้บ้าง นอกนั้นกำไรในหุ้นก็มากอยู่ยังพอทนและได้เอาเงินไปลงทุนในที่ดินบ้างแล้ว
จมูกต้องไว
ผมเริ่มเอาเงินไปลงทุนด้านอื่นบ้างแล้วเพราะถ้าซื้อหุ้นที่ราคานี้ผมทำใจซื้อไม่ไหวเลยเอาไปลงกับที่ดิน
ไม่น่าเชื่อหม่อมอุ๋ยออกมาพูดว่านักลงทุนเริ่มโยกเงินมาซื้อที่บ้างแล้ว
นี้เป็นบทเรียนล่าสุดของผมถ้าอยากยืนอยู่ในวงการธุรกิจเงินโยกไปทางไหนต้องตามให้ทันต้องรู้
ที่จริงผมก็ไม่รู้ว่ามีคนอื่นคิดแบบผมอีกหรือเปล่าที่โยกเงินไปลงทุนในที่ดินบ้างแล้วท่านถึงออกมาพูดแบบนี้ หรือพอดีตอนอยู่ที่กรมที่ดินพี่เจ้าของที่ชวนคุยเรื่องเงินว่าผมเอามาจากไหน แล้ว สส.ของที่นั้นเข้ามาทำธุระของท่านพอดีเลยได้ฟัง
ผมเรียนในโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนเยอะมากย้ำว่าเยอะมาก อยู่ๆเพื่อนสนิทคนนึงของผมก็อยากทำการไร้ท์ซีดีเพลงขายไปไรท์เพลงจากแผ่นผีนี้แหละทำแล้วเจ๊งเลยเลิกไป ผมก็บอกงั้นผมขอทำนะมันยินดีอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่ออยู่ๆพอรู้กันว่าผมทำเท่านั้นแหละเพื่อนมันฝากไร้ท์กันเยอะมาก ตอนแรกผมกะจะหาซื้อแผ่นมาเป็นต้นฉบับที่ไหนได้เพื่อนมันมีคนซื้อมาแล้วบอกว่าถ้าคนอื่นยืมแผ่นมันทั้งไม่ได้คืนทั้งกลับมาก็เสียเลยทำให้เกิด คนคิดแบบนี้กันเยอะมากและตอนนั้นเพื่อนที่ไร้ท์เป็นมันไม่มีเลยผมซื้อ cd ไร้ท์เกรด A ไว้เยอะด้วยก็ลงทุนนิซื้อเยอะเลยได้ราคาถูกคอมก็เก่าแล้วเปลี่ยนแค่เครื่องไร้ท์แถมเพื่อนกันผมเอาแค่ 20 ไม่น่าเชื่อคนสั่งกันกระจาย เพราะใครก็ยอมจ่ายเพราะทุกคนคิดว่าเอาซื้อ 20 ถูกกว่าไปซื้อของปลอมแถมไม่ต้องมานั่งทะเลาะเรื่องคืนยัง ยังไม่คืน แผ่นดูเสร็จ ใช้เสร็จแทบโยนทิ้งกันเลย บางคนฉลาดเอาไปขายต่อบอกต่อรุ่นน้อง เอาไปขายต่อแถวบ้านอีก ตอนนั้นผมทำเล่นๆ กลับบ้านแทบไม่ได้นอนซักคืนมันขยายขนาดที่ผมเองไม่อาจคาดคิดเลยที่จริงเงินที่ได้ไม่ได้มากไปกว่าทำงานเงินเดือนแค่ผมยังไม่มีค่าใช้จ่ายเลยเก็บอย่างเดียวทำอยู่ 3 ปี เห็นอะไรก็มาก เพื่อนบ้างคนไปเปิดโต๊ะแทงบอลในห้องเสียบ้างได้บ้างสุดท้ายได้หลักหมื่น เพื่อนบ้างคนเปิดเหมือนบ่อนเลยกลางโรงเรียนท้าทายมาก มันโชว์เงินให้ดูแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบเป็นกำมือแต่สุดท้ายเรียนไม่จบถูกไล่ออก เพื่อนบางคนค้ายาเงินนี้ได้ชนิดอู้ฟู่เลย แต่มันเล่นเองด้วยไม่เหลือ เงินได้มาง่ายเลยใช้กันสนุกมือ มือถือเครื่องละหมื่นหายในผับได้ทุกวัน บางคนลูกนักการเมืองแต่งรถแข่งตอนกลางคืน กินรถกันอะไรก็ไม่รู้ผมไม่กล้าถามมากแต่เค้าบอกขับแบบเค้าก็ได้เงินถ้าเค้ามีเงินแต่งรถได้ขนาดนั้นคงได้เยอะอยู่ผมไม่รู้นะอันนี้สนิทกันไม่มาก ไม่กล้าถาม แถมผมไม่เที่ยวกลางคืนเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไ่หร่
ก่อนผมจะจบรุ่นน้องมีมารุมกันโอ้โหพยายามให้ผมทำต่อผมก็บอกเทคนิคไปเยอะ การลดต้นทุนการหาต้นฉบับไม่รู้ทำต่อรึเปล่า
แต่ตอนนี้คงไม่คุ้มเพราะพอผมจบได้ไม่เท่าไหร่ก็มี bit torrent เกิดขึ้น คนเลยดาวโหลดกันเองเลยทีนี้
พอจบมาเข้ามหาลัยผมเลือกเรียนรามตามที่พ่อขอไม่ให้ไปเรียนมหาลัยที่เอ็นติดเพราะไกลและอื่นๆอันเป็นเหตุผลเกี่ยวกับการทะเลาะกันของพี่น้องเรื่องมรดก ทั้งที่พ่อผมไม่เอามรดกติดตัวมาซักอย่าง พวกพี่น้องพ่อก็มีบางคนเข้าใจผิด บางคนรู้ บางคนระแวง เอาเป็นว่าผมไม่ควรไป และถ้าผมอยู่ตรงกรุงเทพพ่อแม่สบายใจมากกว่าเพราะพี่ชายก็เป็นทหารแยกไปอยู่คอนโดของนายทหารคนเดียวไปแล้วเหลือแต่ผมที่จะดูแลท่าน ด้วยท่านมีผมตอน 40กว่าๆ พอผมเรียนจบท่านก็เกษียณพอดีท่านกะไว้แบบนั้น
ในระหว่างเรียนรามซึ่งผมยังไม่เคยไปเรียนเลยไปแต่สอบทำให้ผมว่างมากและคณะที่เลือกเรียนคือบริหารการบัญชีผมเลยได้เรียนรู้เรื่องบัญชีและภาษีเลยพยายามต่อยอดความรู้ในเน็ตหาเองว่างจัดเลยเข้าใจในหลายเรื่อง(แต่เรื่องบัญชีนี้บอกตามตรงยังอ่อนมากสอบไม่ผ่านเลยเปลี่ยนไปการตลาดแทน) และได้ลองความรู้ด้วยการบอกพ่อว่าพ่อกรขอลองวิชาเครดิตภาษีนะ ผมเลยขอเงินจากการเครดิตภาษีจากพ่อนะถ้าผมทำเงินได้พ่อให้พร้อมหัวเราะผมเริ่มทำตามที่อ่านมาคือไปธนาคารขอหลักฐานหักภาษีจากเงินฝากประจำซึ่งพ่อผมท่านไปด้วยเวลายื่นภาษีทุกอย่างตามขั้นตอน รอหลายเดือนได้เงินมาหลายพันเลย พ่อหัวเราะพร้อมชมว่าเก่ง และผมก็ทำแบบเดียวกันกับเงินในบัญชีของพี่ชาย นั้นก็เป็นอีกรายได้หนึ่งของผม แต่รายได้หลักที่เคยได้จากซีดีผมไม่มีแล้วเคว้งอยู่พักโชคเข้าข้างเจ้านายเก่าน้าไปทำรายการสารคดีโทรทัศน์ต้องการไร้ท์ซีดีรายการเพื่อการกุศล(เอาไปแจกโรงเรียนต่างๆ) ออร์เดอร์มากๆมาอีกแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกแล้วแถมแน่นอนด้วยว่าจะมีรายได้อย่างนี้ทั้งปีทำได้ปีนึง(รายได้ถูกหักภาษี ณ.ที่จ่าย) ด้วยรายการหมดสัญญาเจ้านายน้าไม่ทำต่อผมก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย...
