ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 1
ผมเองเล่นมา 3 ปี ช่วงก่อนซับไพม์
เคยขาดทุน เกือบครึ่งพอร์ตจนตอนนี้ได้กลับมาเป็นบวก 100%
ตั้งแต่เริ่มมีกำไรเมื่อปีก่อน ก็เริ่มถอนเงินมาทำบุญ,บริจาค
อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคิดจะเล่นใหม่ๆ โดยกะไว้ที่ 25% ของกำไร
มีเหมือนกันที่บางครั้งก็เสียดาย ว่าไม่น่ารีบถอนมาก่อนเลย
น่าจะเก็บเป็นทุนเป็นหุ้นไปก่อน มันจะได้งอกเงยเร็วๆ
พอร์ตโตไวๆ
แต่อีกใจก็กลัวว่า ขืนผลัดไปนานๆอีกหน่อยใจอาจเปลี่ยนก็ได้
เดี๋ยวความเห็นแก่ตัวเลขและเห็นตัวเองเกิดขึ้นแล้วจะห้ามใจยาก
เพื่อนๆในห้องนี้ มีตัวอย่างการวางแผนทำบุญ,บริจาคมาแชร์กันบ้างไหมครับ
เคยขาดทุน เกือบครึ่งพอร์ตจนตอนนี้ได้กลับมาเป็นบวก 100%
ตั้งแต่เริ่มมีกำไรเมื่อปีก่อน ก็เริ่มถอนเงินมาทำบุญ,บริจาค
อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคิดจะเล่นใหม่ๆ โดยกะไว้ที่ 25% ของกำไร
มีเหมือนกันที่บางครั้งก็เสียดาย ว่าไม่น่ารีบถอนมาก่อนเลย
น่าจะเก็บเป็นทุนเป็นหุ้นไปก่อน มันจะได้งอกเงยเร็วๆ
พอร์ตโตไวๆ
แต่อีกใจก็กลัวว่า ขืนผลัดไปนานๆอีกหน่อยใจอาจเปลี่ยนก็ได้
เดี๋ยวความเห็นแก่ตัวเลขและเห็นตัวเองเกิดขึ้นแล้วจะห้ามใจยาก
เพื่อนๆในห้องนี้ มีตัวอย่างการวางแผนทำบุญ,บริจาคมาแชร์กันบ้างไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 2
ของผมเงินทำบุญเป็นเงินคนละส่วนกับใน port หุ้นครับ (port ผมยังเล็กเท่าลูกมดเลยครับ) ผมใช้วิธีโบราณครับ เก็บตังหยอดกระปุก วันละ 10 20บาท กระปุกเต็มเมื่อไหร่ก็ตัดสินใจทีนึงว่าจะไปทำบุญที่ไหนดี
จริงๆเรื่องทำบุญ เราไม่จำเป็นต้องให้เป็นเงินอย่างเดียวก็ได้ครับ อย่างพี่ๆในwebนี้ที่ให้ความรู้ผม เวลาผมเข้ามาอ่าน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ(ให้ทานทางความรู้) แล้วครับ
จริงๆเรื่องทำบุญ เราไม่จำเป็นต้องให้เป็นเงินอย่างเดียวก็ได้ครับ อย่างพี่ๆในwebนี้ที่ให้ความรู้ผม เวลาผมเข้ามาอ่าน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ(ให้ทานทางความรู้) แล้วครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสายนี้คือ จิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่.....ส่วนความรู้เป็นสิ่งที่สามารถไขว่คว้าเพื่อตามให้ทันผู้อื่นได้ สู้ต่อไป...
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 3
10% ของเงินปันผล
กับเงินที่กันออกจากเงินเดือนทุกเดือนเพื่อทำบุญครับ
กับเงินที่กันออกจากเงินเดือนทุกเดือนเพื่อทำบุญครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- jinxyboy
- Verified User
- โพสต์: 230
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 4
เห็นด้วยกับการทำบุญครับ แต่ผมจะไม่รอให้แก่หรือรวยก่อนแล้วค่อยทำ เพราะชีวิตคนเรามันเกิดก็ต้องดับไปวันนึง เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมก็เลยทำเท่าที่จะอำนวยทั้งจังหวะและปัจจัย ผมมองว่าแก่นของการทำบุญไม่ใช่วัดว่าใครทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย แต่มันอยู่ที่เราได้สละและรู้จักการให้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 5
ทำบุญไม่ต้องรอแก่ครับ
ทำได้เรื่อยๆ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาสครับ
เพราะ
...........
ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะไม่ได้ทำอีก
ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะตาย
............
ทำบูญไม่จำเป็นต้องมากหรือน้อยครับ
ตามกำลังตามความเหมาะสมของฐานะ
...........
แต่อย่าลืมด้วยนะครับ
ทาน(บุญ) ศีล สมาธิ ปัญญา
มาตามลำดับนะครับ
อย่าหยุดแค่บุญนะครับ
ทำได้เรื่อยๆ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาสครับ
เพราะ
...........
ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะไม่ได้ทำอีก
ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะตาย
............
ทำบูญไม่จำเป็นต้องมากหรือน้อยครับ
ตามกำลังตามความเหมาะสมของฐานะ
...........
แต่อย่าลืมด้วยนะครับ
ทาน(บุญ) ศีล สมาธิ ปัญญา
มาตามลำดับนะครับ
อย่าหยุดแค่บุญนะครับ
ตัวหนังสือต้องพิมพ์ใหญ่ๆ เพราะอ่านไม่ออก
ไม่ว่ากันนะครับ
ไม่ว่ากันนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 6
ไม่ครับ
ผมจ่ายภาษีไปแล้ว โดยหัก ณ ที่จ่ายด้วย
รัฐมีหน้าที่ในการบริหารเงินทำบุญส่วนนั้นโดยไม่โกงกินครับ
พูดแบบนี้ฟังดูเหมือนผมเป้นคนเลวครับ
เพราะเงินรายได้ผมก็มาจากภาษี
แต่ถ้ารัฐไม่ใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ก็อย่าเอาเพิ่มเลยครับ
ผมจ่ายภาษีไปแล้ว โดยหัก ณ ที่จ่ายด้วย
รัฐมีหน้าที่ในการบริหารเงินทำบุญส่วนนั้นโดยไม่โกงกินครับ
พูดแบบนี้ฟังดูเหมือนผมเป้นคนเลวครับ
เพราะเงินรายได้ผมก็มาจากภาษี
แต่ถ้ารัฐไม่ใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ก็อย่าเอาเพิ่มเลยครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- FullStop
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 7
ทำบุญสามแบบ โดย พุทธทาสภิกขุ
"บุญ"มี ความหมายสำคัญชั้นสูงสุดว่า "เครื่องชำระล้างบาป"
เปรียบเหมือนกับว่า เราใช้น้ำอาบล้างตัวเราให้สะอาด
คนบางพวก ใช้น้ำโคลนอาบ เพราะไม่มีน้ำสะอาดจะอาบ อีกพวกหนึ่ง
ใช้น้ำที่ละลายด้วยเครื่องหอมต่างๆ อาบ และพวกสุดท้ายใช้สบู่และน้ำที่สะอาดอาบ
คนที่อาบน้ำโคลน อาบเสร็จแล้วก็ยังมีโคลนติดอยู่ที่ตัว
คนที่อาบน้ำหอม อาบเสร็จแล้วก็ยังมีเยื่อของเครื่องหอมติดอยู่ที่เนื้อที่ตัว
ส่วนคนที่อาบน้ำสะอาด อาบ เสร็จแล้วไม่มีอะไรติดอยู่ที่เนื้อที่ตัว เป็นเนื้อตัวที่สะอาด
เมื่อ เปรียบการอาบน้ำล้างตัวด้วยการทำบุญ การทำบุญก็มี 3 อย่าง เช่นเดียวกัน
ทำ บุญเหมือนกับน้ำโคลน ก็คือพวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาทำบุญให้ทาน ฆ่าวัวฆ่าไก่ เลี้ยงสุรายาเมา
ทำการตามประสาคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแต่เรื่องกินเป็นใหญ่
แล้วก็ฆ่าสัตว์ทำบุญ หรือทำบุญเอาหน้า ทำเพื่ออวดคน เป็นการค้ากำไร
บุญนี้เหมือนกับน้ำโคลน คนนั้นได้ผลเหมือนอาบน้ำโคลน
คนอีกพวกหนึ่ง ทำบุญด้วยอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในบุญ เมาบุญ เมาสวรรค์วิมาน
ถ้าทำบุญ ด้วยความคิดอย่างนั้น ก็เหมือนกับอาบน้ำที่เจอด้วยแป้งปูนของหอม
อีก พวกหนึ่ง ทำบุญเพื่อจะละเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดว่าเป็นตัวเราหรือของเรา
ทำ เพื่อให้กิเลสหมดไปจากสันดาน อย่างนี้เหมือนคนอาบน้ำสะอาด ได้เนื้อตัวที่สะอาด
*********
พุทธทาสภิกขุ
คัดลอกจากหนังสือ ชีวิตงาม เล่ม 3
"บุญ"มี ความหมายสำคัญชั้นสูงสุดว่า "เครื่องชำระล้างบาป"
เปรียบเหมือนกับว่า เราใช้น้ำอาบล้างตัวเราให้สะอาด
คนบางพวก ใช้น้ำโคลนอาบ เพราะไม่มีน้ำสะอาดจะอาบ อีกพวกหนึ่ง
ใช้น้ำที่ละลายด้วยเครื่องหอมต่างๆ อาบ และพวกสุดท้ายใช้สบู่และน้ำที่สะอาดอาบ
คนที่อาบน้ำโคลน อาบเสร็จแล้วก็ยังมีโคลนติดอยู่ที่ตัว
คนที่อาบน้ำหอม อาบเสร็จแล้วก็ยังมีเยื่อของเครื่องหอมติดอยู่ที่เนื้อที่ตัว
ส่วนคนที่อาบน้ำสะอาด อาบ เสร็จแล้วไม่มีอะไรติดอยู่ที่เนื้อที่ตัว เป็นเนื้อตัวที่สะอาด
เมื่อ เปรียบการอาบน้ำล้างตัวด้วยการทำบุญ การทำบุญก็มี 3 อย่าง เช่นเดียวกัน
ทำ บุญเหมือนกับน้ำโคลน ก็คือพวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาทำบุญให้ทาน ฆ่าวัวฆ่าไก่ เลี้ยงสุรายาเมา
ทำการตามประสาคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแต่เรื่องกินเป็นใหญ่
แล้วก็ฆ่าสัตว์ทำบุญ หรือทำบุญเอาหน้า ทำเพื่ออวดคน เป็นการค้ากำไร
บุญนี้เหมือนกับน้ำโคลน คนนั้นได้ผลเหมือนอาบน้ำโคลน
คนอีกพวกหนึ่ง ทำบุญด้วยอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในบุญ เมาบุญ เมาสวรรค์วิมาน
ถ้าทำบุญ ด้วยความคิดอย่างนั้น ก็เหมือนกับอาบน้ำที่เจอด้วยแป้งปูนของหอม
อีก พวกหนึ่ง ทำบุญเพื่อจะละเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดว่าเป็นตัวเราหรือของเรา
ทำ เพื่อให้กิเลสหมดไปจากสันดาน อย่างนี้เหมือนคนอาบน้ำสะอาด ได้เนื้อตัวที่สะอาด
*********
พุทธทาสภิกขุ
คัดลอกจากหนังสือ ชีวิตงาม เล่ม 3
จงสร้างเหตุ ปล่อยให้ผลขึ้นเองตามกฎธรรมชาติ จงปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการปฏิบัติ..
ว่างเปล่า....
ว่างเปล่า....
