บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 271

โพสต์

IWILLBEVI
ขอชื่นชมความขยัน ความรู้ ความสามารถของหมอฝนด้วยคนครับ
ผมตามอ่านมาตลอด และทึ่งๆในความสนใจการวิเคราะห์ข้อมูลมากครับ  ไม่แน่ใจว่าตอน Meeting ThaiVI หมอฝนอยู่ในกลุ่มเดียวกันทีวิเคราะห์ SPALI หรือป่าว ขอถามหมอฝนนะครับ

1.ทุกวันนี้หมอฝนใช้ข้อมูลของไฟล์พี่ครรชิต หรือป่าว ถ้าไม่ใช้หมอฝนดึงข้อมูลงบการเงินย้อนหลังจากไหนครับ
ฝนเคยขอ file พี่ครรชิตมาค่ะ พยายามใช้หลายครั้งแต่ไม่เป็น low tech สุดๆค่ะ
ตอนนี้ไม่ใช้เลยค่ะ โหลดทุกอย่างจาก กลต. ค่ะ
2.หมอฝนดูกราฟช่วยหาจังหวะซื้อขายหรือป่าวครับ
กราฟฝนดูไม่เป็นค่ะ  พยายามหลายครั้งมากค่ะ ^^"
ฝนใช้กราฟแค่บอกนิสัยหุ้นอย่างเดียวค่ะ  technical ดูไม่เป็นเลยค่ะ
3.สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นวิเคราะห์งบ และกิจการอย่างหมอฝนได้
หมอฝนมีคำแนะนำง่ายๆอย่างไรบ้างครับ เพราะผมเชื่อว่าบางคนไม่สามารถเอาข้อมูลต่างๆ มาร้อยเรียงได้อย่างหมอฝน  
ซึ่งถ้าไฟล์พี่ครรชิตมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลายๆอย่าง คล้ายๆกับที่หมอฝนใช้วิเคราะห์ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของมือใหม่ได้ครับ
ฝนจะเริ่มจากการแบ่งกลุ่ม  
อุตสาหกรรม >> ธุรกิจ >> หุ้นรายตัว >> งบการเงิน >> อัตราส่วนการเงิน >> ประเมิณมูลค่าหุ้น

โดยส่วนตัวฝน  ฝนเริ่มจากข้อมูลเชิงคุณภาพก่อนเพราะสำคัญกว่า หลังจากนั้นก็ดูเชิงปริมาณ

จริงๆที่ฝนทำ file excel เพราะว่าจะได้เข้าใจอดีตบริษัทมากกว่าค่ะ
งบการเงินในอดีตเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เอาใว้เพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
อย่าลืมว่าเราต้องซื้ออนาคตนะคะ

ฝนเสนอว่าควรลองทำดูซักบริษัท  เอาบริษัทที่เราจะถือนานๆก็ได้นะคะ
แล้วลองคิดอัตราส่วนการเงินของบริษัทเราเอง  มันเหมือนการเรียนรู้ด้วยตัวเองค่ะ  
เราก็จะเข้าใจความรู้และบริษัทของเรามากขึ้นจริงๆนะ  

ปล. ถ้ามีอัตราส่วนใหนไม่เข้าใจมาแลกเปลี่ยนความรู้ได้นะคะ  
ถ้าฝนตอบไม่ได้(ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบไม่ได้)  
ในบอร์ดเราคนเก่งๆมากคงมีคนมาตอบให้มากมายค่ะ   :D
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 272

โพสต์

BOON GRAHAM(VI CLASSIC)
อยากถามคุณfon ว่า คิดอย่างไรกับคนที่หวังผลตอบแทนทบต้น15%ต่อปีครับ
จริงๆฝนก็หวังผลตอบแทนแบบนั้นนะคะ
หวังให้มากแต่อยู่บนความสามารถของฝนเองและความจริง