แต่ผมก็มีเงินเยอะพอสมควรแล้วละหลังจากนั้นก็มีรายได้เล็กน้อยเล็กน้อยเข้ามาเรื่อยๆแต่น้อยมากโชคดีที่ไม่มีรายจ่าย เรื่องเรียนตอนนั้นผมท้อพอสมควรขนาดย้ายมาการตลาดมาเจอข้อสอบถามว่าบริษัทที่เชิญมาในห้องเรียนควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร อ้าวเราไม่เคยเข้าห้องเรียนเลยอ่านเอาแต่ในหนังสือเจออย่างนี้หลายตัวเลยตอนนั้นเครียดมากว่าเอ้เราเรียนรามจบช้าหางานไม่ได้แน่เลย แถมคงต้องย้ายคณะเพราะไม่สะดวกที่จะไปเรียน ตอนนั้นพ่อเริ่มไม่สบายมากแล้ว แม่ก็เกือบอัมพาตโชคดีที่ผมช่วยส่งโรงพยาบาลได้ทัน ถัดมาอีกปีหลังจากย้ายคณะเพื่อนๆที่เข้ามาพร้อมกันไม่เหลือเลยเลิกเรียนกันไปหมดผมก็ย้ายมารัฐศาสตร์ทั้งที่จริงการบัญชี การตลาดผมอ่านมันหมดแล้วทุกเล่มนั้นแหละ พอมารัฐศาสตร์เวลาเหลืออื้อเลย ผมผ่านได้ทุกวิชาอย่างง่ายๆยกเว้นกฎหมายปกครองติดมันอยู่นั้นแหละพึ่งผ่านเมื่อเทอมก่อนหน้านี้เองต้องไปเรียนพิเศษพี่มันก็บอกตั้งแต่วิชาบัญชีแล้วว่าให้ไปเรียนผมไม่มีเวลาเอง
และเกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นเมื่อผมเช่าพระเครื่องของ ลพ คูณ มาทั้งที่ไม่ได้รู้จักท่านหรือดูพระเป็นเลยแค่อยากลองเช่าพระผ่านเน็ต แถมคนขายก็บอกไม่ใช่รุ่นนิยมราคาถูกมาก (คือจะดูว่าค้าขายผ่านเน็ตทำยังไงเลยลองเป็นผู้ซื้อก่อน) ในวันที่ได้รับผมหลับฝันเห็นข้างทีวีมีอะไรตัวเล็กๆนึกว่าจิ้งจกแต่ไม่ใช่นั้นคือ ลพ คูณ (อาจไม่ใช่ท่านเองก็ได้อาจเป็นเทวดาหรือใครก็ตามแต่แปลงมารูปนั้นผมไม่รู้หรืออาจเป็นความเห่อของผมที่เก็บไปฝันเองก็ได้) และท่านก็พูดบางอย่างกับผมเป็นข้อความยาวมาก แต่ผมจะไม่เล่าทั้งหมดนะเอาเท่าที่ท่านพูดแล้วเกิดขึ้นแล้วพอละกัน เดียวจะกลายเป็นประเด็นไม่ต้องถามผมไม่เล่า "ท่านบอกเศรษฐกิจจะตกต่ำ หุ้นจะตก อย่าเล่นหุ้น" แค่นี้พอนะนอกนั้นมันยังไม่เกิดผมขอเก็บไว้เชื่อคนเดียวพอ ผมลงไปเล่าพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องที่ฝัน พ่อแม่หัวเราะบอกมันเพ้อไปแล้ว ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่เกินอาทิตย์หุ้นตกอย่างหนักจากวิกฤตของสหรัฐที่เราพึ่งผ่านกันมานั้นแหละ พ่อแม่ผมตกใจใหญ่เลยไม่คิดว่าจะเกิดจริง
และตั้งแต่เด็กมาจากที่แม่เล่าผมเคยจับหวยให้ยายชื่อปรากฎว่าถูกรางวัล ผมเริ่มคิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงต้องมีดวงเข้ามาเกี่ยวบ้าง ยิ่งถ้าใครได้ใกล้ชิดจะรู้ว่าหลายครั้งในชีวิตของผมมันดวงแท้ๆ
วิกฤติมันต้องมีโอกาส
ในช่วงนั้นผมได้ดาวโหลดหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาหลายเล่มเลยจากbittorrent เพราะคิดว่าวิกฤติมันต้องมีโอกาส ผมอ่านเยอะมากสุดท้ายการเป็นคนรวยนั้นสรุปก็คือ
1. เข้าถือครองสินทรัพย์ที่มีอยู่อยู่อย่างจำกัด
2. ค้าขายในสินค้าที่ไม่ถูกกดราคา กำไรมากขายน้อย กับกำไรน้อยขายมาก
3. ใช้เวลาผลิตน้อย ผลิตงานออกมาได้มากแล้วขายมันออกไป (โรงงาน)
4. ใช้เงินทำงานแทน
จากบทความใช้เงินทำงานแทนเค้าได้อธิบายเรื่องหุ้นซึ่งผมกลัวมันมากเพราะญาติพี่น้องทุกคนกลัวหุ้นกันหมดแถมถูกปลูกฝั่งให้กลัวหุ้นมาแต่เด็ก
มันทำลายกำแพงใจลงได้บ้างแต่ยังไม่มากพอให้เข้าลงทุน
ผมเลยพยายามศึกษาในตอนแรกผมมีโปรเจ็คจะลงทุนเปิดเว็บไซท์ซึ่งโอกาสขาดทุนสูง กำไรต่ำแต่สังคมจะดีขึ้น ด้วยความพยายามให้เพื่อนทำแล้วก็ไม่เสร็จ ไปจ้างคนเขียนเว็บแล้วก็ไม่เสร็จเหมือนดวงไม่ให้ทำ เงินในบัญชีเลยกองอยู่อย่างนั้นไม่ได้ใช้อะไร จะซื้อทองก็ไม่มีปัญญารักษาดูแล(กล้วโจร) เลยได้แต่ศึกษาข่าวหุ้นก็ตกลงทุกวันๆ
เหตุผลที่อยากลงทุนทำเว็บนั้นก็ง่ายมากเห็นคนรวยจากเว็บจากไอทีเยอะและเราก็มีความรู้ด้านนี้พอสมควร
ผมมาสะดุดบทความในเน็ตเกี่ยวกับบัฟเฟตผมไม่รู้จักเค้าเลยแต่เห็นชื่อเค้าต่อมาจาก billgate ตลอด พึ่งมารู้ว่าเค้าลงทุนในหุ้นจนรวยก็จากบทความนี้
ผมสะดุดใจคือ ปีเตอร์ลิน อ. ของบัฟเฟต แม่ขาดทุนหุ้นจนหมดตัวอะไรประมาณนี้เค้ายังกล้าลงทุนเลยผมก็มานั่งคิดผมจะกลัวอะไรกำแพงใจผมถูกทำลายลงแล้ว ศึกษามันอย่างจริงจังดีกว่าบวกกับที่ศึกษามาแล้วตั้งแต่เด็กขาดแต่การลองของจริงโอกาสเปิดเพราะผมได้ลองเทรดใน click to win โอ้โหมันง่ายกว่าเล่นเกมอีกแค่ลองให้รู้ว่าซื้อขายอย่างไร (ซื้อตั้งสิบล้านกำไรหลักร้อยเอง) เรื่องดูกราฟพอดูได้ เรื่องบัญชีพอรู้บ้าง เรื่อง pe p/bv ไม่รู้เลย แต่ในบทความได้เขียนวิธีหาหุ้นของบัฟเฟต ได้อธิบายเรื่อง PE P/BV ไว้พอเข้าใจซึ่งผมยึดตามนั้นเป็นแนวหลักแต่ก็มีที่ต่างกันบ้าง
วิกฤตเศรษฐกิจซัดวิกฤตทางบ้านเริ่มก่อตัวเมื่อพ่อไอเป็นเลือด ไม่นานท่านก็เสีย หลังวันพ่อไม่กี่วัน โชคดีที่ผมไม่ไปเรียนต่างจังหวัดนอกจากช่วยแม่ไม่ให้เป็นอัมพาต จะมีซักกี่คนที่ได้กราบเท้าพ่อก่อนท่านเสียในวันพ่อแห่งชาติที่จริงคืนก่อนวันพ่อผมอยู่ในห้องไอซียูพ่อยังพูดได้ยังหัวเราะแม้ไอเป็นเลือดแล้ว มองดูนาฬิกาข้ามผ่านเข้าวันใหม่ "วันพ่อนี้"ผมเอยขึ้นและหยอกพ่อด้วยการกราบเท้าท่านงามๆบนเตียงคนไข้ท่านหัวเราะ ดราม่านอกเรื่องยาวแล้วเข้าเรื่องเลย
รายจ่ายสำคัญ
พอหลังจากนั้นพ่อเสีย ภาระภายในบ้านตกอยู่กับผมทันที
1. ค่า รพ.ประมาณ 400,000 บาท โชคดีพี่สาวลูกคุณลุงแกออกให้ (พี่แกเป็นเจ้าของโรงเรียนไพบูลย์วิทยาที่ อ.ฉวาง และเป็นลูกของคุณลุงที่ผมได้เล่าในตอนแรกที่ต้องรับจ้างถอนหญ้าโรงเรียนในตอนเด็กพอหลังจากพ่อผมจบมาโรงเรียนก็ต้องเลิกไป คุณลุงคนนี้เก็บเงินจนมากพอซื้อมานั้นคือโรงเรียนฉวางสงเคราะห์ในปัจจุบันให้เด็กเรียนฟรีอยู่)
2. ค่างานพระราชทานเพลิงศพ 300,000 บาท อันนี้เท่ากับเงินบริจาคในงานเลย
3.ค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อปี 300,000 บาทได้ โชคดีมีเงินช่วยเหลือจากราชการหลายๆอย่างรวมกันพอดี จบไปปีนั้น
หลังจากนั้นเหตุการณ์เริ่มบังคับให้ผมต้องพยายามหารายได้หลักให้กับครอบครัวเงินที่ตัวเองหามาได้มันก็ 7 หลักอยู่แล้ว บวกกับเงินที่พ่อโอนให้ผมตั้งแต่ก่อนเสียชีวิตอีกก็ 7 หลัก ที่จริงมันไม่มากหรอก
แต่โชคดีที่ผมมีบ้านแล้วไม่ต้องเช่าใคร
รถผมไม่คิดจะซื้อ เพราะพ่อผมตอนเรียนมหาลัยเชียงใหม่เป็นรุ่นแรกด้วย(มช07)และตอนทำงานใหม่ๆตอนนั้นท่านไม่ใช้คน งก อย่างนี้ ด้วยความที่ทางบ้านรวยมากจึงไม่ต่างกับเด็กเดี๊ยวนี้ที่ใช้เงินฟุ่มเฟื่อย ใช้รถราคาแพงแต่พอมาทำงานหาเงินเองถึงได้รู้ว่าต้องประหยัด และสุดท้ายพอเลิกใช้รถยนตร์เงินก็เก็บได้มากขึ้นค่าน้ำมัน ค่าซ่อม ค่าบำรุง เงินทั้งนั้นเก็บเงินได้มากขึ้นหลังเลิกใช้รถ นี้แหละจุดสำคัญขนาดไม่ได้ซื้อรถแบบผ่อนค่าใช้จ่ายยังมากถ้าต้องผ่อนด้วยแบบคนสมัยนี้ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง
มือถือพอพ่อผมตายผมเลิกใช้ประหยัดไปได้ นสพ ผมไม่รับอ่านเอาในเน็ต
แม่มีเบอร์หลายเบอร์ผมขอให้เหลือเบอร์เดียว
แล้วเอาเงินมาซื้อหุ้นกว่าจะจัดการเรื่องต่างๆเสร็จก็เข้าเดือนกุมภาปี2552 ทำเรื่องเปิดบัญชีด้วยความไม่รู้เรื่องของผมดันเอาบัีญชีและหรือไปให้โบรกทำเรื่องเอกสารกันอยู่ตั้งนานพอดีผมเข้าซื้อขายได้ในวันแรกของเดือนมีนาพอดี หุ้นมันก็เริ่มขึ้นแล้ว กำไรจากหุ้นและเงินปันผลก็มากอยู่
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ รายจ่ายที่ผมลดทั้งหมดแล้วก็ต้องมาหนักจากบ้านที่เก่าต้องซ่อมแซมสรุปเป็นอีกปีที่ผมต้องจ่ายเงิน 1,000,000 บาทแต่มันก็ลงกับบ้านครึ่งนึงค่าใช้จ่ายอื่นด้วยซึ่งผมมองว่าคุ้มค่าและมันยังจ่ายไหวเพราะน้อยกว่าที่ได้มาและซ่อมทีเดียวอยู่ยาวเกิน 10 ปี
และคิดว่าปีนี้จะเก็บได้เยอะขึ้น ที่ไหนได้แม่เป็นมะเร็งต้องผ่าตัดซึ่งผมโดนไป 200,000 กว่าบาทโชคดีที่ได้เครดิตภาษีของปีที่แล้วช่วยไว้ได้บ้าง นอกนั้นกำไรในหุ้นก็มากอยู่ยังพอทนและได้เอาเงินไปลงทุนในที่ดินบ้างแล้ว
จมูกต้องไว
ผมเริ่มเอาเงินไปลงทุนด้านอื่นบ้างแล้วเพราะถ้าซื้อหุ้นที่ราคานี้ผมทำใจซื้อไม่ไหวเลยเอาไปลงกับที่ดิน
ไม่น่าเชื่อหม่อมอุ๋ยออกมาพูดว่านักลงทุนเริ่มโยกเงินมาซื้อที่บ้างแล้ว
นี้เป็นบทเรียนล่าสุดของผมถ้าอยากยืนอยู่ในวงการธุรกิจเงินโยกไปทางไหนต้องตามให้ทันต้องรู้
ที่จริงผมก็ไม่รู้ว่ามีคนอื่นคิดแบบผมอีกหรือเปล่าที่โยกเงินไปลงทุนในที่ดินบ้างแล้วท่านถึงออกมาพูดแบบนี้ หรือพอดีตอนอยู่ที่กรมที่ดินพี่เจ้าของที่ชวนคุยเรื่องเงินว่าผมเอามาจากไหน แล้ว สส.ของที่นั้นเข้ามาทำธุระของท่านพอดีเลยได้ฟัง