- san
- Verified User
- โพสต์: 1675
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 11
ถ้าอยากให้ทาน
ก็ใกล้แล้วครับ
วันเข้าพรรษา 27 กค 53
ลองหาวัดดีๆ แล้วบริจาคเครื่องบวช ให้ผู้ที่จะบวชใหม่ ครับ
ทำทานครับ จะได้บุญ หรือป่าว ไม่รู้ ทำทานไปแล้วนี่
บุญ หลายคนอาจจะไม่เหมือนกัน ถามกันไปมาว่า อันไหนบุญมาก บุญน้อย
แต่ว่าทำทานของหลายคนน่าจะเหมือนกันครับ คือ ให้
ให้ไปเถอะครับ อะไรก็ได้ ให้ไปเถอะ
เอาอย่างเดียวมากไปก็ปวดหัวครับ
ฯลฯ
ก็ใกล้แล้วครับ
วันเข้าพรรษา 27 กค 53
ลองหาวัดดีๆ แล้วบริจาคเครื่องบวช ให้ผู้ที่จะบวชใหม่ ครับ
ทำทานครับ จะได้บุญ หรือป่าว ไม่รู้ ทำทานไปแล้วนี่
บุญ หลายคนอาจจะไม่เหมือนกัน ถามกันไปมาว่า อันไหนบุญมาก บุญน้อย
แต่ว่าทำทานของหลายคนน่าจะเหมือนกันครับ คือ ให้
ให้ไปเถอะครับ อะไรก็ได้ ให้ไปเถอะ
เอาอย่างเดียวมากไปก็ปวดหัวครับ
ฯลฯ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 12
เห็นหลายบ้าน นิยมเลี้ยงเด็กนะคะ หมายถึงส่งเสียให้เค้าได้เรียนหนังสือ
กล้วยทอดแต่ก่อนเคยเลี้ยงเด็กอยู่ 2 คนค่ะ มีเขียนจดหมายคุยให้กำลังใจเค้าบ้าง
ตอนนี้ที่บริจาคให้มาได้นานหน่อย จะเป็นของ Unicef น่าจะเกิน 5ปีแล้วค่ะ
จะทำอะไร ก็แล้วแต่ละจุดประสงค์ รสนิยม และกำลังของแต่ละบ้านค่ะ
กล้วยทอดแต่ก่อนเคยเลี้ยงเด็กอยู่ 2 คนค่ะ มีเขียนจดหมายคุยให้กำลังใจเค้าบ้าง
ตอนนี้ที่บริจาคให้มาได้นานหน่อย จะเป็นของ Unicef น่าจะเกิน 5ปีแล้วค่ะ
จะทำอะไร ก็แล้วแต่ละจุดประสงค์ รสนิยม และกำลังของแต่ละบ้านค่ะ
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 13
เคยไปลงพื้นที่ตอนทำ CSR-DIW มาค่ะ พวกนักการเมืองท้องถิ่น
เค้ามักจะแนะนำว่า ถ้าต้องจะช่วยเหลือการเงินเพื่อส่งเสริมการศึกษา
ของแหล่งชุมชน(ในเขตเมือง)หน่อย
เค้าให้ลงเงินกับกลุ่มวัยรุ่นที่เตรียมเข้าอุดมศึกษามากกว่า
เพราะเด็กรุ่นหลังๆ อนุบาล-มัธยมปลาย ได้เงินอุดหนุนจากทางภาครัฐมามากอยู่แล้ว
ได้เรียนฟรี อยู่ห้องแอร์ มีห้องสมุด สนามเด็กเล่น รถรับส่งพร้อมแล้ว โอ..จริงอ่ะ
แต่กล้วยทอดว่า คงไม่จริงเสมอไปค่ะ เด็กเล็ก แต่ถ้าไม่มีฐานเสียงให้นักการเมือง
(ประเภทย้ายที่อยู่มา หรือไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ละแวกนั้น) คงไม่น่าจะได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่มัง
แต่ก็นะ ถ้าอยากจะช่วยวัยระดับใดได้ ก็ทำไปเถอะนะคะ
เค้ามักจะแนะนำว่า ถ้าต้องจะช่วยเหลือการเงินเพื่อส่งเสริมการศึกษา
ของแหล่งชุมชน(ในเขตเมือง)หน่อย
เค้าให้ลงเงินกับกลุ่มวัยรุ่นที่เตรียมเข้าอุดมศึกษามากกว่า
เพราะเด็กรุ่นหลังๆ อนุบาล-มัธยมปลาย ได้เงินอุดหนุนจากทางภาครัฐมามากอยู่แล้ว
ได้เรียนฟรี อยู่ห้องแอร์ มีห้องสมุด สนามเด็กเล่น รถรับส่งพร้อมแล้ว โอ..จริงอ่ะ
แต่กล้วยทอดว่า คงไม่จริงเสมอไปค่ะ เด็กเล็ก แต่ถ้าไม่มีฐานเสียงให้นักการเมือง
(ประเภทย้ายที่อยู่มา หรือไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ละแวกนั้น) คงไม่น่าจะได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่มัง
แต่ก็นะ ถ้าอยากจะช่วยวัยระดับใดได้ ก็ทำไปเถอะนะคะ
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
- FullStop
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 14
บุญ กับ กุศล
เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่าง
สิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ" กับ สิ่งที่เรียกว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย
แล้วแต่ความสามารถ ในการพินิจพิจารณา แต่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว
บุญ กับ กุศล ควรจะเป็น คนละอย่าง หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม
ตามความหมาย ของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำ นี้ทีเดียว
คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น,
ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมาย
เช่นนี้ เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง
บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจพอใจชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม
แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือ แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่า ตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก ในกรณีที่
ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญ เหมือนกัน แม้จะ
เป็น บุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์
มีความปรารถนาอย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่
การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ ตนจะปรารถนา ไม่ออก
ไปจาก การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสาร ได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ
อย่างไรก็ตาม ฉะนั้น ความหมายของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ฟูใจ
และ เวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้
ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่ง
สิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุ ให้พัวพัน อยู่ใน กิเลสตัณหา อันเป็น เครื่องนำให้ เกิดแล้ว
เกิดอีก และมีจุดมุ่งหมาย กวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ในเมื่อบุญต้องการ
โอบรัด เข้ามาหาตัว ให้มีเป็น ของของตัว มากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถือ
อะไรเอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศล ก็เห็นว่า การทำอย่างนั้น
เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป กอดรัดงูเห่า ทีเดียว ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า
ฉลาด นั้น ต้องการจะ ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่น ให้ปล่อยวาง หรือ
ผ่านพ้นไปด้วยกัน ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญนั้น ยังเป็นความมืดบอดอยู่
แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน ก็ยังมี การกระทำ
ทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้
เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณา ดูที่ตัวอย่างต่างๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริงๆ คือ
ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ หรือ เอาของตอบแทน เป็นกำไร
หรือ เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือ แม้ที่สุดแต่ เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์ อย่างนี้
เรียกว่า ให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ แต่ถ้าให้ทาน อย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการ
เพื่อขูดความขี้เหนียว ของตัว ขูดความเห็นแก่ตัว หรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนา เอาไว้
เพราะเห็นว่า ศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ ของโลก หรือ ให้เพราะ เมตตาล้วนๆ
โดยบริสุทธิ์ใจ หรืออำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง ปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า
ให้ไปเสีย มีประโยชน์มากกว่าเอาไว้อย่างนี้ เรียกว่า ให้ทานเอากุศล หรือได้กุศล
ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศ ละทางกับการให้ทานเอาบุญ เราจะเห็นได้กันสืบไป
อีกว่า การให้ทานเอาบุญนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม ฝ่ายผู้รับทาน
จนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเอง หรือในวงสังคมรูปอื่นๆ เช่น มีคน
ขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น การให้ทาน ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์
ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูง
พ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้ เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะ
ให้ทาน เพื่อขูดเกลา ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผลว่า
ควรให้ ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูปละโมบบุญหรือเมาบุญ เพราะว่ากุศล
ไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ
ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ
ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร
ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จัก
ความมุ่งหมายของศีล เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล แล้วรักษาเพื่ออวด
เพื่อนฝูง หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่ นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนากันไว้
หรือ ทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น
ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัว มากขึ้น เท่านั้น ยิ่งมีความ
ยุ่งยากในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ เพราะ ความเคร่งครัด
ในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้ เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ ส่วนบุคคลอีกประเภท
หนึ่ง รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง สำหรับจะเป็นทางให้เกิดความ
บริสุทธิ์ และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบ สำหรับเกิดปัญญา
ชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล รักษามีจำนวน เท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัด
เดียวกัน แต่กลับเดินไป คนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะ แห่ง
ความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล คำว่า กุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย ก็
ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ และกินเข้าไป มากเท่าไร
ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ ในขณะที่ คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น คำว่า
กุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาด และ ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์
ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญ ก็ได้ เอากุศลก็ได้
สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้ ที่โลกอื่น ตามที่ ตนกระหาย จะทำให้
เก่งกว่าคนอื่น หรือ สมาธิ เพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้เรียกว่า
สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมัน
นั่นเอง ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่า ทำอันตราย แก่เจ้าของ ถึงกับต้อง รับการรักษา
เป็นพิเศษ หรือ รักษาไม่หาย จนตลอดชีวิต ก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่า สมาธิเช่นนี้
มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสาร
ตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไป เพื่อนิพพาน ส่วนสมาธิ ที่มีความมุ่งหมาย
เพื่อการบังคับใจตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้
ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมา ในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใส เป็น
ทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล
ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร จึง
ตรงกันข้าม จากสมาธิเอาบุญ
ครั้นมาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัว
ปัญญานั้น เป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์
อย่างเดียว แม้ยังจะต้อง เกิดในโลกอีก เพราะยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความ
รู้สึกตัว เดินออกนอกวัฎสงสาร มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ ไม่วนเวียน
จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า
ปัญญาในกองธรรม หรือ ธรรมขันธ์ ของพุทธศาสนา ดังเช่น ปัญญาในทาง
อาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น
ตามตัวอย่าง ที่เป็นอยู่ในเรื่องจริง ที่เกี่ยวกับ การกระทำ ของพวกเราเอง
ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอ หรือ ถึงกับหลงเอา
บุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิด ความสับสนอลเวง
เพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ จนเกิดความยุ่งยากสับสน
อลหม่าน ในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอา
ของสองอย่างนี้ เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า
"บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ
การทำบุญกุศล นี้ ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้
ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงาม หรือ
ปรากฏ หมดอำนาจบุญเมื่อใด บาปก็จะโผล่ออกมา และงอกงามสืบไปอีก
ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัด รากเหง้าของบาป อยู่เรื่อยไป จนมันเหี่ยวแห้ง
สูญสิ้นไม่มีเหลือ ความต่างกัน อย่างยิ่ง ย่อมมีอยู่ ดังกล่าวนี้
คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล
และปลอดภัย ตามความปรารถนา แล้วแต่ใคร จะมองเห็น
และจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร ได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่า
พวกเรารู้จัก บุญกุศล กันจริงๆ รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า และ
ทิศทางที่วกเวียน ว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกัน
ได้เลย แม้จะเรียกว่า "ทางๆ" เหมือนกัน ทั้งสองฝ่าย
วัดธารน้ำไหล
๒๕ มิ.ย. ๒๔๙๓
-------------------------------------------------------------------------
เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่าง
สิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ" กับ สิ่งที่เรียกว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย
แล้วแต่ความสามารถ ในการพินิจพิจารณา แต่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว
บุญ กับ กุศล ควรจะเป็น คนละอย่าง หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม
ตามความหมาย ของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำ นี้ทีเดียว
คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น,
ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมาย
เช่นนี้ เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง
บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจพอใจชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม
แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือ แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่า ตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก ในกรณีที่
ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญ เหมือนกัน แม้จะ
เป็น บุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์
มีความปรารถนาอย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่
การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ ตนจะปรารถนา ไม่ออก
ไปจาก การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสาร ได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ
อย่างไรก็ตาม ฉะนั้น ความหมายของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ฟูใจ
และ เวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้
ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่ง
สิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุ ให้พัวพัน อยู่ใน กิเลสตัณหา อันเป็น เครื่องนำให้ เกิดแล้ว
เกิดอีก และมีจุดมุ่งหมาย กวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ในเมื่อบุญต้องการ
โอบรัด เข้ามาหาตัว ให้มีเป็น ของของตัว มากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถือ
อะไรเอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศล ก็เห็นว่า การทำอย่างนั้น
เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป กอดรัดงูเห่า ทีเดียว ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า
ฉลาด นั้น ต้องการจะ ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่น ให้ปล่อยวาง หรือ
ผ่านพ้นไปด้วยกัน ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญนั้น ยังเป็นความมืดบอดอยู่
แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน ก็ยังมี การกระทำ
ทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้
เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณา ดูที่ตัวอย่างต่างๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริงๆ คือ
ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ หรือ เอาของตอบแทน เป็นกำไร
หรือ เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือ แม้ที่สุดแต่ เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์ อย่างนี้
เรียกว่า ให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ แต่ถ้าให้ทาน อย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการ
เพื่อขูดความขี้เหนียว ของตัว ขูดความเห็นแก่ตัว หรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนา เอาไว้
เพราะเห็นว่า ศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ ของโลก หรือ ให้เพราะ เมตตาล้วนๆ
โดยบริสุทธิ์ใจ หรืออำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง ปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า
ให้ไปเสีย มีประโยชน์มากกว่าเอาไว้อย่างนี้ เรียกว่า ให้ทานเอากุศล หรือได้กุศล
ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศ ละทางกับการให้ทานเอาบุญ เราจะเห็นได้กันสืบไป
อีกว่า การให้ทานเอาบุญนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม ฝ่ายผู้รับทาน
จนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเอง หรือในวงสังคมรูปอื่นๆ เช่น มีคน
ขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น การให้ทาน ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์
ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูง
พ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้ เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะ
ให้ทาน เพื่อขูดเกลา ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผลว่า
ควรให้ ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูปละโมบบุญหรือเมาบุญ เพราะว่ากุศล
ไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ
ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ
ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร
ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จัก
ความมุ่งหมายของศีล เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล แล้วรักษาเพื่ออวด
เพื่อนฝูง หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่ นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนากันไว้
หรือ ทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น
ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัว มากขึ้น เท่านั้น ยิ่งมีความ
ยุ่งยากในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ เพราะ ความเคร่งครัด
ในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้ เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ ส่วนบุคคลอีกประเภท
หนึ่ง รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง สำหรับจะเป็นทางให้เกิดความ
บริสุทธิ์ และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบ สำหรับเกิดปัญญา
ชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล รักษามีจำนวน เท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัด
เดียวกัน แต่กลับเดินไป คนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะ แห่ง
ความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล คำว่า กุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย ก็
ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ และกินเข้าไป มากเท่าไร
ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ ในขณะที่ คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น คำว่า
กุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาด และ ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์
ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญ ก็ได้ เอากุศลก็ได้
สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้ ที่โลกอื่น ตามที่ ตนกระหาย จะทำให้
เก่งกว่าคนอื่น หรือ สมาธิ เพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้เรียกว่า
สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมัน
นั่นเอง ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่า ทำอันตราย แก่เจ้าของ ถึงกับต้อง รับการรักษา
เป็นพิเศษ หรือ รักษาไม่หาย จนตลอดชีวิต ก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่า สมาธิเช่นนี้
มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสาร
ตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไป เพื่อนิพพาน ส่วนสมาธิ ที่มีความมุ่งหมาย
เพื่อการบังคับใจตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้
ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมา ในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใส เป็น
ทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล
ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร จึง
ตรงกันข้าม จากสมาธิเอาบุญ
ครั้นมาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัว
ปัญญานั้น เป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์
อย่างเดียว แม้ยังจะต้อง เกิดในโลกอีก เพราะยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความ
รู้สึกตัว เดินออกนอกวัฎสงสาร มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ ไม่วนเวียน
จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า
ปัญญาในกองธรรม หรือ ธรรมขันธ์ ของพุทธศาสนา ดังเช่น ปัญญาในทาง
อาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น
ตามตัวอย่าง ที่เป็นอยู่ในเรื่องจริง ที่เกี่ยวกับ การกระทำ ของพวกเราเอง
ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอ หรือ ถึงกับหลงเอา
บุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิด ความสับสนอลเวง
เพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ จนเกิดความยุ่งยากสับสน
อลหม่าน ในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอา
ของสองอย่างนี้ เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า
"บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ
การทำบุญกุศล นี้ ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้
ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงาม หรือ
ปรากฏ หมดอำนาจบุญเมื่อใด บาปก็จะโผล่ออกมา และงอกงามสืบไปอีก
ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัด รากเหง้าของบาป อยู่เรื่อยไป จนมันเหี่ยวแห้ง
สูญสิ้นไม่มีเหลือ ความต่างกัน อย่างยิ่ง ย่อมมีอยู่ ดังกล่าวนี้
คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล
และปลอดภัย ตามความปรารถนา แล้วแต่ใคร จะมองเห็น
และจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร ได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่า
พวกเรารู้จัก บุญกุศล กันจริงๆ รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า และ
ทิศทางที่วกเวียน ว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกัน
ได้เลย แม้จะเรียกว่า "ทางๆ" เหมือนกัน ทั้งสองฝ่าย
วัดธารน้ำไหล
๒๕ มิ.ย. ๒๔๙๓
-------------------------------------------------------------------------
จงสร้างเหตุ ปล่อยให้ผลขึ้นเองตามกฎธรรมชาติ จงปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการปฏิบัติ..
ว่างเปล่า....
ว่างเปล่า....
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 15
[quote="คนแก่มือเก่า"]ทำบุญไม่ต้องรอแก่ครับ
ทำได้เรื่อยๆ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาสครับ
เพราะ
ทำได้เรื่อยๆ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาสครับ
เพราะ
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 18
ผมว่าเศรษฐีส่วนมากทำบุญกันมาตั้งแต่อายุไม่มากนะครับ
ไม่ได้รอจนแก่
เพียงแต่ไม่ได้ทำมากเหมือนตอนแก่ครับ
เพราะตอนอายุน้อยก็ทำตามกำลัง
ตอนนั้นกำลังอาจจะไม่มาก
พออายุมากก็ทำตามกำลัง เพียงแต่มีกำลังมาก
ไม่ได้รอจนแก่
เพียงแต่ไม่ได้ทำมากเหมือนตอนแก่ครับ
เพราะตอนอายุน้อยก็ทำตามกำลัง
ตอนนั้นกำลังอาจจะไม่มาก
พออายุมากก็ทำตามกำลัง เพียงแต่มีกำลังมาก
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 19
5% ของเงินเดือนทุกเดือนครับ หลังหักเงินลงทุนเข้าพอร์ตครับ เพื่อบริหาร ความเสี่ยงที่เราอาจตายไปก่อนที่จะได้ทำบุญ
อย่ายอมแพ้
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณบทความเรื่อง บุญ กับ กุศล มากครับ จะเก็บไว้อ่านเตือนใจ
อย่ายอมแพ้
- san
- Verified User
- โพสต์: 1675
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 21
เอ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองอย่างนั้นหล่ะครับchowbe76 เขียน:ไม่ครับ
ผมจ่ายภาษีไปแล้ว โดยหัก ณ ที่จ่ายด้วย
รัฐมีหน้าที่ในการบริหารเงินทำบุญส่วนนั้นโดยไม่โกงกินครับ
พูดแบบนี้ฟังดูเหมือนผมเป้นคนเลวครับ
เพราะเงินรายได้ผมก็มาจากภาษี
แต่ถ้ารัฐไม่ใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ก็อย่าเอาเพิ่มเลยครับ
อย่าคิดอะไรมากมายเลยครับ
เรื่องการทำบุญ ไม่ใช่หน้าที่หรอกครับ
อยากให้ก็ให้ ไม่อยากให้ ก็ไม่ต้องให้ครับ
การไม่ให้ ไม่ได้หมายความว่เป็นคนไม่ดีหรอกครับ
เนอะ
- FullStop
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
โพสต์ที่ 22
ชาว VI วางแผนทำบุญเรื่อยๆหรือจะรอทีเดียวตอนแก่แบบบัฟเฟต
---------------------------------------------------------------
ถ้ายึดเอาความไม่แน่นอน ไม่จีรังของสิ่งทั้ง หลาย คิดว่า คงตอบคำถามได้นะครับ ว่าจะรอดีไหม วันพรุ่งนี้จะมีสักกี่ครั้ง
---------------------------------------------------------------
ถ้ายึดเอาความไม่แน่นอน ไม่จีรังของสิ่งทั้ง หลาย คิดว่า คงตอบคำถามได้นะครับ ว่าจะรอดีไหม วันพรุ่งนี้จะมีสักกี่ครั้ง
จงสร้างเหตุ ปล่อยให้ผลขึ้นเองตามกฎธรรมชาติ จงปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการปฏิบัติ..
ว่างเปล่า....
ว่างเปล่า....