ฝนหวังผลตอบแทนช่วงพอร์ตเล็กๆ 30% ต่อปีรวมปันผลนะคะ
ถ้าพอร์ตฝนได้มีโอกาสใหญ่หวังยาวๆซัก 20% ต่อปีไปเรื่อยๆเหมือนกัน

2 ปีที่ผ่านมาเป็นปีทองมากมาย   กำเนิดนักลงทุนเยอะ  พอเข้ามาในตลาดจิ้มตัวใหนก็ได้ 100%
ทำให้ผลตอบแทนคาดหวังนักลงทุนจึงค่อนข้างจะสูงมากขึ้นค่ะ

เหมือนวัฏจักรเศรษฐกิจนะคะ
อัตราผลตอบแทนสูง >> อัตราความคาดหวังสูงขึ้น >> คงเกิดฟองสบู่ความคาดหวัง >> เกิดวิกฤติความคาดหวัง >> ความคาดหวังตก >> ความคาดหวังสูงขึ้นต่อระยะสั้น    

ที่ใดมีมนุษย์ที่นั่นมีความโลภ  คงตอบคำถามได้ว่า ถ้านักลงทุนเป็น vi หมด ตลาดก็ยังเหมือนเดิมค่ะ   :8)

ปล.เป็นคำแก้ตัวของฝนเอง  เพราะถ้าฝนตัดผลตอบแทนจากปีทองออกไป ผลตอบแทนฝนไม่เคยได้ถึง 100% เลยค่ะ  :'O
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
IWILLBEVI
Verified User
โพสต์: 363
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 273

โพสต์

ฝนจะเริ่มจากการแบ่งกลุ่ม  
อุตสาหกรรม >> ธุรกิจ >> หุ้นรายตัว >> งบการเงิน >> อัตราส่วนการเงิน >> ประเมิณมูลค่าหุ้น

โดยส่วนตัวฝน  ฝนเริ่มจากข้อมูลเชิงคุณภาพก่อนเพราะสำคัญกว่า หลังจากนั้นก็ดูเชิงปริมาณ

จริงๆที่ฝนทำ file excel เพราะว่าจะได้เข้าใจอดีตบริษัทมากกว่าค่ะ
งบการเงินในอดีตเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เอาใว้เพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
อย่าลืมว่าเราต้องซื้ออนาคตนะคะ

ฝนเสนอว่าควรลองทำดูซักบริษัท  เอาบริษัทที่เราจะถือนานๆก็ได้นะคะ
แล้วลองคิดอัตราส่วนการเงินของบริษัทเราเอง  มันเหมือนการเรียนรู้ด้วยตัวเองค่ะ  
เราก็จะเข้าใจความรู้และบริษัทของเรามากขึ้นจริงๆนะ  

ปล. ถ้ามีอัตราส่วนใหนไม่เข้าใจมาแลกเปลี่ยนความรู้ได้นะคะ  
ถ้าฝนตอบไม่ได้(ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบไม่ได้)  
ในบอร์ดเราคนเก่งๆมากคงมีคนมาตอบให้มากมายค่ะ  
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ ... ผมจะลองเอางบที่ทำไว้แลกเปลี่ยนความรู้กับหมอฝนทาง PMครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 274

โพสต์

Mote_VI
โพสรูปยังไงครับ อยากจะให้กระทู้จะร้อนแรงกว่านี้
 

ถ้าโพสรูปไป  ฝนเกรงว่าจะไม่มีคนมาอ่านอีกเลยค่ะ  :lol:  :lol:  :lol:
อย่าให้ร้อนแรงเลย เด่วความรักจะเหมือนไฟใหม้ฟาง ฮู้วๆ ฮ้าๆ

ฝนเสนอว่าให้กระทู้นี้เป็นเหมือนกระทู้แลกเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนดีกว่าค่ะ