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 7
อย่ายอมแพ้
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 8
อ่านประสบการณ์ชีวิตพี่ hsf แล้ว ผมชิดซ้ายเลยครับ
แม้นิสัยเกี่ยวกับการใช้เงินจะเหมือนกันตรงที่ ไม่เคยเอาเงินเก็บมาใช้เลยตั้งแต่เด็กจนบัดนี้ แต่เมื่อเทียบกันในช่วงที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ผมมีรายได้พิเศษจากทุนเรียนดี จากการเป็นผู้ช่วยสอนในมหาลัย ไม่เคยได้หารายได้พิเศษอื่นๆด้วยตัวเองเลย เพราะไม่เคยคิดว่าจะทำงานพิเศษอะไร รวมถึงฐานะทางบ้านถึงไม่รวย แต่ก็ไม่ได้กดดันเหมือนของพี่ hsf ผมเลยชิวมากเกินไป เสียโอกาสไปไม่น้อย :oops:
แม้นิสัยเกี่ยวกับการใช้เงินจะเหมือนกันตรงที่ ไม่เคยเอาเงินเก็บมาใช้เลยตั้งแต่เด็กจนบัดนี้ แต่เมื่อเทียบกันในช่วงที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ผมมีรายได้พิเศษจากทุนเรียนดี จากการเป็นผู้ช่วยสอนในมหาลัย ไม่เคยได้หารายได้พิเศษอื่นๆด้วยตัวเองเลย เพราะไม่เคยคิดว่าจะทำงานพิเศษอะไร รวมถึงฐานะทางบ้านถึงไม่รวย แต่ก็ไม่ได้กดดันเหมือนของพี่ hsf ผมเลยชิวมากเกินไป เสียโอกาสไปไม่น้อย :oops:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- killyX
- Verified User
- โพสต์: 223
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 9
คนจะแกร่งได้เพราะมีอุปสรรค ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ขอให้อย่ายอมแพ้
ผมก็เป็นรุ่นน้อง มช เช่นกันครับ จนป่านนี้ยังคิดจะมีรถ ไม่อยากมีภาระ
เพื่อนๆ ผ่อนรถป้ายแดง บางคนผ่อนบ้านกัน 30 ปี
ที่ผมสนใจเรื่องหุ้น เพราะมีข้อจำกัดทางศาสนา ที่ห้ามกินดอกเบี้ย
หนทางที่จะหา passive income ก็มีเงินปันผลจากบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย และ เงินค่าเช่า
ผมก็เป็นรุ่นน้อง มช เช่นกันครับ จนป่านนี้ยังคิดจะมีรถ ไม่อยากมีภาระ
เพื่อนๆ ผ่อนรถป้ายแดง บางคนผ่อนบ้านกัน 30 ปี
ที่ผมสนใจเรื่องหุ้น เพราะมีข้อจำกัดทางศาสนา ที่ห้ามกินดอกเบี้ย
หนทางที่จะหา passive income ก็มีเงินปันผลจากบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย และ เงินค่าเช่า
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
- SupachaiZ594
- Verified User
- โพสต์: 834
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 10
เชื่อจริง ๆ แล้วว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข
เยี่ยมมากครับ ท่าน HSF
ว่า HSF นี่ย่อจากอะไรครับ
เยี่ยมมากครับ ท่าน HSF
ว่า HSF นี่ย่อจากอะไรครับ
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1232
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 11
แชทบอทสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.chathoon.com/
https://www.chathoon.com/
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณทุกท่านมากครับที่อุตส่าเข้ามาอ่าน
ที่จริงผมเล่าไม่ครบนะครับบ้างเรื่องบางงานเล่าไม่ได้มันกระทบคนอื่นเกินไปหรือลืมพึ่งคิดออกหลงจากพิมพิ์เสร็จไปแล้วขี้เกียจกลับไปเล่า
และที่ผมทำมาทั้งหมดก็แค่เอาจากสิ่งที่ได้ฟังได้เห็นเอามาปรับใช้ซึ่งคงมีคนอื่นอีกที่อาจหาได้มากกว่าผมและอายุน้อยกว่าผม
ขนาดเพื่อนรุ่นเดียวกันผมตอนเด็กๆประมาณ ป.4 ก็มีบางคนมีเงินเก็บเกินกว่าผมในตอนอายุเท่ากันแต่เค้าบอกเก็บจากอังเป่าอะไรประมาณนั้น
หรืออีกคนเรียนไม่จบมัธยมปลายมาเจออีกทีเมื่อไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นอาเสี่ยไปแล้วหน้าแก่กว่าผมมากเลยเค้าบอกพ่อสั่งให้มาขับรถแท็กซี่ของอู่ตัวเองและดูแลอู่ด้วยพร้อมกับให้ดูแลปั๊มน้ำมันของพ่อด้วยไม่รู้มีเงินขนาดไหน แต่ตอนที่เจอคือเค้าพยายามหาที่จะแอบมาเปิดปั๊มของตัวเอง เงินอยู่ในกระเป๋าเบาะหลังแบงค์พันเต็มชนิดล้นกระเป๋าต้องเอาเสื้อมาคลุมกระเป๋าอีกทีเค้าบอกต้องคอยไปเก็บเงินจากอู่ต่างๆของพ่อเงินพวกนั้นเค้าต้องเก็บให้พ่อ ผมก็บอกจะเย็นแล้วไม่รีบไปเอาเข้าธนาคารหรือ เพื่อนหลุดมาว่าไม่มีบัญชีธนาคารใส่ตู้เซฟเอา ทำหน้าเขินๆเหมือนเปิดไม่เป็น
เพราะฉะนั้นเงินที่ไม่ได้อยู่ในระบบธนาคารยังมีอีกเยอะ คนที่มีเงินมากๆยังมีอีกเยอะ
แต่จากที่เพื่อนเล่ามาพ่อเค้าเก่งกว่าผมอีกหลายเท่าเลยกว่าเค้าจะรวยแถมพวกนี้เค้าต้องสู้ชีวิตมากกว่าผมหลายเท่า ของผมมันเหมือนโชคช่วยด้วย
ให้ไปทำงานกินเงินเดือนแข่งกับคนอื่นผมคงทำได้ไม่ดี หรือไปยืนขายของตามร้านค้าก็อาจขายไม่เก่งก็ได้
ปล. HSF ย่อมาจาก Hack Super Fast คือผมตั้งเล่นๆ ตอนเด็กๆ พอดีสนใจเรื่องการHack ข้อมูลนิดหน่อยแต่ยังไม่ได้มีความรู้อะไรเท่าไหร่หรอกมีแต่เอาโปรแกรมต่างๆ มาลองเล่น เพราะกลัวคนอื่นมาทำเรา เราเลยต้องรู้ได้กันไว้ก่อนแถมในยุคนั้นข้อมูลเรื่องพวกนี้น้อยมากเลย และตอนนี้ไม่ได้ทวนความจำแทบจำไม่ได้แล้ว(ความจริงการใช้โปรแกรมต่างๆพวกนี้แบบผมจะจัดอยู่ในพวกที่ต่ำกว่า Hacker Hackerจริงต้องเขียนโปรแกรมเองได้) ตอน ม.ต้นเคย บ้าสะสมไวรัสคอมไว้ในแผ่น floopydiskเวลาไปช่วยซ่อมคอมใครหรือมีไฟล์ที่ติดไวรัสจากเพื่อนผมจะรีบเก็บไวรัสไว้กะว่าพอตอนโตเรียนมหาลัยด้านนี้มีความรู้แล้วได้ลองถอดโปรแกรมดูว่าแต่ละตัวมันเขียนมายังไง เวลาเล่นเว็บบอร์ดเกือบทุกที่ถ้าไม่ใช้ชื่อจริงก็ใส่ตัวย่ออันนี้มาตลอด การที่ผมศึกษาเรื่องพวกนี้มาทำให้ผมไม่ใช้บริการทางการเงินผ่านเว็บไซท์พวก e-banking มีเพียงเรื่องเทรดหุ้นอย่างเดียว เพราะกลัวมาก จะถอนจะฝากจะโอนอะไรจะทำที่แบงค์อย่างเดียว และก็ จากที่เล่าแหละผมเอ็นติดวิทยาการคอมแต่ไม่ได้ไปมาเรียนรามวิชาสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วรอสภาคณะอนุมัติลงแบบไม่ได้มีที่ปรึกษายังกลัวเก็บไม่ครบอยู่เลยยื่นเรื่องก็ช้าดันเฝ้าหุ้นเพลิน พอจะไปม็อบก็มา ประกันทำไว้อ่านดูกรมธรรมเหมือนไม่ได้คุ้มครองไม่อยากเสี่ยง เลี่ยงไม่ออกจากบ้านดีกว่า พวกเพื่อนๆแม่เล่นบินหนีกันไปเมืองนอกหมด พวกน้าๆโทรมาบอกให้รีบตุนทอง นั่งหลบดูข่าวจากในบ้านอย่างเดียว ยังขำตัวเองไม่หายเลย
ที่จริงผมเล่าไม่ครบนะครับบ้างเรื่องบางงานเล่าไม่ได้มันกระทบคนอื่นเกินไปหรือลืมพึ่งคิดออกหลงจากพิมพิ์เสร็จไปแล้วขี้เกียจกลับไปเล่า
และที่ผมทำมาทั้งหมดก็แค่เอาจากสิ่งที่ได้ฟังได้เห็นเอามาปรับใช้ซึ่งคงมีคนอื่นอีกที่อาจหาได้มากกว่าผมและอายุน้อยกว่าผม
ขนาดเพื่อนรุ่นเดียวกันผมตอนเด็กๆประมาณ ป.4 ก็มีบางคนมีเงินเก็บเกินกว่าผมในตอนอายุเท่ากันแต่เค้าบอกเก็บจากอังเป่าอะไรประมาณนั้น
หรืออีกคนเรียนไม่จบมัธยมปลายมาเจออีกทีเมื่อไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นอาเสี่ยไปแล้วหน้าแก่กว่าผมมากเลยเค้าบอกพ่อสั่งให้มาขับรถแท็กซี่ของอู่ตัวเองและดูแลอู่ด้วยพร้อมกับให้ดูแลปั๊มน้ำมันของพ่อด้วยไม่รู้มีเงินขนาดไหน แต่ตอนที่เจอคือเค้าพยายามหาที่จะแอบมาเปิดปั๊มของตัวเอง เงินอยู่ในกระเป๋าเบาะหลังแบงค์พันเต็มชนิดล้นกระเป๋าต้องเอาเสื้อมาคลุมกระเป๋าอีกทีเค้าบอกต้องคอยไปเก็บเงินจากอู่ต่างๆของพ่อเงินพวกนั้นเค้าต้องเก็บให้พ่อ ผมก็บอกจะเย็นแล้วไม่รีบไปเอาเข้าธนาคารหรือ เพื่อนหลุดมาว่าไม่มีบัญชีธนาคารใส่ตู้เซฟเอา ทำหน้าเขินๆเหมือนเปิดไม่เป็น
เพราะฉะนั้นเงินที่ไม่ได้อยู่ในระบบธนาคารยังมีอีกเยอะ คนที่มีเงินมากๆยังมีอีกเยอะ
แต่จากที่เพื่อนเล่ามาพ่อเค้าเก่งกว่าผมอีกหลายเท่าเลยกว่าเค้าจะรวยแถมพวกนี้เค้าต้องสู้ชีวิตมากกว่าผมหลายเท่า ของผมมันเหมือนโชคช่วยด้วย
ให้ไปทำงานกินเงินเดือนแข่งกับคนอื่นผมคงทำได้ไม่ดี หรือไปยืนขายของตามร้านค้าก็อาจขายไม่เก่งก็ได้
ปล. HSF ย่อมาจาก Hack Super Fast คือผมตั้งเล่นๆ ตอนเด็กๆ พอดีสนใจเรื่องการHack ข้อมูลนิดหน่อยแต่ยังไม่ได้มีความรู้อะไรเท่าไหร่หรอกมีแต่เอาโปรแกรมต่างๆ มาลองเล่น เพราะกลัวคนอื่นมาทำเรา เราเลยต้องรู้ได้กันไว้ก่อนแถมในยุคนั้นข้อมูลเรื่องพวกนี้น้อยมากเลย และตอนนี้ไม่ได้ทวนความจำแทบจำไม่ได้แล้ว(ความจริงการใช้โปรแกรมต่างๆพวกนี้แบบผมจะจัดอยู่ในพวกที่ต่ำกว่า Hacker Hackerจริงต้องเขียนโปรแกรมเองได้) ตอน ม.ต้นเคย บ้าสะสมไวรัสคอมไว้ในแผ่น floopydiskเวลาไปช่วยซ่อมคอมใครหรือมีไฟล์ที่ติดไวรัสจากเพื่อนผมจะรีบเก็บไวรัสไว้กะว่าพอตอนโตเรียนมหาลัยด้านนี้มีความรู้แล้วได้ลองถอดโปรแกรมดูว่าแต่ละตัวมันเขียนมายังไง เวลาเล่นเว็บบอร์ดเกือบทุกที่ถ้าไม่ใช้ชื่อจริงก็ใส่ตัวย่ออันนี้มาตลอด การที่ผมศึกษาเรื่องพวกนี้มาทำให้ผมไม่ใช้บริการทางการเงินผ่านเว็บไซท์พวก e-banking มีเพียงเรื่องเทรดหุ้นอย่างเดียว เพราะกลัวมาก จะถอนจะฝากจะโอนอะไรจะทำที่แบงค์อย่างเดียว และก็ จากที่เล่าแหละผมเอ็นติดวิทยาการคอมแต่ไม่ได้ไปมาเรียนรามวิชาสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วรอสภาคณะอนุมัติลงแบบไม่ได้มีที่ปรึกษายังกลัวเก็บไม่ครบอยู่เลยยื่นเรื่องก็ช้าดันเฝ้าหุ้นเพลิน พอจะไปม็อบก็มา ประกันทำไว้อ่านดูกรมธรรมเหมือนไม่ได้คุ้มครองไม่อยากเสี่ยง เลี่ยงไม่ออกจากบ้านดีกว่า พวกเพื่อนๆแม่เล่นบินหนีกันไปเมืองนอกหมด พวกน้าๆโทรมาบอกให้รีบตุนทอง นั่งหลบดูข่าวจากในบ้านอย่างเดียว ยังขำตัวเองไม่หายเลย
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 17
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 18
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนมียอดคน
สำคัญที่ว่า เราอ่านประสบการณ์ใครคนนั้นแล้ว
มองว่า จะปรับเอาข้อดีของเค้ามาใช้ได้หรือไม่
เหมาะกับเราหรือไม่ เรามีความสนใจแรกเริ่มตรงนั้นหรือไม่
สำคัญกว่าตรงที่ เรารักสิ่งที่ทำหรือเปล่า เพราะถ้าไม่รัก อาจทำได้ไม่ดี
อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างคนก่อนที่ทำ
เรื่องสะสมความมั่งคั่ง ผมมองเป็นกีฬาทำลายสถิติที่จะต้องดีขึ้นทุกปี เอามันส์ มากกว่าคิดถึงเรื่องเกษียณ เท่านี้เองครับ ไม่ได้ห่วงกังวลอะไร
ถ้าเราทำข้างบนด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท ระมัดระวัง เรื่องเกษียณก็หมดห่วง
ไปโดยอัตโนมัติเอง :D
ผมจะไม่ยอมทำอะไร โดยมีจุดเริ่มต้นจากความกลัวเด็ดขาด ผมถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคลกับชีวิต และที่ผ่านมาทุกครั้งที่ผมเริ่มต้นทำอะไรด้วยความกลัว หนังจบแย่ทุกตอนเลยครับ :evil: :evil: :evil:
ฉะนั้น ทุกวันนี้ ผมจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง เมื่อมีความรู้สึกที่อยากทำจริงๆ
ความเชื่อมั่นจะตามมา กำลังใจมันเกิด ความพยายามเอาใจใส่จะตามมาเอง แม้ว่าผลมันยังไม่ออก ก็ยังเชื่อว่าหนังนี้ต้องจบสวยแน่ๆๆ :D
สำคัญที่ว่า เราอ่านประสบการณ์ใครคนนั้นแล้ว
มองว่า จะปรับเอาข้อดีของเค้ามาใช้ได้หรือไม่
เหมาะกับเราหรือไม่ เรามีความสนใจแรกเริ่มตรงนั้นหรือไม่
สำคัญกว่าตรงที่ เรารักสิ่งที่ทำหรือเปล่า เพราะถ้าไม่รัก อาจทำได้ไม่ดี
อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างคนก่อนที่ทำ
เรื่องสะสมความมั่งคั่ง ผมมองเป็นกีฬาทำลายสถิติที่จะต้องดีขึ้นทุกปี เอามันส์ มากกว่าคิดถึงเรื่องเกษียณ เท่านี้เองครับ ไม่ได้ห่วงกังวลอะไร
ถ้าเราทำข้างบนด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท ระมัดระวัง เรื่องเกษียณก็หมดห่วง
ไปโดยอัตโนมัติเอง :D
ผมจะไม่ยอมทำอะไร โดยมีจุดเริ่มต้นจากความกลัวเด็ดขาด ผมถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคลกับชีวิต และที่ผ่านมาทุกครั้งที่ผมเริ่มต้นทำอะไรด้วยความกลัว หนังจบแย่ทุกตอนเลยครับ :evil: :evil: :evil:
ฉะนั้น ทุกวันนี้ ผมจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง เมื่อมีความรู้สึกที่อยากทำจริงๆ
ความเชื่อมั่นจะตามมา กำลังใจมันเกิด ความพยายามเอาใจใส่จะตามมาเอง แม้ว่าผลมันยังไม่ออก ก็ยังเชื่อว่าหนังนี้ต้องจบสวยแน่ๆๆ :D
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 19
[quote="คนคอน"]ขอบคุณครับ สุดยอดจริง ๆ ว่าแต่พี่ Voldtrest เมื่อไหร่จะเล่าประสบการณ์ของพี่บ้างอยากฟังเหมือนกันครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 20
ก้าวแรกของการออมเงินของผมในวัยเด็ก
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมเริ่มตั้งใจออมเงินหยอดกระปุก คือคุณแม่ปฏิเสธไม่ยอมซื้อ LEGO ชุดตะลุยอวกาศ และ ชุดกองเรือโจรสลัด ให้ (ตอนนั้นกล่องละ 4,000 บาท) ประมาณ ป.3-4 ได้มั้ง ในขณะที่คุณพ่อก็ให้เงินแค่ ค่าขนมไปโรงเรียนวันละ 15-20 บาทเอง เราก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้กันวันละ 40-50 บาท เอา GAME BOY มาเล่นโชว์ให้เราตาร้อนเล่น ครั้นจะไปขอให้ที่บ้านซื้ออีก ก็ไม่กล้าขอแล้ว เพราะมักจะถูกตอบกลับมาสั้นๆว่า "อยากได้ก็เก็บเงินซื้อเองสิ" ที่สำคัญคือที่บ้านผม เขาไม่มี merits system แบบว่า ถ้าเราออมได้เท่าไหร่ พ่อ/แม่ จะใส่สมทบเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีบางครอบครัวเอาไปใช้แล้ว
แน่นอนครับ...ความรู้สึกอยากได้ของเล่นยังวนเวียนอยุ่ในใจตลอดเวลา จนทำให้ ผมช่วงนั้นพยายามอดอาหารว่าง เพื่อที่จะให้มีเงินเหลือ 10 บาท ต่อวันเป็นอย่างน้อย จากเดิมที่จะชอบซื้อปีกไก่ทอด 2 ห่อ กลายเป็นซื้อ เพียงห่อเดียว สำหรับเด็กอ้วนน้ำหนักเกินเกณฑ์อย่างผมในเวลานั้น เป็น อะไรที่ทรมาณมากๆ แผนการออมเงินเพื่อซื้อของเล่นทำไปได้ 5 วัน ก็ แพ้ใจตัวเองกลับมาซื้อ 2 ห่อในสัปดาห์ต่อมา แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยายามหาทางที่จะกลับมาออมให้ได้ 10 บาทบ้าง โดยกำหนดกติกาให้ตัวเองว่า ถ้าวันไหนซื้อกิน 2 ห่อ วันต่อไปคือต้องอด (วันที่ซื้อ 2 ห่อ จะเหลือเงินหยอดกระปุก 5 บาท, วันที่อดจะมีเงินในมือ 15 บาท) ซึ่งจะทำให้ผมยังคงมีเงินหยอดกระปุกเฉลี่ยวันละ 10 บาทเช่นกัน........ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกลายเป็นความเคยชิน ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า มันคือ โปรแกรมการอดออมก่อนใช้จ่าย ที่เขียนกันเกร่อในหนังสือวางแผนการเงินส่วนบุคคลในทุกวันนี้
ซึ่งแน่นอนครับว่า พฤติกรรมนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงหูคุณย่า ท่านก็รู้สึกเป็นห่วงผมไม่น้อยเลย จนถึงทุกวันนี้ ท่านยังถามผมเสมอว่า กินข้าวอะไร....อาหารดีหรือเปล่า......อย่าอดๆอยากๆนะ สำหรับคุณแม่นั้น ท่านได้แต่บอกว่า อย่างก (ยิว) เงินนัก บ้านเราไม่ได้อดอยากอะไร
เวลาผ่านไป 1 ปี ผมอยู่ ป.5 แม้ว่าการอดออมจะทำได้เรื่อยๆ เหมือนเป็นส่วนนึงของชีวิตแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ค่าขนมนี่มันน้อยจัง ไปขอพ่อเพิ่มอีกคงยาก เพราะเพิ่งให้เพิ่มจาก 15 เป็น 20 บาทไม่นาน ก็เลยพยายามเอาของเล่นชิ้นเล็กๆให้เพื่อนยืมเล่น ทั้งวันคิด 10 บาทสำหรับเพื่อนทั่วไป 20 บาทสำหรับ เพื่อนหัวโจกที่แกล้งเราเป็นประจำ แต่ในทางปฏิบัติ คือพอมีคนสนใจรอคิวกันเล่น 2-3 คน คนหลังๆอดทนรอกันไม่ได้ คนนึงจะเล่นได้ไม่กี่นาที ทำให้ผมเก็บเงินได้เร็วมาก ในราคาเดิม ทำมาได้ไม่เกินสัปดาห์ ได้เงินไปหยอดกระปุกพอสมควร ก็ต้องเลิก เพราะเพื่อนบางกลุ่มจะเอาไปฟ้องครู แถมโดนเรียกค่าปิดปากอีกต่างหาก ประกอบกับรู้สึกตัวว่า เราเอา เปรียบเพื่อน ขูดเลือดขูดเนื้อกันเกินไป ไปๆมาๆหักกลบกันไป ผมจำไม่ได้แล้วว่า ขาดทุนหรือกำไร หลังจากวันนั้น ความคิดที่จะหาเงินจากคนก็แทบจะไม่ได้อยู่ในหัวอีกเลย หากไปเล่าให้ที่บ้านฟัง เกี่ยวกับเรื่อง หารายได้พิเศษ ก็จะเจอคำพูดซ้ำๆว่า "เราไม่ได้อดอยาก....จะไปทำแบบนั้นทำไม....มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป.....อย่า (ยิว) นัก" ยังจำกันได้ใช่ไหมครับว่า เป็นคำพูดของใคร
ลืมเล่าไปครับว่า หลังจากเลิกเอาเปรียบเพื่อน ตอนนั้นเป็นช่วง ป.5 เทอม2 ซึ่งเงินเก็บผมพอที่จะซื้อ LEGO ชุดใหญ่ที่รอมานานนับปี แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้ซื้อกลับมา เพราะรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา ประกอบกับช่วงนั้น LEGO ได้ออกชุดใหม่มา ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถึงอยากได้จริงๆ ซื้อไป แล้วปีต่อๆมา มันออกชุดใหม่ที่ดีกว่า อย่างงี้ เราไม่ต้องถอนเงินมาซื้อ ตลอดเหรอ เราเป็นเด็กโตแล้ว จะมีเวลาเล่นแบบนั้นได้บ่อยแค่ไหนกัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมตัดใจไม่ซื้อ อีกเหตุผลที่ มีน้ำหนักกว่าคือ แรงจูงใจของผมเปลี่ยนไปตอนช่วงปิดเทอม ป.4 เทอม 2 ได้ดูหนังฝรั่ง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ โจรปล้นกระเป๋าบรรจุธนบัตร หลายใบใน เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งในระหว่างที่มีการต่อสู้กันบนเครื่อง จนเป็นเหตุให้ เครื่องบนตก และกระเป๋าเงินหลายใบทะยอยร่วงจากท้องฟ้า ลงมา กระเป๋าบางใบเปิดออก ทำให้ธนบัตรนับล้านใบ กระจายไปทั่ว มันช่างเป็นภาพที่งดงามที่สุดในสายตาผมในเวลานั้น มากพอที่จะทำให้ผมอยากเป็นคนมีเงินเยอะๆ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆแบบในหนัง
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมเริ่มตั้งใจออมเงินหยอดกระปุก คือคุณแม่ปฏิเสธไม่ยอมซื้อ LEGO ชุดตะลุยอวกาศ และ ชุดกองเรือโจรสลัด ให้ (ตอนนั้นกล่องละ 4,000 บาท) ประมาณ ป.3-4 ได้มั้ง ในขณะที่คุณพ่อก็ให้เงินแค่ ค่าขนมไปโรงเรียนวันละ 15-20 บาทเอง เราก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้กันวันละ 40-50 บาท เอา GAME BOY มาเล่นโชว์ให้เราตาร้อนเล่น ครั้นจะไปขอให้ที่บ้านซื้ออีก ก็ไม่กล้าขอแล้ว เพราะมักจะถูกตอบกลับมาสั้นๆว่า "อยากได้ก็เก็บเงินซื้อเองสิ" ที่สำคัญคือที่บ้านผม เขาไม่มี merits system แบบว่า ถ้าเราออมได้เท่าไหร่ พ่อ/แม่ จะใส่สมทบเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีบางครอบครัวเอาไปใช้แล้ว
แน่นอนครับ...ความรู้สึกอยากได้ของเล่นยังวนเวียนอยุ่ในใจตลอดเวลา จนทำให้ ผมช่วงนั้นพยายามอดอาหารว่าง เพื่อที่จะให้มีเงินเหลือ 10 บาท ต่อวันเป็นอย่างน้อย จากเดิมที่จะชอบซื้อปีกไก่ทอด 2 ห่อ กลายเป็นซื้อ เพียงห่อเดียว สำหรับเด็กอ้วนน้ำหนักเกินเกณฑ์อย่างผมในเวลานั้น เป็น อะไรที่ทรมาณมากๆ แผนการออมเงินเพื่อซื้อของเล่นทำไปได้ 5 วัน ก็ แพ้ใจตัวเองกลับมาซื้อ 2 ห่อในสัปดาห์ต่อมา แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยายามหาทางที่จะกลับมาออมให้ได้ 10 บาทบ้าง โดยกำหนดกติกาให้ตัวเองว่า ถ้าวันไหนซื้อกิน 2 ห่อ วันต่อไปคือต้องอด (วันที่ซื้อ 2 ห่อ จะเหลือเงินหยอดกระปุก 5 บาท, วันที่อดจะมีเงินในมือ 15 บาท) ซึ่งจะทำให้ผมยังคงมีเงินหยอดกระปุกเฉลี่ยวันละ 10 บาทเช่นกัน........ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกลายเป็นความเคยชิน ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า มันคือ โปรแกรมการอดออมก่อนใช้จ่าย ที่เขียนกันเกร่อในหนังสือวางแผนการเงินส่วนบุคคลในทุกวันนี้
ซึ่งแน่นอนครับว่า พฤติกรรมนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงหูคุณย่า ท่านก็รู้สึกเป็นห่วงผมไม่น้อยเลย จนถึงทุกวันนี้ ท่านยังถามผมเสมอว่า กินข้าวอะไร....อาหารดีหรือเปล่า......อย่าอดๆอยากๆนะ สำหรับคุณแม่นั้น ท่านได้แต่บอกว่า อย่างก (ยิว) เงินนัก บ้านเราไม่ได้อดอยากอะไร
เวลาผ่านไป 1 ปี ผมอยู่ ป.5 แม้ว่าการอดออมจะทำได้เรื่อยๆ เหมือนเป็นส่วนนึงของชีวิตแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ค่าขนมนี่มันน้อยจัง ไปขอพ่อเพิ่มอีกคงยาก เพราะเพิ่งให้เพิ่มจาก 15 เป็น 20 บาทไม่นาน ก็เลยพยายามเอาของเล่นชิ้นเล็กๆให้เพื่อนยืมเล่น ทั้งวันคิด 10 บาทสำหรับเพื่อนทั่วไป 20 บาทสำหรับ เพื่อนหัวโจกที่แกล้งเราเป็นประจำ แต่ในทางปฏิบัติ คือพอมีคนสนใจรอคิวกันเล่น 2-3 คน คนหลังๆอดทนรอกันไม่ได้ คนนึงจะเล่นได้ไม่กี่นาที ทำให้ผมเก็บเงินได้เร็วมาก ในราคาเดิม ทำมาได้ไม่เกินสัปดาห์ ได้เงินไปหยอดกระปุกพอสมควร ก็ต้องเลิก เพราะเพื่อนบางกลุ่มจะเอาไปฟ้องครู แถมโดนเรียกค่าปิดปากอีกต่างหาก ประกอบกับรู้สึกตัวว่า เราเอา เปรียบเพื่อน ขูดเลือดขูดเนื้อกันเกินไป ไปๆมาๆหักกลบกันไป ผมจำไม่ได้แล้วว่า ขาดทุนหรือกำไร หลังจากวันนั้น ความคิดที่จะหาเงินจากคนก็แทบจะไม่ได้อยู่ในหัวอีกเลย หากไปเล่าให้ที่บ้านฟัง เกี่ยวกับเรื่อง หารายได้พิเศษ ก็จะเจอคำพูดซ้ำๆว่า "เราไม่ได้อดอยาก....จะไปทำแบบนั้นทำไม....มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป.....อย่า (ยิว) นัก" ยังจำกันได้ใช่ไหมครับว่า เป็นคำพูดของใคร
ลืมเล่าไปครับว่า หลังจากเลิกเอาเปรียบเพื่อน ตอนนั้นเป็นช่วง ป.5 เทอม2 ซึ่งเงินเก็บผมพอที่จะซื้อ LEGO ชุดใหญ่ที่รอมานานนับปี แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้ซื้อกลับมา เพราะรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา ประกอบกับช่วงนั้น LEGO ได้ออกชุดใหม่มา ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถึงอยากได้จริงๆ ซื้อไป แล้วปีต่อๆมา มันออกชุดใหม่ที่ดีกว่า อย่างงี้ เราไม่ต้องถอนเงินมาซื้อ ตลอดเหรอ เราเป็นเด็กโตแล้ว จะมีเวลาเล่นแบบนั้นได้บ่อยแค่ไหนกัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมตัดใจไม่ซื้อ อีกเหตุผลที่ มีน้ำหนักกว่าคือ แรงจูงใจของผมเปลี่ยนไปตอนช่วงปิดเทอม ป.4 เทอม 2 ได้ดูหนังฝรั่ง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ โจรปล้นกระเป๋าบรรจุธนบัตร หลายใบใน เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งในระหว่างที่มีการต่อสู้กันบนเครื่อง จนเป็นเหตุให้ เครื่องบนตก และกระเป๋าเงินหลายใบทะยอยร่วงจากท้องฟ้า ลงมา กระเป๋าบางใบเปิดออก ทำให้ธนบัตรนับล้านใบ กระจายไปทั่ว มันช่างเป็นภาพที่งดงามที่สุดในสายตาผมในเวลานั้น มากพอที่จะทำให้ผมอยากเป็นคนมีเงินเยอะๆ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆแบบในหนัง
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 21
ความสุข&แรงจูงใจที่เปลี่ยนไป
พูดถึงความสุขหลักๆตอนเด็กก่อนหน้านี้ของผมก็คงเหมือนกับเด็กผู้ชายหลายคนทีชอบเกมตู้หยอดเหรียญตามห้างฯ ดูทีวีในวันหยุด/ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ทานอาหารอร่อยๆ... ความทุกข์หลักๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การที่ต้องไปเข้าแถวยืนส่งการบ้านให้คุณครูที่โต๊ะ ในกำมือถือห่อหนังสือพิมพ์มัด (เหมือนไม้เคนโด้ใน เจ้าหนูมูซาชิเลยล่ะ) ที่จะหวด ป้าบๆๆๆ ลงทุกครั้งเมื่อ เด็กทำการบ้านผิด หรือ เว้นว่างไว้ แต่นับจากวันที่แรงจูงใจได้เปลี่ยนไป แน่นอนครับว่าความสุขหลักๆกลายเป็นสุขขาจรแทน...
เล่าเท้าความไป จากเดิมที่ไม่ค่อยใส่ใจเรียนหนังสือ ก็หันมาตั้งใจเรียนหนังสือให้ได้ผลการเรียนดีจนได้ เพื่อแสวงหาการยอมรับจากคุณครู (ไม่อยากถูกตีบ่อย) จากเพื่อนๆ (อยากให้รู้ว่า กูไม่ได้กินเก่งอย่างเดียว) รวมถึงสมัครเข้าเป็นนักดนตรีวงโยทวาทิตย์ ของโรงเรียน หลังจากที่ขึ้นชั้น ป.6 คุณปู่บอกว่า มีแหล่งทุนการศึกษาของสมาคมคนจีนในประเทศไทยให้ สำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ นอกจากนี้แล้วจะได้ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์จีน+ร่วมทานโต๊ะจีนในวันที่มอบทุนการศึกษานั้นๆด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว และทำให้ผมมีช่องทาง เก็บเงินแหล่งที่ 2 ซึ่งไม่เคยเอามาใช้จ่าย จากเดิมที่จะได้จากซองอั่งเปาตรุษจีนแหล่งเดียวที่ไม่เคยเอามาใช้จ่ายเช่นกัน ชีวิตวัยเรียนสำหรับการออมเงินจาก 2 แหล่งนี้ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี ในระหว่างที่อยู่ชั้นปี 3-4 มีโอกาสได้เป็น TA ช่วยอาจารย์ตรวจการบ้าน/ข้อสอบ/ทำแลป ก็มีช่องทางเก็บเงินแหล่งที่ 3 มาด้วย จริงๆอยากทำตั้งแต่อยู่ปี 2 เทอม2 แต่เขาไม่ให้เป็น (ลืมเรื่องการทำมาค้าขายไปเสียหมดสิ้น...ไฟฝันของการเป็นพ่อค้าก็หมดด้วย) ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอยากขายอะไร ในเมื่อตอนนี้ความสนใจหลักอยู่ที่การลงทุนในหุ้นซะแล้ว
พูดถึงความสุขหลักๆตอนเด็กก่อนหน้านี้ของผมก็คงเหมือนกับเด็กผู้ชายหลายคนทีชอบเกมตู้หยอดเหรียญตามห้างฯ ดูทีวีในวันหยุด/ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ทานอาหารอร่อยๆ... ความทุกข์หลักๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การที่ต้องไปเข้าแถวยืนส่งการบ้านให้คุณครูที่โต๊ะ ในกำมือถือห่อหนังสือพิมพ์มัด (เหมือนไม้เคนโด้ใน เจ้าหนูมูซาชิเลยล่ะ) ที่จะหวด ป้าบๆๆๆ ลงทุกครั้งเมื่อ เด็กทำการบ้านผิด หรือ เว้นว่างไว้ แต่นับจากวันที่แรงจูงใจได้เปลี่ยนไป แน่นอนครับว่าความสุขหลักๆกลายเป็นสุขขาจรแทน...