กระทู้หลักการลงทุนยุคก่อนก็ตะแกรงร่อนหุ้นพี่วิบูลย์นะคะ
(พี่ๆในกระทู้สรุปหลักการใว้ยอดเยี่ยมมากมาย  :bow:  )

ส่วนกระทู้นี้ก็เป็นภาคต่อ  วิธีการหาปลาของนักลงทุน ดีกว่าค่ะ

โหวตให้ตัวเอง 1 เสียงค่ะ ฮ่าๆ  :cheers:
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 275

โพสต์

[quote="Paul VI"]น้องฝน พีถามคำถาม ทาง pm ไปอย่าลืมตอบล่ะ

ช่วงนี้ HA ไปถึงไหนแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 276

โพสต์

Paul VI
น้องฝน พีถามคำถาม ทาง pm ไปอย่าลืมตอบล่ะ

ช่วงนี้ HA ไปถึงไหนแล้ว  
ฝนพยายามหาใน inbox แล้วค่ะ ไม่เห็นชื่อพี่หมอมุกเลย
สงสัยต้องกลับไปหาอีกครั้งค่ะ  ช่วงนี้ฝนเริ่มสูงวัยขึ้น ตาลายๆยังไงชอบกลค่ะ  :roll:

HA ยุ่งมากๆค่ะ สัปดาห์นี้ต้องไปประชุมอีก 4 วัน การทำงานเอกสารนี้ยากจริงๆนะคะ  :oops:
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 277

โพสต์

พี่ พีเอ็ม ไปถามอีกรอบแล้วนะ  :D
tang_tt
Verified User
โพสต์: 66
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 278

โพสต์

เก่งจังคะพี่หมอ  ชอบมากมาย  และขอบคุณที่ให้แรงบันดาลใจ กับใครหลายๆคนคะ :D
BOON GRAHAM(VI CLASSIC)
Verified User
โพสต์: 50
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 279

โพสต์

ขอบคุณคุณฝนที่ตอบคำถามครับ  ผมหวังแค่ผลตอบแทน15-20%ทบต้นทุกปีในระยะยาวก็พอใจแล้วครับ  ผมเน้นซื้อหุ้นดูที่dowmsideก่อน แล้วดูที่upside ทีหลัง(โดยเฉพาะปีนี้) แต่ผมลงทุนในหุ้น120%นะครับ  ลงทุนโดยใช้หลักเบน เกรแฮมและจอห์น เนฟ ซะส่วนใหญ่ครับ
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 280

โพสต์

ผมพึ่งหายจากอาการเลือดออกที่ตามาครับ(โดนลูกแบตความเร็วสูง)
เป็น Traumatic hyphaema ครับ
ตอนแรกนึกว่า จะเป็น glaucoma (ต้อหิน) ซะแล้ว
เพราะความดันลูกตาขึ้นมาเยอะเหมือนกัน
พึ่งมาอ่านคำตอบของน้องฝนครับ  :D

ขอบคุณมากๆสำหรับคำตอบนะครับ

สถานการณ์ที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นอย่างไรบ้างครับ
อย่างไรอย่าลืมรักษาสุขภาพทั้งกายและใจด้วยนะครับ

มีความสุขกับการลงทุน และชีวิตประจำวันนะครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 281

โพสต์

ไม่ได้ใช้ไฟล์พี่ครรชิต
ไม่ได้ใช้วิเคราะห์ทางเทคนิค
วิเคราะห์คุณภาพ อุตสาหกรรม >> ธุรกิจ >> หุ้นรายตัว >> งบการเงิน >> อัตราส่วนการเงิน >> ประเมินมูลค่าหุ้น

เยี่ยมไปเลยครับ เหมือนผมจะข้ามสิ่งสำคัญ เพราะกำลังหาหุ้นจากไฟล์พี่ครรชิต
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
Angnam
Verified User
โพสต์: 10
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 282

โพสต์

รบกวนถามคุณหมอฝนได้มั๊ยคะว่าตอนนี้มีหุ้นอยู่ในพอร์ตกี่ตัว และมีการซื้อขายถี่ขนาดไหนคะ
ปล.คุณหมอทำงานอยู่จังหวัดไหนคะ เป็นคนใต้เหมือนกัน ^^
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 283

โพสต์

[quote="Fon^^"] บางทีฝนได้ยินผบห.ค้าปลีกบอกว่ากำไรโตก้าวกระโดดเพราะยอดขายเยอะทำให้มี economic of scale
อันนี้ฝนก็แอบงงเล็กน้อย มันเกี่ยวไรกันเนี่ย ถ้าบอกว่าขายได้เยอะทำให้มีอำนาจต่อรอง supplier มากขึ้นจะเหมาะสมกว่าค่ะ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
chotipat
Verified User
โพสต์: 625
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 284

โพสต์

economy of scale ค่าโฆษณาน่าจะใช้ได้ครับ เพราะสาขาขยายเพิ่มขึ้น กำไรยอดขายมากขึ้น แต่คงเสียค่าโฆษณาซึ่งเป็นต้นทุนค่อนข้างเท่าๆเดิม
:roll:  

(ปล. มือใหม่ครับ ไม่รู้แต่อยากโพส..)
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 285

โพสต์

พี่หมอฝนครับ วันนี้ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ ∆WC
ขอก้อปปี้มาจากกระทู้ที่ผมไปถามไว้เลยนะครับ แบบว่ายังไม่มีใครมาตอบหลายวันก็เลยมาขอความเห็นพี่หมอฝนกับพี่ๆเพื่อนๆที่กระทู้นี้ครับ

"ตอนนี้ผมมีข้อสงสัยมาถามครับ คือ ผมลองเสิร์ทกระทู้เกี่ยวกับการคำนวณ Working capital แล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า

สมมติผมจะคำนวณหา ∆WC ซึ่งจะนำไปคำนวณ FCF ใน งวดไตรมาสที่2 ปี53(ต่อไปขออนุญาตใช้ Q2 นะครับ) โดยใ้ช้ตัวเลขกำไรสำหรับงวด 6เดือน ของ Q2ปี53 สมมติว่าบริษัทแห่งนี้ปิดงบปีปรกติของบริษัททั่วไปโดยปิดงบปีเดือนธันวาคม

ผมก็ไปเปิดงบกระแสเงินสดสำหรับงวด6เดือนของบริษัท Q2ปี53  แล้วก็ไปดึงรายการ ลูกหนี้การค้า-สินค้าคงเหลือ+เจ้าหนี้การค้า มาคำนวณ ก็จะได้ WC สำหรับงวด 6เดือนของQ2ปี53มา แล้วเวลาผมจะต้องการหาปีที่ต้องมาเปรียบเทียบผมสงสัยว่าเวลาไปดึงWCมา เราก็ไปดูงบกระแสเงินสดของงวดไหนครับ ที่ผมคิดก็มี 2 กรณีดังนี้
1.เราไม่ต้องไปดูงวดอื่น ใช้ตัวเลขที่คำนวณมาจากงบกระแสเงินสดสำหรับงวด6เดือนของบริษัท Q2ปี53 ได้เลย เพราะว่างบกระแสเงินสดเป็นช่วงเวลาอยู่แล้ว คำนวณออกมาได้ก็คือเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว(6เดือน) ซึ่งก็เป้น ∆WC ของ6เดือนนั้นไปแล้ว
2.สำหรับงวด6เดือนQ2ปี52<<<อันนี้ที่ผมคิดแบบนี้เพราะผมดูสูตร ∆WC คือเอาพวกสินทรัพย์หมุนเวียน-หนี้สินหมุนเวียน โดยเอางวดปัจจุบันตั้งแล้วก็ลบกับงวดก่อน
หมายเหตุ:คือกรณีข้อ 2. นี้ ผมว่ามันทะแม่งๆ เพราะว่างบกระแสเงินสดมันเป็นช่วงเวลา ซึ่งถ้าเราจะคำนวณตามสูตรก็น่าจะต้องใช้สินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียนในงบดุลแทนมากกว่า

ตอนนี้ผมคิดว่ากรณีที่ถูกต้องน่าจะเป็นกรณีที่ 1 มากกว่าถ้าเราใช้ตัวเลขในงบกระแสเงินสดซึ่งเป็นช่วงเวลา สิ่งที่คำนวณออกมาได้ก็น่าจะเป้น ∆WC ในช่วงเวลา6เดือนนั้นได้เลย
แต่......ถ้าเราคิดตามสูตรปรกติของ ∆WC ซึ่งเป็น WC ของวดนี้ - WC ของงวดก่อนก็ตัวเลขที่ออกมาก็คือ ∆WC ที่เพิ่มหรือลดในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้นถ้าใช้ตามสูตรนี้เราต้องไปเอาตัวเลขจากในงบดุลไม่ใช่งบกระแสเงินสด แบบนี้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ"

ขอบคุณมากครับ
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 286

โพสต์

sakana_sushi
ผมก็ไปเปิดงบกระแสเงินสดสำหรับงวด6เดือนของบริษัท Q2ปี53  แล้วก็ไปดึงรายการ ลูกหนี้การค้า-สินค้าคงเหลือ+เจ้าหนี้การค้า มาคำนวณ ก็จะได้ WC สำหรับงวด 6เดือนของQ2ปี53มา แล้วเวลาผมจะต้องการหาปีที่ต้องมาเปรียบเทียบผมสงสัยว่าเวลาไปดึงWCมา เราก็ไปดูงบกระแสเงินสดของงวดไหนครับ ที่ผมคิดก็มี 2 กรณีดังนี้
1.เราไม่ต้องไปดูงวดอื่น ใช้ตัวเลขที่คำนวณมาจากงบกระแสเงินสดสำหรับงวด6เดือนของบริษัท Q2ปี53 ได้เลย เพราะว่างบกระแสเงินสดเป็นช่วงเวลาอยู่แล้ว คำนวณออกมาได้ก็คือเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว(6เดือน) ซึ่งก็เป้น ∆WC ของ6เดือนนั้นไปแล้ว
2.สำหรับงวด6เดือนQ2ปี52<<<อันนี้ที่ผมคิดแบบนี้เพราะผมดูสูตร ∆WC คือเอาพวกสินทรัพย์หมุนเวียน-หนี้สินหมุนเวียน โดยเอางวดปัจจุบันตั้งแล้วก็ลบกับงวดก่อน
หมายเหตุ:คือกรณีข้อ 2. นี้ ผมว่ามันทะแม่งๆ เพราะว่างบกระแสเงินสดมันเป็นช่วงเวลา ซึ่งถ้าเราจะคำนวณตามสูตรก็น่าจะต้องใช้สินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียนในงบดุลแทนมากกว่า

ตอนนี้ผมคิดว่ากรณีที่ถูกต้องน่าจะเป็นกรณีที่ 1 มากกว่าถ้าเราใช้ตัวเลขในงบกระแสเงินสดซึ่งเป็นช่วงเวลา สิ่งที่คำนวณออกมาได้ก็น่าจะเป้น ∆WC ในช่วงเวลา6เดือนนั้นได้เลย
แต่......ถ้าเราคิดตามสูตรปรกติของ ∆WC ซึ่งเป็น WC ของวดนี้ - WC ของงวดก่อนก็ตัวเลขที่ออกมาก็คือ ∆WC ที่เพิ่มหรือลดในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้นถ้าใช้ตามสูตรนี้เราต้องไปเอาตัวเลขจากในงบดุลไม่ใช่งบกระแสเงินสด แบบนี้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ"