เล่าเท้าความไป จากเดิมที่ไม่ค่อยใส่ใจเรียนหนังสือ ก็หันมาตั้งใจเรียนหนังสือให้ได้ผลการเรียนดีจนได้ เพื่อแสวงหาการยอมรับจากคุณครู (ไม่อยากถูกตีบ่อย) จากเพื่อนๆ (อยากให้รู้ว่า กูไม่ได้กินเก่งอย่างเดียว) รวมถึงสมัครเข้าเป็นนักดนตรีวงโยทวาทิตย์ ของโรงเรียน หลังจากที่ขึ้นชั้น ป.6 คุณปู่บอกว่า มีแหล่งทุนการศึกษาของสมาคมคนจีนในประเทศไทยให้ สำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ นอกจากนี้แล้วจะได้ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์จีน+ร่วมทานโต๊ะจีนในวันที่มอบทุนการศึกษานั้นๆด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว และทำให้ผมมีช่องทาง เก็บเงินแหล่งที่ 2 ซึ่งไม่เคยเอามาใช้จ่าย จากเดิมที่จะได้จากซองอั่งเปาตรุษจีนแหล่งเดียวที่ไม่เคยเอามาใช้จ่ายเช่นกัน ชีวิตวัยเรียนสำหรับการออมเงินจาก 2 แหล่งนี้ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี ในระหว่างที่อยู่ชั้นปี 3-4 มีโอกาสได้เป็น TA ช่วยอาจารย์ตรวจการบ้าน/ข้อสอบ/ทำแลป ก็มีช่องทางเก็บเงินแหล่งที่ 3 มาด้วย จริงๆอยากทำตั้งแต่อยู่ปี 2 เทอม2 แต่เขาไม่ให้เป็น (ลืมเรื่องการทำมาค้าขายไปเสียหมดสิ้น...ไฟฝันของการเป็นพ่อค้าก็หมดด้วย) ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอยากขายอะไร ในเมื่อตอนนี้ความสนใจหลักอยู่ที่การลงทุนในหุ้นซะแล้ว
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 22
แรงจูงใจที่กลับไปกลับมา :?
หลายท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวมาถึงตอนนี้ อาจคิดว่าผมมีการเก็บออมที่ เป็นระบบ มีการบันทึกรับจ่ายเป็นประจำ แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่า ผมมาเริ่มทำบันทึกรับจ่ายก็ตอนเรียน ปี4 อ่ะครับ เพราะความขี้เกียจนั่นเอง ครับที่ทำให้ตอบได้ลำบากว่าช่วงวัยเด็กหัวเกรียนไปจนวัยรุ่นหัวรองทรงต่ำ/สกินเฮด ( ท้าทายครู รร. และครูฝึก รด.) เก็บออมเงินกี่ % ของค่าขนมกันแน่ แต่ถ้าให้ประเมินจากเงินเก็บที่เพิ่มขึ้นมาใน 1 ปี แล้วเฉลี่ยออกเป็นรายสัปดาห์ (คุณพ่อผมไม่เคยให้ค่าขนมผมเป็นรายเดือน ให้แต่เป็นรายวันช่วงประถม และให้เป็นรายสัปดาห์ช่วงมัธยมจนจบมหาวิทยาลัย) น่าจะอยู่ระหว่าง 48-69 % ของค่าขนมรายสัปดาห์ที่คุณพ่อให้มา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะมีความสุขจากการเก็บออม โดยที่ไม่รู้สึกอัดอั้นจากการไม่ใช้เงินซื้อสุขขาจร (มีกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่ต้องใช้เงิน ประหนึ่งคนติดคุกที่ขอแค่ได้เขียนไดอารี่/แต่งเพลงในยามเช้า และ เฝ้าดูดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน มากกว่า แค่เฝ้ารอผู้คุมมาเปิดประตูกรงขังพาออกไปทำกิจกรรมตามกำหนดเวลา) ผมก็เคยทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยในช่วงเรียนปี 1-2 ที่ผมกลับเอาเงินออมยัดเน่าคาลิ้นชักเป็นเวลา 1 ปีกว่าๆแทนที่จะเอาไปฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร/กองทุนตราสารหนี้ (ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักอีกต่างหาก) เพียงเพราะไม่พอใจอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้ กอปรกับยังจมปลักผิดหวังกับผลสอบ Ent ในอดีต ปล่อยให้วันๆผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย ในแง่การจัดเก็บเงินเสี่ยงต่อการสูญหายมาก และเงินไม่ได้ทำงานอีกด้วย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ประชดชีวิตด้วยการผลาญเงิน (ยังออมเป็นความเคยชิน) และ ไม่คิดปลิดชีพตัวเอง (ยังเชื่อว่า ต้องมีสักวันที่เป็นของเรา ในมหาลัยอีกตั้ง 3 ปี)
ชีวิต 3 ปีที่เหลือในมหาลัยตอนนั้น มีสถานที่ที่ผมไปอยู่ 2 แห่งเป็นประจำคือ ห้องอ่านหนังสือ และสนามบาส ในช่วงเวลานั้น ความสุขหลักๆในชีวิตผม ขึ้นกับการเรียนให้ได้ตามเป้าหมาย การยอมรับจากเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ การฟื้นฟูคุณค่าและความเชื่อมั่นในตัวเองให้กลับคืนมาดังเดิม ส่วนเรื่องเงินทองนั้นผมลืมไปเกือบสนิทเลย ได้ทุนการศึกษาเกือบทุกปี จนรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรมากเหมือนปีแรกๆ ก็เลยเหมือนเป็นผลพอลยได้จาก การเรียนให้ได้ตามเป้า + การออมจนเป็นความเคยชิน
ฉะนั้นแล้วการออมจากค่าขนมในช่วงมหาลัย จึงย่อหย่อนลง เป็นออมเงินหลัง ใช้จ่ายเป็นเสียส่วนใหญ่ ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน + ตำราเรียน + กิจกรรมในภาควิชา ทำให้อัตราการออมช่วงนี้อยู่ที่ประมาณ 40 % จากที่เล่าให้ฟังว่า เวลาส่วนใหญ่ที่นอกเหนือจากห้องเรียน จะอยู่ที่ห้องสมุดกับสนามบาส ในขณะที่เพื่อนๆจะนัดกันไปดื่มดิ้นกินเที่ยวช่วงค่ำ หรือไม่ก็ไป เดินห้างกัน (ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรจากที่แห่งนั้น ไม่ได้อยากซื้ออะไร ไปแล้วไม่รู้จะคุยอะไรกัน คงได้แต่นั่งฟังเรื่องโจ๊กที่แต่งแต้มขึ้นจากจินตนาการหลังเมาได้ที่) ผมจึงมี บาสเกตบอลเป็นเพื่อน หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งมานานจากการนั่งทบทวนบทเรียน ทำโจทย์แบบฝึกหัดเป็นเวลานานๆ
การเล่นบาสเกตบอลส่วนใหญ่ผมจะเล่นในช่วงพักกลางวัน หรือไม่ก็ช่วงคาบว่าง หากไม่เจอใคร ก็จะชู้ตเล่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้สึกว่า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ จึงเริ่มตั้งเป้าหมายเรื่อง จำนวนลูกที่ต้องชู้ตลงในแต่ละตำแหน่งยืน ตั้งแต่ตำแหน่ง หัวกระโหลก ไปจน ตำแหน่งที่ต้องชู้ตข้ามหลังแป้นไปลงห่วงอีกที แต่ตำแหน่งที่ผมจะเน้นเป็นพิเศษคือ 3 แต้ม ที่จะคาดหวังอย่างต่ำ 6 ใน 10 ลูก หรือไม่ก็ 4 ลูกติดกัน หากยังทำไม่ได้ก็จะชู้ตไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ตามเป้าหรือไม่ก็ถึงเวลาเรียน และหมดแรงกันไปข้างนึง ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็คาดหวังกับหลายๆเรื่องแบบนี้ รวมถึงการออมในช่วงที่เรียนจบใหม่ๆที่ตั้งเป้าเป็นจำนวนเงินออมที่ชัดเจน สำหรับผมแล้วมันให้ความสุขในรูปของ ความมันส์สะใจที่ผมหาทดแทนจากอย่างอื่นไม่ได้...เช่นเดียวกับการชู้ตบาสแล้ว เราได้ score มากขึ้นเรื่อยๆๆ...เกรดเทอมนี้ทำให้เกรดเฉลี่ยรวมกระฉูดขึ้นกี่ % (โตเร็วทำลายสถิติรุ่นพี่ตัวเต็งปีก่อนๆ กี่ %)...การกล้าแสดงความคิด/เหตุผลที่เห็นแตกต่างจากอาจารย์ในชั้นเรียนเพื่อหวังต่อยอดความรู้ คนรอบข้างยอมรับ/มองเป็นตัวประหลาดมากเพียงใด สำหรับผมในตอนนั้นยอมรับว่า ถึงจะได้ความมันส์สะใจสมความตั้งใจ แต่ก็จะโกรธทุกครั้งที่ถูกมองเป็นตัวประหลาด เพราะคาดหวังการยอมรับมากเกินไป มาถึงวันนี้ผมพร้อมที่จะรับผลสองด้านของทุกๆเรื่อง...และหันมายินดีกับตัวเองเป็นหลักที่ feedback มาแล้วโว้ยยย.....กูจะได้รู้ซะทีว่าที่ทำมีอะไรต้องปรับให้มันดีขึ้นบ้าง มีโอกาสที่จะสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงมากแค่ไหนในเวลาที่เหลืออยู่
หลายท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวมาถึงตอนนี้ อาจคิดว่าผมมีการเก็บออมที่ เป็นระบบ มีการบันทึกรับจ่ายเป็นประจำ แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่า ผมมาเริ่มทำบันทึกรับจ่ายก็ตอนเรียน ปี4 อ่ะครับ เพราะความขี้เกียจนั่นเอง ครับที่ทำให้ตอบได้ลำบากว่าช่วงวัยเด็กหัวเกรียนไปจนวัยรุ่นหัวรองทรงต่ำ/สกินเฮด ( ท้าทายครู รร. และครูฝึก รด.) เก็บออมเงินกี่ % ของค่าขนมกันแน่ แต่ถ้าให้ประเมินจากเงินเก็บที่เพิ่มขึ้นมาใน 1 ปี แล้วเฉลี่ยออกเป็นรายสัปดาห์ (คุณพ่อผมไม่เคยให้ค่าขนมผมเป็นรายเดือน ให้แต่เป็นรายวันช่วงประถม และให้เป็นรายสัปดาห์ช่วงมัธยมจนจบมหาวิทยาลัย) น่าจะอยู่ระหว่าง 48-69 % ของค่าขนมรายสัปดาห์ที่คุณพ่อให้มา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะมีความสุขจากการเก็บออม โดยที่ไม่รู้สึกอัดอั้นจากการไม่ใช้เงินซื้อสุขขาจร (มีกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่ต้องใช้เงิน ประหนึ่งคนติดคุกที่ขอแค่ได้เขียนไดอารี่/แต่งเพลงในยามเช้า และ เฝ้าดูดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน มากกว่า แค่เฝ้ารอผู้คุมมาเปิดประตูกรงขังพาออกไปทำกิจกรรมตามกำหนดเวลา) ผมก็เคยทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยในช่วงเรียนปี 1-2 ที่ผมกลับเอาเงินออมยัดเน่าคาลิ้นชักเป็นเวลา 1 ปีกว่าๆแทนที่จะเอาไปฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร/กองทุนตราสารหนี้ (ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักอีกต่างหาก) เพียงเพราะไม่พอใจอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้ กอปรกับยังจมปลักผิดหวังกับผลสอบ Ent ในอดีต ปล่อยให้วันๆผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย ในแง่การจัดเก็บเงินเสี่ยงต่อการสูญหายมาก และเงินไม่ได้ทำงานอีกด้วย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ประชดชีวิตด้วยการผลาญเงิน (ยังออมเป็นความเคยชิน) และ ไม่คิดปลิดชีพตัวเอง (ยังเชื่อว่า ต้องมีสักวันที่เป็นของเรา ในมหาลัยอีกตั้ง 3 ปี)