ขอบคุณพี่ sakana_sushi มากนะคะ สำหรับความรู้ที่มาแชร์กัน  ขอบคุณค่ะ  :bow:
(ชอบๆเวลามีผู้รู้มาชี้แนะ ฝนจะได้เช็คความจำตัวเองด้วยค่ะ ^^ )

ฝนเริ่มไม่น่ใจว่าที่ฝน PM ตอบไปรวบสั้นเกินไปรึเปล่าก็เลย งงๆกัน ขอโทษทีนะคะ  :oops:

ขอเปิดประเด็นเรื่องการคิด Working Capital เลยละกันนะคะ ฮ่าๆ
Working Capital คือ เงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินงาน
ซึ่ง Net Working Capital = Operating Current Assets - Operating Current Liability
( เงินทุนดำเนินงานหมุนเวียนสุทธิ = สินทรัพย์ดำเนินงานหมุนเวียน - หนี้สินดำเนินงานหมุนเวียน )
โดยที่สินทรัพย์ดำเนินงานธุรกิจคือ สินค้าคงเหลือ(Inv) และ ลูกหนี้การค้า(A/R)
        หนี้สินดำเนินงานหมุนเวียนคือ เจ้าหนี้การค้า(A/P)

โดยปกติฝนคิด Working Capital ฝนใช้ตัวเลขจากงบดุล
Working Capital = Avg.A/R + Avg.Inv - Avg.A/Pคือการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินงานสุทธิสำหรับงวดบัญชีนั้นๆ

FCF = Net Incomes + D&A - Change WC - CapEx
ดังนั้นในการคิด FCF เราใช้การเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียน
Change WC ถ้าตามตัวอย่าง สมมติเป็นไตรมาส 2 ฝนจะคิดจากงบดุลเป็น WC ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2
Change WCq2 = WC q2 - WC q1

โดยที่การดู Change WC ให้ง่ายขึ้นจากงบกระแสเงินสดก็ได้เช่นกันค่ะ
ซึ่งงบกระแสเงินสดเป็น time duration (การเปลี่ยนแปลง ช่วงเวลา)
ถ้าดูในงบกระแสเงินสด ตามตัวอย่างในไตรมาส 2
ยกตัวอย่างเช่น ลูกหนี้การค้า    -200  
                        สินค้าคงเหลือ - 100
                        เจ้าหนี้การค้า     100
ตามตัวอย่างนี้จะได้ Chage WC 2 ไตรมาสเลย ( ุ6 เดือน)
Change WC สำหรับปิดงบไตรมาส 2 ( 6 เดือน ) = A/R 200+ InV 100 - A/P 100  = 200 บาท
ถ้าคิดจากงบกระแสเงินสด Change WC q2 อย่าลืมลบกับไตรมาส 1 ด้วยนะคะ
จะได้เป็น Change WCq2 สำหรับปิดงวด 3 เดือนพอดีค่ะ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 287

โพสต์

ใหนๆก็ใหนๆ ฮ่าๆ
คุยมาถึง FCF แล้วนะคะ
FCF = Net incomes + D&A - Change WC - CapEx
ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า Net incomes + D&A - Change WC ก็คือ Operating Cash flow  ในงบกระแสเงินสดนั่นเอง
ส่วน CapEx ถ้าไม่มีการลงทุนพิเศษ ก็คือ Investment Cash flow ในงบกระแสเงินสดเช่นกัน

ถ้าจะคิด FCF ในใจแบบดูคร่าวๆบ.ที่ตามห่างๆแบบห่วงๆนะคะ
บางครั้งฝนก็ใช้ FCF =  Operating Cash flow - Investment Cash flow
แต่ต้องอย่าลืมปรับตัวเลขบางตัวและ การลงทุนที่ไม่เกี่ยวกับกิจการหลักออกด้วยค่ะ  :D
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Fon^^
Verified User
โพสต์: 604
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 288

โพสต์

เรื่อง Economic of Scale ฝนต้องขอกลับไปทบทวนให้ละเอียดอีกครั้งนะคะ
ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวบจัดลำดับความคิดอยู่เชียว  รอให้เป็นระเบียบก่อนนะคะ ^^"

ขอบคุณพี่หมอสามัญชนมากๆสำหรับคำชี้แนะนะคะ  :bow:
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
กาละมัง
Verified User
โพสต์: 1230
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 289

โพสต์

Fon^^ เขียน:เรื่อง Economic of Scale :bow:
เมื่อก่อนเคยเห็นแต่  Economies of Scale หรือ Economy of Scale แต่ระยะหลังเห็นหลายต่อหลายคนใช้ว่า Economic of Scale

ผมก็ได้แต่ติดใจมาตลอด  จึงใคร่ขอให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาช่วยเฉลยเพื่อจะได้ใช้อย่างถูกต้องต่อไปด้วยครับ
เด็กใหม่ไฟแรง
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1575
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 290

โพสต์

พี่กะลามังครับ
ผมไม่ได้เชี่ยวชาญภาษา
แต่เรื่องนี้ยืนยันได้ครับ
เป็น Economies of Scale แน่นอนครับ
ขอบคุณพี่ครับที่ถกเรื่องนี้ขึ้นมา
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
เด็กใหม่ไฟแรง
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1575
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 291

โพสต์

ขออภัยนะครับ
พอมาเน้น เรื่อง Economies of Scale
ก็เลยสะกดชื่อพี่ กาละมัง ผิดไป :oops:
ขออภัยอย่างยิ่งครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
กาละมัง
Verified User
โพสต์: 1230
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 292

โพสต์

มาเน้นเป็นตัวใหญ่สีน้ำเงิน ดู serious จัง   จริง ๆ ไม่ serious เลยครับ  ผิดหลงกันได้

ขอบคุณครับ ที่ confirm ว่า economies of scale  เพราะว่าระยะหลังคนใช้อีกแบบ  จนชักเริ่มไม่แน่ใจครับ ว่าอันไหนถูกต้อง
เด็กใหม่ไฟแรง
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1575
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 293

โพสต์

ขออภัยครับที่เน้นสีน้ำเงิน
ความจริงผมว่าจะเขียนตามมาด้วยครับว่า


ภาษาอังกฤษศัพท์จะเขียนอย่างไร ไม่สำคัญเท่าไรหรอกครับ
ความหมายที่เอามาใช้สำคัญกว่ามาก


และ หมอ FON ก็นำมาใช้อยางน่าทึ่งมากครับ
น่าชื่นชมสำหรับคนเป็นหมอที่ไม่ค่อยมีเวลา
สามารถเป็นนักวิเคราะห์ที่ระดับโบรคเกอร์ต้องอาย
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
ภาพประจำตัวสมาชิก
sathaporne
Verified User
โพสต์: 1657
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 294

โพสต์

เข้ามาแทรกเล่นๆครับ
Economic เป็น adjative ครับ
เพราะฉนั้นมันจึงไม่น่าจะถูกต้องที่จะใช้ economic of scale
แต่จะเป็น economy หรือ economies หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
ปล. ไอ้เรื่องนอกเรื่องนี่ ผมถนัดนักเชียว
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 295

โพสต์

ขอบคุณพี่หมอฝนมากเลยครับ อธิบายทีเดียวผมเข้าใจแจ่มแจ้ง แปลว่าเวลาใช้เราก็ต้องดูว่าเราใช้งบดุลหรืองบกระแสเงินสด ถ้างบดุลก็เป็น ณ ช่วงเวลา ถ้าเป็นงบกระแสเงินสดก็เป็นช่วงเวลา
คือ สมัยก่อนผมดูงบกระแสเงินสดไม่ค่อยเป็นครับ มาปีนี้เลยมาลองศึกษาดูพอมาคำนวณก็เลยสงสัย แต่ตอนนี้เคลียร์มากเลยครับ

ขอบคุณนะครับ ขอให้พี่หมอฝนสวยวันสวยคืน เบอร์ดี้ครับ :D  :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
ภาพประจำตัวสมาชิก
vilage
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 163
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 296

โพสต์

[quote="สามัญชน"]
พวกค้าปลีกถ้ายอดขายมากขึ้นกำไรก็ควรจะโตมากขึ้นแบบมี economy of scale

แต่พอฟังคำชี้แจงประกอบกับตัวเลขของจริง
ก็เลยถึงบางอ้อ
น้องฝนพูดถูกแล้วเข้าใจถูกแล้ว
คนที่พลาดคือตัวผมเอง
และยังไม่รู้ตัว
เพิ่งจะรู้ตัวมะกี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4740
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 297

โพสต์

[quote="vilage"][quote="สามัญชน"]
พวกค้าปลีกถ้ายอดขายมากขึ้นกำไรก็ควรจะโตมากขึ้นแบบมี economy of scale

แต่พอฟังคำชี้แจงประกอบกับตัวเลขของจริง
ก็เลยถึงบางอ้อ
น้องฝนพูดถูกแล้วเข้าใจถูกแล้ว
คนที่พลาดคือตัวผมเอง
และยังไม่รู้ตัว
เพิ่งจะรู้ตัวมะกี้
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
"
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 298

โพสต์

EoS จะเกิดได้แบบชัด ๆ ธุรกิจนั้นต้องแบก fixed cost สูงกว่า variable cost มาก ๆ การเพิ่ม scale จึงไม่ต้องเพิ่ม fixed cost เมื่อเทียบกับ variable cost ต่อหน่วยที่แทบจะคงที่ไม่ว่าจะขายได้มากหรือน้อย

ดังนั้นยิ่งขายได้มาก fixed cost จะลดลงมากเป็นเท่าทวีคูณ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกิจการผลิตละมุนภัณฑ์เช่นไมโครซอฟท์ ที่มีต้นทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สูงลิบลิ่ว (fixed cost) แต่ variable cost มีแค่ค่าปั๊มซีดี กะค่ากล่อง

ยิ่งขายซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดี (เพราะ fixed cost เฉลี่ยต่อหน่วยสินค้าลดลงมาก)

กิจการที่ขายสินค้าจับต้องได้ ถ้ายิ่งต้องมีการขนส่ง และจัดเก็บ จะแบก variable cost สูงมาก (ขายได้เยอะ ก็ต้องขนส่งมาก ต้องมีการสร้างคลังมาก สร้างสาขามาก ฯลฯ) กิจการค้าปลีกไม่น่าจะมี EoS สูง แต่ได้เปรียบเรื่องอำนาจต่อรอง (supply advantage) กับผู้ผลิต และกิจการจะได้ return rate ดีถ้ามีการหมุนของสินค้าเร็ว (margin ต่ำ แต่ยอดขายต่อสาขาได้เยอะ ๆ)

ตัวชี้วัดกำไรของค้าปลีก จึงดูที่ SSSG เป็นหลัก รองลงมาคือการขยายสาขา ถ้าอย่างแรกได้เยอะ ๆ กำไรจะเด้งแรง .. มันคล้าย ๆ EoS แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว :8)
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
vilage
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 163
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 299

โพสต์

วันนี้อาจารย์ mprandy เขียนยาวนะเนี่ย ไม่ค่อยชิน
ขอบคุณมากครับ :cool:
sphere
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 392
ผู้ติดตาม: 0

บริหารชีวิตและลงทุนอย่างหมอ FON ^^

โพสต์ที่ 300

โพสต์

SSSGนี่คือ same store sale growthหรือเปล่าครับ หรือย่อมาจากตัวอื่น