ชีวิต 3 ปีที่เหลือในมหาลัยตอนนั้น มีสถานที่ที่ผมไปอยู่ 2 แห่งเป็นประจำคือ ห้องอ่านหนังสือ และสนามบาส ในช่วงเวลานั้น ความสุขหลักๆในชีวิตผม ขึ้นกับการเรียนให้ได้ตามเป้าหมาย การยอมรับจากเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ การฟื้นฟูคุณค่าและความเชื่อมั่นในตัวเองให้กลับคืนมาดังเดิม ส่วนเรื่องเงินทองนั้นผมลืมไปเกือบสนิทเลย ได้ทุนการศึกษาเกือบทุกปี จนรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรมากเหมือนปีแรกๆ ก็เลยเหมือนเป็นผลพอลยได้จาก การเรียนให้ได้ตามเป้า + การออมจนเป็นความเคยชิน
ฉะนั้นแล้วการออมจากค่าขนมในช่วงมหาลัย จึงย่อหย่อนลง เป็นออมเงินหลัง ใช้จ่ายเป็นเสียส่วนใหญ่ ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน + ตำราเรียน + กิจกรรมในภาควิชา ทำให้อัตราการออมช่วงนี้อยู่ที่ประมาณ 40 % จากที่เล่าให้ฟังว่า เวลาส่วนใหญ่ที่นอกเหนือจากห้องเรียน จะอยู่ที่ห้องสมุดกับสนามบาส ในขณะที่เพื่อนๆจะนัดกันไปดื่มดิ้นกินเที่ยวช่วงค่ำ หรือไม่ก็ไป เดินห้างกัน (ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรจากที่แห่งนั้น ไม่ได้อยากซื้ออะไร ไปแล้วไม่รู้จะคุยอะไรกัน คงได้แต่นั่งฟังเรื่องโจ๊กที่แต่งแต้มขึ้นจากจินตนาการหลังเมาได้ที่) ผมจึงมี บาสเกตบอลเป็นเพื่อน หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งมานานจากการนั่งทบทวนบทเรียน ทำโจทย์แบบฝึกหัดเป็นเวลานานๆ
การเล่นบาสเกตบอลส่วนใหญ่ผมจะเล่นในช่วงพักกลางวัน หรือไม่ก็ช่วงคาบว่าง หากไม่เจอใคร ก็จะชู้ตเล่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้สึกว่า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ จึงเริ่มตั้งเป้าหมายเรื่อง จำนวนลูกที่ต้องชู้ตลงในแต่ละตำแหน่งยืน ตั้งแต่ตำแหน่ง หัวกระโหลก ไปจน ตำแหน่งที่ต้องชู้ตข้ามหลังแป้นไปลงห่วงอีกที แต่ตำแหน่งที่ผมจะเน้นเป็นพิเศษคือ 3 แต้ม ที่จะคาดหวังอย่างต่ำ 6 ใน 10 ลูก หรือไม่ก็ 4 ลูกติดกัน หากยังทำไม่ได้ก็จะชู้ตไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ตามเป้าหรือไม่ก็ถึงเวลาเรียน และหมดแรงกันไปข้างนึง ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็คาดหวังกับหลายๆเรื่องแบบนี้ รวมถึงการออมในช่วงที่เรียนจบใหม่ๆที่ตั้งเป้าเป็นจำนวนเงินออมที่ชัดเจน สำหรับผมแล้วมันให้ความสุขในรูปของ ความมันส์สะใจที่ผมหาทดแทนจากอย่างอื่นไม่ได้...เช่นเดียวกับการชู้ตบาสแล้ว เราได้ score มากขึ้นเรื่อยๆๆ...เกรดเทอมนี้ทำให้เกรดเฉลี่ยรวมกระฉูดขึ้นกี่ % (โตเร็วทำลายสถิติรุ่นพี่ตัวเต็งปีก่อนๆ กี่ %)...การกล้าแสดงความคิด/เหตุผลที่เห็นแตกต่างจากอาจารย์ในชั้นเรียนเพื่อหวังต่อยอดความรู้ คนรอบข้างยอมรับ/มองเป็นตัวประหลาดมากเพียงใด สำหรับผมในตอนนั้นยอมรับว่า ถึงจะได้ความมันส์สะใจสมความตั้งใจ แต่ก็จะโกรธทุกครั้งที่ถูกมองเป็นตัวประหลาด เพราะคาดหวังการยอมรับมากเกินไป มาถึงวันนี้ผมพร้อมที่จะรับผลสองด้านของทุกๆเรื่อง...และหันมายินดีกับตัวเองเป็นหลักที่ feedback มาแล้วโว้ยยย.....กูจะได้รู้ซะทีว่าที่ทำมีอะไรต้องปรับให้มันดีขึ้นบ้าง มีโอกาสที่จะสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงมากแค่ไหนในเวลาที่เหลืออยู่
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 23
เพิ่งรู้ว่า ทำความฝันหล่นหายไป
และแล้วเรื่องของเงินทองก็กลับมาเป็นที่ 1 ในใจผมอีกครั้ง ตอนฝึกงานภาคฤดูร้อน ก่อนขึ้นปี 4 ซึ่งพบว่า ตัวเองไม่ได้มีความสนใจองค์ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเลย การเรียนที่ผ่านมาเป็นไปเพื่อผลพลอยได้อย่างที่เล่าให้ฟัง มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นความสนใจของผมตอนนั้นจึงเด่นชัดว่า คงเป็นเรื่องหาเงินมาและใช้เงินทำงานอย่างหนัก เรื่องอื่นๆผมไม่อยากทำจริงๆ ซึ่งเป็น ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มอ่านหนังสือตีแตก ของ ดร. นิเวศน์ และการออมเงิน ในช่วงนี้เป็นไปแบบตึงสุดขีด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การออมของผมทุกสัปดาห์ขั้นต่ำต้อง 50 % ขึ้นไปเท่านั้น และเริ่มมีการย้ายเงินออมไปฝากประจำ ซื้อกองทุนรวม จนกระทั่งวันที่ผมเรียนจบแล้ว แต่ยังว่างงาน อาจารย์ที่ภาคขอ ร้องให้อยู่ช่วยสอนนักเรียนแลกเปลี่ยน, นักศึกษารุ่นน้องทำแลป โดยให้เงินเดือน 7,630 บาทกับการมาทำงาน จ.-ศ. เวลาราชการเป๊ะ ไม่มีสวัสดิการใดๆเพิ่มเติมให้ เพราะไม่ได้บรรจุเป็นลูกจ้างมหาลัย ตอนนั้นยังขับรถเดินทางมาทำงานระยะทางค่อนข้างไกลจากบ้าน และรถติดเหลือทน ทำให้เดือนแรก ที่อยู่ช่วยยังปรับตัวไม่ได้ ออมได้เพียง 1,000 บาท แต่พอ 2 เดือนสุดท้ายที่อยู่ช่วย ปรับตัวได้แล้ว ก็กลับมาออมได้ 50 % ขึ้นไปทั้ง 2 เดือน ทั้งที่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน/ค่าแก๊สรถแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าเงินหายากที่สุดในชีวิตจริงๆ
หลังจากนั้นจึงได้งานประจำที่พึงมีสวัสดิการตามข้อบังคับของกฎหมาย รายได้เสมอตัวกับวุฒิปริญญาตรี สำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา 2 ปีเศษๆเกือบทุกเดือนมีการออมเกิน 50 % (ไม่นับเดือน กพ. ที่มีรายการเปลี่ยนอะไหล่รถมโหฬาร ยังขายทิ้งไม่ได้ เลยได้แต่ซ่อมแก้ขัด ประคองไป) และที่ผ่านมาไม่นานมานี้ เดือน กพ. ผมหันมาใช้บริการรถสาธารณะ และตื่นนอนให้เช้าขึ้นบ้าง ทำให้การออมของผมอยู่ที่ 70-73 %
และแล้วเรื่องของเงินทองก็กลับมาเป็นที่ 1 ในใจผมอีกครั้ง ตอนฝึกงานภาคฤดูร้อน ก่อนขึ้นปี 4 ซึ่งพบว่า ตัวเองไม่ได้มีความสนใจองค์ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเลย การเรียนที่ผ่านมาเป็นไปเพื่อผลพลอยได้อย่างที่เล่าให้ฟัง มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นความสนใจของผมตอนนั้นจึงเด่นชัดว่า คงเป็นเรื่องหาเงินมาและใช้เงินทำงานอย่างหนัก เรื่องอื่นๆผมไม่อยากทำจริงๆ ซึ่งเป็น ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มอ่านหนังสือตีแตก ของ ดร. นิเวศน์ และการออมเงิน ในช่วงนี้เป็นไปแบบตึงสุดขีด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การออมของผมทุกสัปดาห์ขั้นต่ำต้อง 50 % ขึ้นไปเท่านั้น และเริ่มมีการย้ายเงินออมไปฝากประจำ ซื้อกองทุนรวม จนกระทั่งวันที่ผมเรียนจบแล้ว แต่ยังว่างงาน อาจารย์ที่ภาคขอ ร้องให้อยู่ช่วยสอนนักเรียนแลกเปลี่ยน, นักศึกษารุ่นน้องทำแลป โดยให้เงินเดือน 7,630 บาทกับการมาทำงาน จ.-ศ. เวลาราชการเป๊ะ ไม่มีสวัสดิการใดๆเพิ่มเติมให้ เพราะไม่ได้บรรจุเป็นลูกจ้างมหาลัย ตอนนั้นยังขับรถเดินทางมาทำงานระยะทางค่อนข้างไกลจากบ้าน และรถติดเหลือทน ทำให้เดือนแรก ที่อยู่ช่วยยังปรับตัวไม่ได้ ออมได้เพียง 1,000 บาท แต่พอ 2 เดือนสุดท้ายที่อยู่ช่วย ปรับตัวได้แล้ว ก็กลับมาออมได้ 50 % ขึ้นไปทั้ง 2 เดือน ทั้งที่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน/ค่าแก๊สรถแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าเงินหายากที่สุดในชีวิตจริงๆ
หลังจากนั้นจึงได้งานประจำที่พึงมีสวัสดิการตามข้อบังคับของกฎหมาย รายได้เสมอตัวกับวุฒิปริญญาตรี สำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา 2 ปีเศษๆเกือบทุกเดือนมีการออมเกิน 50 % (ไม่นับเดือน กพ. ที่มีรายการเปลี่ยนอะไหล่รถมโหฬาร ยังขายทิ้งไม่ได้ เลยได้แต่ซ่อมแก้ขัด ประคองไป) และที่ผ่านมาไม่นานมานี้ เดือน กพ. ผมหันมาใช้บริการรถสาธารณะ และตื่นนอนให้เช้าขึ้นบ้าง ทำให้การออมของผมอยู่ที่ 70-73 %
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 24
สุดยอดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 25
ออมเป็นเล่น ทำยังไง
Target Output
Feb '10 68% 70%
Mar '10 80% 73%
Apr '10 79% 82%
May'10 82% 82%
Jun' 10 69% 68%
July'10 69% 71%
ทุกครั้งที่ผมตั้งใจจะออม ผมมีความรู้สึกไม่ต่างกับ นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกทีไม่ได้หวังแค่เหรียญทองทุกประเภท แต่ต้องการที่จะทุบสถิติเก่าของนักกีฬาคนอื่นลง เพื่อที่จะสร้างสถิติใหม่ให้กับวงการนั้นๆอย่างที่ เอียน ธอร์ป เจ้าของสถิติ ใน OLYMPIC 2001 และล่าสุด ไมเคิล เฟลป์ส ผู้ทุบทุกสถิติ ทุกประเภท ใน OLYMPIC 2008
แน่นอนครับว่า การออมเงินคงไม่มีใครมานั่งเชียร์ และให้เกียรติสัมภาษณ์เราออกอากาศ และตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ อย่างที่นักกีฬาหลายคนได้รับแต่ถึงอย่างนั้น เราก็สามารถจินตนาการตัวเองและมองเห็นตัวเองเป็นนักกีฬาคนนึงที่เตรียมโดดออกจากขอบสระ และจินตนาการไปอีกว่า record เก่าๆ นั้นเป็นของคู่แข่งเรา ถ้าเรา break ตัวเลขนี้ลงได้ เราจะเป็นเจ้าสถิติคนใหม่ทันที คิดดูสิครับว่า มันน่าภาคภูมิใจขนาดไหน กับการมีเงินเก็บมากขึ้น เพราะความบังเอิ๊ญ บังเอิญ แท้ๆ จากโลกเล็กๆของเรา ที่มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้
เพื่อนๆครับ อย่าดูถูกโลกเล็กๆของตนเองนะครับ นวัตกรรมใหม่ๆที่เปลี่ยนโฉมโลก ก็เกิดขึ้นจากจินตนาการในกะลาหัวเล็กๆของเรานี่เองครับ เราทำ
อะไรสำเร็จเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็มีความหมายต่อ การทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นๆๆ ไม่น้อยเลย เพราะเราทุกคนล้วนต้องการความมั่นใจอย่างมากในการทำสิ่งต่างๆโดยเฉพาะสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน การเฝ้าสะสมความภาคภูมิใจเล็กๆไปทุกเรื่อง เป็นการสะสมพลังจินตนาการของเรา ที่จะผลักดันให้เราทำเรื่องที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้ tips อะไรมากมายเลย
คำตอบของคำถามระหว่าง ความสุข vs ความสำเร็จ จะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกันเลย ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากกับ มุมมองที่ถูกหลงลืมไปว่า คนเราทุกคนเกิดมานั้นก็เพื่อ พัฒนาศักยภาพ และการตามหาตัวตนแท้จริงให้เจอ การรู้จักตัวเอง ซึ่งการที่แต่ละคนจะรู้ตัวว่า เราทำอะไรได้ดี ได้เด่นกว่าคนทั่วไปนั้น ก็ต่อเมื่อ มีความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้เห็นในแต่ละอย่างที่ทำ บ่อยครั้งกว่ากิจกรรมอื่นๆที่ทำออกมาก็งั้นๆ สำเร็จบ่อยๆ หลายครั้ง ก็จะเกิดคำๆนึงขึ้นมาเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างคำว่า ความสุข กับ ความสำเร็จเข้าด้วยกัน คำๆนั้นคือ ความมันส์ นั่นเองนะครับ
คนที่ได้รู้และใช้ความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่นั้น จะมีความมันส์สะใจทุกลมหายใจเข้าออก ไม่มีอะไรที่จะมาทดแทน การเสพติดความรู้สึกนี้ได้ คือ คนที่จะมีความสุขที่สุดในโลก โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชื่นชมกับพวกเขาครับ
ฉะนั้นก่อนจากกันไป ผมขอสรุปว่า ความสำเร็จ เป็นเรื่องเดียวกับความสุขได้ก็ต่อเมื่อ มีความมันส์สะใจ สนุกทีได้ทำ ทุกลมหายใจเข้าออกครับ
Target Output
Feb '10 68% 70%
Mar '10 80% 73%
Apr '10 79% 82%
May'10 82% 82%
Jun' 10 69% 68%
July'10 69% 71%
ทุกครั้งที่ผมตั้งใจจะออม ผมมีความรู้สึกไม่ต่างกับ นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกทีไม่ได้หวังแค่เหรียญทองทุกประเภท แต่ต้องการที่จะทุบสถิติเก่าของนักกีฬาคนอื่นลง เพื่อที่จะสร้างสถิติใหม่ให้กับวงการนั้นๆอย่างที่ เอียน ธอร์ป เจ้าของสถิติ ใน OLYMPIC 2001 และล่าสุด ไมเคิล เฟลป์ส ผู้ทุบทุกสถิติ ทุกประเภท ใน OLYMPIC 2008
แน่นอนครับว่า การออมเงินคงไม่มีใครมานั่งเชียร์ และให้เกียรติสัมภาษณ์เราออกอากาศ และตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ อย่างที่นักกีฬาหลายคนได้รับแต่ถึงอย่างนั้น เราก็สามารถจินตนาการตัวเองและมองเห็นตัวเองเป็นนักกีฬาคนนึงที่เตรียมโดดออกจากขอบสระ และจินตนาการไปอีกว่า record เก่าๆ นั้นเป็นของคู่แข่งเรา ถ้าเรา break ตัวเลขนี้ลงได้ เราจะเป็นเจ้าสถิติคนใหม่ทันที คิดดูสิครับว่า มันน่าภาคภูมิใจขนาดไหน กับการมีเงินเก็บมากขึ้น เพราะความบังเอิ๊ญ บังเอิญ แท้ๆ จากโลกเล็กๆของเรา ที่มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้
เพื่อนๆครับ อย่าดูถูกโลกเล็กๆของตนเองนะครับ นวัตกรรมใหม่ๆที่เปลี่ยนโฉมโลก ก็เกิดขึ้นจากจินตนาการในกะลาหัวเล็กๆของเรานี่เองครับ เราทำ
อะไรสำเร็จเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็มีความหมายต่อ การทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นๆๆ ไม่น้อยเลย เพราะเราทุกคนล้วนต้องการความมั่นใจอย่างมากในการทำสิ่งต่างๆโดยเฉพาะสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน การเฝ้าสะสมความภาคภูมิใจเล็กๆไปทุกเรื่อง เป็นการสะสมพลังจินตนาการของเรา ที่จะผลักดันให้เราทำเรื่องที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้ tips อะไรมากมายเลย
คำตอบของคำถามระหว่าง ความสุข vs ความสำเร็จ จะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกันเลย ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากกับ มุมมองที่ถูกหลงลืมไปว่า คนเราทุกคนเกิดมานั้นก็เพื่อ พัฒนาศักยภาพ และการตามหาตัวตนแท้จริงให้เจอ การรู้จักตัวเอง ซึ่งการที่แต่ละคนจะรู้ตัวว่า เราทำอะไรได้ดี ได้เด่นกว่าคนทั่วไปนั้น ก็ต่อเมื่อ มีความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้เห็นในแต่ละอย่างที่ทำ บ่อยครั้งกว่ากิจกรรมอื่นๆที่ทำออกมาก็งั้นๆ สำเร็จบ่อยๆ หลายครั้ง ก็จะเกิดคำๆนึงขึ้นมาเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างคำว่า ความสุข กับ ความสำเร็จเข้าด้วยกัน คำๆนั้นคือ ความมันส์ นั่นเองนะครับ
คนที่ได้รู้และใช้ความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่นั้น จะมีความมันส์สะใจทุกลมหายใจเข้าออก ไม่มีอะไรที่จะมาทดแทน การเสพติดความรู้สึกนี้ได้ คือ คนที่จะมีความสุขที่สุดในโลก โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชื่นชมกับพวกเขาครับ
ฉะนั้นก่อนจากกันไป ผมขอสรุปว่า ความสำเร็จ เป็นเรื่องเดียวกับความสุขได้ก็ต่อเมื่อ มีความมันส์สะใจ สนุกทีได้ทำ ทุกลมหายใจเข้าออกครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
มีคนถามว่าทำไมอายุ 24 ถึงมีเงินหลักล้าน
โพสต์ที่ 28
ผมก็ไม่คิดจะเล่าหรอกชีวิตตัวเอง แต่ต้องเล่าเพราะมีคนเอาไปลงในพันทิพ จนเป็นกระแสว่าพวก VI เป็น 14 หลัก 13 หลัก (เนื่องจากผมดันไปเขียนในblog ของ อ.นิเวศ ตอน กำเนิด VI) โดยลืมไปถึงผลกระทบเพราะนึกว่าคงไม่มีใครสนใจ comment กะว่าอาจารย์ได้อ่านเป็นหลัก
พอโดนคนถามในพันทิพเรื่องหาเงินมาอย่างไรผมเลย ชั่งใจพอสมควร เพราะเล่าไปก็อาจเกิดกระแสอีก ประกอบกับในพันทิพผมไม่มีlogin เลยมาเล่าในนี้เพราะคนที่ถามคงอ่านเจอในบทความของสุยอดเซียน VI เลยเดาเอาว่าคนที่ถามคงเล่นเว็บนี้ด้วย
คนที่เข้ามาว่าหรืออะไรผมก็ไม่ได้โกรธเพราะเตรียมใจไว้แล้ว ผมแค่รู้เพียงว่าผมเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาเรียนรู้และปรับใช้กับชีวิต มาโดยตลอดการได้อ่านบทความเรื่องชีวิตของคนอื่น มันไม่ได้เสียหายแถมถ้าเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดกับเรา เราจะได้เลือกทางที่ดีที่สุดได้ เลยเลือกที่จะแชร์ประสบการณ์ตัวเองเพื่อให้คนอื่นๆได้ศึกษา
พอโดนคนถามในพันทิพเรื่องหาเงินมาอย่างไรผมเลย ชั่งใจพอสมควร เพราะเล่าไปก็อาจเกิดกระแสอีก ประกอบกับในพันทิพผมไม่มีlogin เลยมาเล่าในนี้เพราะคนที่ถามคงอ่านเจอในบทความของสุยอดเซียน VI เลยเดาเอาว่าคนที่ถามคงเล่นเว็บนี้ด้วย
คนที่เข้ามาว่าหรืออะไรผมก็ไม่ได้โกรธเพราะเตรียมใจไว้แล้ว ผมแค่รู้เพียงว่าผมเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาเรียนรู้และปรับใช้กับชีวิต มาโดยตลอดการได้อ่านบทความเรื่องชีวิตของคนอื่น มันไม่ได้เสียหายแถมถ้าเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดกับเรา เราจะได้เลือกทางที่ดีที่สุดได้ เลยเลือกที่จะแชร์ประสบการณ์ตัวเองเพื่อให้คนอื่นๆได้ศึกษา
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง